หนานหยางอ๋องและเมี่ยชิงหว่านพูดคุยอยู่ข้างในเป็นเวลาครึ่งชั่วยามครึ่งชั่วยามต่อมา เมี่ยชิงหว่านก็เดินออกมาด้วยดวงตาแดงก่ำ เดินไปหากู้หว่านเยว่“พี่หญิงหว่านเยว่ พี่ใหญ่ซู ท่านพ่อบอกให้พวกท่านเข้าไปเจ้าค่ะ เขาบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะหารือกับพวกท่าน”แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของหนานหยางอ๋องจะไม่สู้ดีนัก ทั้งยังตกอยู่ในอันตรายเหลือเวลาให้เขาคุยกับเมี่ยชิงหว่านไม่มากนัก เขาต้องรีบจัดเตรียมกำลัง ย้ายคนไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด“เกาซิ่นพาคนออกตามหาครั้งใหญ่อยู่ด้านนอก อยากออกจากลั่วอันโดยไม่เป็นที่สังเกต ยากอย่างยิ่งขอรับ”กู้หว่านเยว่เตือนว่า “ท่านอ๋องผู้เฒ่า ด้วยอาการบาดเจ็บท่านในตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเจ็ดแปดวันถึงจะเคลื่อนไหวร่างกายได้ ทั้งเส้นทางที่ต้องเดินทางยังขรุขระไม่เรียบง่าย ดังนั้น พักอยู่ที่นี่จึงดีที่สุดแล้ว”หนานหยางอ๋องกระดูกซี่โครงและกระดูกไหปลาร้าหัก เมื่อประกอบกับความชราและการฟื้นตัวที่ค่อยข้างช้า เจ็ดแปดวันถือเป็นเวลาที่ค่อนข้างเร็วแล้วเพราะอย่างน้อย ก็ต้องพักผ่อนถึงครึ่งเดือนเป็นอย่างต่ำ“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้ากังวลที่สุดหรอก”หนานหยางอ๋องมองดูกู้หว่า
ไร้ซึ่งเรื่องต้องกังวลใจ กู้หว่านเยว่ตัดสินใจออกเดินทางไปที่เมืองลั่วอันในคืนนี้ทันที ค้นหาคำตอบที่ต้องการ“ท่านอ๋องผู้เฒ่า สองวันนี้ท่านก็พักผ่อนเยอะๆ นะเจ้าคะ จำไว้ว่าอย่าดีใจหรือเสียใจจนเกินไป และอย่าลุกขึ้นนั่งหรือขยับกายมานัก จะสะเทือนถึงบาดแผล รอฟังข่าวดีจากพวกเราก็พอเจ้าค่ะ”เมื่อมองดูใบหน้าที่มั่นใจของกู้หว่านเยว่ หนานหยางอ๋องที่ตอนแรกไม่ค่อยจะมั่นใจนัก ยามนี้อดรู้สึกไม่ได้ว่ามีความหวังเพิ่มขึ้นมาบ้างแล้ว“ข้าจะอยู่ดูแลท่านพ่อ”เมี่ยชิงหว่านเหลือบมองซูจื่อชิง แสดงออกว่าไม่คิดจะตามพวกเขากลับไปที่หมู่บ้านอีก“ได้” สองพ่อลูกเพิ่งได้พบหน้ากัน หนานหยางอ๋องเองก็มีสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว เมี่ยชิงหว่านควรอยู่ที่นี่ดูแลเขาจริงๆซูจื่อชิงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย “ข้าจะอยู่ที่นี่ ดูแลท่านอ๋องผู้เฒ่าเป็นเพื่อนเจ้า”หนานหยางอ๋องเหลือบมองชายหนุ่มแล้วพูดว่า “เจ้าหนุ่ม อยากเป็นลูกเขยข้าหรือ?”“ไม่ใช่นะขอรับ!”ซูจื่อชิงตอบโต้ทันที ใบหน้าแดงก่ำโดยพลัน พึมพำตามท้ายอีกสองสามคำ“นางแค่เป็นคนี่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าเพียงอยากตอบแทนนางเท่านั้น”ไม่กล้ามองดูการแสดงออกของเมี่ยชิงหว่าน เขาเดินออกไ
