หลังจากที่ฉันกับเมอร์ลินคืนดีกันแล้วพวกเราก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่สิ น่าจะเรียกว่าหวานกันยิ่งกว่าเดิมซะอีกหล่ะมั้งตอนกินข้าวเย็นด้วยกันเนี่ยไม่รู้นึกครึ้มอะไรถึงมาป้อนข้าวฉันด้วยแต่... น่ารักอ่ะแหม แต่ทำแบบนั้นไปทุกคนเองก็งอนตามไปด้วย ผลสุดท้ายฉันเลยกลายเป็นตุ๊กตายัดนุ่นให้ทุกคนป้อนไปด้วยเลยเจนนี่ ไมน์กับรีเบคก้าเองก็ดูท่าทางเกรงใจพวกเราสุดๆเลย เพราะงั้นหลังทานข้าวเสร็จก็นั่งเล่นกันซักพักโดยที่ไม่ได้ทำอะไร(ที่มันขัดใจคนโสด)ต่อหลังจากนั้นพวกเราก็ตั้งวงเล่นไพ่กันเหมือนเดิมที่โต๊ะทานข้าวเล่นไปด้วย กินขนมไปด้วยแล้วก็ดูทีวีไปด้วย พอรู้ตัวอีกทีก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มแล้ว เป็นเวลาที่แมรี่เริ่มง่วงพอดี พวกเราก็เลยเลิกเล่นกันแล้วส่งแกเข้านอนพวกเจนนี่เองก็ขอตัวกลับด้วย เพราะดึกแล้วหล่ะนะ ตอนนั้นฉันก็เลยพูดออกไปว่า〝 โทษทีนะที่ให้อยู่ซะดึกเลย เดี๋ยวฉันพาไปส่งโรงแรมนะ 〞ด้วยความสัตย์จริง... ที่พูดไปก็เพราะอยากอยู่กับพวกเธอนั่นแหล่ะ ฉันนี่มันก็หน้าหม้อกว่าที่ตัวเองคิดอีกแฮะแต่เจนนี่ก็บอกออกมาว่า〝 ไม่เป็นไรๆ! พวกเรากลับเองได้น่า 〞เจนนี่ตอบกลับอย่างเกรงใจเหมือนเคยก็อย่างที่คาดหล่ะนะ แต่ในตอนนั้
บทที่ 4 『 The Last Sparkle 』ประกายแสงสุดท้าย❖❖❖❖❖———— 1 สัปดาห์ก่อน อาณาจักรอาลันเชี่ยน ซึ่งเป็นอาณาจักรที่บ้านของครอบครัวของกรตั้งอยู่นั้น ตั้งอยู่บนทวีปอาคาเซียซึ่งนับได้ว่าเป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในดาวดวงนี้ และนับได้ว่าเป็นทวีปที่มีความสงบสุขที่สุด ในแง่ของการใช้การเจรจาทางการทูตหรือทำสนธิสัญญาเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น หากเทียบกันแล้ว... ทางฝั่งตะวันตก สุดขอบของทวีปอาคาเซียซึ่งเป็นพรมแดนติดกับทวีปอาลอส อันถูกขั้นระหว่างทวีปด้วยแนวภูเขานั้นกลับยังเต็มไปด้วยไฟสงครามเกือบทุกหนแห่ง ทวีปอาลอสนั้นถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ปากทางนรก” เพราะนอกจากจะเป็น 1 ใน 2 ทางผ่านไปยังทวีปปีศาจแล้ว อาณาจักรในทวีปยังก่อสงครามชิงดินแดนกันอย่างไม่หยุดหย่อน เหล่าขุนนางต่างสร้างกองทัพบุกยึดศัตรู ทหารเข้าล้อมปล้นหมู่บ้านประเทศข้างเคียงอย่างไร้ขื่อไร้แป ส่วนสาเหตุที่เป็นแบบนั้นว่ากันว่ามีหลายสาเหตุ... บ้างก็ว่าถูกปีศาจเชิดเป็นเกมกระดานฆ่าเวลา บ้างก็ว่าเหล่าอาณาจักรในทวีปก็แค่ไร้อารยธรรม ไม่เช่นนั้น... พวกเขาอาจจะกำลังคิดการใหญ่ด้วยการบุกยึดอาณาจักรทั้งหมดในทวีป ก็เพื่อเป
