แม้การค้าขายทาสจะไม่ผิดกฎหมายเหมือนยุคปัจจุบัน แต่แคว้นต่างๆ ก็ไม่กล้าเปิดหน้าทำลายภาพลักษณ์ของตน หากอยากซื้อทาสก็ไปตลาดขายทาสใต้ดิน เพราะว่าเป็นนักรบเกราะดำ หออวี้หลิ่วถึงขั้นเอาชื่อเสียงมาแลกหรือว่ามีอะไรมากกว่านั้นที่นางไม่รู้นางเคยเป็นเด็กกำพร้า ถูกทอดทิ้ง ทนกับความหิว เอาชีวิตรอดสารพัดรูปแบบ แต่ละวันคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีข้าวกิน ชาติก่อนเมื่อเห็นเด็กไร้บ้านข้างถนนนางจึงอ่อนไหวเป็นพิเศษ หญิงสาวมองสีหน้าของแต่ละคนดูไม่แปลกใจกับเหตุการณ์นี้ ก็เข้าใจทันทีว่าเรื่องอย่างนี้คงเกิดขึ้นบ่อยครั้งนางรู้สึกเสียใจที่คนใกล้ตัวทำเรื่องแบบนี้ได้ลงเพียงเพราะเงินอย่างเดียวหลี่หลิงเฟิ่งรับไม่ได้!“ร้อยล้านตำลึงทอง” มีคนเริ่มเสนอราคากันแล้ว ค่าตัวทาสนักรบคนนี้สูงมากอย่างที่คาดคิด“เจ็ดร้อยล้าน...”“สามหมื่นล้าน...”“หนึ่งแสนล้าน...”เพียงไม่กี่อึดใจทั่วทั้งโถงประมูลร้อนระอุ ผู้คนทุกระดับชั้นต่างแย่งกันปั่นราคาจนพุ่งสูงถึงหลักแสนล้าน คู่แข่งจึงลดลงไปมาก ตอนนี้จึงเหลือเพียงเหล่าตระกูลเก่าแก่ที่ยังเอ่ยปากเสนอราคาไม่หยุด“หนึ่งล้านล้านตำลึงทอง!” ตระกูลกวนพูดขึ้น“สองล้านล้านตำลึงทอง” ตามด้วยตระ
ท้องถนนโล่งผู้คนบางตา รถม้าวิ่งมาจอดหน้าประตูจวนเร็วกว่าตอนขาออกไปหนึ่งเค่อ หญิงสาวลงจากลงรถม้า ด้านหน้ามีเสี่ยวเซียงถือโคมไฟรออยู่ เหลียงเฉินทำหน้าที่สารถีก่อนหน้านี้ยื่นเชือกให้กับบ่าวรับใช้หน้าจวน จากนั้นพยุงนักรบเกราะดำเดินตามหลังหลี่หลิงเฟิ่งคืนนี้พวกนางได้เงินมาไม่น้อยราวๆ ห้าหมื่นล้านตำลึงทอง ในใจหลี่หลิงเฟิ่งเต็มไปด้วยความสุข ทว่า ก็สุขไม่สุดเมื่อหญิงสาวนึกถึงเรื่องของบุรุษที่นางประมูลมาพี่ใหญ่กับพี่รองรู้เรื่องนี้หรือไม่ หากพวกเขารู้อยู่ก่อนแล้วนางต้องรู้สึกอย่างไร หรือว่านางไม่ใช่คนของโลกนี้ตั้งแต่แรกจึงรู้สึกแปลกอยู่คนเดียวกฎเกณฑ์ของที่นี่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงตลอดกาล หญิงสาวควรทำตัวให้ชินใช่หรือไม่ ไม่! นางไม่ยินยอม!“พี่ใหญ่กลับมาแล้วหรือ” กลิ่นอันคุ้นเคยแตะเข้าจมูกของหลี่หลิงเฟิ่ง ฝีเท้าชะงัก หันมองเข้าไปยังเรือนหลังหนึ่ง พึมพำกับตัวเองเสียงเบาเมื่อเพ่งกระแสจิตเข้าสำรวจกลับไม่พบลมหายใจของสิ่งมีชีวิต นางสั่นศีรษะเรียกสติ ก้าวเดินต่อไปยังเรือนของตนอาจเพราะสะเทือนใจเลยนึกถึงหลี่เฟยหยางขึ้นมา เดินเหม่อมายังเรือนของเขาเสียได้ ตอนนี้พี่ใหญ่อยู่เมืองหลวงจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่
“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้ มีวิธีมากมายที่ให้เจ้าแสดงความภักดีต่อข้า” นางเคยอ่านเจอในตำราที่ปฐมาจารย์เทพโอสถทิ้งไว้ พอรู้ความหมายอยู่บ้างหลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจ ตักน้ำทิพย์ขึ้นมาโถใหญ่ ยื่นให้ชายหนุ่มตรงหน้า กระทำทุกอย่างไม่เกรงกลัวว่าอีกฝ่ายจะพบความลับของนาง“ดื่มให้หมด อย่าให้เหลือ” อันที่จริงตำราที่นางอ่านเพียงบันทึกไว้แบบผิวเผินเท่านั้น วิธีสาบานตนของชายหนุ่มนั้นไม่เพียงหมายถึงมอบชีวิตให้แก่หญิงสาว แต่หมายถึงทั้งหมดของเขาที่ชายหนุ่มทำลงไปนั้นมีเหตุผลและไม่ได้คิดมากแต่อย่างใด ยาลูกกลอนก่อนหน้านี้มีปฏิกิริยาบางอย่างกับร่างกายของเขาจริง เพียงแต่น้อยมากจนสังเกตไม่ได้ ในเมื่อเดินไปทางขวาก็ตาย ซ้ายก็ไม่รอด หากว่าหลี่หลิงเฟิ่งสามารถช่วยยื้อชีวิตเขาได้จริง เช่นนั้นชีวิตของเขาย่อมเป็นของนางปุ้ง!“บ้าไปแล้ว” หลี่หลิงเฟิ่งอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา รีบสร้างเกราะกำบังรอบกายทันที พลังยุทธ์แผ่ซ่านออกมาจากตัวชายหนุ่ม จากศูนย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พละกำลังเริ่มกลับมาทีละน้อย จิตใจที่เหือดแห้งราวกับถูกน้ำหล่อเลี้ยงจนฟื้นคืนพลังยุทธ์ไต่ขึ้นเรื่อยๆขั้นหลอมรวมขั้นพิภพขั้นพิภพระดับกลาง...
ราตรีกาลมืดมิดกลบซ่อนเงาจันทรา แสงดาวมืดหม่นไม่ส่องแสงสว่างดังเช่นทุกค่ำคืนที่ผ่านมารถยนต์สีดำคันหนึ่งพุ่งทะยานสู่เบื้องหน้าด้วยความเร็วบนถนนสายหลักใจกลางเมืองหลวง ก่อนที่จะหยุดลงตรงหน้าตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในเมืองปักกิ่งสีหน้าคนขับที่อยู่บนรถเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนขมับทั้งสองข้าง มือทั้งสองที่กำพวงมาลัยอยู่เกร็งแน่น ต่างจากน้ำเสียงที่ราบเรียบสงบนิ่งราวอยู่ในใต้น้ำลึก แผ่วเบาและเฉียบขาด“คาดว่าเป้าหมายอยู่ชั้น 21 ห้อง 13 ฝั่งซ้าย และห้อง 7 ที่ติดกับลิฟต์ มีเวลา 15นาทีก่อนที่ตึกจะถล่ม” อุปกรณ์สื่อสารส่งผ่านเสียงทุ้มเย็นยะเยือกให้กับผู้บังคับบัญชาสามคนที่อยู่บนตึก“ความเป็นไปได้อยู่ที่เท่าไหร่” เสียงเรียบนิ่งดั่งสายน้ำของหญิงสาวผู้หนึ่งดังมาตามสาย หากแต่ยังขาดความรู้สึกราวกับไม่แยแสสถานการณ์คับขันนี้“9 ใน 10 นี่เป็นภารกิจสุดท้ายของพวกเรา อย่าให้พลาดเป็นอันขาด แอลไปห้อง 13 ส่วนที่เหลือไปห้อง 7” ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาจากปลายสาย แต่ทั้งสามบนตึกก็วิ่งเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนเบาะรถอย่างหมดเรี่ยวแรงพลางหลับตาแน่น ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายม
ณ แคว้นหลิวอวิ๋น จวนเจ้าเมืองตระกูลหลี่ยามจื่อ*เรือนชิงหวา'อึก'หายใจไม่ออก หญิงสาวดิ้นพล่านพยายามหลุดออกจากมือเรียวที่กำอยู่รอบคอของนาง ปากเล็กอ้ากว้างเพื่อสูดอากาศหายใจ แต่ก็ไม่สำเร็จ สองมือน้อยๆ ยกขึ้นผลักสตรีที่อยู่ด้านบนลำตัวอย่างสุดแรง นางพยายามส่งสายตาเว้าวอน หวาดกลัว ท้อแท้ และสิ้นหวัง แต่ที่มากกว่านั้นคือความไม่เข้าใจ เหตุใดสตรีนางนี้ถึงต้องการให้นางตาย หัวใจดวงเล็กๆ เจ็บแปลบเหลือแสน พวงแก้มทั้งสองข้างเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา"นางสารเลว ทำไมไม่ตายๆ ไปสักที เลี้ยงเจ้าไปก็เสียข้าวสุก แพศยาไร้ค่าอย่างเจ้า ควรจะตายๆ ไปซะ! " เสียงแหลมสูงดังขึ้นราวกับคนไร้สติอยู่ข้างหูของสาวน้อย