เย่ปิงเล่าต่อว่า "ท่านแม่ย่อมปฏิเสธ ด้วยเหตุผลสองประการคือ...หนึ่งไม่อยากให้ข้าน้อยเป็นอนุภรรยา แม้จะเป็นบ้านเศรษฐีก็ตาม สองข้าน้อยได้หมั้นหมายแล้วและกำลังจะออกเรือน แต่หม่าอู้ไม่สนใจ ส่งคนมาฉุดคร่าข้าน้อยไปเป็นอนุภรรยา ซ้ำยังทำร้ายเฉินกังจนบาดเจ็บต้องรักษาตัวนานหลายเดือนเจ้าค่ะ" "เฉินกังและมารดาของเจ้าไม่ร้องทุกข์หรือ?" ฉินอ๋องถาม "เรื่องนี้..." เย่ปิงเอ่ย "ข้าน้อยเคยถูกเรียกตัวไปให้การที่ศาลเจ้าค่ะ หม่าอู้สั่งข้าน้อยให้ให้การว่า ข้าน้อยสมัครใจมาอยู่กับเขาเอง หากข้าน้อยไม่ทำตาม เขาจะสังหารมารดาและน้องสาวของข้าน้อยเจ้าค่ะ" "ดังนั้นคดีฉุดคร่า จึงกลายเป็นสมัครใจเป็นอนุไป" ฉินอ๋องสรุป "ท่านอ๋องโปรดเมตตาช่วยนางด้วยขอรับ" หลิวฮั่วเอ่ยขอร้อง "ว่ายังไง? เสี่ยวหยง" ฉินอ๋องหันไปถามพระชายาที่นั่งเล่นลูกหินอยู่ "อ๊ะ...ข้าน้อยหรือ? ขอรับ" ไป๋หยงสะดุ้ง "ใช่...เจ้ามีความคิดดีๆ อะไรบ้าง" ฉินอ๋องถาม "ก็...รับนางกลับบ้านขอรับ" ไป๋หยงออกความเห็น "นางมิได้ตบแต่งกับหม่าอู้อย่างเต็มใจ แต่ถูกฉุดคร่าไป จึงมินับว่าเป็นครอบครัวของหม่าอู้...ว่าแต่นางมีบุตรกับเขาหรือ
"เจ้าคิดว่าศีรษะของเจ้าแข็งกว่าโต๊ะตัวนี้หรือไม่?" สีไคเอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม "ศีรษะของข้าย่อมไม่แข็งเท่าโต๊ะไม้เนื้อดีราคาแพง" อำมาตย์ไป๋หลงกล่าวแล้วหยักยิ้มที่มุมปาก "แต่ทว่าศีรษะของข้ามีค่ามากกว่าโต๊ะมากจนเทียบไม่ติด" "เจ้ามั่นใจ" "ข้ามั่นใจ...หากท่านต้องการตบแต่งอาเหยียนเป็นภรรยา ท่านจะทำร้ายข้ามิได้แม้แต่ปลายเล็บ เพราะข้าคือบิดาของอาเหยียน...ท่านถึงทำได้แค่ระบายโทสะใส่บานประตูและโต๊ะแทน" "เจ้าพูดถูก""แต่พวกเราสามารถมาเจรจากัน...ถ้าท่านทำให้ข้าคืนตำแหน่งเจ้ากรมหรือรองเจ้ากรมได้ ข้าจะยกอาเหยียนให้เจ้า" สีไคเหยียดยิ้ม "ได้...แต่ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง" "ข้ารอได้" อำมาตย์ไป๋หลงยิ้มกระหยิ่ม "และระหว่างรอ ข้าจะดีต่ออาเหยียนและมารดาของเขา" พอสีไคเดินจากไปแล้ว...ฟูเหรินผู้เฒ่าก็ดุบุตรชาย "อาหลง เจ้าเลอะเลือนหรือ? ถึงได้ยกบุตรชายเพียงคนเดียวให้ออกเรือนได้ เจ้าไม่ละอายต่อบรรพบุรุษตระกูลไป๋หรือ?" "ท่านแม่ โปรดใจเย็นๆ ขอรับ" อำมาตย์ไป๋หลงบอกมารดา "เรื่องสืบวงศ์ตระกูล ข้ามิได้ลืม เพราะข้ามีบุตรชายอีกสองคน" แม่ใหญ่ได้ยินก็ส่งเสียงแหลมปรี๊ด "หา...ท่านพี
