อ๋องเฉิงที่กลับจวนมาก็มีขันทีซึ่งเป็นพ่อบ้านมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าตระกูลฟางให้ฟัง ทำเอาอ๋องเฉิงยิ่งร้อนรนและคิดหาวิธีว่าพระองค์จะทำอย่างไรจึงจะได้นางมาอยู่ในอ้อมกอด ถึงแม้นางจะเป็นแม่เสือน้อย แต่พระองค์คิดว่าตนเองสามารถกำราบนางได้เช่นกัน เมื่อคิดไปคิดมาระหว่างเสวยพระกระยาหารเย็นอยู่ อ๋องเฉิงตัดสินใจที่จะเข้าวังไปพบเสด็จลุงในวันพรุ่งนี้เสียเลย พระองค์กลัวว่าหากปล่อยเอาไว้นานเข้าจะถูกคนอื่นตัดหน้าไปเสียก่อนจนพระองค์ไม่ได้แม่เสือสาวตัวน้อยมาอยู่ในจวนเป็นแน่
ครอบครัวตระกูลฟางไม่รู้เลยว่าอ๋องเฉิงกำลังจะทำอะไร พวกเขายังคงพูดคุยหัวเราะก่อนจะแยกย้ายกันกลับเรือนไปพักผ่อนหลังจากทานอาหารเย็นกันเสร็จแล้ว หากฟางฉือห่าวรู้ว่าสหายจะรวบหัวรวบหางน้องสาวเขาแบบนี้ รับรองว่าเขาจะไม่ปล่อยให้สหายมีโอกาสได้ทำแน่นอน
เช้าตรู่วันต่อมา อ๋องเฉิงรีบเข้าเฝ้าเสด็จลุงของพระองค์ซึ่งเป็นฮ่องเต้ก่อนที่จะว่าราชการช่วงเช้า ทำเอาฝ่าบาทถึ
ซูซูกับมู่อิงเอ๋อทานอาหารเที่ยงเสร็จก็มานั่งคุยเล่นกันที่ห้องโถงรับแขกของเรือนหลักต่อ บ่าวไพร่ก็นำของว่างกับน้ำชามาให้ทั้งสองคนตามหน้าที่“เมื่อวานนี้ลูกทำได้ดีมาก วันนี้จวนของเราจึงสงบเช่นนี้”“คิก ท่านแม่ชอบให้ลูกทำตัวเกเรหรือเจ้าคะ”“ฮ่า ฮ่า แม่ไม่ได้หมายความเช่นนั้นเสียหน่อย แม่แค่ดีใจที่ลูกสามารถแก้ไขปัญหาของตนเองได้ต่างหากเล่า” ทั้งสองนั่งคุยกันได้สักพักใหญ่ ไม่นานนักบ่าวที่เฝ้าหน้าประตูจวนก็วิ่งหน้าตื่นมาบอกพวกนางว่ามีขันทีจากในวังมามอบราชโองการให้ มู่อิงเอ๋อรีบบอกแม่นมเตรียมสิ่งของเพื่อรับราชโองการอย่างรวดเร็ว พร้อมกับบอกให้ลูกสาวกลับไปเปลี่ยนชุดจากชุดจอมยุทธหญิงเป็นชุดที่ร้านของครอบครัวส่งมาเพิ่มให้โดยเร็ว ซูซูที่ยังงงอยู่แต่ก็เชื่อฟังท่านแม่โดยใช้วิชาตัวเบารีบกลับไปที่เรือน ไม่
วันนี้ฟางฉือห่าวกลับบ้านตามเวลาทำงานปกติของเขา ส่วนอ๋องเฉิงเองก็ขี่ม้าออกจากค่ายไปพร้อมกับองครักษ์ก่อนหน้าเขาไม่นานนัก กว่าจะถึงบ้านก็ใกล้เวลากินอาหารเย็นร่วมกับครอบครัวแล้ว ฟางฉือห่าวที่ยังไม่รู้ข่าวยังคงยิ้มแย้มทักทายท่านพ่อ ท่านแม่ กับน้องสาวสุดที่รักเหมือนเช่นทุกวัน แต่พอมองใบหน้าของคนในครอบครัวดี ๆ ที่ต่างคนต่างมีสีหน้าจริงจัง อีกทั้งในมือของน้องสาวเขายังเหมือนถือราชโองการอยู่อีกด้วย ฟางฉือห่าวรีบนั่งลงเพื่อสอบถามเรื่องราวกับท่านพ่อ ท่านแม่ในทันที“เราไปกินข้าวกันก่อนเถอะ ค่อยคุยกันหลังอาหารก็ยังไม่สาย อย่างไรเรื่องนี้ก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว” ฟางเซียนหลงชวนลูกและภรรยาไปทานอาหารให้หายเครียดเสียก่อน ไม่เช่นนั้นหากคุยกันเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนล่ะก็ มีหวังแต่ละคนคงกินอาหารไม่ลงเป็นแน่ ทุกคนต่างเชื่อฟังฟางเซ
