หลังการแสดงของกรมพิธีการ ขันทีก็ขานเรียกเหล่าบุตรสาวขุนนางทั้งหลายที่เตรียมการแสดงมาแต่แรกให้ขึ้นมาแสดงทีละคน ซึ่งการแสดงของพวกนางไม่ร่ายรำก็เล่นพิณหรือไม่ก็วาดภาพเขียนอักษรเท่านั้น การแสดงที่ซ้ำซากทำให้หลายคนเบื่อหน่ายไม่น้อย รวมทั้งฮ่องเต้กับฮองเฮาที่ไม่ได้แปลกใจนัก พวกเขาชมการแสดงและมอบรางวัลเพียงเล็กน้อยเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้พวกนางเท่านั้น เพราะพวกเขาประทับใจการแสดงของซูซูมากกว่า จึงมองไม่เห็นถึงความสามารถเดิม ๆ ของเหล่าบุตรสาวขุนนางเหล่านี้
อ๋องเฉิงเองก็ไม่ปรายตามองการแสดงของพวกนางแม้แต่น้อย พระองค์เอาแต่ดูแลอาหารการกินให้กับซูซูเท่านั้น ซูซูเองก็ไม่ชอบการแสดงที่ชวนง่วงเช่นนี้ นางจึงเอาแต่กินอาหารที่อ๋องเฉิงให้คนนำมาเพิ่ม ไหนจะขนมต่าง ๆ ที่อร่อยมากอย่างที่นางไม่เคยกินมาก่อน
กระทั่งการแสดงทั้งหมดจบลง ฮ่องเต้เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงสั่งเลิกงานเลี้ยง พระองค์กับฮองเฮาเสด็จกลับก่อนเหมือนเช่นทุกครั้ง ส่
ฟางเซียนหลงที่ประคองภรรยาเดินกลับห้องอยู่ หันหลังไปบอกพ่อบ้านให้นำน้ำมาให้พวกเขาล้างหน้าล้างตาก่อนเข้านอน พ่อบ้านรีบรับคำแล้วเดินไปสั่งบ่าวให้นำน้ำมาให้ในเวลาไม่นานนัก จากนั้นฟางเซียนหลงก็บอกให้พวกเขาไปพักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยมานำอ่างน้ำออกไป พ่อบ้านกับบ่าวทั้งสองจึงจากไปตามคำสั่งของฟางเซียนหลง สองสามีภรรยาต่างล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเป็นชุดนอนก่อนที่จะพากันขึ้นไปนอนบนเตียง ฟางเซียนหลงที่รักลูกสาวมากนอนไม่หลับเพราะไม่อยากให้นางออกเรือนเร็วเช่นนี้ มู่อิงเอ๋อเห็นสามีเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจ“ท่านพี่อย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ ถึงแม้ซูซูจะออกเรือนไปแล้ว เราก็ยังสามารถไปเยี่ยมลูกได้ตลอด ไม่เหมือนกับก่อนที่พวกเราจะพบนาง ที่เราพ่อแม่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าลูกของเรานั้นอยู่ที่ไหน”“อืม… พี่แค่เป็นห่วงลูกน่ะน้องหญิง”“ท่านพี่ก็เห็นในงานเลี้ยงแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ว่าท
ซูซูได้แต่ส่งสายตาไม่พอใจกลับไปให้อ๋องเฉิงที่ยืนอยู่หน้าประตูร้าน นางล่ะเบื่อจริง ๆ ที่มีคนคอยมาหาเรื่องนางเพราะเขาเนี่ย แต่ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อนางเองก็กำลังจะแต่งงานกับเขาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้ว ซูซูจึงทำได้เพียงพยักหน้าและปล่อยให้เขาจัดการเรื่องราวอย่างที่เขาต้องการ“เจ้าเป็นใครจึงได้คิดจะมาพูดสุ่มสี่สุ่มห้าต่อหน้าว่าที่พระชายาของข้า” เสียงเย็น