หลังจากที่ได้ข่าวเรื่องที่เป้าหมายของเรา...นั่นคือ เหล่าผู้กล้าที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นกลุ่มที่ถูกอัญเชิญมาเป็นกลุ่มแรก ได้เข้าร่วมสงครามย่อมๆครั้งนี้ด้วยเพราะงั้นพวกเราถึงต้องกลับไปวางแผนกันใหม่ให้รัดกุมยิ่งขึ้นแต่ถึงจะบอกแบบนั้นก็ตาม ข้อมูลของศัตรูนั้นน้อยยิ่งกว่าที่คาดเป็นพวกที่รัดกุมเสียยิ่งกว่าอะไร บันทึกอะไรก็ไม่มีเหลือและอย่าถามถึงผู้รอดชีวิตหล่ะ เพราะใครที่ได้เผชิญหน้ากับคนพวกนี้เหมือนจะตายกันหมดไม่มีเหลือเลยซักคนเดียวด้วยเหตุนั้นเลยแทบไม่สามารถวางแผนอะไรเพิ่มได้ทำได้แค่คิดแผนใหม่โดยอิงจากสมมติฐาน จากข้อมูลหลายๆอย่างที่มีเท่านั้นและแม่งไม่ค่อยอย่างจะยอมรับเท่าไหร่... แต่แผนใหม่นี้คิดขึ้นตามสมมติฐานหลักที่ว่า “อีกฝ่ายมีพลังมากพอจะจัดการเราได้ทั้งหมด” นี่มันโคตรจะเฮงซวยเลยเพราะจากข้อมูลที่มี มันก็คิดได้แค่นี้น่าสมเพช น่าสมเพชชิบเป๋ง...แต่ก็เอาเถอะ ไม่ใช่เรื่องที่จะดันทุรังอะไรนี่หว่าเพราะเอาจริงๆ ต่อให้สงครามหนนี้ไม่ชนะ แต่ถ้ารอดไปได้ก็จะได้ข้อมูลของศัตรูมาไว้ในมือ เพื่อที่จะคว้าชัยชนะในการรบครั้งต่อไปที่เป็นศึกหวังผล...เรื่องนั้นต่างหากที่สำคัญมากกว่า❖❖❖❖❖
————ก่อนหน้านี้เล็กน้อย หลังจากที่ทั่วทั้งเมืองถูกถล่มด้วยขีปนาวุธจากพื้นสู่พื้น ทำให้ทั้งเมืองกลายเป็นซากปรักหักพัง เศษซากของสิ่งปลูกสร้างกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ แต่นั่นคงไม่น่าสังเวชเท่ากับซากเศษของมนุษย์ที่กระจายอยู่ทั่วสนามรบ ทั้งยังส่งกลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลไปทั่วอย่างน่าสะอิดสะเอียน〝 ยะ อย่า———— 〞ปัง! เสียงกรีดร้องของผู้คนถูกกลบด้วยเสียงคำรามของอาวุธทรงพลังอย่างไรเฟิลจู่โจม รวมถึงผู้ใช้ของมันอย่างทหารศึกที่สวมชุดลายพรางที่เป็นคนลั่นไกเองก็น่าชื่นชมในความแม่นยำของการใช้อาวุธที่สามารถปลิดชีพศัตรูได้ในครั้งเดียวเช่นกัน แต่แน่นอนว่าไม่สามารถพูดถึงในแง่ของความโหดร้ายได้ เพราะเช่นไรนี่ก็คือสงคราม และผลลัพธ์ว่าการกระทำของฝ่ายใดถูก ย่อมตัดสินด้วยผลลัพธ์ของสงครามในตอนท้ายสุดเท่านั้น และในส่วนของสถานการณ์ปัจจุบัน กองทัพฝ่ายที่บุกเข้ามาในเมืองได้สำเร็จอย่างกองอัศวินและทหารอาสาของอาณาจักรทอร์น กลับกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบและเพลี้ยงพล้ำในพริบตาที่ขีปนาวุธถูกใช้งานและเปลี่ยนเมืองให้เป็นนรกบนดิน ขวัญกำลังใจที่มีเริ่มลดลง แปรผันตรงกับจำนว