ใบหน้าที่เคยอ่อนหวาน เคยมองนางด้วยความอ่อนโยน ยามนี้กลับบิดเบี้ยวจนไม่เหลือเค้าความงามอีกต่อไปหลี่หลิงเฟิ่งเด็กสาวอายุราวๆ สิบสองสิบสามปีไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน ก่อนหน้านี้เด็กสาวก็ป่วยติดเตียงมาสามวันเนื่องจากถูกผลักตกน้ำ กำลังอันน้อยนิดไหนเลยอาจหาญสู้กับหญิงผู้มีเรี่่ยวแรงเต็มเปี่ยมนี้ได้ นางได้แต่หวังว่าเสี่ยวเซียงสาวใช้คนสนิทจะเข้ามาพบและดึงสตรีเสียสติผู้นี้ออกไปเสีย"ฮ่าๆๆ เจ้าควรจะไปอยู่ในปรโลกตั้งนานแ
อาณาจักรหลิวเฟิง แผ่นดินนี้ไม่ใช่ดินแดนที่หลี่หลิงเฟิ่งรู้จัก ที่นี่ไม่เคยปรากฎขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์มาก่อน ถูกครอบครองด้วยผู้ฝึกพลังยุทธ์อาณาจักรหลิวเฟิงแบ่งออกเป็นสี่แคว้นใหญ่ แคว้นตงเยว่ แคว้นจวิน แคว้นหลิวอวิ๋น และแคว้นเหลียน แต่ละแคว้นมีเมืองในเขตปกครองที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อแคว้นใหญ่อีกแปดเมือง โดยชื่อเมืองจะตั้งตามจวนตระกูลของเจ้าเมือง ซึ่งตระกูลหลี่เป็นตระกูลเจ้าเมืองหลี่และยังเป็นเมืองในปกครองของแคว้นหลิวอวิ๋น แผ่นดินของอาณาจักรหลิวเฟิงมีรูปลักษณ์เป็นวงกลม ตำแหน่งเขตแดนทั้งสี่แคว้นจะกั้นด้วยป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรดุร้าย ใจกลางอาณาจักรปกคลุมไปด้วยป่าทมิฬกาลและมีเทือกเขาลับแลที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรหายากและอันตราย เทือกเขาแห่งนี้ยังไม่เคยมีผู้ใดเหยียบย่างเข้าไปแล้วได้ออกมาเลยสักคน ล้วนแต่สังเวยชีวิตที่ป่าแห่งนั้นทั้งสิ้นยามลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกแห่งใหม่ครั้งแรกหลี่หลิงเฟิ่งอยู่ในจวนเจ้าเมือง เพียงแต่เช้าวันรุ่งขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งถูกฮูหยินใหญ่ขับไล่ออกมาจากจวนให้มาอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ทางฝั่งตะวันออกใกล้กับป่าอัศดงซึ่งคั่นอยู่ระหว่างกลางแคว้นหลิวอวิ๋นและแคว้นจวิน เล่าลือกันว่าป่าแห่
แสงจากดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว บริเวณรอบด้านปกคลุมไปด้วยความมืดมิด คล้ายว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเท่านั้น แต่ก็ราวกับผ่านไปเนิ่นนานเช่นเดียวกัน เรื่องทั้งหมดคล้ายดั่งความฝันตื่นหนึ่งของนาง ถ้าหากนางไม่ได้ยินเสียงอ้อแอ้ที่ดังอยู่ในหัวปลุกให้นางตื่นขึ้นมาตอนนี้หลี่หลิงเฟิ่งค่อยๆ ลืมตาช้าๆ แวบแรกที่เห็นก็คือสถานที่อันเวิ้งว้างและแห้งแล้งเหมือนทะเลทราย แต่ว่ามีขนาดเล็กประมาณห้องเก็บฟืนในเรือนของนาง ใกล้ๆ นางมีต้นไม้เหี่ยวเฉารอวันตายอยู่ต้นหนึ่งข้างโขดหิน ถัดไปอีกไม่ไกลมีบ่อน้ำ เอ่อ...ไม่ควรเรียกว่าบ่อ เรียกมันว่าแอ่งจะเหมาะสมกว่านี่...นี่คือก้นหุบเหวอย่างนั้นหรือ ช่างแตกต่างจากที่นางคิดไว้โดยสิ้นเชิง หรือว่าตอนนี้นางเป็นวิญญาณอยู่ในปรโลกกันนางจำได้ว่าครั้งสุดท้ายนางโดนวิหคเพลิงโจมตีที่หน้าอก แต่ตอนนี้นอกจากไม่เจ็บปวดแล้ว บาดแผลฉกรรจ์ก็หายไปด้วย ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าไม่ติดตรงที่นางเห็นรอยเสื้อขาดตรงอกและรอยเลือดที่เปื้อนอยู่ตามตัว“นายท่าน ในที่สุดท่านก็ฟื้นสักที ที่นี่ไม่ใช่ทะเลทรายและท่านยังไม่ตาย จิตของท่านแค่เข้ามาในมิติ ภายนอกจะดูเหมือนว่าท่