ๆ ของอ๋องเฉิงทำเอาบุตรสาวเสนาบดีคลังถึงกับตัวสั่นอย่างหวาดกลัว นางไม่คิดว่าท่านอ๋องจะเสด็จมาที่นี่ ความจริงนางเห็นซูซูในงานเมื่อคืนนี้แล้วจึงได้อิจฉาที่นางได้ท่านอ๋องไปครอง หลานเสี่ยวชิงจึงได้หาเรื่องพวกนางสองแม่ลูกเช่นนี้ อีกอย่างวันนี้นางพาองครักษ์ประจำตัวมาถึงสี่คน นางจึงไม่กลัวว่าซูซูจะรอดพ้นจากคนของนางได้ หลานเสี่ยวชิงได้แต่รีบหันหลังกลับไปถวายพระพรอ๋องเฉิงอย่างเต็มพิธีการพร้อมกับก้มหน้าลง บรรดาบ่าวรับใช้และอง
ไม่ถึงหนึ่งเค่อทั้งสามคนก็มาถึงหน้าร้านเครื่องประดับตระกูลฟาง ผู้จัดการร้านรีบออกมาต้อนรับเจ้านายใหญ่ทั้งสามอย่างตื่นเต้น เขารู้ดีว่าหากฮูหยินมาร้านเมื่อไหร่ ที่ร้านมักจะขายเครื่องประดับชุดใหญ่ ๆ ได้เสมอ ถึงแม้รายได้ทั้งหมดจะกลับไปยังตระกูลฟางก็เถอะ แต่ก็ทำให้เขามีผลงานไม่น้อยเช่นเดียวกับผู้จัดการร้านคนอื่น“เจ้าพาพวกข้าไปที่ห้องรับรองก่อน แล้วค่อยนำชุดเครื่องประดับใหม่ ๆ ออกมาให้ข้ากับลูกเลือกสักหลายชุด ของพวกนี้จะถูกนำไปเป็นสินเดิมให้กับลูกสาวข้า”“ขอรับนายหญิง เชิญด้านในเลยขอรับ” ผู้จัดการร้านสั่งให้คนงานรีบไปนำของว่างกับน้ำชาตามไปที่ห้องรับรองทันที ส่วนเขาก็ทำหน้าที่เดินนำทั้งสามคนไปยังห้องบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องประจำที่ฮูหยินมักจะมาตรวจสอบบัญชีที่ร้านทุก ๆ สามเดือน เมื่อเข้าไปในห้องรับรองแล้ว ผู้จัดการร้านก็ขอให้พวกเขารอสัก
อ๋องเฉิงที่เดินถือถุงผ้าใส่เครื่องประดับนำหน้าซูซูกับแม่ของนางกำลังจะก้าวออกจากประตูร้าน แต่เขากลับถูกเสียงถวายพระพรเสียงดังหยุดเอาไว้ก่อน“ถวายพระพรท่านอ๋องพะย่ะค่ะ กระหม่อมหลานเหอเสนาบดีคลัง ขอพระราชทานอภัยแทนบุตรสาวผู้โง่เขลาที่กล้ามาทำให้พระองค์ต้องทรงกริ้ว นี่เป็นของมีค่าประจำตระกูลของกระหม่อม กระหม่อมขอมอบให้ท่านอ๋องแทนคำขอโทษ ท่านอ๋องทรงโปรดรับเอาไว้ด้วยพะย่ะค่ะ” อ๋องเฉิงชายตามองคนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่สบอารมณ์นัก แต่ซูซูที่ได้ยินคำพูดของเสนาบดีคลังกลับอยากรู้อยากเห็นว่าเขานำสิ่งใดมามอบให้กับว่าที่สามีของนางกัน นางจึงปล่อยมือออกจากแขนของท่านแม่แล้วเดินไปอยู่ด้านข้างท่านอ๋องพร้อมกับมองดูการกระทำของเสนาบดีคลังที่ยังคงคุกเข่ายกกล่องของขวัญขึ้นเหนือหัวเพื่อถวายท่านอ๋อง“นี่ เจ้าน่ะ เปิดออกมาดูสิว่าของมีค่าของตระกูลเจ้าเป็นอะไร หากเป็นสิ่งของทั่วไปท่านอ๋องของข้าคงไม่คิดจะรับมาให้รกจ