ฟางฉือห่าวที่กลับถึงบ้านพอดีกับเวลาทานอาหารเช้าก็รีบเข้าไปที่ห้องอาหารของเรือนใหญ่ทันที เมื่อเห็นว่าทุกคนรอเขาอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เขาจึงยิ้มให้กับทุกคนเพื่อให้พวกเขาเบาใจขึ้นบ้าง“เรื่องอื่นค่อยคุยกัน มากินข้าวเสียก่อนฉือห่าว”“ขอรับท่านพ่อ เรื่องอื่นนั้นพวกท่านก็อย่าได้กังวล เดี๋ยวหลังอาหารข้าจะเล่าให้พวกท่านฟังเองขอรับ”“ดี ดี มานั่งเร็วเข้าลูก” ฟางฉือห่าวรีบนั่งลงยังตำแหน่งของตนเอง เขายังคีบอาหารให้กับทุกคนพร้อมรอยยิ้ม ซูซูที่เห็นอาการของพี่ชายก็พอจะยิ้มออกมาได้บ้างว่าเขาน่าจะคุยกับเจ้าหน้ากากเรื่องยืดเวลาให้นางได้แล้ว มื้อนี้ทุกคนจึงกินอาหารได้มากกว่าเมื่อเย็นวานนี้เกือบเท่าตัว หลังทานอาหารเสร็จ ครอบครัวฟางก็พากันมานั่งต่อที่ห้องโถงรับแขก บ่าวไพร่ต่างรีบนำของว่างกับน้ำชามาให้นา
สามวันต่อมา ครอบครัวฟางพากันไปยังวัดนอกเมืองหลวงอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พวกเขาใช้รถม้าคันใหญ่นั่งด้วยกันเพื่อจะได้คุยกันไปตามทาง ด้วยครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งครอบครัวเดินทางไปด้วยกัน ทุกคนจึงอยากใช้เวลากับซูซูอย่างเต็มที่ รถม้าเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มาถึงตีนเขาที่มีวัดตั้งอยู่ด้านบน ทั้งสี่คนลงจากรถม้าแล้วชวนกันเดินขึ้นด้านบนพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า“นานมากแล้วที่แม่ไม่ได้มาไหว้พระที่นี่ วันนี้พวกเราก็ทำบุญให้กับวัดมากหน่อยเพื่อบูรณะวัดและขอพรให้ครอบครัวเราอยู่กันอย่างมีความสุขดีหรือไม่?”“ดีสิเจ้าคะท่านแม่ ตั้งแต่จำความได้ ข้าไม่เคยไปวัดเลยสักครั้ง เพราะมัวแต่ทำมาหากินสะสมเงินเพื่อเดินทางมาตามหาพวกท่าน”“อ่า น้องสาวของพี่ช่างเก่งกาจนัก เจ้าหาเงินมาตั้งแต่อายุเท่าไหร่?”&ldqu