วันเวลาไม่คอยท่า ในเมื่อมีหนทางเปิดให้นางเดินแล้วมีหรือคนอย่างนางจะไม่เลือกเดิน หลี่หลิงเฟิ่งกัดผลจิตวิญญาณพร้อมกับวักน้ำทิพย์ในแอ่งขึ้นมาดื่มหนึ่งอึกจู่ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวทั้งกายก็ถาโถมเข้ามาใส่ร่างของนางราวกับมีดนับพันเล่มเฉือนเนื้อนางออกเป็นชิ้นๆ กระดูกของนางราวกับถูกค้อนทุบจนแหลกละเอียด นอกจากความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านี้แล้ว นางยังรู้สึกถึงพลังรุนแรงสองขุมต้องการจะทะลักทะลวงออกมาจากอก ทั้งร้อนรุ่มทั้งเย็นสบายช่างทุกข์ทรมานจริงหนอ นางอยากละทิ้งความตั้งใจที่มีแต่เดิม แต่ก็รู้ถึงผลแห่งความล้มเหลวว่าจะเป็นอย่างไรหลี่หลิงเฟิ่งรู้ดี ถ้าพลาดโอกาสในครั้งนี้นางก็คงเป็นได้แค่เศษสวะไปชั่วชีวิต ในเมื่อนางเลือกแล้วว่าจะไม่ยอมเป็นตัวไร้ค่าอีกต่อไป ก็ได้แต่กัดฟันทนสู้กับมัน“จะอย่างไรข้าก็ต้องทน เมื่อผ่านจุดนี้ไปได้ อยากจะไปจะอยู่ที่ใดก็ไม่มีใครขวางข้าได้ทั้งนั้น” หลี่หลิงเฟิ่งตัดสินใจนั่งสมาธิทันที เหงื่อกาฬผุดขึ้นทั่วทั้งร่าง ทั้งยังรู้สึกเหมือนธาตุไฟเข้าแทรก พลังสองขุมนั้นกำลังปะทะกันอย่างดุเดือดภายในกายของนาง นิ้วทั้งสิบจิกลงบนฝ่ามือจนเลือดซิบ นางพยายามประคองสติตนเอง กดขุมพลังที่ร้อนร
“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้ มีวิธีมากมายที่ให้เจ้าแสดงความภักดีต่อข้า” นางเคยอ่านเจอในตำราที่ปฐมาจารย์เทพโอสถทิ้งไว้ พอรู้ความหมายอยู่บ้างหลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจ ตักน้ำทิพย์ขึ้นมาโถใหญ่ ยื่นให้ชายหนุ่มตรงหน้า กระทำทุกอย่างไม่เกรงกลัวว่าอีกฝ่ายจะพบความลับของนาง“ดื่มให้หมด อย่าให้เหลือ” อันที่จริงตำราที่นางอ่านเพียงบันทึกไว้แบบผิวเผินเท่านั้น วิธีสาบานตนของชายหนุ่มนั้นไม่เพียงหมายถึงมอบชีวิตให้แก่หญิงสาว แต่หมายถึงทั้งหมดของเขาที่ชายหนุ่มทำลงไปนั้นมีเหตุผลและไม่ได้คิดมากแต่อย่างใด ยาลูกกลอนก่อนหน้านี้มีปฏิกิริยาบางอย่างกับร่างกายของเขาจริง เพียงแต่น้อยมากจนสังเกตไม่ได้ ในเมื่อเดินไปทางขวาก็ตาย ซ้ายก็ไม่รอด หากว่าหลี่หลิงเฟิ่งสามารถช่วยยื้อชีวิตเขาได้จริง เช่นนั้นชีวิตของเขาย่อมเป็นของนางปุ้ง!“บ้าไปแล้ว” หลี่หลิงเฟิ่งอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา รีบสร้างเกราะกำบังรอบกายทันที พลังยุทธ์แผ่ซ่านออกมาจากตัวชายหนุ่ม จากศูนย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พละกำลังเริ่มกลับมาทีละน้อย จิตใจที่เหือดแห้งราวกับถูกน้ำหล่อเลี้ยงจนฟื้นคืนพลังยุทธ์ไต่ขึ้นเรื่อยๆขั้นหลอมรวมขั้นพิภพขั้นพิภพระดับกลาง...