บ่ายวันหนึ่ง...ฉินอ๋องพาพระชายาไป๋หยงไปเยี่ยมท่านแม่ยายกับท่านย่า พอทุกคนนั่งร่วมโต๊ะกินน้ำชากับของว่าง...อาหยูน้อยก็เอ่ยว่า "ท่านอ๋องพี่เขย...ท่านอ๋องพี่เขย... ท่านรู้หรือไม่ว่า ข้าน้อยมีพี่ชายและน้องชายเพิ่มขึ้นละ?" ฉินอ๋องเลิกคิ้วเข้มขึ้น "ทำไมถึงมีละ?" อาหยูน้อยป้องปากบอกว่า "คือท่านลุงมีท่านป้าสาม ท่านป้าสามมีลูกสองคนขอรับ" "แล้วพวกเขาชอบเจ้าหรือไม่?" "พี่ชายชอบข้าน้อยนิดดดหนึ่ง" อาหยูน้อยทำนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ โค้งเข้าหากันจนแทบจะบรรจบ "น้องชายไม่ค่อยชอบข้าน้อย เขาชอบบอกข้าว่า อีกหน่อยตระกูลไป๋ต้องเป็นของพวกเขาอย่างแน่นอนขอรับ" ฉินอ๋องจึงหันไปพูดกับนางหลิวซื่อว่า "ท่านแม่ยาย ท่านลำบากใจหรือไม่?" "ไม่เจ้าค่ะ" นางหลิวซื่อตอบ "ท่านอ๋องอย่าได้สนใจคำพูดเพ้อเจ้อของอาหยูเจ้าค่ะ" "ข้าคิดว่า...หากท่านแม่ยายอยากจะออกไปอยู่ข้างนอก ข้าจะได้ซื้อเรือนให้ใหม่" ฉินอ๋องกล่าว "ขอบพระคุณท่านอ๋องเจ้าค่ะ แต่ทว่าข้าน้อยมิได้ลำบากแม้แต่น้อย" "แล้วท่านย่าละ?" ฉินอ๋องถาม "ย่าก็สุขสบายดีเจ้าค่ะ" ท่านย่าตอบด้วยรอยยิ้ม เพื่อแสดงว่านางไม่เป็นไรจริงๆ "ขอบพ
จางจินฮัวจึงถูกขับไล่ออกจากจวนอำมาตย์ไป๋หลง แต่ไป๋หลงก็มิได้เลิกร้างกับนาง ทว่าให้นางไปพักที่บ้านนอกเมืองที่นางเคยอยู่ตามเดิม ส่วนบุตรชายทั้งสองของนางก็ถูกแม่ใหญ่สั่งให้คุกเข่าต่อหน้า แล้วกล่าวว่า "อาเหยา อาหยาง ต่อจากนี้ไปพวกเจ้าคือบุตรชายของข้า เข้าใจหรือไม่?" "ขอรับท่านแม่" อาเหยาวัยสิบขวบรับคำ แล้วก้มหน้านิ่ง...เพราะนางจางจินฮัวผู้เป็นมารดาสั่งก่อนจากไปว่าให้ทำตัวโอนอ่อนผ่อนตามความต้องการของแม่ใหญ่ เพื่อจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว รอจนกว่าเขาเติบโตขึ้นได้ครอบครองตระกูลไป๋เสียก่อน จึงค่อยคิดบัญชีกับนาง ส่วนอาหยางวัยเจ็ดขวบ มีนิสัยดื้อรั้น เขาตะโกนว่า "ท่านไม่ใช่ท่านแม่ของข้า" แม่ใหญ่ขบฟัน "อาเหยาไปกินข้าวได้ ส่วนอาหยางให้คุกเข่าอยู่ตรงนี้ จนกว่าจะสำนึกผิด" แล้วจูงมืออาเหยาเดินจากไป "อาเหยา พวกเราไปกินข้าวกันดีกว่า" อาหยางเห็นนางกับพี่ชายไปแล้ว ก็จะลุกขึ้น แต่บ่าวชายคนหนึ่งมากดไหล่ของเขาเอาไว้ "คุณชายคุกเข่าขอรับ ห้ามลุกขึ้นจนกว่าแม่ใหญ่จะอนุญาต" ไป๋เหยียนได้สติขึ้นมา ก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนฟางหญ้าในกระท่อมหลังหนึ่ง...เขาจำได้ว่า กำลังวิ่งไล่ตามเจ้
อำมาตย์ไป๋หลงกลับถึงจวน นางหม่าซื่อนั้นยืนรอต้อนรับพร้อมด้วยอาเหยา "ท่านพี่ นั่งพักดื่มน้ำชาก่อนเจ้าค่ะ" นางหม่าซื่อยิ้มแย้มต้อนรับ วาจาอ่อนหวาน อำมาตย์ไป๋หลงนั่งลงที่เก้าอี้ตำแหน่งประธาน นางหม่าซื่อก็รินน้ำชาให้ด้วยตัวเอง อาเหยาเข้ามาคำนับ และเรียกหา "ท่านพ่อ" "เด็กดี...เด็กดี..." อำมาตย์ไป๋หลงดึงตัวอาเหยาเข้ามาใกล้ แล้วลูบศีรษะอย่างเอ็นดูรักใคร่ "แล้วอาหยางละ ไปเล่นซุกซนอยู่ที่ไหน?" "อาหยางมิได้ซุกซนขอรับท่านพ่อ แต่ถูก..." อาเหยาเอ่ยถึงตรงนี้ ก็ถูกนางหม่าซื่อจับต้นแขนกระชากตัวออกไป "แงงงง...