หลังอาหารเช้าวันต่อมา ครอบครัวฟางทั้งสี่ต่างนั่งรอแม่นมของอ๋องเฉิงที่กำลังจะมาสอนมารยาทและกฎเกณฑ์ให้กับซูซู พวกเขาไม่อยากให้ซูซูต้องรับหน้าคนอื่นด้วยตัวคนเดียว เรื่องนี้ทำให้ซูซูยิ่งรู้สึกอบอุ่นมากขึ้นที่ทุกคนมาอยู่เป็นเพื่อนนาง ความจริงซูซูก็หวาดกลัวไม่น้อยที่จะต้องเรียนกับคนไม่รู้จัก“ซูซู ลูกไม่ต้องกังวลนะ แม่จะให้แม่นมอู๋ไปคอยอยู่เป็นเพื่อนเจ้าด้วย”“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ ลูกจะพยายามเรียนให้ดีที่สุดและจะไม่ทำให้พวกท่านขายหน้าด้วยนะเจ้าคะ”“เฮ้อ ซูซูลูก เจ้าไม่จำเป็นจะต้องฝืนใจหากเรียนแล้วไม่มีความสุข เข้าใจหรือไม่ พ่อ แม่ กับพี่ใหญ่ของเจ้าไม่เคยคิดสักครั้งว่าเจ้าจะทำสิ่งใดให้พวกเราอับอาย และพ่อก็ชอบที่ลูกเป็นตัวของตัวเอง เข้าใจหรือไม่?”“อืม… ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ ขอบคุณท่านพ่อที่ไม่รังเกียจกิริยามารยาทที่มีอยู่น้อยนิดของข้านะเจ้าคะ”
วันต่อมาหลังอาหารเช้า ซูซูรอเหล่าแม่นมฉู่อยู่ที่เรือน เพราะเช้านี้นางไม่ได้ไปร่วมโต๊ะกับครอบครัว ท่านแม่ส่งแม่นมอู๋มาหานางแต่เช้าแล้วว่าให้นางไม่ต้องไปทานข้าวที่นั่นจะได้ไม่เหนื่อยมาก ระหว่างรอแม่นมฉู่ แม่นมอู๋ก็นำผ้ามาสอนซูซูเรื่องการปักผ้าปิดหน้าไปพลาง ๆ ซูซูนั่งดูแม่นมอู๋ปักให้ดูตาแป๋วอย่างสนอกสนใจ นางเห็นแม่นมอู๋ปักผ้าอย่างชำนาญก็ได้แต่นึกทึ่งว่านางช่างเก่งนัก ไม่นานหลังจากแม่นมอู๋สอนการปักผ้า เหล่าแม่นมฉู่กับนางกำนัลก็มาถึง“คารวะคุณหนูเจ้าค่ะ” ซูซูลุกขึ้นย่อกายคารวะพวกนางกลับอย่างมีมารยาท ตอนนี้นางต้องปั้นหน้าให้มีเพียงรอยยิ้มน้อย ๆ อย่างที่แม่นมฉู่สอนเมื่อวานนี้“วันนี้เราจะเรียนเรื่องกฎเกณฑ์ในจวนอ๋องกันนะเจ้าคะ อาจจะน่าเบื่อสักหน่อยแต่ต่อไปคุณหนูจะต้องดูแลเรื่องในจวนแทนท่านอ๋อง จึงต้องเข้าใจกฎเกณฑ์และการควบคุมบ่าวไพร่ในจวนด้วยเจ้าค่ะ”“อืม…
“หม่อมฉันขอบังอาจแนะนำอะไรท่านอ๋องสักเล็กน้อยได้หรือไม่เพคะ”“เชิญแม่นมว่ามาเถอะ ข้าเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรหากนางไม่ยอมแต่งให้ข้าจริง ๆ”“หม่อมฉันคิดว่าท่านอ๋องน่าจะไปพบนางโดยเร็ว แล้วสัญญากับนางว่าหลังจากแต่งงานเข้าจวนแล้ว ท่านอ๋องจะไม่บังคับให้นางทำอะไรที่นางไม่ชอบ เพียงเท่านี้หม่อมฉันคิดว่าคุณหนูฟางน่าจะพอใจและไม่ดื้อรั้นที่จะไม่แต่งให้ท่านอ๋องนะเจ้าคะ อีกอย่างเรื่องกฎเกณฑ์คร่ำครึพวกนี้คนเรียนจำเป็นจะต้องเรียนรู้ตั้งแต่ยังเด็ก แต่คุณหนูฟางนั้นเพิ่งกลับมาพบกับครอบครัวได้ไม่นาน นางจึงยังมีความเป็นตัวของตัวเองสูงอย่างที่ท่านอ๋องเองก็น่าจะทราบ หากท่านอ๋องกังวลว่านางจะถูกคนอื่นกลั่นแกล้งเรื่องกิริยามารยาทเหล่านี้ ท่านอ๋องยังสามารถไปทูลขอฮ่องเต้ให้ละเว้นเรื่องธรรมเนียมของนางได้นะเพคะ หม่อมฉันคิดว่าฮ่องเต้ก็คงจะไม่ใจร้ายถึงขนาดไม่ยอมอ่อนข้อให้คุณหนูฟางกระมัง เพราะหม่อมฉันพอจะทราบมาบ้างว่าฮ่องเต้ชมชอบคุณหนูฟางที่เก่งกาจเรื่องเพลงกระบี่มากเพียงใด ท่านอ๋องลองพิจารณาคำแนะนำของหม่อมฉันดูก
