ในช่วงเย็นของวัน หลังจากที่รู้ผลการสอบของชายหนุ่มของบ้านซูทั้งสองคน สมาชิกของคนในครอบซูและอีกสามครอบครัวมีเจียง เทียน หมิงก็พากันมารวมตัวกันที่บ้านแม่ของซูเหยา
“ฉันดีใจกับครอบครัวของเฒ่าซูด้วย บ้านคุณเลี้ยงลูกกันได้ดีทุกคนเลย” เจียงเทียนยกจอกเหล้าคารวะซูป๋อจากใจจริง
“สหายเจียงกล่าวเกินไปแล้วเรื่องพวกนี้มันเป็นความสามารถของเด็ก ๆ เอง ซึ่งพวกเราเป็นพ่อแม่ก็ได้เพียงแต่สนับสนุนเพียงเท่านั้น” ซูป๋อก็ยกจอกคารวะกลับ
“ฉันว่าพวกเราทำตัวตามสบายกันเถอะค่ะ นั่นอาหารฝีมือพ่อครัวอันดับหนึ่งกับผู้ช่วยมาแล้วพวกเรากินข้าวกันเถอะ” หว่านชิงที่นั่งฟังการสนทนาของทั้งสองคนพูดขัด
“ดี ๆ วันนี้ไม่เมาไม่เลิกรา อย่างนี้พวกเราก็คงต้องย้ายกลับไปอยู่บ้านในเมืองกันได้แล้ว ส่วนบ้านที่นี่ก็คงต้องไป ๆ กลับ ๆ หรือจะให้ใครมาดูแลกันดีล่ะ” เจียงเทียนถามเหล่าสมาชิกในครอบครัวที่ตอนนี้มีงานทำในตัวอำเภอกันหมด
“พวกเราคิดว่า ฉันกับสามีจะอยู่กันที่นี่ให้ผ่านปีไปก่อนค่ะเพราะยังติดเรื่องหมูที่เลี้ยงไว้กับสหายมู่ แต่ว่าพอพ้นปีค่อยกลับไปอยู่กั
แต่ด้วยพละกำลังอันแตกต่างกันหญิงสาวจะสู้แรงชายหนุ่มได้อย่างไร เมื่อฮุ่ยหวงโยนหญิงสาวที่ตัวเองเฝ้าทะนุถนอมมาเนิ่นนานอย่างไร้ความปราณีไปบนเตียงกว้างจากนั้นเขาก็ถอดเสื้อของตนออกก่อนที่จะเข้าไปจับร่างกายของหญิงสาวที่กำลังนอนกอดตัวเองอยู่อย่างน่าสงสาร“ปล่อยฉันนะ คุณจะทำอะไร” หญิงสาวที่เป็นภรรยาทั้งผลักทั้งดันหวังให้ผู้ที่ชื่อว่าสามีออกไปให้พ้นจากตัวเอง“ผมถนอมคุณมาตลอดตั้งแต่แต่งงานกัน คุณไม่ทำงานผมก็ไม่ว่า แต่ในเมื่อคุณทำข้อสอบได้แต่ไม่บอกผมแบบนี้แสดงว่าคุณไม่เคยรักผมเลยถ้าอย่างนั้นผมก็จะทำอย่างโหดร้ายกับคุณดูบ้างว่าคุณจะเจ็บเหมือนผมหรือเปล่ายังไงล่ะ” ชายผู้เป็นสามีพูดขึ้นอย่างแค้นใจก่อนที่เขาจะโถมร่างกายอันใหญ่โตของตนทาบทับร่างเล็กกว่า และก็ตามมาด้วยการฉีกกระชากเสื้อของหญิงสาว ก่อนที่เขาจะขบเม้มไปทั่วร่างกายของคนที่ตัวสั่นอยู่ใต้ร่างในช่วงเวลานี้ทำให้เหลียนฮวาได้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตของตน ก่อนที่เธอจะได้หวนกลับมาที่นี่ในช่วงที่ยังไม่ได้มายังหมู่บ้านแห่งนี้น้ำตาเธอไหลอาบแก้มสวยอย่างไม่ขาดสาย พร้อมกันนั้นเธอก็ถา
เช้าวันต่อมายุวปัญญาชนทั้งชายหญิงก็พากันเดินไปยังคอมมูนเพื่อขอหนังสือรับรองจากสถานที่แห่งนี้ในการนำไปยื่นยังโรงเรียนที่แต่ละคนทำการสอบไปเป็นครูได้“เหลียนฮวาเธอยังไม่ขอหนังสือรับรองเหรอ” เฟิ่นลู่ถามอดีตเพื่อนร่วมห้องอย่างแปลกใจที่ไม่เห็นความกระตือรือร้นของบุคคลผู้นี้“ฉันค่อยขอพรุ่งนี้ก็ได้วันนี้ฉันมีเรื่องต้องไปจัดการ เชิญพวกเธอตามสบายเลย” หญิงสาวร่างบางพูดขึ้นอย่างรีบร้อนก่อนที่จะเดินไปยังหน้าหมู่บ้านเพื่อหวังจะไปขึ้นรถประจำทางมุ่งไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง“จะว่าไปฮุ่ยหวงก็ยังไม่มาคู่นี้แปลกพิลึก