เจ็บบบบ" อาเหยาแกล้งส่งเสียงร้องไห้ดังๆ "เพ้อเจ้อ...ข้าแค่ดึงเจ้าเบาๆ เท่านั้น" นางหลิวซื่อดุเด็กน้อย แต่อำมาตย์ไป๋หลงจับมือของนางออกจากแขนเด็ก มองนางด้วยสายตาเคืองขุ่น แล้วกอดเด็กเอาไว้พลางลูบหลังปลอบโยน "อาเหยาคนดี ไม่ร้องน้า" "ขอรับ ท่านพ่อ" "เมื่อสักครู่ เจ้าว่าอาหยางทำไมหรือ?" อำมาตย์ไป๋หลงถามเด็กต่อ "อาหยางถูกท่านแม่สั่งให้คุกเข่า ไม่ให้กินข้าวขอรับ" "อยู่ตรงไหน? รีบพาพ่อไปเดี๋ยวนี้ อาเหยาจึงพาไปที่ห้องเล็กริมเรือนหลัก ..
สีไคเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็นำจดหมายของฉินอ๋องไปหาอำมาตย์ไป๋หลง "ท่านสี" อำมาตย์ไป๋หลงประสานมือทักทาย "อำมาตย์ไป๋" สีไคประสานมือตอบ "ข้านำจดหมายของฉินอ๋องมาให้ท่าน ตามที่ท่านต้องการ ท่านจงนำจดหมายนี้ไปพบเจ้ากรมการค้า แล้วตำแหน่งรองเจ้ากรมจะเป็นของท่าน" ว่าแล้วสีไคก็มอบจดหมายให้ อำมาตย์ไป๋หลงรับจดหมายไป แล้วหัวเราะอย่างดีใจ สีไคกล่าวต่อ "ข้าจะขอรับฟูเหรินรองไปที่จวนฉินอ๋อง" อำมาตย์ไป๋ถามอย่างสงสัย "มีอะไรหรือ?" "เสี่ยวเหยียนไม่สบาย เวลานี้พักรักษาตัวอยู่ที่จวนฉินอ๋อง ท่านอ๋องจึงให้ข้ามารับฟูเหรินรองไปดูแลเสี่ยวเหยียน" "อ้อ..." อำมาตย์ไป๋หลงพยักหน้ารับรู้ แล้วมิได้กล่าวอันใดอีก สีไคจึงไปรับนางฮัวซื่อให้ขึ้นรถม้าไปยังจวนฉินอ๋อง ส่วนตัวเขาขี่ม้าตามหลังรถม้าอีกที... พอไปถึงจวนฉินอ๋อง...สีไครีบนำนางฮัวซื่อไปยังห้องนอนของตนที่ตอนนี้กลายเป็นที่รักษาตัวของไป๋เหยียน นางฮัวซื่อรีบปราดเข้าใกล้ลูกชาย พร้อมกับร้องเรียก "อาเหยียน...ลูกแม่ เป็นอย่างไรบ้าง?" แล้วหันมาถามสีไค "ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? เมื่อวานตอนเช้าที่อาเหยียนออกมากับท่าน ลูกของข้ายัง
หลังจากที่นางฮัวซื่อยินยอมยกไป๋เหยียนให้ สีไคก็ขอรับหน้าที่ป้อนยาป้อนอาหารอ่อนให้แก่ไป๋เหยียน ด้วยวิธีป้อนด้วยปาก วันรุ่งขึ้นก็ส่งแม่สื่อคารมดีมาพบอำมาตย์ไป๋หลง ที่ได้ตำแหน่งรองเจ้ากรมการค้าเรียบร้อยแล้ว แม่สื่ออ้างว่า "คุณชายไป๋ป่วยหนักมาก ไม่รู้ว่าจะต้องรักษากันนานเท่าไหร่ ท่านสีเห็นว่าถ้าจัดพิธีแต่งงานในวันพรุ่งนี้เลยจะดีที่สุด ท่านสีจะได้ดูแลคุณชายไป๋ได้อย่างเต็มที่ แล้วอีกอย่าง...เรื่องที่ท่านสีรับปากท่านอำมาตย์เอาไว้ ก็ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว" "ได้...ข้ายินยอมให้ไป๋เหยียนสมรสกับท่านสีไค ให้ทางท่านสีจัดพิธีแต่งงานตามที่เห็นชอบได้" "ขอบพระคุณท่านอำมาตย์เจ้าค่ะ" แม่สื่อเอ่ยแล้วอำลากลับ พอแม่สื่อไปแล้ว...นางหม่าซื่อก็กล่าวว่า "ท่านพี่...ทำไมท่านไม่เรียกสินสอดแพงๆ?" "สินสอดเรียกไปแล้ว แล้วเขาก็ให้แล้ว" อำมาตย์ไป๋หลงกล่าว "เวลานี้อาเหยียนป่วยหนัก ให้รีบๆ แต่งออกไปน่ะดีแล้ว หากชักช้าเกิดมันตายขึ้นมา ต้องฝังในสุสานตระกูลไป๋ จะรกสุสานเสียเปล่าๆ"ฟูเหรินหลิวซื่อพาอาหยูน้อยไปเยี่ยมอาเหยียนที่จวนฉินอ๋อง...พอฟูเหรินหลิวซื่อจะกลับ อาหยูน้อยก็ขออยู่ต่อ "ท