บางครั้งก็เห็นคราบเลือดแห้งกรังตามข้างถนน ในตรอกยังมีเสียงผู้หญิงกรีดร้องขอความเมตตา“เมืองลั่วอันเคยเป็นเมืองที่รุ่งเรืองที่สุดในบรรดาเมืองต่าง ๆ ของแคว้นต้าฉี แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นนรกบนดิน”“เห็นได้ชัดว่าภายในเวลาไม่กี่วัน เกาซิ่นได้ปล่อยให้ลูกน้องของเขาก่อเรื่องชั่วร้ายภายในเมืองมากมายเพียงใดซูจิ่งสิงมองด้วยสายตาเย็นชา กู้หว่านเยว่ยิ่งโกรธจนแทบกัดฟันกรอด อยากจะสั่งสอนคนชั่วพวกนั้นเดี๋ยวนี้เลยเวลานี้ จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนควบม้าพุ่งตรงมาจากข้างหน้า“หลีกไป พวกเจ้าทั้งหมดหลีกไปให้พ้น!”ซูจิ่งสิงรีบดึงกู้หว่านเยว่หลบไปด้านข้าง จากนั้นทั้งสองคนก็เงยหน้าขึ้นมองเห็นเพียงทหารกลุ่มหนึ่งถือแส้ยาวอยู่ในมือ เฆี่ยนตีผู้คนตามท้องถนน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรูปโฉมของกู้หว่านเยว่ดึงดูดคนพวกนั้นหรือไม่ ชายที่เป็นผู้นำรีบขี่ม้าเข้ามา แล้วยิ้มอย่างยั่วยวนให้กับกู้หว่านเยว่“แม่นางน้อยช่างงดงามเหลือเกิน ไปเล่นสนุกกับพวกพี่ ๆ ในตรอกกันเถอะ”“ไสหัวไป!”น้ำเสียงลามกนั่นทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกขยะแขยง คนพวกนี้คงเป็นพวกที่ก่อเรื่องชั่วร้ายในเมืองลั่วอันสินะ?“เจ้ากล้าด่าข้า?” สีหน้าของชายคนนั้นเปลี่ยนไป “
“ใช่แล้ว พวกท่านรีบหนีไปเร็ว!”กู้หว่านเยว่จำภารกิจหลักของตัวเองได้ว่าคืออะไร จึงไม่อยากเสียเวลาที่นี่มากนัก ลากซูจิ่งสิงแล้วหายตัวไปทันทีที่ทั้งสองจากไป กลุ่มทหารลาดตระเวนก็รีบรุดมาถึง“แย่แล้ว ใต้เท้าหลิว ขุนพลเกาเสียชีวิตแล้ว!”หลิวซู่ที่สวมชุดขุนนางสีเขียว หันสายตาออกจากทิศทางที่กู้หว่านเยว่หลบหนี จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “คงเป็นการล้างแค้นส่วนตัว นำศพกลับไปรายงานใต้เท้าเกาก่อนเถอะ”พูดจบ หลิวซู่ก็ขึ้นม้าก่อน โดยไม่มีทีท่าว่าจะไปจับกู้หว่านเยว่เลยทางด้านกู้หว่านเยว่มองไปที่แผ่นหลังของหลิวซู่อย่างครุ่นคิด คนผู้นี้ค่อนข้างแปลก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพวกเขาหลบหนีไปทางไหน แต่กลับไม่มาจับกุมพวกเขาเมื่อเห็นว่าทุกคนไปหมดแล้ว กู้หว่านเยว่ก็หยิบแผนที่เมืองลั่วอันออกมาจากมิติ“เราไปที่คุกกันก่อน”คุกอยู่ข้าง ๆ ที่ว่าการอำเภอ เดินต่อไปสามร้อยเมตรก็จะมีบ่อน้ำแห้ง ซึ่งเป็นทางลับที่หนานหยางอ๋องสั่งให้คนขุดไว้โดยเฉพาะ สามารถทะลุออกไปนอกเมืองได้โดยตรงสองสามีภรรยาเดินทางไปยังคุก กู้หว่านเยว่หยิบผงยาออกมา ทำให้ทหารยามหมดสติจากนั้นก็ไปยังสถานที่คุมขังของคนในตระกูลเมื่อทุกคนเห็นกู้หว่านเย