ท้องถนนโล่งผู้คนบางตา รถม้าวิ่งมาจอดหน้าประตูจวนเร็วกว่าตอนขาออกไปหนึ่งเค่อ หญิงสาวลงจากลงรถม้า ด้านหน้ามีเสี่ยวเซียงถือโคมไฟรออยู่ เหลียงเฉินทำหน้าที่สารถีก่อนหน้านี้ยื่นเชือกให้กับบ่าวรับใช้หน้าจวน จากนั้นพยุงนักรบเกราะดำเดินตามหลังหลี่หลิงเฟิ่งคืนนี้พวกนางได้เงินมาไม่น้อยราวๆ ห้าหมื่นล้านตำลึงทอง ในใจหลี่หลิงเฟิ่งเต็มไปด้วยความสุข ทว่า ก็สุขไม่สุดเมื่อหญิงสาวนึกถึงเรื่องของบุรุษที่นางประมูลมาพี่ใหญ่กับพี่รองรู้เรื่องนี้หรือไม่ หากพวกเขารู้อยู่ก่อนแล้วนางต้องรู้สึกอย่างไร หรือว่านางไม่ใช่คนของโลกนี้ตั้งแต่แรกจึงรู้สึกแปลกอยู่คนเดียวกฎเกณฑ์ของที่นี่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงตลอดกาล หญิงสาวควรทำตัวให้ชินใช่หรือไม่ ไม่! นางไม่ยินยอม!“พี่ใหญ่กลับมาแล้วหรือ” กลิ่นอันคุ้นเคยแตะเข้าจมูกของหลี่หลิงเฟิ่ง ฝีเท้าชะงัก หันมองเข้าไปยังเรือนหลังหนึ่ง พึมพำกับตัวเองเสียงเบาเมื่อเพ่งกระแสจิตเข้าสำรวจกลับไม่พบลมหายใจของสิ่งมีชีวิต นางสั่นศีรษะเรียกสติ ก้าวเดินต่อไปยังเรือนของตนอาจเพราะสะเทือนใจเลยนึกถึงหลี่เฟยหยางขึ้นมา เดินเหม่อมายังเรือนของเขาเสียได้ ตอนนี้พี่ใหญ่อยู่เมืองหลวงจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่
แม้การค้าขายทาสจะไม่ผิดกฎหมายเหมือนยุคปัจจุบัน แต่แคว้นต่างๆ ก็ไม่กล้าเปิดหน้าทำลายภาพลักษณ์ของตน หากอยากซื้อทาสก็ไปตลาดขายทาสใต้ดิน เพราะว่าเป็นนักรบเกราะดำ หออวี้หลิ่วถึงขั้นเอาชื่อเสียงมาแลกหรือว่ามีอะไรมากกว่านั้นที่นางไม่รู้นางเคยเป็นเด็กกำพร้า ถูกทอดทิ้ง ทนกับความหิว เอาชีวิตรอดสารพัดรูปแบบ แต่ละวันคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีข้าวกิน ชาติก่อนเมื่อเห็นเด็กไร้บ้านข้างถนนนางจึงอ่อนไหวเป็นพิเศษ หญิงสาวมองสีหน้าของแต่ละคนดูไม่แปลกใจกับเหตุการณ์นี้ ก็เข้าใจทันทีว่าเรื่องอย่างนี้คงเกิดขึ้นบ่อยครั้งนางรู้สึกเสียใจที่คนใกล้ตัวทำเรื่องแบบนี้ได้ลงเพียงเพราะเงินอย่างเดียวหลี่หลิงเฟิ่งรับไม่ได้!“ร้อยล้านตำลึงทอง” มีคนเริ่มเสนอราคากันแล้ว ค่าตัวทาสนักรบคนนี้สูงมากอย่างที่คาดคิด“เจ็ดร้อยล้าน...”“สามหมื่นล้าน...”“หนึ่งแสนล้าน...”เพียงไม่กี่อึดใจทั่วทั้งโถงประมูลร้อนระอุ ผู้คนทุกระดับชั้นต่างแย่งกันปั่นราคาจนพุ่งสูงถึงหลักแสนล้าน คู่แข่งจึงลดลงไปมาก ตอนนี้จึงเหลือเพียงเหล่าตระกูลเก่าแก่ที่ยังเอ่ยปากเสนอราคาไม่หยุด“หนึ่งล้านล้านตำลึงทอง!” ตระกูลกวนพูดขึ้น“สองล้านล้านตำลึงทอง” ตามด้วยตระ