เรื่องอาเหยียนเป็นสิทธิ์ของท่านและพี่สะใภ้รอง ข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยว แต่เรื่องอาหยงละ ท่านจะว่าอย่างไร?" ไป๋หลางถามน้ำเสียงขุ่น "เรื่องอาหยง พี่ต้องขออภัยต่อเจ้าจริงๆ...ฉินอ๋องพอใจอาหยงถึงกับทูลขอสมรสพระราชทาน พี่กับมู่ตานกล่าวคัดค้านเพียงไม่กี่คำ ฉินอ๋องก็ไม่พอใจ สั่งให้มู่ตานไปปลงผมบวชชี พี่...พี่...เฮ้อ... ช่างคับแค้นใจแทนเจ้าจนไม่อาจจะกล่าว แต่เจ้าก็ยังโชคดีที่ยังมีอาหยูอีกคน" "อาหยู...อาหยูคือใคร?" "บุตรชายคนเล็กของเจ้า น้องชายของอาหยง" "อาหยงมีน้องชายหรือ?" ไป๋หลางถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ "หรือว่า...เจ้าสงสัยอะไร?" ไป๋หลางนึกถึงวันที่ออกเดินทางไปค้าขาย...อาหยงเพิ่งหกขวบ ภรรยาของเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะตั้งครรภ์แต่อย่างไร? แล้วอาหยู...มาจากไหน? สีหน้าที่คลางแคลงของน้องชาย ทำให้อำมาตย์ไป๋หลงสบช่อง "อาหยูหน้าตาคล้ายอาหยงมาก ก็อย่างว่านะ ทั้งสองมีแม่คนเดียวกันนี่นา" ทำให้ไป๋หลางคิด...แม่คนเดียวกัน แต่อาจจะคนละพ่อ! ไป๋หลางไปคุกเข่าตรงหน้ามารดา โขกศีรษะ เรียกหา "ท่านแม่...ข้ากลับมาแล้ว" "อาหลาง...เจ้าไปนานมาก รู้หรือไม่ว่าลูกเมียลำบาก
องครักษ์ซ้ายเจาหู่มาขอพบพระชายาไป๋หยงเป็นการส่วนตัว “มีธุระอะไรกับข้าหรือ?” พระชายาไป๋หยงถาม พลางใช้ช้อนสามง่ามทองคำจิ้มผลไม้ที่ปอกและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำอย่างสวยงามพูนจาน เข้าปากอย่างชื่นใจ “น้อมเรียนพระชายา คือข้า…ข้าน้อยอยากจะขอกู้เงินพระชายาขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่พูดตะกุกตะกัก “ต้องการเท่าไหร่?” “ห้าร้อยตำลึงเงินขอรับ” “เอาไปทำอะไร?” พระชายาหนุ่มน้อยวางช้อนสามง่ามทองคำในมือลง “คือว่า…ข้าน้อยชอบเซียวมี่ขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่เอ่ยแล้วยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก “ชอบเซียวมี่?” “ขอรับ” “แล้วเกี่ยวอะไรกับเงินห้าร้อยตำลึง?” “คือว่า…เดิมทีเซียวมี่เป็นคนในจวนราชครูมู่สง ต่อมาราชครูมู่สงยกเซียวมี่ให้เป็นบ่าวของพระชายา แต่บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ยังคงเป็นบ่าวอยู่ในจวนราชครู พอตระกูลมู่ของราชครูต้องโทษประหารทั้งครอบครัว บ่าวไพร่ถูกขายทอดตลาด บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ก็ถูกขายทอดตลาดด้วย ทางการให้พ่อค้าทาสเหมาทั้งหมดไปขายอีกต่อหนึ่ง ข้าน้อยไปเจรจากับพ่อค้าทาสแล้ว เขาจะยอมขายยกครอบครัวให้ข้าน้อยในราคาห้าร้อยตำลึงขอรับ