สัปดาห์ต่อมาขณะที่ฟางฉือห่าวมองการจัดทัพของเหล่าทหารอยู่นั้น กลับมีม้าเร็ววิ่งเข้ามาในค่ายแล้วตรงไปยังกระโจมของท่านอ๋องเฉิง เขาสงสัยว่ามีข่าวอันใดกันแน่เหตุใดทหารส่งข่าวจึงได้เร่งร้อนเช่นนี้ ฟางฉือห่าวสั่งพักการจัดทัพก่อนที่จะเร่งเดินไปยังกระโจมท่านอ๋องเพื่อฟังข่าวจากชายแดน ฟางฉือห่าวไปถึงหน้ากระโจมท่านอ๋องก็เป็นเวลาที่อ๋องเฉิงรีบออกจากกระโจมมาพอดี เขาจึงได้สอบถามความกับอ๋องเฉิงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่“แคว้นจ้านส่งทัพมาบุกตีชายแดนตะวันออก ข้าจะรีบเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อพาทหารเดินทางไปยังชายแดนโดยเร็ว เจ้าเองก็รีบกลับจวนไปเก็บเสื้อผ้าแล้วรีบกลับมารวมตัวกันที่นี่เถอะ”“ตกลง เช่นนั้นข้าจะรีบไปรีบมา”“รองแม่ทัพ สั่งการทหารทั้งหมดในค่ายให้เก็บสิ่งของจำเป็นทั้งหมดและเตรียมออกเดินทางไปยังชายแดนตะวันออก”“พะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
อ๋องเฉิงที่สั่งบ่าวเก็บของให้เสร็จแล้วก็นั่งรถม้าออกไปพร้อมกับองครักษ์ส่วนตัวสองคน ส่วนองครักษ์คนสนิทอีกสองคนนั้นต้องอยู่ดูแลจวนอ๋องแทนพระองค์ อีกทั้งในค่ายทหารยังมีทหารองครักษ์อีกไม่น้อย อ๋องเฉิงจึงไม่ได้คิดมากอันใดกับการเดินทางออกรบในครั้งนี้ ด้วยการเดินทางระยะไกล พระองค์จึงต้องนั่งรถม้าไปแทนการขี่ม้าเหมือนทุกครั้ง แต่รถม้าของอ๋องเฉิงนั้นมีม้าถึงสี่ตัวเพื่อการเดินทางที่รวดเร็ว อ๋องเฉิงจึงสั่งการให้เพิ่มม้าเป็นพิเศษในการเดินทางครั้งนี้ ฟางฉือห่าวกับซูซูมาถึงค่ายทหารก่อนอ๋องเฉิงไม่นานนัก เมื่ออ๋องเฉิงมองเห็นม้าที่คุ้นเคยเขาก็รู้ว่าต้องเป็นซูซูแน่ อ๋องเฉิงได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจแล้วเดินไปหาสองพี่น้องที่ยืนคุยกันอยู่ข้างรถม้าและม้าของซูซู“นี่เจ้ามาทำอะไรที่นี่ซูซู”“เอ้า ข้าก็มาดูแลพี่ใหญ่ของข้าน่ะสิ”“แต่นี่มันค่ายทหาร มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น เจ้าจะเดิน
หลังพักกันครบหนึ่งชั่วยามแล้ว ขบวนกองทัพก็เดินทางต่อไปยังชายแดนตะวันออกด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด กว่าที่กองทัพจะพักอีกครั้งก็เป็นช่วงกลางดึกของวันแล้ว เหล่าทหารช่วยกันเตรียมอาหารให้กับคนในกองทัพเผื่อเอาไว้กินตอนเช้าก่อนออกเดินทางด้วย ซูซูที่เห็นว่าคืนนี้พวกเขาน่าจะพักกันถึงเช้าจึงขอพี่ชายแยกตัวไปหาล้างหน้าล้างตาที่อีกด้านของลำธาร ความจริงนางอยากไปล่าสัตว์สักตัวสองตัวมาย่างกินเท่านั้น อ๋องเฉิงที่มองซูซูอยู่ตลอดย่อมรู้ดีว่านางซุกซนเพียงใด เมื่อเห็นนางใช้วิชาตัวเบาข้ามลำธารไปอย่างไม่เหนื่อยแรง พระองค์ก็รู้ว่านางคงไม่กลับมาหากไม่ได้สิ่งใดติดไม้ติดมือมาด้วยเป็นแน่ อ๋องเฉิงเดินไปหาสหายที่กำลังฝึกกระบี่ที่น้องสาวสอนรอเวลาที่ทหารจะนำอาหารมาให้พวกเขาทีหลัง“เจ้าไม่เป็นห่วงน้องสาวหรืออย่างไร ถึงได้ปล่อยนางไปเที่ยวเล่นคนเดียว”“อะไรของเจ้า น้องสาวข้าแค่ไปล้างหน้าล้างตาห่างจากขบวนนิดหน่อยเอง ประเดี๋ยวนางก็