ยามเช้าเริ่มด้วยกาแฟหนึ่งแก้วให้สติตื่นตัว พร้อมบอกอรุณสวัสดิ์ครอบครัวด้วยรอยยิ้มเป็นการเริ่มวันใหม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างน้อยก็สำหรับฉันหล่ะนะแต่ดูเหมือนว่าวันนี้... การเริ่มต้นวันใหม่ของฉันออกจะแปลกๆไปซักหน่อยคืองี้... วันใหม่ของฉันในวันนี้เริ่มต้นด้วยการที่มีหญิงสาวคนนึงกำลังนั่งพับเพียบตรงหน้าในชุดชิโรมุคุ(ชุดแต่งงานสำหรับผู้หญิงญี่ปุ่น)ส่วนฉันเองก็นั่งทับส้นอยู่ตรงหน้าเธอในห้องนั่งเล่นของบ้าน โดยมีเหล่าภรรยานั่งดูอยู่ที่โซฟาอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ〝 ถึงจะยังไม่ค่อยประสีประสา... แต่ก็ขอฝากตัวด้วยนะคะ 〞 หญิงสาวผู้งดงามภายใต้หมวกคลุมสีขาว กระนั้นก็ยังเห็นใบหน้าที่ผ่านการตกแต่งจนสวยสดงดงามราวภาพวาด นั่นคือฟีโอน่าที่พูดขึ้นพร้อมกับมองมาทางกรด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะโค้งร่างท่อนบนลงเล็กน้อยอย่างมีมารยาท〝 ฝะ ฝากตัวด้วยเช่นกันครับ 〞 ราวกับถูกความงดงามนั่นสะกด กรจึงทำได้แค่โค้งตัวลงตามอย่างเกร็งๆ ส่วนถ้าถามว่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้หล่ะก็...❖❖❖❖❖ขอย้อนความกลับไปเมื่อวานที่ฉันขอฟีโอน่าแต่งงานแล้วเธอก็ตอบรับซักครู่...เป็นบรรยากาศส
หลังจากการงีบหลับของมีอาก็ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงจนเวลาล่วงบ่ายแก่หรือประมาณ 4 โมงเย็น มีอาที่ตื่นขึ้นพร้อมกับความอบอุ่นและปิติสุขจากการสวมกอดของกรไม่หายยังคงยิ้มแป้นอยู่แบบนั้นจนกระทั่งถึงบ้านเลยทีเดียว〝〝 กลับมาแล้ว!!! 〞〞 กรและมีอาตะโกนหน้าประตูบ้านอย่างร่าเริงในจังหวะที่เปิดประตูเข้ามาในห้องนั่งเล่น แน่นอนว่าภายในนั้นมีคนอยู่กันครบทุกคน〝 กลับมาแล้วเหรอทั้งสองคน 〞รินเข้ามาทักด้วยรอยยิ้ม เธอสังเกตในมือของกรที่หยิบของติดไม้ติดมือมาด้วยเลยเข้าไปช่วยรับ〝 โอ้ สนุกใช้ได้เลย 〞กรว่าพร้อมกับส่งของให้ริน〝 นั่นสินะ เฮะเฮะ 〞 มีอาเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน สีหน้าเบ่งบานของเธอในตอนนี้เป็นที่สังเกตของสาวๆ เพราะมันเห็นได้ชัดเลยว่าไปหวานกันมาขนาดไหน สายตาของสาวๆคนอื่นที่จ้องจี่มาทางกรอย่างรุนแรงนั่นใกล้เคียงความปรารถนามากกว่าความโกรธ และก็รุนแรงพอที่กรจะสัมผัสได้ด้วย เขาเลยยิ้มแหยๆออกมาก่อนจะพูดออกมา〝 ระ เรื่องรอบการเดทพวกเธอจัดการกันเองได้เลยนะ 〞〝 เยี่ยมเลย! 〞〝 ต้องแบบนี้สิคะท่านพี่! 〞 อลิซกับคาเรนตะโกนลั่นด้วยความดีใจ เช่นเดียว
———— ก่อนหน้านี้เล็กน้อย, ณ ปราสาทของฟีโอน่า ภายในปราสาทอันเงียบสงบทว่าน่ายำเกรง ณ ชั้นบนสุดคือห้องทำงานของราชินีผู้ปกครองประเทศของเหล่ามนุษย์สัตว์นามฟีโอน่า ผนังและพื้นของห้องประกอบขึ้นจากอิฐสีเทาตามโครงสร้างปราสาทที่เห็นจากภายนอกราวกับหลุดมาจากยุคกลาง ทว่านั่นกลับดูขัดกับสิ่งของที่อยู่ในห้องอันเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นอย่างมาก ซึ่งหากจะหาคำจำกัดความสั้นๆของสิ่งเหล่านี้ ก็คงจะเป็น “เครื่องใช้ไฟฟ้า” หลอดไฟเวทย์มน เครื่องปรับอากาศ เครื่องถ่ายเอกสาร... สิ่งของเหล่านั้นอยู่รายล้อมฟีโอน่าที่กำลังทำงานตัวเป็นเกลียวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จนถึงขนาดยังไม่ได้แตะกาแฟที่สาวใช้ยกมาเสิร์ฟเสียด้วยซ้ำ หากมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรวมอยู่ในนั้นด้วย ภาพฟีโอน่าที่เห็นได้ชัดจากมุมมองของคนนอก คงจะเป็นพนักงานสาวออฟฟิศที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำอย่างไม่ต้องสงสัย และแม้จะไม่มีคอมพิวเตอร์ดังว่า สภาพภายนอกอันสังเกตจากสีหน้าและท่าทางอันเหนื่อยล้าของเธอก็ไม่ต่างจากพนักงานสาวที่ทำงานลากเลือดเสียเท่าไหร่นักก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้ฟีโอน่าที่ง่วนอยู่กับ
หลังค่ำคืนอันแสนหนักหน่วงทว่าหวานฉ่ำ ยามเช้าได้มาเยือนพร้อมแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดเข้ามาในห้องนอนใหญ่ กระทบร่างของเหล่าเด็กหนุ่มหญิงสาวที่นอนกระจัดกระจายในห้องด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุขราวต้องมนต์ในฝันอยู่บนฟูกนอน โดยที่ร่างเปลือยเปล่าของทุกคนต่างถูกคลุมด้วยผ้าห่ม บ้างนอนชิดกัน บ้างนอนกอดกันเป็นเรื่องปกติ ไม่สิ... หากจะว่ากันตามตรง สาวๆทุกคนไม่มีใครที่นอนเดี่ยวๆเลย มีแต่คนที่นอนกอดกันเป็นคู่สองคนหรือสามคนทั้งนั้น มีอากอดกับริน อลิซนอนจับมือตัวติดกับเมอร์ลินโดยที่เมอร์ลินถูกซาช่ากอดอีกต่อ ชาลอตกับริต้าและเรเชลกอดรัดกันกลม สุดท้ายคือคาเรนกับลิลิธ ในบรรดาทุกคน ผู้ที่ตื่นขึ้นมาเป็นคนแรกคือเด็กหนุ่ม... คือกรเช่นเคยฟู่... เมื่อคืนนี้ยังสุดยอดเหมือนเคยยังไงเวลาทำด้วยกันมันก็รู้สึกดีกว่าจริงๆนั่นแหล่ะนะได้เห็นว่าสาวๆรักกันขนาดนี้ก็ทำเอาฉันเองมีความสุขเหมือนกันเพราะถ้าจะว่าไป ไอ้ความสัมพันธ์ฮาเร็มแบบ one to many โครงสร้างมันไม่แข็งแรงเท่า many to many แหล่ะนะแถมเมื่อคืนทุกคนเองก็พยายามกันมาก ไอ้ที่ทำเพื่อไกด์ฟีโอน่านั่นก็ส่วนนึง แต่ทั้งหมดก็คือดูเหมือ
———— 1 เดือนต่อมา1 เดือนผ่านไปไวยังกับโกหก... ที่เขาว่ากันว่าเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วนี่ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงแฮะเพราะแล้วพอรู้ตัวอีกที ก็มาถึง ‘วันตัดสินชี้ชะตา’ ซะแล้วถึงจะไม่อยาก แต่ไม่ช้าก็เร็วยังไงวันนี้ก็ต้องมาถึงเข้าซักวันอยู่ดีส่วนเรื่องที่ว่าตลอด 1 เดือนที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นบ้างนั้น...