วันต่อมา แม่นมอู๋สอนซูซูปักผ้าปิดหน้าเจ้าสาวอย่างค่อยเป็นค่อยไป นางไม่ได้เร่งร้อนที่จะให้คุณหนูทำได้ภายในวันสองวัน เพราะนางรู้ดีว่าคุณหนูของนางนั้นไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน ซูซูเองก็ตั้งใจร่ำเรียนเป็นอย่างดี กระทั่งนางเรียนการปักไปมากกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่ลายปักของนางนั้นกลับกลายเป็นลายแปลกประหลาดไปเสียนี่ ทั้งที่แม่นมอู๋สอนนางปักลายเป็ดแมนดารินแท้ ๆ แม่นมอู๋นำผลงานของคุณหนูของนางไปให้กับมู่อิงเอ๋อดูก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะสอนต่อดีหรือไม่ เมื่อนางเดินไปถึงเรือนของฮูหยินนางแล้วนั้น แม่นมอู๋ก็ส่งเสียงเข้าไปขออนุญาตก่อนที่ฮูหยินจะให้นางเข้าไปได้“นี่เป็นผลงานการปักเป็ดแมนดารินของคุณหนูเจ้าค่ะ เชิญฮูหยินตรวจดูก่อน” แม่นมอู๋ส่งผ้าปักสีแดงให้กับมู่อิงเอ๋อพร้อมรอยยิ้มขำ นางได้แต่คิดในใจว่าคุณหนูของนางน่าจะไม่สามารถทำเรื่องที่หญิงสาวทั่วไปทำได้กระมัง แต่สำหรับเรื่องวรยุทธ
องครักษ์ที่นำถ้วยขนมไปให้หมอหลวงตรวจสอบส่วนผสม ได้รับกระดาษแผ่นหนึ่งที่แยกส่วนผสมออกมาแล้ว ส่งให้เขานำกลับไปให้ท่านอ๋องและพระชายา แน่นอนว่าในส่วนผสมนั้นมีชะมดเชียงตามที่พระชายาสงสัยจริง หมอหลวงที่อยากสอบถามเรื่องราวว่าใครกล้าทำเช่นนี้แต่กลัวว่าภัยจะลามมาถึงตัว เขารู้ดีว่าของเหล่านี้ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถนำออกจากวังหลวงไปได้ง่าย ๆ อีกอย่างร้านยาทั่วไปไม่สามารถขายชะมดเชียงที่เป็นสินค้าต้องห้ามในแคว้นได้ นอกจากในวังหลวงที่ใช้บ้างในการรักษาโรคบางชนิด เขาจึงทำได้เพียงส่งข้อมูลให้กับองครักษ์นำไปแจ้งแก่ท่านอ๋องเฉิงเท่านั้น องครักษ์ที่ได้รับข้อมูลแล้วก็รีบใช้วิชาตัวเบากลับไปยังจวนอ๋องในทันที เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่ในวังหลวงมากนัก ด้วยเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่สามารถปล่อยผ่านได้ง่าย ๆ ส่วนองครักษ์ที่ทำการสอบสวนนางกำนัลนั้นก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าใครเป็นคนสั่งการและมีวิธีนำยาแปลกปลอมเข้ามาในจวนอ๋องได้อย่างไร พวกเขารี