หลังจากปรากฏตัว กู้หว่านเยว่ก็ไม่รอช้า ขว้างมีดสั้นออกไป ปาดคอลูกสมุนที่ไม่ได้มีความสำคัญทั้งหมดเกาซิ่นค่อนข้างเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี ก็หันหลังวิ่งหนีไปทันทีซูจิ่งสิงผลักเขากลับไป“จะ พวกเจ้าเป็นใคร?ใครก็ได้ ช่วยด้วย มีนักฆ่า!” เมื่อเห็นว่าหนีไม่ได้แล้ว เกาซิ่นจึงเริ่มตะโกนกู้หว่านเยว่ค่อย ๆ นั่งลง จากนั้นเอาขาไขว่ห้าง “ข้าแนะนำว่าอย่าตะโกนเลย ทหารยามที่อยู่ข้างนอกถูกข้าวางยาหมดแล้ว”“อะไรนะ?”สีหน้าของเกาซิ่นเปลี่ยนไป แล้วเปลี่ยนเป็นประจบประแจงขึ้นมา“ผู้กล้าทั้งสองท่าน มีอะไรก็พูดกันดี ๆ ข้าล่วงเกินท่านตรงไหนกัน โปรดอภัยให้ข้าด้วย ที่จวนข้ามีทรัพย์สมบัติมากมาย หากท่านทั้งสองชอบ ก็เชิญหยิบไปได้ตามสบาย”สมแล้วที่เป็นขุนนางคนโปรดของฮ่องเต้ ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์นี่รวดเร็วจริง ๆ เพียงพริบตาเดียวก็คิดจะติดสินบนพวกเขาเพื่อเอาชีวิตรอดแล้ว“เงินของเจ้า ข้าจะเอา แต่เจ้าต้องตอบคำถามข้าสักสองสามคำถามก่อน”กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลงกับเขา ถามขึ้นมาทันทีว่าเหตุใดฮ่องเต้สุนัขนั่นถึงลงมือกับหนานหยางอ๋องย่างกะทันหัน“เอ่อ เรื่องนี้...ข้าน้อยก็ไม่ทราบ”
หลิวซู่รีบหันกลับไป แต่กลับพบสายตาหลบเลี่ยงของเกาซิ่น ความหวังสุดท้ายของเขาก็พังทลายลง“เจ้าอย่าไปเชื่อนาง พวกเราเลี้ยงดูนางเป็นอย่างดีมาตลอด เชิญหมอหลวงในวังมารักษานางด้วย”ตอนนั้น น้องสาวของหลิวซู่ป่วยเป็นโรคร้ายแรง ต้องให้หมอหลวงรักษา เขาจึงยอมเป็นสุนัขรับใช้ของเกาซิ่น คอยทำเรื่องต่าง ๆ ให้“ข้าขอถามท่าน อาการไอของน้องสาวข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”คนตายไปหลายปีแล้ว เกาซิ่นลืมไปตั้งนานแล้วว่าอีกฝ่ายป่วยเป็นโรคอะไร จึงตอบอย่างคลุมเครือไปว่าดีขึ้นมากแล้ว“ท่านพูดจาเหลวไหล น้องสาวของข้าไม่เคยมีอาการไอ นางป่วยเป็นโรคหัวใจ!”“เอ่อ ข้าจำผิดไปหน่อย ช่วงนี้ข้าค่อนข้างยุ่ง พอกลับถึงเมืองหลวงแล้วค่อยไปดูอีกที” คำพูดของเกาซิ่นไม่มีน้ำหนักพอ หลิวซู่จึงระงับอารมณ์ไม่อยู่ ชักดาบที่อยู่ในมือออกมาแล้วแทงเข้าที่อกของเกาซิ่นทันทีเกาซิ่นมองเขาด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะล้มลงกับพื้น หลิวซู่ก็ดูเหมือนจะหมดสิ้นความหวัง เขากางแขนทั้งสองข้างออก“ข้ารู้ว่าพวกท่านเป็นคนฆ่าเกาทง พวกท่านเอาชีวิตข้าไปด้วยเลยก็ได้ ถึงอย่างไรข้าอยู่ไปก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว”สิบปีที่เป็นทาสเป็นสุนัขรับใช้ ทำเรื่องที่ขัดต่อม
หวังปี้กล่าวด้วยความกังวล “แต่สภาพร่างกายของท่านอ๋องผู้เฒ่า ไม่สะดวกที่จะเคลื่อนย้ายมิใช่หรือ?”