“พี่หญิงกู้”เนี่ยชิงหลานเหมือนได้เห็นผู้ช่วยชีวิต อย่าว่าแต่จะซาบซึ้งเพียงใดเลย กระทั่งโผเข้ากอดเอวของกู้หว่านเยว่ด้วย“เจ้าเองก็มาทันเวลาเกินไป”กู้หว่านเยว่ออกแรงดีดหน้าผากของนาง “เจ้าช่างกล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก ตอนกลางวันข้าพูดกับเจ้าแล้วมิใช่หรือ ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ เหตุใดถึงได้เข้ามาเสี่ยงเองเช่นนี้?”เนี่ยชิงหลานรู้สึกผิด “ข้าแปลกใจ ทนไม่ไหว ก็เลยตั้งใจมาดูก่อน”นางกัดฟันกรอด“คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่านักพรตเต๋าของอารามเต๋าแห่งนี้จะเลวทรามยิ่งนัก ข้ารอดพ้นกลิ่นธูปกองแรกของพวกเขามาได้ แต่สุดท้ายก็ตกหลุมพราง เกือบถูกพวกเขาวางยา”นางกล่าวพลางเดินไปตรงหน้าของนักพรตเต๋าผู้นั้นอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นกระทืบคนผู้นั้นอย่างแรงสองครั้ง“พี่หญิงกู้ ท่านรู้หรือไม่ คนที่อยู่ในอารามแห่งนี้ไม่ใช่คนดีนัก พวกเขาใช้กลิ่นธูปทำให้สตรีหมดสติแล้วทำอนาจารพวกเขา มิน่าล่ะสตรีที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ หลังจากกลับไปก็ตั้งครรภ์โดยไม่ทราบสาเหตุ”เนี่ยชิงหลานทอดถอนใจ “น่าสงสารก็แต่พวกเขาที่ต่างคิดว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กที่สือจีเหนียงเหนียงประทานให้พวกเขา ใครจะคิดว่าจะเป็นฝีมือของสัตว์เดรัจฉานกลุ่มนี้?!”นางยิ่ง
“ช่วยไม่ได้ ข้าทำได้แค่ต้องออกไปจ้างบุรุษข้างนอกมาแกล้งเป็นสามีของข้า....”ยิ่งนางพูด น้ำเสียงก็ยิ่งเบาลงทุกที เฉิงเซวียนหลุดหัวเราออกมา“เยี่ยม น้องหญิง เจ้าช่างฉลาดปราดเปรียวยิ่งนัก”ในตอนนี้เองบุรุษผู้นั้นตื่นขึ้นมาพอดี ครั้นเห็นผู้คนยืนออกันมากมายที่นี่ อีกทั้งสถานที่ตรงหน้าก็กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็รีบคุกเข่าด้วยความตื่นตระหนกทันที“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือ?”เขารีบกล่าว “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับข้าน้อยนะขอรับ ข้าน้อยแค่ทำตามคำสั่ง....”ซูจิ่งสิงโบกมือไปมา “ไปศาลาว่าการก่อนเถอะ”หลังจากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น คนที่อยู่ในที่เหตุการณ์วันนี้จะต้องไปให้ความจริงที่ศาลาว่าการก่อนแล้วค่อยกลับบุรุษผู้นั้นไม่กล้ากล่าวสิ่งใด มองเนี่ยชิงหลานอย่างหมดแรง “แม่นาง ห้าตำลึง เจ้าจะให้ข้าได้หรือไม่”เฉิงเซวียนล้วงหยิบเงินจำนวนสิบตำลึงออกมา แล้วโยนใส่เขา “ไม่ต้องถามหา ต่อไปอย่าเสนอหน้าไปเป็นสามีของใครอีก อย่างน้อยก็ถามให้ชัดเจนก่อน”เขาหึงหวงอย่างมาก เนี่ยชิงหลานไม่กล้ากล่าวสิ่งใด“ไปกันเถอะ กลับบ้านกันก่อน”โกรธก็ส่วนโกรธ เฉิงเซวียนเป็นห่วงนาง น้ำ