รุ่งเช้าวันต่อมา ขบวนทัพก็ออกเดินทางต่อหลังจากทานข้าวเช้ากันเสร็จพร้อมกับแจกเสบียงกรังให้กับทหารทุกนายเพื่อกินระหว่างทางหากพวกเขาหิว ส่วนซูซูนั้นก็นำเนื้อกวางที่เหลือไม่น้อยมาหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วร้อยเป็นพวงส่งให้พี่ชายนางเก็บเอาไว้ในรถม้า กระบอกน้ำของนางกับพี่ชายรวมถึงของม้านางก็เติมเอาไว้เต็มเพื่อพร้อมสำหรับการเดินทางเช่นกัน กองทัพเดินทางเช่นนี้ไปจนกระทั่งสองเดือนต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงชายแดนตะวันออกแล้ว เมื่อเคลื่อนพลเข้าไปในเมืองพวกเขากลับพบว่าในเมืองแทบไม่มีชาวเมืองอาศัยอยู่แล้ว ตอนนี้มีเพียงทหารจำนวนไม่กี่พันคนเท่านั้นที่คอยเฝ้าเมืองเอาไว้ ทหารในเมืองเมื่อเห็นธงกองทัพของท่านอ๋องต่างส่งเสียงอย่างดีใจที่ในที่สุดกองทัพใหญ่ของพวกเขาก็มาถึงแล้ว หลังจากที่พวกเขาพยายามต้านทานกองทัพของแคว้นจ้านหลายหมื่นคนด้วยกำลังพลเพียงสามหมื่นเท่านั้น รองแม่
เย็นวันนั้น ฟางฉือห่าวนำอาหารเข้าไปกินพร้อมกับน้องสาวที่กระโจมของนาง พอเข้าไปแล้วเขาเห็นว่าน้องสาวกำลังฝึกฝนลมปราณอยู่ ซูซูที่รู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาภายในกระโจมของนาง นางจึงได้หยุดเดินลมปราณแล้วลืมตาขึ้นช้า ๆ พอเห็นว่าเป็นพี่ใหญ่ของนาง ซูซูจึงส่งยิ้มให้กับพี่ใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงเดินไปนั่งลงที่โต๊ะอาหารซึ่งพี่ชายของนางจัดเรียงอาหารเอาไว้เสียแทบจะเต็มโต๊ะ“รีบกินกันเถอะ จะได้รีบไปพักผ่อน มะรืนนี้พี่ใหญ่ต้องออกไปสั่งการรบแล้ว เจ้าอยู่ที่ค่ายก็ทำตัวดี ๆ เข้าใจหรือไม่”“อืม… ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะพี่ใหญ่ ท่านอย่ากังวลเลยน่า กินข้าวกันเถอะเจ้าค่ะ ข้าหิวแล้วอ่ะ”“ตกลง ๆ เจ้าลองชิมนี่ดู พี่ใหญ่ให้พ่อครัวทำให้เจ้าเป็นพิเศษเลยนะ” ฟางฉือห่าวคีบเนื้อชิ้นใหญ่ส่งลงในถ้วยข้าวน้องสาวพร้อมรอยยิ้มกว้าง เขาดีใจที่ได้นั่งกินอาหารกับน้องสาวเช่นนี้ เพราะเขาเองก็