“ห้าหมื่นตำลึงทอง!” ปัญหาเรื่องตั๋วเงินหมดไป การประมูลคึกคักทันที มีคนเสนอราคาเริ่มต้นกันแล้วเสี่ยวเซียงโห่ร้องตะลึงพรึงเพริด เขย่าตัวเหลียงเฉินที่อยู่ด้านข้างจนตัวโยน หยิกแขนแกร่งเต็มแรง “ข้าฟังผิดไปหรือไม่ ห้าหมื่นตำลึงทองไม่ใช่ตำลึงเงิน ข้ากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ๆๆๆ”“โอ๊ย ทำไมไม่หยิกแขนตัวเอง มาหยิกข้าทำไม” ความเจ็บปวดที่แขนปลุกเหลียงเฉินขณะกำลังตื่นเต้น เขยิบออกห่างเสี่ยวเซียงที่กำลังยิ้มยินดีอย่างโง่งมหลี่หลิงเฟิ่งมองทั้งสองพลางยิ้มบาง ผลไม้เพิ่มพลังยุทธ์ปรากฏอยู่แค่ในตำรา วันนี้มีคนนำออกมา ใครบ้างจะไม่อยากจับจอง“ห้าแสนตำลึงทอง”“หนึ่งล้านตำลึงทอง...”“สิบล้าน...”“ยี่สิบล้าน...”ราคาประมูลเพิ่มขึ้นรวดเร็วจนน่ากลัว ไม่มีทีท่าว่าจะไปหยุดที่จำนวนเท่าใด ตาของนายบ่าวทั้งสามล้วนกลายเป็นสัญลักษณ์รูปเงินหมดแล้ว“ร้อยล้านตำลึงทอง” เสียงจากชั้นหนึ่งดังลอดออกมา ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้ารายใหญ่ทั่วสารทิศจับจองชั้นนี้ ทั้งโถงเงียบลงชั่วขณะ“สามร้อยล้านตำลึงทอง” สำนักแพทย์โอสถร่วมวงแล้ว“สามร้อยสามสิบล้านตำลึงทอง” ชุนเหล่ากวน พ่อค้าแคว้นตงเยว่เสนอต่อ“ห้าร้อยล้านตำลึงทอง” เหลียนกงฉือเพิ่มราคา ใก
“ตีก็ตีไปแล้ว ท่านจะทำไม” หลี่หลิงเฟิ่งใช้ผ้าต่างแส้ ยิ่งใช้ยิ่งคล่อง ฟาดใส่คุณหนูเปียวไม่ยั้ง ความเร็วในการหลบของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมรวมขั้นต้นยังอ่อนด้อย ในสายตาของนางฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหวช้ามาก ช่องโหว่เต็มไปหมด อีกฝั่งอยากจะหลบก็หลบไม่พ้น ตีเพียงไม่กี่ครั้งก็ลายพร้อยทั้งตัวเสียแล้วเป็นภาพที่สวยไม่หยอก หลี่หลิงเฟิ่งมองผลงานชิ้นเอกอย่างพึงพอใจนางเพิ่งฝึกได้สองวันจึงทำสำเร็จแค่สร้างอาวุธจากพลังยุทธ์เท่านั้น ยังไม่เริ่มฝึกกระบวนท่าเริ่มต้นเลย แต่นางชอบมันมาก เหมาะมือสุดๆ“อ่อนหัด” หลี่หลิงเฟิ่งแค่นเสียงเหอะ เก็บผ้าแดงกลับ เสี่ยวไป๋ที่ซบอยู่บนบ่าเปิดเปลือกตาขึ้นครึ่งหนึ่งก่อนปิดลงดังเดิม นางจึงอุ้มมันส่งให้เหลียงเฉิน จากนั้นโจมตีกระบวนท่าถัดไปอัคคีสังหาร!พลังยุทธ์สีแดงเคลื่อนที่พุ่งตรง รวดเร็ว แม่นยำ เก่งแค่ไหนก็สู้ความเร็วระดับนี้ไม่ได้ เลือดสดๆ กระอักออกมาหลายคำ ร่างของคุณหนูเปียวทรุดลง หมดสภาพ น้ำหูน้ำตาไหล “อะไรกัน กระบวนท่าเดียวถึงกับจอดแล้ว สู้ไม่ได้ยังจะปากเก่ง” เรื่องอย่างรังแกคน ใครทำไม่เป็นบ้าง“เปียวเมี่ยว! เจ็บมากหรือไม่” หนึ่งในคนสำนักศึกษาหลวงรุดเข้ามาดูอาการ ป้อนยาลู