หรือว่าจะตัดใจจากกันไม่ลง” ชายร่างสูงกล่าวขึ้นเมื่อเขากวาดตามองจนทั่วก็ปราศจากร่างเพื่อนชายคนที่อยู่ในบทสนทนา“ปล่อยพวกเขาไปเถอะ คนเพิ่งจะแต่งงานกันก็อาจจะอยากอยู่ด้วยกันนานหน่อยก็ไม่แปลก” เพื่อนชายอีกคนพูดแสดงความเห็น“ก็จริง ยิ่งได้อยู่กับนางฟ้าแสนสวยที่ตัวเองฝันถึงมาตลอดก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ยากจะตัดใจ” ชายหนุ่มคนเดิมเห็นด้วยกับเพื่อนร่วมบ้านพูดขึ้นมาอีกครั้งทางด้านเหลียนฮวาที่กำลังนั่งอยู
“โอ๊ย แกปล่อยฉันนะเป็นหมาหรือไงกัดเข้ามาได้” หญิงสาวแผดเสียงลั่นด้วยความเจ็บ ก่อนที่จะด่าหมอเถื่อนผู้นี้ออกมาโดยที่หล่อนลืมไปแล้วว่า มันจะยิ่งไปกระตุ้นความโกรธให้กับชายโรคจิตผู้นี้“ปากดีแบบนี้ยังอยากได้ยาอยู่หรือเปล่า” ชายกักขฬะพูดอย่างไม่สบอารมณ์“ฉันขอโทษ นายเอาเงินไปแล้วส่งยามาเถอะ หากอยากได้ผู้หญิงนายก็ไปหากินเอาข้างหน้า ฉันไม่เต็มใจ” เหลียนฮวายอมอ่อนข้อ“เอาเงินมาเอายาไป แล้วอย่ามาที่นี่อีก” ชายคนนั้นพูดห้วนสั้นกระชับก่อนที่มันจะส่งห่อกระดาษห่อหนึ่งให้กับหญิงสาวเมื่อเหลียนฮวาส่งเงินให้มันแล้วเธอก็รีบจ้ำอ้าวเดินลงจากเขาโดยที่ไม่หันกลับไปมองด้านหลัง และคิดว่าตั้งแต่วันนี้เธอคงจะไม่ต้องกลับมาสถานที่แห่งนี้อีกหมอเถื่อนที่เห็นหญิงสาวเดินจากไปอย่างรวดเร็วก็นึกเสียดาย แต่เมื่อเห็นเงินที่อยู่ในมือเขาก็ยิ้มออกมาก่อนที่จะหันหลังเดินเข้าไปในกระท่อมเก่าโทรมของตนเหลียนฮวาหลังจากที่เดินลงเขามาได้ เธอถึงกับทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ เนื่องจากเธอกลัวว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นจะกลับม
“พี่น้องบ้านซู ลุงดีใจด้วยนะที่พวกเธอได้เป็นครูในอำเภอ” ชายวัยกลางคนที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกล่าวทักทายสองพี่น้องระหว่างทาง“ป้าเองก็ดีใจด้วย พวกเธอนี่ช่วยสร้างชื่อให้หมู่บ้านชาวนาของพวกเราเลยนะ เก่งกันจริง ๆ” เมื่อมีคนที่หนึ่งก็ย่อมมีคนที่สองและสามตามมา จนตอนนี้ได้กลายเป็นคนหมู่มาก“ขอบคุณครับเอาไว้ลุง ๆ ป้า ๆ ก็ส่งลูกหลานไปสอบที่โรงเรียนที่พวกผมจะไปสอนนะครับ” สองพี่น้องต่างทักทายกลับพร้อมกับพูดออกมา“ได้ ๆ ลูกหลานพวกเราจะได้เก่ง ๆ แบบเธอสองคน ใครบอกว่าชาวนาเก่งไม่ได้กันต้องให้มาดูพวกเธอเป็นแบบอย่างนี้แหละ” ชาวบ้านจากหนึ่งเป็นสองและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ พูดกันเสียงขรม“ขอบคุณทุกคนมากนะครับที่มายินดีกับพวกผม” ชายหนุ่มทั้งสองค้อมตัวลงขอบคุณชาวบ้านที่พากันปรบมือให้กับพวกเขาอย่างสุภาพ“พวกเราเสียงสัญญาณเริ่มงานดังแล้ว ไปทำงานกันเถอะ ลุงไปก่อนนะ เอาไว้เมื่อไหร่โรงเรียนรับสมัครจะให้หลานชายที่บ้านไปสมัครเรียน” ชายคนแรกที่ทักสองชายหนุ่มพูดขึ้นก่อนที่เขาจะหันไปชวนพรรคพวก