กว่าที่ซูซูจะเดินทางกลับถึงค่ายฝั่งแคว้นเจิ้งก็เกือบรุ่งสางแล้ว ฟางฉือห่าวที่ตามหาน้องสาวไม่เจอก็กระวนกระวายไม่น้อย อ๋องเฉิงที่รู้ข่าวว่าสหายหาน้องสาวไม่เจอก็ออกมาบอกให้องครักษ์ช่วยกันตามหาด้วยอีกแรง กระทั่งพบเห็นว่าม้าของนางนอนอยู่ที่ป่าอีกฝั่งของค่ายทหาร ทุกคนจึงรวมตัวกันรอนางอยู่ตรงนั้น ซูซูที่เร่งฝีเท้ากลับมาหาม้านางแทบหยุดเท้าไม่ทัน นางตกใจมากที่มีแสงไฟมากมายตรงจุดที่นางให้ม้ารออยู่ กระทั่งนางวิ่งมาถึงจึงเห็นท่าทางกระวนกระวายของพี่ใหญ่ ส่วนอ๋องเฉิงก็ได้แต่กัดฟันกรอดอย่างเป็นห่วงซูซูเช่นกัน นางได้แต่หดคออย่างกลัวว่าจะถูกพี่ชายดุ พอฟางฉือห่าวเห็นน้องสาวกำลังวิ่งมาเกือบถึงพวกเขาแล้ว เขาก็พุ่งตัวเข้าไปกอดซูซูอย่างห่วงใย“เจ้าไปไหนมา รู้ไหมพี่ใหญ่เป็นห่วงเจ้ามากแค่ไหนน่ะ”“อืม ข้ารู้ ข้ารู้ ขอโทษที่ทำให้พี่ใหญ่เป็นห่วงเจ้าค่ะ เอ่อ...ข้าแค่ไปสืบข่าวมาให้พวกท่านเท่านั้นเองอ่ะ”
รุ่งเช้าวันต่อมา ขบวนทัพก็ออกเดินทางต่อหลังจากทานข้าวเช้ากันเสร็จพร้อมกับแจกเสบียงกรังให้กับทหารทุกนายเพื่อกินระหว่างทางหากพวกเขาหิว ส่วนซูซูนั้นก็นำเนื้อกวางที่เหลือไม่น้อยมาหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วร้อยเป็นพวงส่งให้พี่ชายนางเก็บเอาไว้ในรถม้า กระบอกน้ำของนางกับพี่ชายรวมถึงของม้านางก็เติมเอาไว้เต็มเพื่อพร้อมสำหรับการเดินทางเช่นกัน กองทัพเดินทางเช่นนี้ไปจนกระทั่งสองเดือนต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงชายแดนตะวันออกแล้ว เมื่อเคลื่อนพลเข้าไปในเมืองพวกเขากลับพบว่าในเมืองแทบไม่มีชาวเมืองอาศัยอยู่แล้ว ตอนนี้มีเพียงทหารจำนวนไม่กี่พันคนเท่านั้นที่คอยเฝ้าเมืองเอาไว้ ทหารในเมืองเมื่อเห็นธงกองทัพของท่านอ๋องต่างส่งเสียงอย่างดีใจที่ในที่สุดกองทัพใหญ่ของพวกเขาก็มาถึงแล้ว หลังจากที่พวกเขาพยายามต้านทานกองทัพของแคว้นจ้านหลายหมื่นคนด้วยกำลังพลเพียงสามหมื่นเท่านั้น รองแม่
หลังพักกันครบหนึ่งชั่วยามแล้ว ขบวนกองทัพก็เดินทางต่อไปยังชายแดนตะวันออกด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด กว่าที่กองทัพจะพักอีกครั้งก็เป็นช่วงกลางดึกของวันแล้ว เหล่าทหารช่วยกันเตรียมอาหารให้กับคนในกองทัพเผื่อเอาไว้กินตอนเช้าก่อนออกเดินทางด้วย ซูซูที่เห็นว่าคืนนี้พวกเขาน่าจะพักกันถึงเช้าจึงขอพี่ชายแยกตัวไปหาล้างหน้าล้างตาที่อีกด้านของลำธาร ความจริงนางอยากไปล่าสัตว์สักตัวสองตัวมาย่างกินเท่านั้น อ๋องเฉิงที่มองซูซูอยู่ตลอดย่อมรู้ดีว่านางซุกซนเพียงใด เมื่อเห็นนางใช้วิชาตัวเบาข้ามลำธารไปอย่างไม่เหนื่อยแรง พระองค์ก็รู้ว่านางคงไม่กลับมาหากไม่ได้สิ่งใดติดไม้ติดมือมาด้วยเป็นแน่ อ๋องเฉิงเดินไปหาสหายที่กำลังฝึกกระบี่ที่น้องสาวสอนรอเวลาที่ทหารจะนำอาหารมาให้พวกเขาทีหลัง“เจ้าไม่เป็นห่วงน้องสาวหรืออย่างไร ถึงได้ปล่อยนางไปเที่ยวเล่นคนเดียว”“อะไรของเจ้า น้องสาวข้าแค่ไปล้างหน้าล้างตาห่างจากขบวนนิดหน่อยเอง ประเดี๋ยวนางก็