“ไม่เป็นไร ข้าจะเตรียมรถม้าคันหนึ่ง แล้วปูฟูกไว้ข้างในจากนั้นก็เตรียมแคร่ แล้วยกท่านอ๋องผู้เฒ่าขึ้นไปก็จะไม่กระทบกระเทือนบาดแผลของท่านแล้ว”ระหว่างทางมา กู้หว่านเยว่ได้คิดถึงเรื่องนี้แล้ว กองกำลังไล่ล่าจะต้องตามมาถึงในไม่ช้า แผนการในตอนนี้ คือพวกเขาต้องรีบกลับไปที่เจดีย์หนิงกู่“ได้”ตอนนี้ หวังปี้รู้สึกนับถือกู้หว่านเยว่เป็นอย่างมาก“เจ้ามีอะไรก็สั่งข้ามาได้เลย”กู้หว่านเยว่เหลือบมองเวลา ตอนนี้เป็นเวลาสองยาม หรือก็คือประมาณสี่ทุ่มก่อนฟ้าสาง พวกเขาต้องออกห่างจากลั่วอันให้ได้“นี่คือแผนที่จากลั่วอันไปยังเจดีย์หนิงกู่ จุดต่อไปคือเมืองเย่เฉิง ขุนพลหวัง ท่านพาพวกเขาออกเดินทางไปก่อน แล้วทำเครื่องหมายไว้ระหว่างทาง เราจะพบกันที่เมืองเย่เฉิง”หวังปี้รีบรับแผนที่ กู้หว่านเยว่ก็ยื่นกำไลระบุตำแหน่งให้เขา“ท่านสวมกำไลนี้ไว้ที่ข้อมือ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ก็ห้ามถอดออกเด็ดขาด จำไว้ให้ดี!”หวังปี้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าเพ่งมอง รีบสวมมันไว้บนข้อมืออย่างว่าง่ายกู้หว่านเยว่หยิบห่อผ้าออ
ต้าซานรู้สึกเหมือนได้รับเผือกร้อน “ข้ารับไว้ไม่ได้!”“ท่านอ๋องผู้เฒ่า ปีนั้นชาวบ้านของเราถูกโจรลักพาตัวไป ขุนนางท้องถิ่นก็ไม่สนใจ ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน คนในครอบครัวของเราคงตายไปนานแล้ว ท่านคือผู้มีพระคุณของเรา พวกเรารับเงินนี้ไว้ไม่ได้!”หนานหยางอ๋องส่ายหน้า แล้วเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “รับไว้เถอะ เอาไปสร้างสถานศึกษาในหมู่บ้าน แล้วส่งเด็ก ๆ ไปเรียนหนังสือ”ต้าซานตกตะลึง น้ำตาคลอเบ้าทันทีเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เด็ก ๆ มาเยี่ยมท่านอ๋องผู้เฒ่าด้วยกัน และพูดถึงความปรารถนาที่จะได้เรียนหนังสือเหมือนเด็ก ๆ ในเมืองโดยไม่ได้ตั้งใจไม่คิดเลยว่าท่านอ๋องผู้เฒ่าจะจำใส่ใจ ต้าซานจึงไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป เขารับเงินนั้นไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านอ๋อง พวกเราจะรอท่านกลับมา เราจะเป็นประชาชนของท่านตลอดไป”“ดี ดี!” หนานหยางอ๋องขอบตาแดงเล็กน้อย“ท่านอ๋อง นี่คืออาหารที่พวกเรานำมา ท่านทานระหว่างทางนะ” ชาวบ้านต่างนำซาลาเปา มันเทศ และผักกาดขาวมาใส่ในรถม้าจนเต็มรถม้าออกเดินทางในยามค่ำคืน เคลื่อนตัวไปบนถนนอย่างช้า ๆ ชาวบ้านที่มาส่งต่างคุกเข่าลงกับพื้นกู้หว่านเยว่ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “หนานหยางอ๋
เขาโกรธจนกำหมัดแน่นเพื่อให้ทหารระบายความแค้น ก่อนและหลังโจมตีเมือง บางกองทัพจะฆ่าล้างบางชาวบ้านหนึ่งเพื่อข่มขวัญผู้คนที่อยู่ในเมืองสองเพื่อให้เหล่าทหารผ่อนคลายเพียงแต่หนางหยางอ๋องและซูจิ่งสิงปกครองอย่างเข้มงวด ไม่เคยปล่อยให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น“พวกเราไปก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ทนดูไม่ได้อีกต่อไป จึงเก็บสายตากลับมาเงียบๆตั้งแต่โบราณผู้ที่ทุกข์ร้อนในศึกสงครามก็คือชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ขณะที่ทั้งสองเตรียมจากไป