องครักษ์บู๊สงพาองค์ชายหกหลี่เฟิง เดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ค่ำไหนนอนนั่น คืนนี้…ทั้งสองพักในศาลเจ้าร้าง บู๊สงได้หากิ่งไม้แห้งจากรอบ ๆ ศาลเจ้า มาก่อกองไฟเล็ก ๆ เพื่อให้ไออุ่น องค์ชายหกมองเทวรูปดินปั้นที่ตั้งอยู่ด้านในสุด แล้วคุกเข่าลงพนมมืออธิษฐาน…ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็อธิษฐานเสร็จ “องค์ชาย…ท่านอธิษฐานอะไร?” บู๊สงถาม เพราะตลอดหลายวันมานี้องค์ชายเอาแต่ร้องไห้ ทว่าวันนี้กลับไม่มีน้ำตา องค์ชายวัยสิบสองเม้มปากตอบว่า “ข้าอธิษฐานว่า…ขอให้ข้าตายง่าย ๆ ตายไว ๆ” บู๊สงอึ้ง “ทำไมถึงได้อธิษฐานเช่นนี้?” “ข้าสับสนมาก…แต่ก่อนเสด็จแม่บอกกับข้าว่า คนอื่นล้วนเป็นคนไม่ดี ทว่าพอข้าถูกกักบริเวณ ทั้งขันที ทั้งนางกำนัล ล้วนกล่าวว่าเสด็จแม่เป็นคนไม่ดี แม้แต่…เสด็จย่า…ก็ว่าเสด็จแม่ไม่ดี“ องค์ชายน้อยเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าอยากรู้ความจริง ว่าตกลงเสด็จแม่เป็นคนไม่ดีจริง ๆ หรือ?” “องค์ชาย…สตรีที่เข้ามาอยู่ในวังหลัง ก็เปรียบเสมือนบุรุษออกสู่สมรภูมิ ต่างต้องช่วงชิงการมีชีวิตรอด ไม่เป็นตัวของตัวเอง…ข้าไม่อาจบอกต่อองค์ชาย ว่าฮองเฮาหยางเซียงร้ายหรือดี เพราะว่าข้าเพียงได้ฟังเขาเล่าต
หลังจากเรื่องราวในบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ฮ่องเต้น้อยหลี่เจินขึ้นครองราชบัลลังก์ โดยมีฉินอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และมหาเสนาบดียกทัพปราบหม่าฟู่เจ้าเมืองชิงซานแล้วเสร็จ สีไคก็จะเดินทางกลับแคว้นเว่ย ซึ่งเป็นแคว้นตอนใต้ของอาณาจักรต้าเป่ยและอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักรจงกั๋วฉินอ๋องจึงจัดงานเลี้ยงส่ง…โดยมีแขกผู้รับเชิญเป็นครอบครัวของท่านแม่ยายนางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู และอาโหยว ส่วนท่านย่านั้น นางขอตัวเพราะไม่สะดวก (อยากนอนพักกลางวัน) และท่านน้าบัณฑิตหลิวฮั่ว ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอำมาตย์ตรี หัวหน้ากองเอกสารของกรมการค้า ฉินอ๋องจึงถือโอกาสจัดงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งให้อำมาตย์หลิวฮั่วด้วย อำมาตย์หลิวฮั่วได้พาฟูเหรินเย่หว่านมางานด้วย ฟูเหรินเย่หว่าน (หว่านหว่าน) นั้นกำลังตั้งครรภ์ได้ห้าเดือน ดวงหน้างดงามอิ่มเอิบ อาหยูน้อยที่ได้นั่งข้างๆ เย่หว่าน มองท้องที่นูนขึ้นของนาง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่หว่านหว่าน…” อาหยูน้อยยังไม่ได้ถามต่อ ก็ถูกนางหลิวซื่อว่ากล่าว “อาหยู…ต้องเรียกว่าท่านน้าสะใภ้ ไม่ใช่พี่หว่านหว่าน” “ไม่เป็นไรค่ะ” เย่หว่านตอบนางหลิว
นางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู อาโหยว และเฉียวซาน (อาจารย์และองครักษ์ของอาหยูอาโหยว) ถูกรับมาอยู่จวนของฉินอ๋องตั้งแต่ตอนบ่าย พอวันรุ่งขึ้น…กองทัพขององค์ชายห้าหลี่เหิงตีเข้าเมืองหลวงมา ก็แยกเป็นสองขบวน ขบวนหนึ่งโจมตีวังหลวง อีกขบวนหนึ่งโจมตีจวนฉินอ๋อง ครั้นประตูจวนต้านไม่อยู่ ทหารของราชครูมู่สงบุกเข้ามา…ไป๋หยงก็ตรวจนับคนที่ตนจะพาออกไปทางลับด้วยกัน ก็เห็นว่าขาดอาเหยียนกับป้าไช่ จึงถามนางฮัวซื่อว่า “ท่านน้า…พี่เหยียนอยู่ไหน?” (ตั้งแต่รู้ว่า อาเหยียนเป็นบุตรของทั่นฮวาเฉินอวี้ ไป๋หยงก็เรียกนางฮัวซื่อว่าท่านน้า แทนที่ท่านป้าสะใภ้รอง) “อาเหยียนไปตามหาป้าไช่ที่โรงครัว” “ทำไมมาแยกตัวออกไปตอนหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ด้วย” ไป๋หยงบ่นอย่างไม่พอใจ แต่ก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไปตามพี่เหยียนกับป้าไช่ ทุกคนรออยู่ในห้องนอนใหญ่อย่าได้แยกย้ายไปไหนเป็นอันขาด” แล้วคว้ากระบี่ติดมือ มุ่งหน้าตรงไปยังโรงครัวทันที แต่ระหว่างทางพบเข้ากับราชครูมู่สง จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น “ข้าจะจับพระชายาไปแขวนที่กำแพงเมืองให้ฉินอ๋องดู” ไป๋หยงไม่ตอบว่าอะไร แต่ตั้งอกตั้งใจใช้เพลงก
ที่จวนของโหราจารย์ คืนนั้น…โหราจารย์รู้สึกจิตใจไม่สงบ เขาได้รู้ข่าวการตายอนาถของขันทีปลอมเกาซ่ง ฮองเฮาถูกปลดจากตำแหน่งและขังอยู่ที่ตำหนักเย็น เขาก็เกรงว่าภัยจะมาถึงตัว แล้วพอเข้าห้องนอน ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งยืนรออยู่ในห้องนอนด้วย “ใคร?” โหราจารย์ถาม “คนที่เจ้าทำนายว่า…เกิดใต้ดาวพิฆาตอย่างไรล่ะ” “ฉิน…อ๋อง…” เสียงของโหราจารย์สั่นสะท้าน “ความจำของเจ้ายังดีอยู่” ฉินอ๋องตอบ “ท่านอ๋อง…ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ ท่านมาหาข้าน้อย ต้องการจะให้ทำนายเรื่องใดหรือขอรับ?” “ไม่มีอะไร…ข้าเพียงแค่มาส่งเจ้าเดินทางไกล (ตาย) เท่านั้น” ฉินอ๋องเอ่ยเสียงเย็นยะเยียบ โหราจารย์จึงตัดสินใจวิ่งหนี แต่ช้าเกินไป เพราะเพิ่งจะขยับตัว ก็ถูกสะกัดจุดเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว และไม่สามารถพูดออกเสียงได้ ได้แต่ขยับปาก โดยไร้สุ้มเสียง… พอรุ่งเช้า…บ่าวรับใช้ในเรือนของโหราจารย์ที่มีหน้าที่เข้ามาจะปรนนิบัติ ก็พบว่าโหราจารย์ได้แขวนคอตายอยู่ในห้องนอน! สามวันต่อมา… อดีตฮองเฮาหยางเซียงก็ได้รับพระราชทานยาพิษจากไทเฮา พร้อมกันนั้น คนตระกูล