พวกหลี่หลิงเฟิ่งเลือกนั่งพักตรงเพิงน้ำชาข้างหออวี้หลิ่ว ระหว่างจิบชาทานขนมก็สังเกตคนที่มางานประมูลคืนนี้ไปด้วย เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยามงานประมูลจะเริ่มอย่างเป็นทางการ บรรดาสำนักชื่อดังและตระกูลที่มีชื่อเสียงเริ่มทยอยมากันบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสำนักศึกษาหลวง ตระกูลกวน ตระกูลจวง ตระกูลเปียว ตระกูลซ่ง ตระกูลหลี่สำนักแพทย์โอสถก็ไม่พลาด และแม้กระทั่งเชื้อพระวงศ์บางพระองค์ก็เดินทางมาเข้าร่วมเช่นกัน หลี่หลิงเฟิ่งคิดมองทางไหนก็เห็นแต่เงินที่จะเข้ากระเป๋าไปเสียหมดเมื่อเห็นว่ากลุ่มคนด้านหน้าทางเข้าหออวี้หลิ่วบางตาลง หลี่หลิงเฟิ่งวางเงินค่าน้ำชาลงบนโต๊ะ มุ่งหน้ามาหยุดหน้าประตูทางเข้า เหลียงเฉินหยิบเทียบเชิญจากอกเสื้อส่งให้เจ้าหน้าที่ด้านหน้าสุด เมื่อตรวจสอบเสร็จก็มีเจ้าหน้าที่เดินนำไปยังห้องรับรอง“ว้าว ล้ำมาก” เมื่อเข้ามาด้านในพวกหลี่หลิงเฟิ่งถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ โดยเฉพาะเหลียงเฉินและเสี่ยวเซียงที่เพิ่งเคยเหยียบย่างเข้ามาครั้งแรก งานนี้ต้องชมอวิ๋นหลิ่ว แสง สี เสียงมีครบ เหมือนกับอยู่ในคอนเสิร์ตในชาติก่อน เลือดในกายของหญิงสาวเดือดพล่านขึ้นมาเสียแล้วสิ นางถูมือเป่าปากคลายความตื่นเต้นผลั่ก!“
“ท่านทำอันใดกับข้า!” หวาหยุนตื่นตระหนก ร่างกายแข็งทื่อทุกสัดส่วน“น้าหยุนอย่ากังวล ข้าไม่ทำท่านเจ็บตัวแน่นอน แต่ท่านคงไม่มีโอกาสใช้ของพวกนี้ทำร้ายข้าแล้วล่ะ” หลี่หลิงเฟิ่งสบเข้ากับสายตาเคียดแค้นของหญิงกลางคน ชี้ไปยังจุดที่นางซ่อนอาวุธและยาพิษไว้นังโง่นี่รู้ได้ยังไงยิ่งน้ำเสียงหญิงสาวเย็นชาเท่าไหร่ หวาหยุนยิ่งกลัวมากเท่านั้น อยู่มาครึ่งชีวิตกลับพลาดท่าง่ายๆ ให้กับเด็กสาวที่นางคิดว่าไร้พิษสง นางงูพิษ!“ไหนพูดอีกทีซิ เรื่องราวความรักของบิดามารดาข้าเป็นมาอย่างไร” หลี่หลิงเฟิ่งหยิบพัดบนโต๊ะมาคลี่เล่น โบกสะบัดคลายความร้อนหวาหยุนไม่อยากพูด แต่นางควบคุมปากที่กำลังขยับไม่ได้ “ความรักอะไรเหลวไหลทั้งเพ นังจิ้งจอกชิงหลัวก็แค่อยากจับท่านเจ้าเมืองเท่านั้นแหละ ท่านเจ้าเมืองเป็นคนฉลาดจะดูแผนการต่ำช้าของนางไม่ออกหรืออย่างไร คิดว่ามาเปลื้องผ้าเล่นงิ้วให้คนอื่นดูงั้นรึ ก็ไม่รู้ว่านังนั่นทำอีท่าไหนท่านเจ้าเมืองถึงยอมรับนางเข้าจวน คงจะยั่วยวนจนนายท่านหลงมันนั่นล่ะ แพศยา!”ควา