กว่ารถม้ากลับมาถึงจวนกู้ เวลานี้ก็ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว“น้องหญิง ข้าจะอยู่จนกว่าเจ้าจะเข้าไปข้างในแล้ว”ซูจิ่งสิงเปิดม่านออก กู้หว่านเยว่กำชับด้วยความเป็นห่วง“ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ”เรื่องอารามเต๋านี้เกรงว่าคงจะทำให้สบายใจไม่ได้ในตอนนี้ นางกลัวว่าซูจิ่งสิงจะทุ่มเทมากเกินไป“วางใจเถอะ” ซูจิ่งสิงบรรจงจูบหน้าผากของนางอย่างอ่อนโยน ดูท่าทางจะไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูด กู้หว่านเยว่ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา แล้วหมุนตัวกลับเข้าไปในจวน“ฮูหยิน ข้าน้อยจะไปเตรียมน้ำร้อนให้อาบน้ำเจ้าคะ ฮูหยินอาบน้ำก่อน แล้วค่อยเข้านอน”หงเจาโรยน้ำมันหอมระเหยกลิ่นกุหลาบลงในอ่างน้ำอย่างใส่ใจ และเตรียมชุดสำหรับนอนให้กู้หว่านเยว่อย่างดีจากนั้นก็เริ่มรายงานเรื่องการทำงานในร้านขายชาดเมื่อช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ของเจียงอวิ๋นจิ่นให้นางฟัง“แม่นางเจียงตั้งใจทำงานมาก จัดการบัญชีของสาขาได้อย่างเป็นระเบียบ ต้อนรับลูกค้าอย่างอบอุ่น ไม่ได้แสดงกิริยาเอาแต่ใจแต่อย่างใด”หงเจากล่าวชื่นชม “ข้าน้อยเห็นว่าเวลานางว่าง นางแค่หยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านอย่างเงียบ ๆ”กู้หว่านเยว่พยักหน้า “หากนางไม่มีปัญหา ต่อไปข้าจะยกสาขาให้นางดูแล
“กู้หว่านเยว่และท่านอ๋องช่างดีกับเจ้ายิ่งนัก”ลั่วยางฉลาดปราดเปรื่องมาก เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น“ใช่ อาลู่ทำผิด แต่ข้าไม่เคยทำผิดเลย”ครั้นเอ่ยถึงซวนลู่ เกาเจี้ยนก็ยิ่งลำบากใจ ลั่วยางอดพูดจาแขวะไม่ได้“ผู้คนในใต้หล้า ใครบ้างไม่เคยทำผิด? รู้ผิดก็แก้ไข อีกอย่างซวนลู่ไม่ชอบเจ้า เจ้าจะชอบหรือไม่ชอบนางมันเกี่ยวอะไรกัน ชอบคนคนหนึ่งมันไม่ผิดหรอก หากเจ้าคิดว่านางไม่คู่ควรกับความรักของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ควรเก็บความรักของเจ้ากลับไป”ลั่วยางพูดเช่นนี้ก็เพราะประสบการณ์ของเกาเจี้ยนเหมือนกับนาง คาดไม่ถึงว่าเกาเจี้ยนจะอ้าปากตาค้าง มองลั่วยางด้วยความประหลาดใจ ใจเต้นตึกตักเหมือนหัวใจโดนกระแทกอะไรสักอย่าง“หมอหญิงลั่ว ชอบคุณที่คอยชี้แนะข้า”“ไม่ต้องเกรงใจ เราต่างก็มีชะตากรรมร่วมกัน”ทั้งสองพูดคุยพลางเดินออกไป กู้หว่านเยว่หยิบตำราแพทย์ที่เก็บมาได้จากทะเลสาบขึ้นมาศึกษา กระทั่งเห็นซูจิ่งสิงเข้ามาด้วยความรีบร้อน“หว่านเยว่ ซ่งเสวี่ยเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“เกิดอะไรขึ้น?!” กู้หว่านเยว่ตกใจ คิดว่าตัวเองฟังผิดไปพี่หญิงซ่งอยู่ในบ้านสกุลโจวตลอดจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ หรือว่าเพราะโจวเซิง?ซูจิ่งสิงเก