จู่ๆ ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังแผ่วเบามาจากถนนสายเล็กด้านข้าง“ทางนั้นเหมือนจะมีคน”หวังปี้รีบหันมองทันที“ไป พวกเราไปดูสักหน่อย” กู้หว่านเยว่ลากหวังปี้เข้าไปตรวจดูด้วยกัน ปรากฏว่าเห็นคนสองคนล้มอยู่ในพงหญ้าบนตัวทั้งสองคนเต็มไปด้วยเลือด บนตัวมีบาดแผลจากดาบไม่น้อย“น้องเล็ก ดูจากเสื้อผ้าของพวกเขาน่าจะเป็นคนของสำนักคุ้มภัย”หวังปี้เปลี่ยนสรรพนามอย่างระวัง กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดินไปหาคนที่ขอความช่วยเหลือนางรู้สึกว่าเสียงของคนผู้นี้คุ้นหูอยู่บ้างพอดีกับที่ชายผู้นั้นเห็นว่ามีคนเข้ามา จึงรีบมองไปทางพวกกู้หว่านเยว่เมื่อทั้งสองสบตากัน ต่างชะงักไปทันใด กู้หว่าน
“พี่น้องสกุลฮั่ว เจ้าไม่เป็นไรนะ?” กู้หว่านเยว่เดินมาตรงหน้าฮั่วจี๋ แต่อีกฝ่ายยังอยู่บนหลังของหวังปี้ ไม่มีแรงลงมา“คารวะพระชายา”ฮั่วจี๋ใช้หางตาเหลือบมองกู้หว่านเยว่แวบหนึ่งท้องฟ้ามืดสลัว เขาเองก็มองไม่ชัดว่าหน้าตากู้หว่านเยว่เป็นอย่างไรแต่ว่าเขาเพิ่งเคยเห็นหญิงสาวลอบโจมตีสนามรบพร้อมกองทัพยามวิกาลเป็นครั้งแรก ในใจจึงรู้สึกนับถือมาก คำพูดที่พูดกับกู้หว่านเยว่จึงเคารพมาก“พระชายาโปรดอภัย ข้าน้อยไม่อาจลงไปคารวะด้วยตัวเอง”“แค่พิธีเท่านั้น รักษาตัวสำคัญกว่า”กู้หว่านเยว่เป็นคนในยุคปัจจุบัน จึงไม่ใส่ใจพิธีรีตองมากนักอีกอย่างพวกนางกำลังเร่งเดินทาง ไม่จำเป็นต้องให้ฮั่วจี๋ลงจากหลังหวังปี้ เพียงเพื่อทำความเคารพเท่านั้นฮั่วจี๋คุยกับกู้หว่านเยว่เพียงไม่กี่คำ พลันหลับตาลงอย่างอึดอัดบิดาและพี่ชายเพิ่งเสียชีวิต ประชาชนชาวเมืองเหยาตกอยู่ในอันตราย เขาเป็นแม่ทัพน้อยแห่งเมืองเหยา จึงไม่มีแก่ใจพูดคุยกับใครเมื่อนึกถึงกลุ่มโจรเหล่านั้นในเมืองเหยา ที่เข้ามาปล้นชิงฉุดคร่าทำให้หมัดของฮั่วจี๋ กำแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิมเขาโกรธมาก!สกุลฮั่วเฝ้ารักษาเมืองเหยามาตลอดชีวิตราษฎรเมืองเหยาคือครอบ
ฮั่วจี๋รู้สึกแค้นเคืองภายในใจเพียงเขาหลับตาลงหนึ่งข้าง เบื้องหน้าก็ปรากฏภาพศีรษะของบิดาและพี่ชายถูกห้อยอยู่หน้าประตูเมืองหากมิใช่เพราะฮ่องเต้ชั่วตัดสินใจผิดพลาด ไฉนเลยสกุลฮั่วของเขาจะตกลำบากมาถึงขั้นนี้ได้?“ก่อนกองโจรโจมตียึดครองเมืองสองสามวัน ท่านพ่อและพี่ชายได้รับข่าวมาแล้ว ตั้งใจเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ ขอความเมตตาจากฝ่าบาทเคลื่อนย้ายกำลังพลจากคูเมืองละแวกใกล้เคียงมาเพียงน่าเสียดาย ฝ่าบาทไม่สนใจพวกเราเลยแม้แต่น้อย”ฮั่วจี๋ย้อนนึกถึงความทรงจำทีละน้อย ภายในสายตาเปี่ยมไอแค้น“บิดาและพี่ชายไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงย้ายข้าออกมาก่อนเป็นอันดับแรก”ที่แท้ฮั่วจี๋ไปเลือกกำลังพลในวันนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่สกุลฮั่วสังเกตเห็นความผิดปกติตั้งแต่แรก