ในระหว่างที่คุณแม่วัยใสกำลังสนทนากับเด็กชายทั้งสี่ หญิงสาวไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ตนเองได้ตกอยู่ภายใต้สายตาของใครบางคนที่ตั้งใจมองมาทางเธอด้วยความลังเล หวาดหวั่น“อาจิวหล่อนมองใครอย่างนั้นเหรอ” น้ำเสียงเข้มถามหญิงสาวที่ได้มาแต่งงานกับเขาจากการจับคู่ของแม่สื่อที่เขาและหล่อนต่างก็เป็นหม้ายกันทั้งคู่“เปล่าค่ะ ว่าแต่เด็ก ๆ ยังไม่ออกมากันอีกหรือคะ ฉันร้อนจะแย่” จิวเหลียนอดีตพี่สะใภ้ของซูเหยาพูดกับชายวัยสามสิบต้นข้างกาย“เดี๋ยวก็คงจะออกมากัน วันนี้แค่วันมาสมัครสอบยังไม่ได้สอบสักหน่อย ว่าแต่คุณจะไปไหนต่อหรือเปล่าผมอยากกลับบ้าน”ชายร่างสันทัดไม่ผอมไม่อ้วนที่มีอาชีพหัวหน้าฆ่าสัตว์ในความดูแลของรัฐพูดขึ้นในขณะที่เขาเองก็มองหาเด็กชายหญิงสามคนซึ่งเป็นลูกของตนหนึ่งของภรรยาสอง“กลับกันเลยก็ดีค่ะ” หญิงข้างกายก็เห็นด้วยเมื่อเห็นเด็กทั้งสามคนเดินออกมาแล้ว“จากนั้นคนทั้งห้าก็พากันเดินออกไปนอกประตูโรงเรียน ซูเหยาที่สายตาหันไปเห็นร่างไว ๆ ของเด็กน้อยคุ้นตาสองคนเธอก็ชะงักไ
“สวัสดีเธอสบายดีนะ” จิวเหลียนทักทายอดีตน้องสามีท่าทางปกติไม่ได้มีท่าทางเกลียดชังเหมือนเมื่อก่อน“สบายดีค่ะว่าแต่พี่เองดูดีขึ้นมากเลยนะคะ” เมื่อไม่มีความเกลียดชังซูเหยาก็ถามไถ่ออกไปอย่างปกติบ้างเช่นเดียวกัน“ฉันมีความสุขดีตอนนี้ได้แต่งงานใหม่แล้ว คนนี้เป็นสามีฉันเองชื่อหลิวต้า แซ่จาง เป็นหัวหน้าโรงเชือดของรัฐ” จิวเหลียนแย้มยิ้มออกมาพร้อมกับแนะนำชายข้างกายให้ซูเหยาได้รู้จัก“ยินดีที่ได้รู้จักพี่เขยค่ะ” ซูเหยายิ้มเล็กน้อยกล่าวทักทายชายวัยกลางคนที่เธอเหมือนกับจะรู้สึกคุ้นชื่ออย่างน่าประหลาด“ยินดีเช่นกันครับ หากน้องสาวภรรยาอยากได้เนื้อบอกพี่ได้นะ” ชายสามีของจิวเหลียนบอกเสียงเบา“ขอบคุณค่ะ” ซูเหยาไม่ได้ปฏิเสธและเธอก็ได้หันมาคุยกับจิวเหลียนเพิ่มตามมารยาท“ภรรยาครับพวกเราไปกันเถอะ” เทียนหานกล่าวพร้อมจับข้อศอกภรรยาสาว“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกฉันขอตัวก่อนนะพี่จิวเหลียนเอาไว้ค่อยพบกันใหม่” ซูเหยากล่าวกลับสามี ก่อนที่เธอจะหันมากล่าวลาผู้ที่ไม่ได้เจอกันนาน
ครอบครัวของเทียนฮานพาเด็กน้อยทั้งห้ามากินข้าวที่ร้านอาหารของรัฐ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับร้านของซูเหยา ที่ตอนนี้ หนิงเหอกำลังดูแลร้านอยู่กับซือซินที่มาทำในร้านเพื่อไปกลับกับมู่อันที่ได้ทำงานเป็นพนักงานชั่วคราวในโรงงานจากการแนะนำของพี่ชายเมื่ออาทิตย์ก่อน ซูเหยาเองจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมากที่ไม่ต้องจ้างคนอื่นการมาของบุคคลในครอบครัวของพ่อครัวมือหนึ่งของร้านได้รับการดูแลจากพนักงานในร้านเป็นอย่างดี