การดึงมีดออกจำเป็นต้องใช้ทักษะที่ชำนาญมาก หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา อาจจะบาดเจ็บถึงอวัยวะภายในของคนที่กำลังเจ็บอยู่หรือไม่ก็ทำให้เลือดออกมากก็ได้“หว่านเยว่ ช่วยเขาด้วย”นัยน์ตาของซ่งเสวี่ยแดงก่ำ นางไม่เคยเสียสติเช่นนี้มาก่อน“ข้าดูหน่อย”กู้หว่านเยว่เปิดกล่องยา ใส่ถุงมือยาง และเริ่มดูสถานการณ์ของโจวเซิง“อาการบาดเจ็บสาหัสอยู่ ต้องรีบดึงมีดออก”นางหยิบผ้าพันแผล ยาแก้อักเสบและยาฆ่าเชื้อออกมาจากกล่องยา และกล่าวกับซูจิ่งสิงว่า“ท่านพี่ ท่านพาคนออกไปจากห้องหนังสือหน่อยเจ้าค่ะ ข้าต้องการความเงียบ”โจวเซิงหายใจรวยรินมาก ต้องพาเข้าไปช่วยเหลือในห้วงมิติสองสามีภรรยาต่างสบตากัน ซูจิ่งสิงรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด จึงพยักหน้า“วางใจเถอะ ข้าจะจัดการให้เจ้าเดี๋ยวนี้”เขาเดินมาหารองผู้ว่าราชการสวี่ ให้เขาขับไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปข้างนอก“ฮูหยินน้อย” จู่ ๆ โจวเซิงก็ฟื้นขึ้นมา พยายามลืมตาความจริงแล้วเขาตระหนักรับรู้อยู่ตลอด เพียงแต่ปวดแผลเกินกว่าจะทนได้ ทั้งยังเสียเลือดมาก ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงพูดแต่เมื่อครู่เขาได้ยินน้ำเสียงจริงจังของกู้หว่านเยว่ พอจะเดาได้ว่าตัวเองอันตรายเพียงใด“ฮู
“ลากเขาออกไป”ซูจิ่งสิงโบกมือสั่งการ มองเจ้าสำนักฉินด้วยสายตาเย็นชา เพียงแต่ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องจัดการเขาภายในห้องหนังสือถูกเก็บกวาดจนสะอาดเกลี้ยง ซูจิ่งสิงทำการใส่กลอนอย่างแน่นหนา“น้องหญิง เจ้าตั้งใจช่วยคนไป ส่วนข้าจะไปเฝ้าข้างนอกให้เจ้าเอง”ครั้นได้ยินเสียงของซูจิ่งสิง กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกปลอดภัยมากแล้ว นางพาเจ้าตัวเข้าไปทำการรักษาในห้วงมิติ อาการของโจวเซิงสาหัสมาก เวลานี้หมดสติไปแล้วกู้หว่านเยว่ทำการถ่ายเลือดแบบฉุกเฉินให้เขาก่อน จากนั้นก็ใช้อุปกรณ์ตรวจดูบาดแผลของเขา“โชคดีนะ ที่ไม่ได้บาดเจ็บถึงภายใน”ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ แม้ว่าปากแผลจะลึกมาก แต่ก็ไม่ได้อันตรายถึงชีวิตกู้หว่านเยว่ดึงมีดออกอย่างเป็นระบบระเบียบ จัดการปากแผล ฆ่าเชื้อ เย็บแผลและใส่ยากระทั่งพันแผลจนเสร็จ จากนั้นก็ฉีดยาแก้อักเสบเป็นจำนวนสองขวด ถึงค่อยพาเขาออกมาจากห้วงมิติเวลานี้บริเวณนอกห้องหนังสือได้มืดสนิทลงแล้วกู้หว่านเยว่มองดูเวลาในห้วงมิติแวบหนึ่ง นางอยู่ในห้วงมิติแบบไม่รู้เวลากว่าสามชั่วยาม“ท่านพี่ เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”จากนั้นก็เดินมาเคาะประตู เมื่อซูจิ่งสิงได้ยินเสียง ก็รีบเปิด