ตั้งใจส่งเขาออกไป“ข้าไม่เต็มใจจากไป ท่านพ่อและท่านพี่สั่งให้คนตีข้าจนหมดสติตอนข้าฟื้นขึ้นมา ทั้งหมดก็สายไปแล้ว”อาจเพราะคนของสกุลฮั่วรู้ว่าไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้อีก ดังนั้นจึงต้องการเก็บสายเลือดสุดท้ายไว้ นี่ถึงส่งฮั่วจี๋ออกไป“หลานชาย”หนานหยางอ๋องถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ไม่รู้สมควรปลอบเยี่ยงไรนึกถึงตอนแรก เขาและเหล่าฮั่วสองคนต่อสู้เ
“ข้ารู้แล้ว ขอบคุณเจ้าที่ยอมเล่าให้พวกเราฟัง”กู้หว่านเยว่มองเจียงม่านมากอีกทีหนึ่ง กลับไม่ดูเบาเพียงเพราะนางเป็นสตรีในโลกีย์“ก่อนหน้านี้ข้าไม่เล่าความจริงให้พวกท่านฟัง นั่นเพราะข้าไม่สามารถแยกออกว่าพวกท่านเป็นมิตรหรือศัตรูกังวลพูดฐานะของคุณชายฮั่วออกไป จะนำมาซึ่งหายนะ”เจียงม่านคำนับกู้หว่านเยว่“ล่วงเกินไปที่ใด หวังว่าแม่นางจะให้อภัย”บัดนี้ได้เห็นกู้หว่านเยว่ออกมือช่วยเหลือฮั่วจี๋ด้วยตนเอง นางก็คือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตฮั่วจี๋ปัดเศษดูแล้ว ภายภาคหน้าก็เป็นผู้มีบุญคุณของเจียงม่านนางเฉกเดียวกัน“ไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนี้”กู้หว่านเยว่ยื่นอาหารแห้งให้นาง“ยังไม่ได้กินข้าวกระมัง รองท้องก่อนเถอะ”เจียงม่านเลียริมฝีปาก นับตั้งแต่หนีออกจากเมืองเหยา เพื่อป้องกันถูกคนพบเห็น นางเองก็ไม่กล้าพาฮั่วจี๋ไปยังที่ที่มีคนมากนางไม่กล้าไปแม้แต่โรงน้ำชาเพื่อจิบชา กลัวถูกคนรู้ฐานะนางไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว ได้เห็นอาหารแห้งตาก็ลุกวาว รีบรับอาหารแห้งไปด้วยสองมือ ขอบคุณกู้หว่านเยว่นับพันนับหมื่นครั้งทุกคนเดินไปราวระยะหนึ่ง ฮั่วจี๋ก็ฟื้นขึ้นมาหลังเขาฟื้นแล้ว หนานหยางอ๋องก็แสดงตัว พูดคุย
นางอยากเปิดบาดแผลของฮั่วจี๋ให้พวกเขาดู แต่มือสองข้างถูกมัดไว้“คุณชายถูกยิงที่อก ลูกธนูยังอยู่ข้างในเจ้าค่ะ!”หนานหยางอ๋องเลื่อนคบเพลิงเข้าใกล้อกของฮั่วจี๋ได้เห็นลูกธนูที่บาดแผลบนอกของเขาไม่ผิดไปดังคาด ถูกเกราะบังไว้ เห็นได้ไม่ชัดนัก“พระชายา ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”หนานหยางอ๋องมองทางกู้หว่านเยว่ ครั้งนี้พวกเขาออกมาเป็นหน่วยจู่โจมสายฟ้าแลบ ข้างกายมิได้พาหมอทหารมาด้วย“ไม่เป็นไร”กู้หว่านเยว่พกกระเป๋ายาติดมาด้วย ก็เพื่อรับมือในยามจำเป็นแผลถูกธนูยิงนี้สำหรับนางกลับเป็นเรื่องเล็ก“วางคนนอนราบก่อน ข้าจะดูอาการของเขา”หวังปี้รีบขยับขึ้นไป “ข้าเอง”เขามือเท้าคล่องแคล่วว่องไว แก้มัดเชือกบนตัวฮั่วจี๋ออก จากนั้นจับคนนอนราบ“เอาคบเพลิงมาอีกสองอัน ส่องสว่างให้ข้า”เพื่อป้องกันมิให้มีแสงไฟ ทำให้คนสังเกตเห็นเบาะแสดังนั้นภายในหน่วยจึงจุดคบเพลิงเพียงหนึ่งถึงสองอันหนานหยางอ๋องนำคบเพลิงสองอันมา สั่งให้คนย่อตัวถือคบเพลิงข้างกายกู้หว่านเยว่ ส่องแสงให้นางขั้นตอนการดึงธนูออกมีเลือดเล็กน้อยกู้หว่านเยว่สวมถุงมือ การกระทำเป็นขั้นเป็นตอน คีบลูกธนูที่หักออกมาก่อน ล้างแผลด้วยแอลกอฮอล์ โรยผงยาแก