หนึ่งเดือนต่อมา วันนี้เป็นวันที่หมอหลวงนัดตรวจดูการตั้งครรภ์ของซูซู อ๋องเฉิงที่ไปขออนุญาตเสด็จลุงมาคอยดูแลซูซูที่จวนได้เกือบครึ่งเดือนแล้วจึงพานางไปนั่งรอหมอหลวงที่ห้องโถงรับแขก โดยมีแม่นมฉู่บอกให้บ่าวนำของว่างและน้ำชามาให้ทั้งสองพระองค์นั่งกินนั่งดื่มเพื่อฆ่าเวลา ซูซูกับอ๋องเฉิงนั่งคุยกันอยู่ได้เกือบสองเค่อ ก่อนที่องครักษ์ของจวนจะเดินนำหมอหลวงเข้ามาคารวะทั้งสองพระองค์ แล้วลงมือตรวจชีพจรของพระชายาตามหน้าที่ หมอหลวงตรวจไม่นานนักก็ปล่อยมือออกพร้อมกับหยิบผ้าขาวบางออกมาก่อนจะรายงานอาการของพระชายาให้อ๋องเฉิงฟัง“ตอนนี้พระชายาตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพะย่ะค่ะ เด็กในครรภ์มีชีพจรเต้นอย่างสม่ำเสมอดีมากพะย่ะค่ะ เดือนนี้กระหม่อมจะถวายยาบำรุงครรภ์ให้อีกนะพะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าตอนนี้พระชายายังมีอาการคลื่นเหียนอาเจียนอีกหรือไม่พะย่ะค่ะ”“ข้าไม่มีอาการแล้วหมอหลวง ตอนนี
ซูซูที่ส่งอ๋องเฉิงเสร็จแล้วนางก็ยังไม่ง่วง ซูซูจึงชวนแม่นมฉู่กับสองบ่าวคนสนิทไปดูของขวัญที่ได้มาเมื่อวาน เพราะพ่อบ้านมาแจ้งนางเอาไว้แล้วว่าเขาส่งของขวัญเหล่านั้นไปไว้ที่เรือนเล็กของนางให้ตรวจสอบแต่เช้าแล้ว“พระชายาจะไม่พักผ่อนก่อนจริง ๆ หรือเพคะ”“ก็ข้ายังไม่ง่วงนี่นาแม่นมฉู่ นะ นะ เราไปตรวจดูของขวัญกันก่อนดีกว่า”“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ พระชายาค่อย ๆ เดินนะเพคะ”“อืม… ข้ารู้น่า แม่นมอย่ากังวลนักเลย” ซูซูที่กำลังคิดจะเดินเร็ว ๆ จึงได้แต่ต้องผ่อนฝีเท้าลงเพื่อไม่ให้แม่นมฉู่มีเรื่องไปฟ้องอ๋องเฉิงทีหลัง ไม่เช่นนั้นนางคงต้องเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่แต่ในห้องของเขาเป็นแน่ แม่นมฉู่ที่เห็นว่าพระชายาเดินช้าลงแล้วก็ได้แต่เป่าปากอย่างโล่งอก นางอยากเป็นคนประ
อ๋องเฉิงเชิญพ่อตาแม่ยายและพี่ชายภรรยาให้นั่งลงดื่มชากินของว่างกันก่อน พวกเขาจึงได้นั่งลงตรงที่ว่างก่อนที่เจียงเหม่ยและเจียงฮวาจะรินชากับนำของว่างมาวางเพิ่มให้บนโต๊ะ จากนั้นพวกนางรวมทั้งแม่นมฉู่ก็ถอยออกไปรอที่ด้านหน้าศาลาตามมารยาท“ซูซูเป็นยังไงบ้างลูก” มู่อิงเอ๋อที่เป็นห่วงลูกสาวรีบถามขึ้นมาก่อนใครเพื่อน“ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ เมื่อวานข้าเหม็นกลิ่นอาหารจนแทบอาเจียน ท่านอ๋องจึงให้คนไปเชิญหมอหลวงมาตรวจ จึงได้รู้ว่าข้าตั้งครรภ์แล้วเจ้าค่ะ”“แล้วตอนนี้เจ้ากินสิ่งใดได้บ้างเล่า หรือจะให้แม่ทำอาหารให้เจ้าลองกินดู”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านแม่ ตอนนี้พ่อครัวรู้แล้วว่าข้ากินอาหารแบบใดได้บ้าง วันนี้ข้าก็กินได้เยอะขึ้นด้วยนะเจ้าคะ ท่านแม่อย่าได้กังวลเลย”“เฮ้อ เจ้าจะไม่ให้แม่ไม่กังวลได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าชอบซุกซนนัก ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ยิ่