“ดูท่าทางหลังจากที่เจ้าหนีออกมาจากสุ่ยโจวได้ ก็ตรงมายังเจดีย์หนิงกู่ทันที”กู้หว่านเยว่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวเป็นอย่างดี นางกัดฟันกรอดอย่างเกลียดชังให้กับบุรุษผู้นี้“ที่แท้เจ้าก็ไม่ได้ทำร้ายผู้อื่นเป็นครั้งแรก!”สวรรค์รับรู้ ก่อนหน้าหน้าอารามเต๋าแห่งนี้ เขาทำร้ายคนไปแล้วเท่าไหร่ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วมุ่น “เดิมทีอารามแห่งนั้นเป็นอารามที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เมื่อห้าปีก่อนเจ้าสำนักคนเก่าสิ้นลมหายใจโดยไม่ทราบสาเหตุ จนต้องเปลี่ยนเจ้าสำนักคนใหม่ ซึ่งก็คือบุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ นับตั้งแต่นั้นมา อารามเต๋าแห่งนั้นก็โด่งดังเรื่องของสือจีเหนียงเหนียง”แต่ระหว่างห้าปีมานี้ เจ้าสำนักฉินผู้นี้ได้ทำการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในอารามเต๋ามาโดยตลอด กระทั่งเข้ามาควบคุมอารามเต๋าแห่งนี้โดยสมบูรณ์ และทำตามอำเภอใจอยู่ด้านในพานักพรตที่อยู่ใต้คำสั่งมาทำเรื่องต่ำช้า“เจ้ากล้าทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวฟ้าผ่าบ้างหรือไร?”เนี่ยชิงหลานด่าทออย่างโกรธเคือง จนเจ้าสำนักฉินต้องตอบโต้กลับ“เรื่องผิดศีลธรรมอะไรกัน? เห็น ๆ อยู่ว่าข้าทำความดี! สตรีเหล่านั้นไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ บุรุษที่อยู่ด้วยทำให้พวกนาง
“ท่านอ๋อง ยังมีบ่าวรับใช้อีกคนหนึ่งอยู่ในห้องหนังสือ ถูกเจ้าสำนักทำร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุขอรับ”รองผู้ว่าราชการสวี่ถอนหายใจแล้วเอ่ยเตือน ซูจิ่งสิงกล่าวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไปเอาเงินยี่สิบตำลึง ไปให้คนในครอบครัวของเขาจัดการงานศพเถิด”ชีวิตความเป็นความตายขึ้นอยู่กับโชคชะตา ตอนที่พวกเขามาถึง บ่าวรับใช้คนนั้นก็เสียชีวิตไปแล้ว ไม่สามารถทำอะไรได้ดังนั้น เจ้าสำนักฉินผู้นั้นช่างโหดร้ายอย่างแท้จริง แม้แต่คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็ยังไม่ละเว้น ถูกสุนัขป่ากัดกินร่างกายจนแยกเป็นชิ้น ๆ ก็สมควรแล้ว ไม่น่าสงสารเลยแม้แต่น้อยขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น แม่นมฉินก็นำรถม้ามาถึง บ่าวรับใช้หลายคนช่วยกันยกโจวเซิงขึ้นวางบนแคร่หามอย่างระมัดระวังกู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้น “พี่หญิงซ่ง ท่านตั้งใจจะพาเขาไปที่ไหนหรือ?”“กลับจวนโจว” ซ่งเสวี่ยขมวดคิ้วพลางกล่าวขึ้น “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ท่านพ่อและท่านแม่ต้องรู้แน่ ๆ ข้าก็ไม่อยากปิดบังพวกท่าน หลังจากกลับไป ข้าจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้พวกท่านฟังทั้งหมด”“ก็ดี เช่นนั้นหากมีเรื่องอะไร ท่านก็รีบมาบอกข้านะ”“ขอบใจเจ้ามาก”ซ่งเสวี
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้