หากชายคนนี้เป็นทหารเมืองเหยาจริง เช่นนั้นพวกเขาก็สามารถทำความเข้าใจสถานการณ์เมืองเหยาได้ว่าตกลงเป็นเช่นไรกันแน่“พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ พานางกลับไปก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้วมุ่น หญิงคนนี้ปากแข็งมากต้องการถามอะไรจากปากนางให้ได้ในทันที เกรงว่าคงยากนักเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกหนานหยางอ๋องรอจนร้อนใจ มิสู้พาคนทั้งสองกลับไป จากนั้นค่อยถามอย่างละเอียด“ได้!”หวังปี้พยักหน้า หยิบเชือกป่านจากทางด้านหลัง ขยับขึ้นไปมัดทั้งสองคนไว้แล้ว“ปล่อย ปล่อยพวกเรานะ!”เพราะฝ่ายชายได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป หวังปี้จึงมัดเขาได้อย่างง่ายดายส่วนเจียงม่าน นางไม่รู้วิทยายุทธ์ ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหวังปี้“ปล่อยเขา”เจียงม่านดิ้น“ข้าจะให้เงินพวกเจ้า บนตัวข้ามีเครื่องประดับ”นางเป็นห่วงชายคนนี้มาก ไม่อาจหักใจให้เขาได้รับบาดเจ็บหวังปี้ชี้เข้าที่เกราะบนตัว “เจ้าดูข้าคล้ายคนมาปล้นเงินหรือ? ข้ามาออกรบ หุบปากก่อนเถอะ รอพบแม่ทัพผู้เฒ่าของข้าเจ้าค่อยพูด”พูดจบ หันหลังมองทางกู้หว่านเยว่อย่างเคารพนบอบ“พระชายา พวกเราไป?”“ไปเถอะ”กู้หว่านเยว่กวาดตามองรอบด้าน ในละแวกนี้นอกจากสองคนนี้ ก็ไม่มีคนอื่น
หากเกิดอะไรขึ้นกับกู้หว่านเยว่ หลังกลับไปแล้วซูจิ่งสิงจะยังไม่แล่เนื้อเถือหนังเขาอีกหรือ?“ใช่ ข้าจะส่งคนสองสามคนไปดู”แม่ทัพหลี่เองก็ทำตามคำพูดของหนานหยางอ๋องกู้หว่านเยว่ส่ายหน้า แต่ไหนแต่ไรมานางไม่ชอบรอคนอยู่ที่เดิม ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็แปลกใจมากว่า เหตุใดในป่าทึบถึงมีเสียงร้องไห้ดังออกมาได้?“หวังปี้ ท่านไปกับข้าเถอะ”กู้หว่านเยว่มองทางหวังปี้ สุ้มเสียงหนักแน่นคนอื่นเห็นสถานการณ์แล้วก็หันหน้าสบตากันแวบหนึ่ง พากันพยักหน้าอย่างจนใจ“ไป”หวังปี้พยักหน้า รีบตามหลังกู้หว่านเยว่ไปหนานหยางอ๋องกลับยกมือให้กองทัพใหญ่หยุดรอฟังคำสั่งอยู่กับที่ ดูว่าตกลงสถานการณ์ข้างหน้าเป็นเช่นไรกู้หว่านเยว่พาหวังปี้เดินผ่านป่าไป ทั้งคู่มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เสียงร้องไห้ดังขึ้นมา“ระบบเจ้าเองก็อย่าอยู่เฉย ช่วยข้าดูว่าสถานการณ์ข้างหน้าเป็นเช่นไรกันแน่”กู้หว่านเยว่พูดกับระบบภายในมิติระบบอ้าปากหาว “สแกนพบว่าข้างหน้าคล้ายมีหญิงคนหนึ่งกำลังกอดชายคนหนึ่งร้องไห้”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ถัดจากเสียงของระบบ ภาพด้านหน้าก็ปรากฏต่อหน้าทั้งคู่เป็นอย่างที่ระบบพูดไม่มีผิดใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปไม่