อ๋องเฉิงที่สั่งบ่าวเก็บของให้เสร็จแล้วก็นั่งรถม้าออกไปพร้อมกับองครักษ์ส่วนตัวสองคน ส่วนองครักษ์คนสนิทอีกสองคนนั้นต้องอยู่ดูแลจวนอ๋องแทนพระองค์ อีกทั้งในค่ายทหารยังมีทหารองครักษ์อีกไม่น้อย อ๋องเฉิงจึงไม่ได้คิดมากอันใดกับการเดินทางออกรบในครั้งนี้ ด้วยการเดินทางระยะไกล พระองค์จึงต้องนั่งรถม้าไปแทนการขี่ม้าเหมือนทุกครั้ง แต่รถม้าของอ๋องเฉิงนั้นมีม้าถึงสี่ตัวเพื่อการเดินทางที่รวดเร็ว อ๋องเฉิงจึงสั่งการให้เพิ่มม้าเป็นพิเศษในการเดินทางครั้งนี้ ฟางฉือห่าวกับซูซูมาถึงค่ายทหารก่อนอ๋องเฉิงไม่นานนัก เมื่ออ๋องเฉิงมองเห็นม้าที่คุ้นเคยเขาก็รู้ว่าต้องเป็นซูซูแน่ อ๋องเฉิงได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจแล้วเดินไปหาสองพี่น้องที่ยืนคุยกันอยู่ข้างรถม้าและม้าของซูซู“นี่เจ้ามาทำอะไรที่นี่ซูซู”“เอ้า ข้าก็มาดูแลพี่ใหญ่ของข้าน่ะสิ”“แต่นี่มันค่ายทหาร มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น เจ้าจะเดิน
สัปดาห์ต่อมาขณะที่ฟางฉือห่าวมองการจัดทัพของเหล่าทหารอยู่นั้น กลับมีม้าเร็ววิ่งเข้ามาในค่ายแล้วตรงไปยังกระโจมของท่านอ๋องเฉิง เขาสงสัยว่ามีข่าวอันใดกันแน่เหตุใดทหารส่งข่าวจึงได้เร่งร้อนเช่นนี้ ฟางฉือห่าวสั่งพักการจัดทัพก่อนที่จะเร่งเดินไปยังกระโจมท่านอ๋องเพื่อฟังข่าวจากชายแดน ฟางฉือห่าวไปถึงหน้ากระโจมท่านอ๋องก็เป็นเวลาที่อ๋องเฉิงรีบออกจากกระโจมมาพอดี เขาจึงได้สอบถามความกับอ๋องเฉิงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่“แคว้นจ้านส่งทัพมาบุกตีชายแดนตะวันออก ข้าจะรีบเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อพาทหารเดินทางไปยังชายแดนโดยเร็ว เจ้าเองก็รีบกลับจวนไปเก็บเสื้อผ้าแล้วรีบกลับมารวมตัวกันที่นี่เถอะ”“ตกลง เช่นนั้นข้าจะรีบไปรีบมา”“รองแม่ทัพ สั่งการทหารทั้งหมดในค่ายให้เก็บสิ่งของจำเป็นทั้งหมดและเตรียมออกเดินทางไปยังชายแดนตะวันออก”“พะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