ตอนนี้เอง กู้หว่านเยว่ปรากฏตัวออกจากที่ลับอย่างว่องไว เล่นงานคนชุดดำสองคนจนล้มลงไป“แย่แล้ว มีกับดัก!”คนชุดดำที่เหลือเห็นกู้หว่านเยว่มีวิชายุทธ์สูง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถล้มสหายสองคนของพวกเขาได้ หันหลังเตรียมหนีโดยไม่ยั้งคิด“คิดหนีตอนนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”กู้หว่านเยว่พุ่งตัวไปที่หน้าประตูกระโจม สาดผงยาพิษใส่พวกเขา“มีพิษ!”ทำให้กู้หว่านเยว่แปลกใจก็คือหัวหน้าคนชุดดำมีท่าทีตอบสนองอย่างว่องไวและกลั้นหายใจได้ทันท่วงที หลบหลีกผงยาพิษของนาง“ดูท่าแล้วพวกเจ้าแต่ละคนล้วนเป็นปรมาจารย์ใช้ยาพิษสินะ”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลง หยิบกระบองไฟฟ้าอันหนึ่งออกจากมิติจากนั้นเหินบินขึ้นไป เหวี่ยงกระบองไฟฟ้าใส่ร่างพวกเขาชั่วขณะแตะโดนกระบองไฟฟ้า พวกเขาเพียงรู้สึกชาไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เบื้องหน้ามืดมิด ชักกระตุกระลอกหนึ่งแล้วล้มลงบนพื้นหลังมั่นใจว่าคนชุดดำทั้งห้าหมดสติไปแล้ว กู้หว่านเยว่ถึงเก็บกระบองไฟฟ้า หันหลังเดินไปทางเกาเจี้ยน“แม่ทัพใหญ่เกา! ตื่นๆ รีบตื่นเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่ผลักไหล่ของเกาเจี้ยน เห็นเขายังไร้ท่าทีตอบสนอง ดึงแขนเสื้อขึ้น ออกแรงตบหน้าของเขาเกาเจี้ยนกำลังหลับฝันหวาน สั
กู้หว่านเยว่อ่านความคิดของเขาออก ยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง ดึงคางของเขาออก จากนั้นยกขาหนึ่งข้างเหยียบหลังของเขาไว้และกดลงบนพื้น“สงบเสงี่ยมสักหน่อย หาไม่แล้วจะฆ่าเจ้า!”กู้หว่านเยว่พูดเตือนหนึ่งประโยคคนชุดดำอยากพูดอะไร แต่เพราะคางถูกดึงออกแล้ว ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้ครึ่งประโยค ทำได้เพียงหันหน้า ใช้สายตาโหดเหี้ยมสบมองกู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่กลับไม่ตามใจเขา เหวี่ยงหมัดใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง“มองอะไร ไม่เคยเห็นหญิงงามหรือ? รีบก้มหน้าให้ข้าดีๆ”คนชุดดำถูกหมัดนี้ของกู้หว่านเยว่ต่อยจนสันจมูกหัก เลือดพุ่ง เขาก้มหน้าลงไปด้วยความเจ็บปวดผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก“ข้าถามเจ้า ดึกดื่นค่ำมืดพวกเจ้ามาทำอันใดที่ค่ายของต้าฉีข้า? พวกเจ้ามีเป้าหมายอะไร? วางแผนเช่นไร?”เพราะเวลากระชั้นชิด กู้หว่านเยว่กังวลคนหนานเจียงยังมีแผนอื่นอีก ไม่พูดเหลวไหลกับคนชุดดำอีก หยิบยาพูดความจริงออกจากมิติและป้อนคนชุดดำ“พวกเราได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ล่วงหน้ามาฆ่าชวีเฟิง”กู้หว่านเยว่ชะงักเล็กน้อย“พวกเจ้ารู้ข่าวว่าชวีเฟิงทรยศพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”คิดไม่ถึงเลยว่าหูตาของคนหนานเจียงจะว่องไวถึงเพียงนี้“