ขออดเปรี้ยวไว้กินหวาน พูดถึงเรื่องงานก่อนก็แล้วกันหลังจากการประชุมสภาโต๊ะจัตุรัสหนก่อน จนได้ข้อสรุปว่าจะขยายกองกำลังป้องกันให้มากขึ้นกว่าเดิม พวกเราก็ดำเนินการตามแผนกันในทันทีเริ่มจากการจัดหาทรัพยากรสร้างเรือรบ ไม่สิ เพราะมีฟังก์ชั่นลอยตัวของแกนเวทใหม่ของเมอร์ลิน เพราะงั้นก็ต้องเป็น ‘เรือเหาะเวทมนตร์’เดิมทีแผนก็คือสร้างอู่ต่อเรือ 10 แห่งให้เสร็จภายในเวลา 1 สัปดาห์ แต่พอเอาเข้าจริง พวกเราภาคีโต๊ะจัตุรัสก็ทำผลงานได้ดีกว่าที่คิดเอาไว้ผลก็คือสามารถสร้างอู่ต่อเรือเพิ่มได้ถึง 15 แห่งในเวลาเพียงแค่ 6 วันอาจมองว่าเป็นความต่างเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมากมหาศาลเลยเชียวล่ะเพราะตอนแรกประมาณการณ์ไว้ว่าจะมีเรือเหาะที่เป็นกำลังรบได้ 42 ลำ จากการใช้เวลาสร้าง 1 ลำต่อ 1 สัปดาห์ โดยใช้อู่
หลังจากที่ประชุมแผนการพิชิตมหาดันเจี้ยนอย่างเป็นรูปธรรมเสร็จแล้ว พวกเราทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองเป็นภาระหน้าที่ที่หนักอึ้งเอาเรื่องเลยสำหรับเด็กหนุ่มเด็กสาวอายุไม่ถึง 20 (ไม่นับอายุทางจิตใจของฉันนะ)พอมานึกดูเล่น ๆ... กลับกลายเป็นพวกเราทุกคนมีงานมีการ มีหน้าที่รับผิดชอบกันเป็นชิ้นเป็นอันกันหมดแล้วก็ถ้าเป็นในโลกเดิม พวกเราทุกคนกำลังเรียน ม.ปลายกันอยู่เลยนี่นะแต่ดูตอนนี้สิ... มีทั้งงาน มีทั้งบ้าน มีทั้งครอบครัวแล้วด้วยมาไกลเหมือนกันแฮะตัวเรา... ทั้งที่เพิ่งจากโลกเดิมมาได้ไม่ถึงครึ่งปีเลยแท้ ๆที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเรามีคู่ชีวิตดี ๆ นั่นแหล่ะนะ ถึงมาได้ไกลขนาดนี้อ๊ะ... เผลอนอกเรื่องอีกแล้วประเด็นที่อยากจะบอกก็คือ ถึงตอนนี้จะมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ แต่ก็อย่าลืมครอบครัวที่คอยสนับสนุนอยู่ต่างหากก็นะ ถึงฉันจะยกเรื่องครอบครัวเป็นอันดับหนึ่งเหนือเรื่องงานอยู่แล้วก็เถอะ แต่ก็ยังอยากจะย้ำกับตัวเองอีกหลาย ๆ รอบอยู่ดีแล้วก็เพราะแบบนั้น ถึงได้ทำให้นึกถึงเรื่องสำคัญที่อยากจะทำออกด้วยคุยกับแมรี่ไว้แล้วนี่นะว่าจะให้แกเข้าโรงเรียนแล้วเดิมที จุดประสงค์หลักที่เป็นแบบนั้นก็คือ อยากจะ
เฮ้อ... ท่ามกลางบรรยากาศสงบสุขในเมือง กลางท้องถนนย่านการค้าที่กำลังคึกคักมากขึ้นเรื่อย ๆ กลับมีเด็กหนุ่มถอนหายใจราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่างในชีวิต ทั้งที่เขาคนนี้มีสาวน้อยน่ารักเดินควงแขนอยู่แท้ ๆ“ กร ไม่สนุกที่มาเดทกับดิฉันเหรอคะ ” เด็กสาวเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่ทำหน้าเหมือนกับผิดหวังอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นสีหน้ากังวลใจของเด็กสาวที่เป็นแฟนของตัวเอง เด็กหนุ่มก็ดีดผึงจนหลังตรงหันมาให้ความสนใจกับเธอในทันที“ ไม่ ๆ ไม่ได้ไม่สนุกที่มาเดทกับเธอหรอกชาลอต แค่นึกถึงเรื่องเมื่อกี้นิดหน่อยน่ะ ” เด็กหนุ่ม... กรตอบกลับแฟนสาวอย่างชาลอตในทันทีเพื่อแก้ความเข้าใจผิด เพราะเดิมที การมาเดทกับเจ้าตัวก็เพื่อให้ชาลอตอารมณ์ดี