“ได้”กู้หว่านเยว่พยักหน้าแล้วเดินจากไปเปี๊ยะอัดแท่งนี้ พวกทหารที่ไม่เคยกินมาก่อน ได้กินแล้วก็รู้สึกเอร็ดอร่อย แต่กู้หว่านเยว่กลับกินไม่ลงนางหยิบช็อคโกแลตออกจากมิติใส่เข้าปากไปหนึ่งชิ้นเพื่อเพิ่มพลังงานอย่างไรเสียก็มืดแล้ว ไม่มีใครมองเห็นหลังกินช็อคโกแลตแล้ว กู้หว่านเยว่ก็หาที่พักผ่อนแห่งหนึ่งย่อมไม่สามารถนอนหลับจนฟ้าสว่างได้กองทัพเร่งเดินทางโดยอาศัยความเร็ว หาไม่แล้วจะเรียกว่าโจมตีสายฟ้าแลบได้เยี่ยงไร?หลังพักผ่อนไปแล้วสองชั่วยาม เห็นแสงที่ขอบฟ้า กองทัพใหญ่ก็ออกเดินทางอีกครั้งเพื่อป้องกันมิให้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น ทุกคนจึงไม่กล้าจุดไฟระหว่างเดินทางทั้งหมดล้วนอาศัยไม้เท้าเดินขึ้นไปข้างหน้ากู้หว่านเยว่และหนานหยางอ๋องเดินอยู่ด้านหน้าสุด“ระบบ ช่วยข้าระวังด้วยว่าพุ่มไม้รอบข้างมีงูหรือไม่”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“หากมีงู จัดการในทันที”“นายหญิง ระบบก็ต้องพักผ่อนนะ”ระบบร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา เหตุใดให้คนทำงานทั้งวันทั้งคืนกันเล่า?“ข้าผู้ซึ่งเป็นนายหญิงของเจ้ายังไม่ได้พักผ่อน เจ้าจะพักผ่อนอะไรกัน? เร็วๆ ลุกขึ้นมาทำงาน”กู้หว่านเยว่เร่ง ระบบซับน้ำตาให้ตนเอง เปิดเ
เมื่อเห็นว่าดวงจันทร์ลอยอยู่กลางท้องฟ้า รอบกายมืดมิดลมแรง บนพื้นเองก็มองได้ไม่ชัดเจนกู้หว่านเยว่มองเข้าไปในมิติแวบหนึ่ง บัดนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว“หนานหยางอ๋อง ฟ้ามืดเกินไป เหล่าทหารเร่งเดินทางย่อมไม่สะดวกเจ้าค่ะ”เร่งเดินทางยามฟ้ามืดย่อมพลาดพลั้งได้อย่างง่ายดายในเวลานี้ ภายในป่าลึกยังมีอสรพิษมากมายนัก“มิสู้พวกเราหาที่แห่งหนึ่ง พักผ่อนสักสองชั่วยามเถอะ”รอพักผ่อนเอาแรงดีแล้วค่อยเดินทางต่อก็ไม่สายหนานหยางอ๋องพยักหน้าหลังกองทัพใหญ่ออกเดินทางจากแม่น้ำมู่ตานก็ไม่ได้พักผ่อนอีกเลยอาศัยช่วงฟ้ามืด พักผ่อนสองสามชั่วยามก็ไม่เป็นไร“ให้กองทัพใหญ่หยุด พักผ่อนอยู่กับที่ แจกจ่ายเสบียงอาหาร!”หนานหยางอ๋องออกคำสั่งกับขุนพลหลี่เหล่าหลี่ร้องตะโกนเสียงแหบ “ทหารทุกนายพักผ่อนอยู่กับที่ ดื่มน้ำ กินเสบียงอาหาร!”“ขอรับ!”ทุกคนทำตามคำสั่งของหนานหยางอ๋อง นั่งลงพักผ่อนเพื่อความสะดวก ทหารทุกคนล้วนพกอาหารแห้งและถุงน้ำแขวนไว้ข้างเอวหลังนั่งลงไปแล้ว ทุกคนก็หยิบอาหารแห้งออกจากใต้วงแขน เปิดถุงน้ำ เริ่มเพิ่มพลังงานทว่าอาหารแห้งที่พวกเขากิน มิใช่อาหารแห้งแข็งๆ อีกแต่เป็นเปี๊ยะอัดแท่งที่กู้ห