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมมอบของบางอย่างให้คุณชายอวิ๋น พวกเจ้าช่วยนำของสิ่งนี้กลับไปมอบให้เขาเถอะ”กู้หว่านเยว่หยิบขวดน้ำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์ออกจากใต้วงแขนหนึ่งในทหารชะงักไป พูดเสนอขึ้นว่า “ขวดเล็กๆ เพียงขวดเดียว ไม่ถึงขั้นต้องให้พวกเราสิบคนกลับไปพร้อมกันหรอกกระมัง หากพวกเรากลับไปทั้งหมด ก็ไม่มีคนปกป้องฮองเฮาแล้ว”“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าน้อยจะนำของสิ่งนี้กลับไปให้คุณชายอวิ๋นเอง คนที่เหลืออยู่ติดตามท่านไปข้างหน้า ท่านคิดเห็นเช่นไร?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า เหตุที่นางให้พวกเขานำน้ำแร่ศักดิ์สิทธิ์กลับไปก็เพราะต้องการสลัดพวกเขาทิ้งและใช้การเทเลพอร์ตหากพวกเขาตามอยู่ข้างหลัง นางจะเทเลพอร์ตได้เยี่ยงไร?“ฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าไปหาเกาเจี้ยนคนเดียวก็พอ ครั้นถึงที่หมายข้าจะปล่อยพลุสัญญาณให้พวกเจ้า”“พวกเจ้าเห็นพลุสัญญาณแล้วก็รีบพาทุกคนมา”เสียงกู้หว่านเยว่เคร่งขรึมลง ไม่อนุญาตให้ทัดทานเหล่าทหารต่างสบตากัน สุดท้ายพยักหน้าลงและคุกเข่า“น้อมรับคำสั่งฮองเฮา”“พวกเจ้าไปเถอะ”กู้หว่านเยว่โบกมือ สิบคนลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน พลิกตัวขึ้นม้าและย้อนกลับทางเดินเพื่อไปหาอวิ๋นมู่รอจนกระทั่งเงาร
เกาเจี้ยนค้อนตาขาวใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่ง บัดนี้ชวีเฟิงยังเป็นนักโทษคนหนึ่ง เขาต้องจับตามองเอาไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้เขาหนีไป“พวกเราผู้ชายตัวโตสองคน จะนอนด้วยกันได้เยี่ยงไร?”ชวีเฟิงขมวดคิ้ว ทำเสียจนเกาเจี้ยนพูดไม่ออก“ข้าไม่รังเกียจเจ้า เจ้ายังกล้ารังเกียจข้าอีกนะ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษ พูดมากถึงเพียงนี้ทำอันใด? เร็วๆ เข้าไป”ชวีเฟิงจนใจ ทำได้เพียงตามเกาเจี้ยนเข้ากระโจมไปพร้อมกัน เขาบีบจมูกของตนแน่น เกือบสำลักตายเพราะกลิ่นเท้าเหม็นของเกาเจี้ยน“รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องอีกมาก”เกาเจี้ยนหยิบถุงแพรออกจากอก นั่นคือลั่วยางเย็บให้เขา เขาวางไว้บนริมฝีปากและจุมพิตลงไปสองที จากนั้นเก็บกลับเข้าวงแขนคล้ายสมบัติล้ำค่าก็มิปาน ทิ้งตัวลงนอนหลับไปชวีเฟิงบีบจมูกของตน จากนั้นนอนหลับไปท่ามกลางความอึดอัดท่ามกลางความมืด คนชุดดำหนึ่งกลุ่มลอบเข้าใกล้ค่ายใหญ่“คำสั่งของฮองเฮา จะต้องฆ่าชวีเฟิงไอ้คนทรยศคนนี้ให้ได้”ขณะเดียวกัน ระหว่างเร่งเดินทางมายังหนานเจียง กู้หว่านเยว่หยุดฝีเท้า มองทางอวิ๋นมู่อย่างกังวลแวบหนึ่ง“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง จะหยุดพักผ่อนก่อนสักครู่หรือไม่?”เร่งเดินทางมาหลาย