รวมถึงต้องการจะเห็นแผนสาวสุดที่รักอย่าชาลอตยิ้มออกมาเยอะ ๆ ดังนั้นหากจะทำอะไรให้เธอกังวลและไม่พอใจ นั่นคงเป็นการผิดจุดประสงค์ที่ตั้งใจไว้ของตัวเอง“ เรื่องเมื่อกี้? ที่ทุกคนตกลงว่ากรต้องเดทกับทุกคนทุกวันน่ะเหรอ? ” ชาลอตเอ่ยถาม คิ้วเธอขมวดเล็กน้อยเหมือนไม่เข้าใจว่ากรจะกังวลเรื่องนี้ทำไม ซึ่งก็จริง เพราะกรมีแต่ได้กับได้“ ก็ฉันกลัวจะรับมือกับทุก
“ นาย... เอลกินจริงเหรอ? ” กรถึงกับต้องขมวดคิ้วจ้องมองชายคนที่อยู่ตรงหน้าเพราะไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ซึ่งมีอาเองก็ทำแบบเดียวกัน“ ขอโทษด้วยนะครับ มากะทันหันแบบนี้คงตกใจกันน่าดู ” เอลกินยิ้มตอบแบบไม่ได้คิดมาก“ ไม่ไม่ไม่ ไม่ได้ตกใจเรื่องที่มาปุบปับซะหน่อย ” กรอดที่จะพูดเหมือนกับตกมุกแบบนั้นไม่ได้“ นั่นสิ... ยังกับคนละคนเลยเนาะกร ” มีอาเองก็แอบกระซิบแบบนั้นข้างหูกรเหมือนกัน“ นั่นสินะครับ ต้องอธิบายเรื่องนั้นด้วย แต่ก่อนอื่น... ” และดูเหมือนเอลกินเองก็ได้ยินเสียงกระซิบของมีอา แต่ยังไงก็ตาม เจ้าตัวก็พยายามทำเรื่องที่ตั้งใจไว้หนแรกก่อน เขาจึงยื่นช่อดอกไม้ในมือให้กับกร“ อันนี้แทนคำขอโทษของผมนะครับ ขอโทษด้วยจริง ๆ ที่พูดจาเสียมารยาทไปมากมายเมื่อตอนนั้น ” เอลกินพูดจบก็โค้งให้พวกกรอย่างนอบน้อม ท่าทางนั้นออกมาจากใจจริงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เดิมที หากเขาเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีและโอ้อวดศักดาตัวเองแบบที่เจอกันครั้งแรกจริง เขาคงไม่มีทางยอมทำเรื่องแบบนี้อย่างเต็มใจแน่“ อืม... ยังไงก็เข้ามาก่อนแล้วกัน ว่างั้นไหมมีอา ”“ นั่นสินะ ถ้าขอโทษกันแล้วฉันก็ไม่ต
หลังจากค่ำคืนแห่งพันธะสัญญาจบสิ้นลง ความตื่นเต้นที่ได้รับมาตลอดทั้งวันแปรเปลี่ยนเป็นนิทราทำเอาเหล่าหนุ่มสาวนอนหลับเป็นตายทันทีที่หัวลงถึงหมอนในห้องส่วนตัวของบ้าน ทว่าทุกคนคงไม่คาดคิดมาก่อน ว่าความตื่นเต้นที่สั่งสมมาตลอดทั้งวันจะมีปริมาณเหลือล้นมาจนถึงเช้าอีกวัน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้กรตื่นนอนเช้ากว่าปกติ 30 นาที ทั้งยังไร้อาการสะลึมสะลือใด ๆ“ ...เด็กชะมัดเลยเราเนี่ย ” หลังบ่นอุบแบบนั้นด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ ให้ตัวเอง กรก็ชันตัวขึ้นจากเตียงทันที ต้องขอบคุณเวททำความสะอาดที่เมอร์ลินร่ายให้ทุกคนหลังจากที่กลับมาทำให้ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำก่อนเข้านอน แน่นอนว่ามันไม่ดีสำหรับแมรี่เพราะอาจทำให้ติดสบาย แต่ก็อย่างที่รู้ว่าแกเป็นเด็กฉลาด ย่อมมีวิจารณญาณพอจะเข้าใจได้ว่าอะไรจำเป็นไม่จำเป็นต่อให้เป็นเด็กก็ตาม และก็ต้องขอบคุณเวทของเมอร์ลินนั่น แม้จะผ่านไปคืนนึงแต่ยังรู้สึกสะอาดเหมือนเพิ่งจะขึ้นจากอ่างน้ำอยู่เลยเชียวอยากเจอทุกคนแล้วสิ คิดแบบนั้นกรจึงไม่รอช้าที่จะเปิดลูกบิดออกไปด้วยความตื่นเต้นที่เหลือล้นมาจากเมื่อคืน และคงเป็นแบบนี้ไปอีกหลายวันหรือ