เวลาบ่าย…สนมหม่าซู่ซู่ได้เชิญเสด็จฮ่องเต้ออกมาพักผ่อนที่อุทยานหลวง เกาซ่งขันทีคนสนิทของฮองเฮา ซึ่งหายจากอาการบาดเจ็บราวเจ็ดส่วน (เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์) ได้รับข่าวจากสายของตน ก็รีบนำมารายงานฮองเฮา “เหนียงเหนียง (พระนาง) ยามนี้ฮ่องเต้เสด็จลงอุทยาน นับเป็นโอกาสอันดีพ่ะย่ะค่ะ” “โอกาสอะไร?” ฮองเฮาตรัสถาม “ปกติสนมคนโปรดจะกีดกันผู้ที่จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่พระตำหนักหลวง แต่ในอุทยาน เหนียงเหนียงหาโอกาสเข้าเฝ้า แล้วทูลขอตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพื่อจะได้ว่าราชการหลังม่าน ซึ่งฮ่องเต้จะได้มีเวลาพักผ่อนตามสบายพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “เวลานี้ไทเฮาก็ทรงทำหน้าที่นี้อยู่มิใช่หรือ?” “เหนียงเหนียง อย่าลืมสิ ว่าพอไทเฮาออกว่าราชการ ฉินอ๋องกับพรรคพวกก็กำจัดองค์หญิงเหลียนฮัว แล้วเป้าหมายต่อไปของพวกเขาต้องไม่พ้นเหนียงเหนียงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “ชิงลงมือก่อนได้เปรียบนะพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกต้อง…คนแรกที่เราจะต้องกำจัดก็คือฉินอ๋อง” ฮองเฮาขบฟันตรัสแต่แผนการณ์ของฮองเฮาพังพินาศ…เพราะหม่าซู่ซู่เสแสร้งว่าถูกฮองเฮาผลักล้มและเกือบแท้งบุตร หม่าซู่ซู่และหม่าเต้า (หม่าเต้าเป็น
ดังนั้น…พอฉินอ๋องเสนอกลางท้องพระโรงว่า ให้เชิญไทเฮาออกว่าราชการแทนฮ่องเต้ เหล่าขุนนางก็มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย จึงมีการนับคะแนนเสียง ซึ่งปรากฏว่า…ขุนนางที่เห็นด้วยมีมากกว่า จึงมีการเข้าชื่อถวายฎีกาไทเฮา ผู้ที่นำฎีกาเข้าไปถวายไทเฮาที่พระตำหนักของไทเฮา คือฉินอ๋อง มหาเสนาบดี และเจ้ากรมพิธีการ ไทเฮาตรัสถามว่า “ฮ่องเต้ไม่เสด็จออกว่าราชการนานเท่าไหร่แล้ว?” “กว่าสามเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉินอ๋องทูลตอบ ไทเฮาจึงทรงเรียกหมอหลวงมา แล้วเสด็จไปยังพระตำหนักหลวงที่ประทับของฮ่องเต้ พร้อมด้วยฉินอ๋อง มหาเสนาบดี เจ้ากรมพิธีการ และหมอหลวง ขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ไม่กล้าขัดขวางไทเฮา ไทเฮาจึงนำทุกคนเข้าไปถึงห้องบรรทม เห็นฮ่องเต้บรรทมหลับอยู่บนพระแท่นบรรทม “หมอหลวงจงตรวจพระอาการของฮ่องเต้” ไทเฮาทรงออกคำสั่ง หมอหลวงทำการตรวจพระวรกายของฮ่องเต้ แล้วทูลไทเฮาว่า “ฮ่องเต้ทรงพระประชวรพ่ะย่ะค่ะ เพราะพระชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ ทั้งพระวรกายยังมีกลิ่นสมุนไพร เหมือน…” หมอหลวงทูลไม่ทันจบ…ฮ่องเต้ก็ทรงตื่นบรรทม และทรงเอะอะลั่น “พวกเจ้าเป็นใคร?” “แม่เอง” ไทเฮาตรัส “แ