โดยที่พนักงานทุกคนเคยได้รับคำสั่งมาจากกวงจินและหลังจากที่พนักงานต้อนรับพาแขกกลุ่มนี้เข้าไปนั่งที่โต๊ะแล้ว พนักงานก็ได้เดินขึ้นไปตามผู้จัดการร้านตามคำสั่งหากมีแขกพิเศษมา“สวัสดีครับผู้เฒ่าฮานและคนในครอบครัว เป็นเกียรติของผมที่วันนี้ทุกท่านมากินอาหารกลางวันที่นี่” กวงจินหลังจากที่พนักงานภายในร้านไปบอกว่าใครมา เขาจึงวางงานในมือลงเพื่อมาต้อนรับแขกกลุ่มนี้พูดขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมาการที่ผู้จัดการร้านอาหารรัฐอย่างกวงจินแสดงท่าทางประจบผิดวิสัยของตน สาเหตุก็มาจากการที่เขาได้รู้เบื้องหลังของวัตถุดิบที่หายากว่าได้มาจากไหน ด้วยสาเหตุนี้เขาจึงยิ่งเอาใจใส่แขกผู้มาใหม่
เมื่อผู้เฒ่าประจำครอบครัวพูดแบบนี้พวกเขาก็พากันทำตาม ดังนั้นตอนนี้ผู้ใหญ่ทั้งห้ากับเด็กน้อยเสี่ยวผิงก็พากันเดินไปหาเด็กชายทั้งสี่คนขณะที่เด็กชายทั้งห้ากำลังสนทนากัน โดยมีเด็กหญิงที่เดินเคียงข้างพี่ชายปิดปากฟังการสนทนาอย่างเงียบ ๆ“เด็ก ๆ มีอะไรกันหรือเปล่า” เทียนฮานเป็นฝ่ายเปิดปากถามกับเด็กน้อยในขณะที่เขาได้มายืนดักหน้าหลาน ๆ“มีอะไรหรือครับ” เสี่ยวเฉินทวนคำถามผู้อาวุโสของบ้านอย่างมึนงง“คือ...ปู่สงสัยว่า เด็กสองคนนี้เป็นใครก็เท่านั้น” เทียนฮานผู้ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงจึงแสร้งเปลี่ยนคำถาม เพราะหากพูดไม่ดีก็กลัวว่าอาจจะทำให้เด็ก ๆ ตกใจเนื่องจากเด็กสองคนนี้ก็เดินมากับหลานชายท่าทางปกติไม่ได้มีพฤติกรรมรุนแรงแต่อย่างใด“อ๋อ เข้าใจแล้วครับ สองคนนี้คือพี่มู่ซือ อีกคนคือพี่มู่ฟางเป็นลูกของลุงใหญ่ครับ” ครั้งนี้ผู้ที่ตอบเป็นเสี่ยวเฟยตัวน้อย“สวัสดีครับ/ค่ะทุกท่านครับ พวกเราต้องการมาขอโทษอา มู่หานกับอาซูเหยาครับ ในเรื่องที่พวกเราทำนิสัยไม่ดีใส่คนทั้งสองเอาไว้ในอดีต
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว
“ผมขอโทษครับคุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” เสียงอันอ่อนนุ่มของเทียนเฟยกล่าวกับหญิงสาวผมทองร่างบางสวมแว่นตากรอบหนาออกมาอย่างรู้สึกผิด“ฉันเองก็ต้องขอโทษคุณเช่นกันที่เดินมาชนคุณก่อน” หญิงสาวคนนั้นกล่าวออกมาด้วยความเสียใจไม่แพ้กันเทียนเฟยหลังจากที่เก็บหนังสือเรียนของตัวเองแล้ว เขาก็ได้มาช่วยหญิงสาวคนนี้เก็บของที่กระจัดกระจายเพื่อส่งคืนให้เจ้าของ“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” หญิงสาวผมทองกล่าวตอบชายหนุ่มเสียงเบาด้วยความอาย“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นอะไรแล้วผมขอตัวก่อน” เทียนเฟยบอกกับหญิงสาวหลังจากที่เขาดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วใกล้ถึงเวลาเรียนของตนหญิงสาวผมทองจึงได้แต่มองตามทุกการก้าวเดินของชายหนุ่มต่างสัญชาติด้วยความประทับใจ ที่คนผู้นั้นอาจจะจำหล่อนไม่ได้จากเหตุการณ์หลายวันก่อนที่เธอได้ถูกคนรังแกในขณะที่เธอกำลังจะตอบโต้คนพวกนั้น แต่ว่าได้มีชายหนุ่มคนนี้เข้ามาช่วยเอาไว้ก่อนมิเชลไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอกับชายหนุ่มคนนี้อีกครั้งด้วยความบังเอิญ เธอรู้ตัวเองดีว่าไม่เหมาะสมกับเขาไม่ว่าจะเป็นด้วยรูปลั