“ ทุกคนคะ... ความรัก คืออะไรเหรอคะ? ”“ “ “ เอ๋!? ” ” ” สิ่งที่เฮเลน่าถามออกมากลางห้องรับรองเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวผู้ไร้อารมณ์คนนี้ตื่นตระหนก แม้จะมีคนมากถึง 18 คนจ้องเธออยู่ ในมือที่ถือทั้งดินสอและสมุดบันทึกเล่มเล็กเองก็ไม่มีแต่การสั่นไหว อนึ่ง... เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ฟลอร่ากับยูมิน่าลากตัวกรออกไปประมาณ 2 ชม. เห็นจะได้“ เห... ทำไมจู่ ๆ ถึงสนใจเรื่องนั้นกันล่ะ ” คนที่แสดงความสนใจเป็นคนแรกอย่างออกนอกหน้าคือเมอร์ลินเจ้าเดิม เธอที่อ่านหนังสือมาตลอดถึงกับปิดหนังสือในมือแล้วหันมาถามเฮเลน่าอย่างจริงจัง“ ฉันแค่ทำตามคำสั่งของมาสเตอร์เท่านั้นค่ะ ” เฮเลน่าตอบกลับในทันทีอย่างที่ทุกคนคาด แน่นอนว่าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนกับที่เป็นมาตลอด “จงตามหาความหมายในการใช้ชีวิตของตัวเอง” คำพูดของกรที่เป็นคำสั่งเพียงหนึ่งเดียวซึ่งมอบให้กับเฮเลน่า ในวันที่เฮเลน่าถูกปลดปล่อยจากพันธะทั้งปวงและเป็นอิสระ ทุกคนเองก็อยู่ที่นั่นจึงเข้าใจแม้ไม่ต้องเอ่ยปาก“ แล้ว? ” เมอร์ลินถามย้ำคล้ายกับกำลังสอบปากคำ แต่ในอี
หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นมาตลอดสองวัน(เรื่องที่เจนนี่ ไมน์และรีเบคก้าสุดท้ายก็ตอบตกลงคบกับกรในที่สุด) จนทำให้สถานการณ์ความปั่นป่วนของสาว ๆ รอบตัวกรลดน้อยลงไปครึ่งนึง ...ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ“ “ “ ยินดีด้วย!!! ” ” ” เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังก้องไปทั่วทั้งบาร์ของโรงแรมอิกดราซิล มาจากเสียงของเหล่านักผจญภัยรวมถึงเพื่อนพ้องของกร ...ส่งไปยังเด็กสาว 3 คนที่กำลังยืนเด่นเป็นสง่ากลางร้าน ประกอบด้วยเจนนี่(ในร่างของเบลนด้า อัลบา) ไมน์และรีเบคก้า ที่กำลังน่าแดงก่ำเพราะความอาย“ พอเถอะน่า มันน่าอายนะ ”“ แหม ๆ เรื่องน่ายินดีแบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอายซักหน่อยนะฮ้า! ” คาลอสเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งเสียง วี๊ดวิ้ว! คล้ายกับจะกลั่นแกล้งสาว ๆ ที่กำลังบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย กรเห็นแบบนั้นก็เริ่มจะทนไม่ไหวจนต้องก้าวเข้ามาขัดจังหวะ“ เอาล่ะ ๆ แค่พอหอมปากหอมคอก็พอแล้ว... งานเลี้ยงจบแล้ว แยกย้าย ๆ ” กรพูดตัดบทพร้อมกับเดินเข้าไปกลางวงทั้งสามคนก่อนจะดันหลังทั้งสามให้ออกมาจากจุดรวมสายตา กระนั้นก็ไม่วายถูกทุกคนล้อในเชิงประมาณว่า “หึงด้วยเว้ย” ไ