“แม่นางน้อยหากไม่สบายก็ไปหาหมอ อยากจับโจรก็ไปที่ว่าการ ที่แห่งนี้ไม่ต้อนรับสาวน้อยที่ยังไม่ออกเรือนหรอกนะ” สาวงามหน้าประตูสองสามนางรายล้อมสามนายบ่าว หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน“ดูท่าหลายปีมานี้กิจการของหอซุนเซียงไม่เลวเลย” ทั้งสามชะเง้อคอดูความคึกคักด้านใน ขนาดหัววันผู้คนยังแน่นขนาดนี้ ตึกดึกคงไม่มีที่ยืนเลยกระมัง“แน่นอน หอซุนเซียงของเราเป็นหอคณิกาอันดับหนึ่งที่แม้แต่เมืองหลวงยังต้องยอมแพ้” สาวงามนางหนึ่งจีบปากจีบคอ ยิ้มมองสาวน้อยหน้าสวย สงสัยมาจับว่าที่สามีกลับจวนกระมังสาวงามอีกนางส่งสายตากรุ้มกริ่มให้กับบุรุษหนึ่งเดียวในกลุ่ม “คุณชายอย่าเสียเวลาอยู่นี้เลย พวกเราเข้าไปสนุกกันข้างในดีกว่าเจ้าค่ะ”เหลียงเฉินถึงกับตัวสั่น ถอยกรูดหลบหลังสองสตรีโดยไว คนกลุ่มนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นกลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งนั่นเอง หลี่หลิงเฟิ่งเหลือบมองแวบหนึ่ง “ข้ามาพบเถ้าแก่ของพวกเจ้า”“เถ้าแก่เนี้ยยุ่งทั้งวันไม่ว่างมาสนใจคนไม่สำคัญหรอก ใช่ว่าใครก็เข้าพบได้โดยง่าย หากแม่นางอยากเปิดหูเปิดตาก็ไ
หลี่หลิงเฟิ่งนอนขดอยู่บนเตียง มือขวากำกำไลบนข้อมือซ้ายแน่นโดยไม่รู้ตัว กำไลวงนั้นเรืองแสงสีแดงผสมสีขาวซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของนาง หญิงสาวหอบหายใจแรง เหงื่อผุดพลายเต็มใบหน้า สีหน้าเปลี่ยนเกือบทุกวินาที บ้างหัวเราะ บ้างร้องไห้ บ้างโกรธเคือง เป็นแบบนี้อยู่หนึ่งชั่วยามก่อนจะรู้สึกตัวอีกครั้งขนตางอนขยับสองสามทีก่อนจะเปิดขึ้นพบกับดวงตาเมล็ดซิ่งที่ฉายแววหนักใจ มือเรียวถอดกำไลเจ้าปัญหาออกมาจ้องมอง ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างทันใด“ลวดลายพวกนี้มากไหน” ลวดลายมังกรปรากฏบนกำไลสีม่วงเรียบง่าย ทั้งยังมียันต์ใบหนึ่งแปะอยู่ก่อนจะร่วงหล่นลงบนเตียง หัวใจของหลี่หลิงเฟิ่งเต้นตึกตัก นี่ไม่ใช่ว่ากำไลวงนั้นที่นางตามหาหรอกหรือ ที่แท้ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม!“เสี่ยวมู่!” หลี่หลิงเฟิ่งร้องเรียกกูรูรู้ทุกเรื่องอย่างร้อนใจ“วันนี้ข้าใช้แรงไปมาก ท่านจะรบกวนพักผ่อนของข้าไม่ได้นะ” เสี่ยวมู่หน้ายู่ แคะหูเพราะเสียงทรงพลังของนาง เจ้านายไม่สงสารเด็กกำลังโตอย่างมันบ้างเลยหลี่หลิงเฟิ่งไม่สนใจ พูดอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้าดูก่อน สิ่งนี้ใช่กำไล