“แม่ทัพใหญ่เกา เรื่องคำสัญญาของต้าฉีย่อมไม่อาจบิดพลิ้วได้กระมัง?”มองบ้านเกิดที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ชวีเฟิงเลียริมฝีปาก เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ“รีบร้อนอะไร หรือว่าราชสำนักยังจะหลอกเจ้าอีกกระนั้น? วางใจได้ ตราบใดเจ้าช่วยต้าฉีกำราบหนานเจียง ถึงตอนนั้นเผ่าของเจ้าย่อมได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ”ภายในก้นบึ้งสายตาของเกาเจี้ยนเผยแววอึ้งงันเมื่อสิบวันก่อนคนถูกกักบริเวณที่เจดีย์หนิงกู่อย่างชวีเฟิงได้ยินว่าต้าฉีและหนานเจียงแตกหักกัน โวยวายจะขอเข้าพบซูจิ่งสิงให้ได้องครักษ์จันทราเอือมระอา จึงพาเขาออกจากเจดีย์หนิงกู่มายังเมืองหลวงชั่วขณะชวีเฟิงได้พบซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ ก็เผยท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่ายอมออกแรงเพื่อต้าฉี ขอเพียงต้าฉีปล่อยเขา ไม่ขังเขาไว้ที่เจดีย์หนิงกู่อีกคนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก ยังเสนออีกว่าหากเสร็จเรื่องแล้ว เขาอยากเป็นหัวหน้าตระกูลชวี เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าว่าเขาเรื่องสวามิภักดิ์ตาฉีอีกแม้ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าจะชนะ สามารถเอาชนะหนานเจียงได้ แต่มีคนนำทาง สามารถลดการบาดเจ็บล้มตายของทหารได้ ก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งดังนั้นหลังซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว
บัดนี้เห็นอยู่ว่าหนานเจียงของเราแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน เหตุใดยังต้องทนต่อไปอีกเล่า?”ฮองเฮามีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ขึ้นสู่ตำแหน่งก็มุ่งมั่นบริหารจัดการบ้านเมือง จัดตั้งกองกำลังลับขึ้นมาหนึ่งหน่วยโดยเฉพาะ เพื่อเพาะเลี้ยงแมลงพิษและหนอนกู่อย่างลับ ๆ ความคิดของนางแตกต่างจากผู้นำคนก่อน ๆ ที่หลีกเร้นจากโลกภายนอก นางอยากจะได้ดินแดนและความมั่งคั่งของต้าฉีมิฉะนั้น เพียงแค่เพราะเฟิ่งหมิงกวง เป็นไปไม่ได้ที่ฮองเฮาหนานเจียงจะทรงยินยอมให้ส่งกองทัพไปยังต้าฉี“ความคิดของฮองเฮาพวกกระหม่อมย่อมทราบดี เพียงแต่ซูจิ่งสิงผู้นี้ เดิมเป็นแม่ทัพไร้พ่าย กองกำลังใต้บังคับบัญชาก็มีพลังรบเหนือชั้น ได้ยินมาว่าพวกเขามีดินปืนใช้ด้วย หากต้องรบกันจริง ๆ พวกกระหม่อมเกรงว่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”เหล่าผู้อาวุโสต่างมีสีหน้าวิตกกังวล“ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ส่งกองกำลังไปหยั่งเชิงแล้ว ผลปรากฏว่าไม่เพียงแต่กองกำลังนั้นจะถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ แต่ยังต้องสูญเสียทั้งองค์หญิงใหญ่และคุณชายชวีเฟิงไปด้วยเห็นได้ว่าซูจิ่งสิงนั้นมีกำลังและความสามารถจริง ๆ พวกเราต้องป้องกันไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาแค่นเสียงเย็น