“ แม้นโกรธาราวสิขานล แต่สิ่งที่ผู้อื่นยลต้องเป็นเหมันต์ ”นั่นคือคติประจำตระกูลของฉัน... มีความหมายว่า ต่อให้รู้สึกอย่างไรก็จงแสดงออกมาเสมือนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่าให้ใครรู้ว่าโกรธ... อย่าให้ใครรู้ว่ากำลังเศร้า... อย่าให้ใครรู้ว่ากำลังดีใจ...นั่นแหล่ะคือความหมายของมัน และยังเป็น... คุณสมบัติสำคัญขององครักษ์ที่ควรมีสำหรับฉันที่เกิดมาก็ได้รับหน้าที่นั้นเป็นเหมือนชนักติดตัว ถึงจะคิดว่าลำบากก็เถอะแต่ตอนนี้ก็ชินไปแล้วและสิ่งที่ทำให้ฉันสามารถทำมันได้ ก็เพราะรอยยิ้มของคนที่ฉันต้องปกป้อง... รอยยิ้มของไมน์เด็กคนนี้เหมือนกับทุ่งดอกไม้หลากสี ร่าเริงสดใส เริงระบำไปตามเสียงบรรเลงเพลงตามแต่สายลมจะพัดพา เป็นเด็กที่ชอบเรื่องสนุกสนาน ฉันถึงอยู่ด้วยไม่มีเบื่อ ถึงจะไม่แสดงออกก็เถอะเพราะยังไงการเก็บความรู้สึกสุขไว้ในใจไม่ให้แสดงออกมา มันง่ายกว่าการกักเก็บความทุกข์ไว้ในอกคนระดับเลยแต่ถึงคิดแบบนั้น เดิมทีตัวฉันก็ไม่ได้เป็นคนคิดอะไรมากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์แบบไหนก็พร้อมรับมือได้หมด และต่อให้ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้องไมน์ก็ไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อยเพราะงั้นความรู้สึกทุกข์ใจจึงไม่ค่อยมี หรือไม่ก
ตั้งแต่ตอนเด็ก ตัวฉันที่เป็นเจ้าหญิงก็ได้แต่อยู่ในปราสาทตามคำบอกกล่าวของคุณพ่อแต่มันก็ไม่ได้แย่นักหรอก เพราะอย่างน้อยฉันก็มีเพื่อนเล่นอยู่ คน ๆ นั้นก็คือรีเบคก้าที่เป็นเพื่อนอายุเท่ากันของฉัน คอยดูแลและเล่นด้วยกันมาตลอดตั้งแต่ที่จำได้แล้วและสิ่งที่ใช้ฆ่าเวลาอีกอย่างคือ หนังสือนิทานในห้องสมุดสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างฉัน นิทานทั้งหมดเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่เคยพบเคยเห็น โดยเฉพาะฉันที่ไม่เคยออกไปนอกตัวปราสาท เพราะแม้แต่การเดินทางฉันยังต้องปิดบังใบหน้าเอาไว้เลย แต่ตอนนั้นฉันยังเด็กถึงไม่รู้สึกว่าแปลกอะไรน่าตลกดี ที่สิ่งที่สอนให้ฉันรู้จักโลกภายนอกคือหนังสือเหล่านั้นที่อยู่ข้างกายมาตลอดความลึกลับอันน่าพิศวง มอนสเตอร์น่ากลัว ความงดงามของธรรมชาติ วิถีชีวิตของผู้คน เรื่องราวทั้งหมดที่ร้อยเรียงทำให้ฉันจินตนาการภาพฝันของโลกภายนอกไว้อย่างสวยงาม และหวังว่าซักวันจะได้ออกไปและในวันหนึ่ง ฉันก็ได้รู้จักอาชีพที่เรียกว่า ‘นักผจญภัย’อาชีพที่สามารถไปได้ทุกที่ที่อยากไป ทำได้ทุกสิ่งที่ต้องการ แสวงหาทุกสิ่งด้วยตัวเองกับพวกพ้องที่ไว้ใจได้แต่ถ้าจะว่ากันตามตรง เนื้อหาของมันก็ไม่ต่างจากนิทานทั่วไปที่มีพระเอ