สามวันต่อมา ครอบครัวฟางพากันไปยังวัดนอกเมืองหลวงอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พวกเขาใช้รถม้าคันใหญ่นั่งด้วยกันเพื่อจะได้คุยกันไปตามทาง ด้วยครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งครอบครัวเดินทางไปด้วยกัน ทุกคนจึงอยากใช้เวลากับซูซูอย่างเต็มที่ รถม้าเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มาถึงตีนเขาที่มีวัดตั้งอยู่ด้านบน ทั้งสี่คนลงจากรถม้าแล้วชวนกันเดินขึ้นด้านบนพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า“นานมากแล้วที่แม่ไม่ได้มาไหว้พระที่นี่ วันนี้พวกเราก็ทำบุญให้กับวัดมากหน่อยเพื่อบูรณะวัดและขอพรให้ครอบครัวเราอยู่กันอย่างมีความสุขดีหรือไม่?”“ดีสิเจ้าคะท่านแม่ ตั้งแต่จำความได้ ข้าไม่เคยไปวัดเลยสักครั้ง เพราะมัวแต่ทำมาหากินสะสมเงินเพื่อเดินทางมาตามหาพวกท่าน”“อ่า น้องสาวของพี่ช่างเก่งกาจนัก เจ้าหาเงินมาตั้งแต่อายุเท่าไหร่?”&ldqu
ฟางฉือห่าวที่กลับถึงบ้านพอดีกับเวลาทานอาหารเช้าก็รีบเข้าไปที่ห้องอาหารของเรือนใหญ่ทันที เมื่อเห็นว่าทุกคนรอเขาอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เขาจึงยิ้มให้กับทุกคนเพื่อให้พวกเขาเบาใจขึ้นบ้าง“เรื่องอื่นค่อยคุยกัน มากินข้าวเสียก่อนฉือห่าว”“ขอรับท่านพ่อ เรื่องอื่นนั้นพวกท่านก็อย่าได้กังวล เดี๋ยวหลังอาหารข้าจะเล่าให้พวกท่านฟังเองขอรับ”“ดี ดี มานั่งเร็วเข้าลูก” ฟางฉือห่าวรีบนั่งลงยังตำแหน่งของตนเอง เขายังคีบอาหารให้กับทุกคนพร้อมรอยยิ้ม ซูซูที่เห็นอาการของพี่ชายก็พอจะยิ้มออกมาได้บ้างว่าเขาน่าจะคุยกับเจ้าหน้ากากเรื่องยืดเวลาให้นางได้แล้ว มื้อนี้ทุกคนจึงกินอาหารได้มากกว่าเมื่อเย็นวานนี้เกือบเท่าตัว หลังทานอาหารเสร็จ ครอบครัวฟางก็พากันมานั่งต่อที่ห้องโถงรับแขก บ่าวไพร่ต่างรีบนำของว่างกับน้ำชามาให้นา
วันนี้ฟางฉือห่าวกลับบ้านตามเวลาทำงานปกติของเขา ส่วนอ๋องเฉิงเองก็ขี่ม้าออกจากค่ายไปพร้อมกับองครักษ์ก่อนหน้าเขาไม่นานนัก กว่าจะถึงบ้านก็ใกล้เวลากินอาหารเย็นร่วมกับครอบครัวแล้ว ฟางฉือห่าวที่ยังไม่รู้ข่าวยังคงยิ้มแย้มทักทายท่านพ่อ ท่านแม่ กับน้องสาวสุดที่รักเหมือนเช่นทุกวัน แต่พอมองใบหน้าของคนในครอบครัวดี ๆ ที่ต่างคนต่างมีสีหน้าจริงจัง อีกทั้งในมือของน้องสาวเขายังเหมือนถือราชโองการอยู่อีกด้วย ฟางฉือห่าวรีบนั่งลงเพื่อสอบถามเรื่องราวกับท่านพ่อ ท่านแม่ในทันที“เราไปกินข้าวกันก่อนเถอะ ค่อยคุยกันหลังอาหารก็ยังไม่สาย อย่างไรเรื่องนี้ก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว” ฟางเซียนหลงชวนลูกและภรรยาไปทานอาหารให้หายเครียดเสียก่อน ไม่เช่นนั้นหากคุยกันเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนล่ะก็ มีหวังแต่ละคนคงกินอาหารไม่ลงเป็นแน่ ทุกคนต่างเชื่อฟังฟางเซ