กู้หว่านเยว่พินิจมองบุตรชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าว่าเข้าท่า ให้ราชครูโจวมาสอนขั้นพื้นฐานให้เขา สอนเขาอ่านหนังสือ”อ่านหนังสือ?เสี่ยวจ้านจ้านทำหน้ายู่ จมูกและตาย่นเข้าหากันแล้วอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงพูดเรื่องเรียนหนังสือขึ้นมา?เขาไม่อยากเรียนหนังสือ เขายังเป็นแค่เจ้าเด็กตัวน้อยอยู่เลย“มะ ไม่เรียน...”เสี่ยวจ้านจ้านโบกมือเล็ก ๆ เป็นเชิงปฏิเสธกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้านจ้านเด็กดี ให้ราชครูโจวสอนเจ้าอ่านหนังสือนะ เขาเป็นถึงอาจารย์ของเสด็จปู่เชียวนะ ความรู้มากมายนัก”“มะ ไม่เรียน...ข้าจะกลับบ้าน!”เสี่ยวจ้านจ้านดิ้นขาไปมา คราวนี้แม้แต่ท่านแม่ก็ไม่ต้องการให้อุ้มแล้วเขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจเหตุใดคนเราต้องเรียนหนังสือกันนะ?ซูจิ่งสิงคว้าตัวบุตรชายมา สีหน้าเคร่งขรึม “อย่างไรก็ต้องเรียนหนังสือ ถึงเวลานั้น พ่อจะหาสหายร่วมศึกษามาให้เจ้าสักสองสามคน ให้มาเรียนหนังสือกับเจ้า”“อ๊ะ!”เสี่ยวจ้านจ้านหน้าเจื่อน สลดลงอย่างสิ้นเชิงเหตุใดเขาต้องปรากฏตัวด้วย เขาอยากจะหายตัวไปเหลือเกิน“ท่านพี่ ท่านคิดจะหาเด็กคนไหนมาเป็นสหายร่วมศึกษาให้ลูกเราบ้าง?” สองสามีภรรยาล
“เข้าใจแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า“ตามต่อไปเถอะ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยกลับมารายงาน”“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์จันทราออกไปแล้ว“น้องหญิง เจ้าสงสัยว่าฐานะของหญิงสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาหรือ?”“ถูกต้อง ท่านยังจำตอนที่เราพบหญิงสาวผู้นี้ที่โรงเตี๊ยมได้หรือไม่ ตอนนั้นข้าเหลือบไปเห็นใบหน้าของนาง ดูไม่ค่อยเหมือนชาวต้าฉีเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของนางยังแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์อยู่บ้าง ยิ่งดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไป”กู้หว่านเยว่สงสัยว่าหญิงสาวผู้นั้นมาจากต่างแคว้นทว่า นางสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวผู้นั้นไม่มีวรยุทธ์“ท่านพี่ ความคิดของข้าคืออย่าเพิ่งจับนางกลับมา ให้คนคอยจับตาดูนางอย่างลับ ๆ หากมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ค่อยจับนางกลับมาก็ยังไม่สาย ไม่แน่ว่าอาจสามารถล่อศัตรูออกมาด้วยก็ได้”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง“ตกลง เอาตามที่เจ้าว่า”ความคิดของเขาเหมือนกับกู้หว่านเยว่หากสตรีผู้นี้ไม่ใช่ชาวต้าฉี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นไส้ศึกที่แคว้นอื่นส่งมาเก็บตัวนางไว้ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อให้ไส้ศึกคนอื่นปรากฏตัวออกมาได้ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน อาหารมื้อหนึ่งก็ทานหมดพอดีก