อาเหยียนเตรียมพร้อมรับมือ…พอราชทูตเหอหู่เข้ามาในรัศมีของแขนปุ๊บ อาเหยียนก็ทิ่มนิ้วเข้าใส่ดวงตาที่เป็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายปั๊บ แต่ราชทูตเหอหู่นั้นมีวรยุทธ์ จึงหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย ซ้ำคว้าข้อมืออาเหยียนแล้วกระชากให้เซถลาเข้ามาในอ้อมอก กะจะกอดรัดให้หนำใจ ทว่าไหล่ของราชทูตเหอหู่กลับถูกมือแกร่งกระชากไปด้านหลังและทุ่มลงกับพื้น ตามมาด้วยตีนใหญ่ๆ ของนางกำนัลร่างยักษ์เหยียบอยู่บนหลัง ทำให้เขาไม่สามารถขยับเขยื้อน ส่วนร่างบอบบางที่ถลาเพราะแรงกระชาก ก็ถูกสีไคคว้าไปกอดเอาไว้ด้วยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งลูบไล้แผ่นหลัง “โอ๋ๆ ไม่ต้องกลัวน้า เมียจ๋า” “ปล่อยข้า” อาเหยียนตวาดเบาๆ “แหม…แค่นิดเดียวเอง” สีไคบ่นเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยอาเหยียนโดยดี “เจ้าๆๆ…” ท่านราชทูตใต้ฝ่าเท้าส่งเสียง “ยังไม่รีบปล่อยข้าอีก” “ทำไมข้าต้องปล่อยเจ้าด้วย?” “ถ้าเจ้ากล้าทำร้ายข้า คนของข้าข้างนอกกระโจม จะต้องเข้ามาสับเจ้าเป็นร้อยเป็นพันชิ้น” “อุ๊ยต๊ายตาย…กลัวซะที่ไหน” สีไคเอ่ย “คนของเจ้าถูกคนของข้าสังหารหมดแล้ว ไม่เชื่อเจ้าก็ลองเรียกดู” “ทหารๆๆๆ…” ไม่มีใครโผล่เข้ามาแม้แต่คนเดียว
ในพระราชวังหลวง…ที่เรือนของท่านชายเฉินเหยียน… เจ้ากรมพิธีการหวงฟงได้พาราชทูตแห่งซีเซี่ยเหอหู่ มาเยี่ยมคำนับท่านชายเฉินเหยียน พอแนะนำตัวและคารวะกันเรียบร้อยแล้ว เจ้ากรมพิธีการหวงฟงก็เป็นคนเริ่มเปิดฉากสนทนาก่อน “ท่านชายเฉินเหยียน…ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้ท่านชายเดินทางไปซีเซี่ยพร้อมกับท่านราชทูตเหอหู่ เพื่อสมรสกับองค์หญิงอันอัน เป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีของสองประเทศ…นี่ขอรับราชโองการ” กล่าวจบ เจ้ากรมพิธีการหวงฟงก็ยื่นม้วนราชโองการให้อาเหยียน “ข้าต้องทำเช่นไร?” อาเหยียนถาม เขาไม่ได้ตกใจ เพราะว่าสีไคได้นำเรื่องนี้มาบอกแก่เขาก่อนแล้ว “ท่านชายก็แค่ทำใจให้สบายและเตรียมตัวให้พร้อมเท่านั้นขอรับ ส่วนเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนเครื่องประดับมีค่าและเงินทองที่จำเป็น ทางกรมพิธีการจะจัดการให้ขอรับ” หวงฟงตอบ “แล้วจะออกเดินทางเมื่อไหร่?” อาเหยียนถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ “อีกเจ็ดวันขอรับ” ราชทูตเหอหู่เป็นผู้ตอบขึ้น “ทำไมเร็วอย่างนี้” “ฮาๆๆ…หากท่านชายได้เห็นองค์หญิงอันอัน จะตำหนิว่าช้าไปเสียด้วยซ้ำ” ราชทูตเหอหู่พลางยื่นม้วนภาพวาดให้แก่อาเหยียน