ส่วนมู่ฟางก็ได้เจอกับพี่ชายของตนที่มาพร้อมกับชายหนุ่มที่เธอเป็นคนตรวจร่างกายให้เป็นคนสุดท้ายก่อนพัก“สหายกับพี่ชายของฉันสนิทกันอย่างนั้นหรือคะถึงได้มาด้วยกัน” คนเป็นน้องสาวถามกับชายคนนี้ออกมาหลังจากที่เธอเดินมาหาพี่ชายของตนแล้ว“คือว่าใช่ครับพวกเราสนิทกันมาก” คนเป็นครูฝึกโอบไหล่นักเรียนของตนแน่นก่อนตอบหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม“ถ้าอย่างนั้นยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ชาย ชื่อมู่ฟาง” หญิงสาวที่อายุน้อยกว่ากล่าวพร้อมก้มหัวของ ตนลงทางด้านเทียนเฉินที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับน้องสาวและว่าที่น้องเขย เขาก็ได้แต่นั่งยิ้มมองไปทางพี่สาวพี่ชายอย่างอารมณ์ดี“พี่ชายฉันสงสัยอยู่เล็กน้อยทำไมสหายทหารถึงเรียกพี่มู่ฟางว่าพี่สะใภ้กันคะ” เทียนผิงที่รู้สึกสงสัยจึงได้ถามกับพี่ชายของตนออกมาตงหยางกับสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนที่กำลังกินข้าวอยู่แสดงสีหน้าประหลาดออกมาพลางเฉไฉทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนี้อย่างพร้อมเพรียง“คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ...” เทียนเฉินเอามือป้องปากกระซิบไปที่หูของน้องน้
ภายในโรงพยาบาลทหารที่เป็นสถานที่ทำงานของสองสาวเทียน มู่ ทั้งสองสาวต่างก็จัดว่าเป็นดอกไม้งามของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ทุกคนต่างก็เป็นที่รู้กันดีว่าคุณหมอเทียนผิงนั้นมีคู่หมายเป็นผู้กองหน้าน้ำแข็งประจำหน่วยพยัคฆ์ทำให้หล่อนหมดความสนใจจากทหารคนอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นมู่ฟางที่มักมีทหารหนุ่มต่างหาคนมาเป็นแม่สื่อ เพื่อต้องการติดต่อกับหญิงสาว แต่หญิงสาวคนนี้ก็ถูกคนเป็นพี่ชายหวงอยู่ไม่น้อย“อาซือ นายว่าฉันเป็นคนยังไงพอจะเป็นน้องเขยของนายได้หรือเปล่า” หนึ่งในสหายร่วมรบถามขึ้นกับเพื่อนของตนหลังฝึกซ้อมช่วงเย็น“ฉันเห็นนะไม่สำคัญหรอกเพราะคนที่จะต้องตัดสินใจคือน้องสาวของฉัน นายก็เห็นว่าวัน ๆ น้องของฉันทำแต่งานเคยมองใครที่ไหนกัน” คนเป็นพี่ชายพูดแบ่งรับแบ่งสู้“นายหวงน้องสาวก็บอกมาเถอะ แต่ว่านายก็เห็นพวกเราอยู่ทุกวัน นายไม่เลือกหนึ่งในพวกเราเป็นน้องเขยจริง ๆ เหรอ” สหายอีกคนที่อยู่ด้วยกันกล่าวพร้อมเสนอตัวเอง“พวกพี่ชายก็อย่าตื้อพี่ซือมากเลยครับ พี่สาวฟางของผมยังไม่ชอบใครต่างหาก ถ้าหากว่าเธอถูกใจพวกพ