อ๋องเฉิงได้แต่มองภรรยาของพระองค์พร้อมรอยยิ้มบาง ในที่สุดพระองค์ก็กำลังจะกลายเป็นพ่อคนแล้ว ภรรยาผู้ซุกซนของพระองค์หลังจากนี้คงไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้แล้ว พระองค์ได้แต่หวังว่านางจะคิดถึงลูกให้มาก ๆ และไม่ทำสิ่งใดสุ่มเสี่ยงต่อการบาดเจ็บระหว่างที่กำลังตั้งครรภ์“นี่ท่านอ๋อง ท่านคิดว่าลูกเราจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันน่ะ”“อืม… ข้าคิดว่าน่าจะผู้ชายนะ”“อ้าว เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเป็นผู้ชายล่ะ ข้าอยากได้ลูกสาวนี่นา หรือว่าเจ้าไม่อยากได้”“เปล่าสักหน่อย ข้าเพียงคิดตามที่แม่นมฉู่บอกเมื่อครู่ว่าเสด็จแม่ของข้าก็มีอาการเช่นเดียวกับเจ้าอย่างไรเล่า ข้าจึงคิดว่าน่าจะเป็นลูกชายก็เท่านั้นเอง อีกอย่างนะ ไม่ว่าเจ้าจะคลอดลูกชายหรือหญิง ข้าก็รักทั้งคู่นั่นแหละ เพราะนั่นคือลูกของเรา”“เฮ้อ ข้าเข้าใจแล้ว เอ้อ แล้วเราจะส่งคนไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ที่จวนดีหร
ขันทีประจำพระองค์เมื่อกลับถึงวังหลวงแล้วก็รีบรายงานทุกอย่างให้ฮ่องเต้ทราบ รวมทั้งข้อสังเกตของเขาที่มีต่อเสนาบดีหลานอีกด้วย“อืม…เช่นนั้นส่งองครักษ์เงาของเราไปคอยติดตามเสนาบดีหลานอย่าให้คลาดสายตา ข้าเชื่อว่าหากเขาคิดแก้แค้นจะต้องมีสักวันที่เขาทำตัวผิดปกติ เรื่องนี้เจ้ายังไม่ต้องส่งคนไปบอกหลานชายของข้า ปล่อยให้องครักษ์เงาของข้าสืบเรื่องราวมาให้ได้เสียก่อนค่อยวางแผนกันก็ไม่สาย”“พะย่ะค่ะฝ่าบาท”“วันนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว รีบไปพักผ่อนเถอะ ข้าเองก็จะไปทานข้าวที่ตำหนักเฟิ่งหวงกับฮองเฮาสักหน่อย ป่านนี้ไม่รู้ว่านางรู้ข่าวเรื่องหลานสะใภ้หรือยัง”“ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมขอทูลลาพะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้โบกมือให้ขันทีประจำพระองค์อย่างเคยชิน จากนั้นพระองค์สั่งขันทีวัยกลางคนที่เป็นผู้ช่วยของขันทีชราว่าให้เตรียมเกี้ยวไปยังตำห
ด้านแม่ทัพรักษาเมืองที่จัดการเรื่องราวนี้ก็พาคนไปจับกุมชายวัยกลางคนที่เป็นคนติดต่อกับคนของฮูหยินใหญ่จวนเสนาบดีหลาน จากนั้นเสนาบดีกรมอาญาก็สั่งทหารให้นำหมายไปจับกุมฮูหยินใหญ่ องครักษ์คนสนิทของนาง และบุตรสาวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการจ้างวานฆ่าพระชายาอ๋องเฉิงในคราวนี้ เสนาบดีกรมอาญาได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้โดยขันทีข้างกายพระองค์มาส่งคำสั่งด้วยตนเองหลังจากที่แม่ทัพรักษาเมืองส่งคนไปรายงานสถานการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว ทหารนับร้อยคนพร้อมกับเสนาบดีกรมอาญาที่เดินทางไปยังจวนเสนาบดีคลังด้วยตนเองต้องพบกับการขัดขวางของเสนาบดีหลาน“ท่านจะไม่ยอมเปิดทางให้พวกข้าไปจับกุมคนจริง ๆ หรือเสนาบดีหลาน เจ้ารู้ไหมว่าข้าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทโดยตรงให้มาจับกุมคนไปตัดสินคดีในครั้งนี้”“ข้าคิดว่าฝ่าบาทคงได้ข่าวลวงมากกว่า ฮูหยินและบุตรสาวของข้าจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน อย่างไรข้าก็ไม่เชื่อ ท่านรอให้ข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเส
ซูซูหยุดม้าที่หน้าห้องโถงรับแขกของจวนก่อนจะกระโดดลงไปพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า นางมองเห็นทุกคนกำลังนั่งรอนางอยู่จริง ๆ ยิ่งทำให้ซูซูในตอนนี้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่บาดแผลแม้แต่นิดเดียว นางสั่งบ่าวให้พาม้าของนางไปพักผ่อนก่อนที่จะวิ่งปรื๋อเข้าไปในห้องโถงรับแขกอย่างรวดเร็ว ซูซูกระโดดเข้าไปกอดท่านแม่พร้อมกับหอมแก้มนางไปมาอย่างซุกซน ทำเอามู่อิงเอ๋อได้แต่หัวเราะบุตรสาวสุดที่รักของนางที่ชอบกลั่นแกล้งนางเช่นนี้ หลังจากที่ซูซูหอมแก้มท่านแม่จนชื่นใจแล้ว นางที่ถูกท่านแม่ตีเข้าที่บาดแผลโดยไม่ได้ตั้งใจถึงกับร้องออกมาโอ้ย!!!“อะไร! ลูกแม่เป็นอะไร แม่ขอโทษลูก ไหนเจ้ามาให้แม่ดูสิว่าเจ้าเป็นอะไร” ความจริงฟางเซียนหลงกับฟางฉือห่าวนั้นเห็นเลือดที่แขนของซูซูตั้งแต่นางวิ่งเข้ามาแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่อยากให้มู่อิงเอ๋อตกใจจึงไม่ได้พูดออกมา ตอนนี้พวกเขาเองก็อยากร
ทหารรายงานอ๋องเฉิงว่าท่านกุนซือมาถึงแล้ว อ๋องเฉิงจึงออกจากกระโจมไปคุยกับฟางฉือห่าวเรื่องที่พระองค์คิดเอาไว้ และแน่นอนว่าฟางฉือห่าวขอวันลากับพระองค์จริง ๆ อ๋องเฉิงอนุญาตให้สหายลาได้หนึ่งวันโดยไม่อิดออด พระองค์รู้ดีว่าสหายตนนั้นคลั่งรักน้องสาวมากขนาดไหน นี่ก็หลายสัปดาห์แล้วที่นางแต่งงานเข้าไปอยู่ในจวนอ๋อง นอกจากวันเยี่ยมบ้านเดิมแล้ว ซูซูก็ยังไม่ได้กลับบ้านเดิมอีกเลย จึงทำให้ฟางฉือห่าวผู้คิดถึงรอยยิ้มซุกซนของน้องสาวอดรนทนไม่ไหวที่จะต้องขอลาไปอยู่เป็นเพื่อนนางสองวันต่อมา ซูซูที่ส่งอ๋องเฉิงออกไปทำงานหลังทานอาหารร่วมกันแล้วก็สั่งคนไปนำม้าของนางมาทันที วันนี้ซูซูแต่งกายด้วยชุดชาวยุทธที่นางไม่ได้ใส่เสียนานตั้งแต่เข้าจวนอ๋องมา แม่นมฉู่ได้แต่บอกให้พระชายาระมัดระวังในการเดินทางเหมือนดังเช่นสามีนางที่กำชับก่อนออกไปทำงาน“ข้ารู้แล้วน่าแม่นมฉู่ ท่านอย่าได้กังวลมากนักเลย ข้าเป็นพระชายาจวนอ๋องนะ ไม่ใช่คุ