ล่วงเข้าวันที่สองแล้วที่อ๋องหมิงส่งองครักษ์ออกตามหาเพ่ยเพ่ยไปทั่วทั้งเมืองชางหลางแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววของเพ่ยเพ่ย "ท่านอ๋อง สายลับที่ส่งไปตามหาพระชายายังนอกเมืองก็ยังไม่ทราบข่าวคราวเช่นกันพะย่ะค่ะ" เหลยคังก้มหน้าหลบสายตา กว่าจะรายงานความคืบหน้าออกมาให้อ๋องหมิงทราบ เขายืนเกร็งเสียจนแทบจะลืมหายใจ "บัด
-หอหมื่นบุปผา- เพ่ยเพ่ยได้พักผ่อนอย่างเต็มที่และแผลที่แขนของนางยามนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว แม้จะยังไม่หายสนิทดีก็ตาม ยามกลางวันเพ่ยเพ่ยจะมาอยู่ในห้องทำงานของหลินเฟิงอี้ที่หอหมื่นบุปผา นางใช้ทางลับที่ถูกสร้างเอาไว้ในการขึ้นไปยังห้องใต้หลังคา บนนี้นางสามารถเห็นความเป็นไปของบรรยากาศและความเป็นไปโดยรอบตัวอา
-ห้องหนังสือ ตำหนักอ๋องหมิง- "ท่านอ๋องกระหม่อมมีความคืบหน้าจะกราบทูลพะย่ะค่ะ" เหลยคังพาตัวเองเข้ามาในห้องหนังสือที่ดูเหมือนว่าบรรยากาศภายในนั้นดูจะน่าขนลุกมากขึ้นทุกครั้งที่มาเยือน "..." อ๋องหมิงไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงเงยหน้าขึ้นมองสบตาคนสนิทของตนด้วยสีหน้าเงียบขรึม "คนของเราพาตัวหมอหลวงกู้กลับม
ฝูเหวินรู้ว่าระหว่างเขาและนางนั้นไม่มีเรื่องเชิงชู้สาว เขาไม่เคยพูดว่ารักนาง แม้ว่านางจะเพียรแสดงออกให้เขาเห็นอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็เพียงแค่เอ็นดูนางอย่างน้องสาวคนหนึ่ง ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดจะรับนางเป็นชายาเพราะเขาไม่ต้องการแต่งงานการเมืองตามที่ฝ่าบาทจัดหาให้ แต่เป็นเพราะฝ่าบาททรงไม่ยอมรับนาง มิเช่นนั
ยิ่งวันที่ต้องเดินทางไปเมืองฉางเจียงใกล้เข้ามามากขึ้นเท่าไหร่เพ่ยเพ่ยก็ยิ่งรู้สึกแปลกมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะเวลาที่นางต้องอยู่คนเดียวเงียบๆ จิตใจของนางก็ยิ่งวุ่นวายสับสน นางควรจากไปจริงๆ หรือ หลังจากคิดทบทวนอย่างหนัก เพ่ยเพ่ยยังคงได้คำตอบเดิม นางยืนยันที่จะจากไป หากนางเกิดรักอ๋องหมิงขึ้นมาจริงๆ นา
หลินเฟิงอี้ได้จัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทางฝั่งตระกูลหลิวเองก็ยินดีช่วยเหลืออย่างเต็มที่ในทุกๆ เรื่องที่หลินเฟิงอี้ร้องขอ ตระกูลหลินถือเป็นผู้ที่คอยอุปถัมภ์ค้ำจุนตระกูลหลิวมาตลอดตั้งแต่ที่มารดาของหลินเฟิงอี้แต่งออกมา เมื่อถึงวันที่ต้องเดินทางหลินเฟิงอี้จึงมาอำลาเพ่ยเพ่ยที่ร้านหนังสือ "ขอบใจเจ้
การเดินทางมาฉางเจียงกินเวลานานถึงสิบห้าวัน แม้จะใช้เวลานานแต่ทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างราบรื่น เพ่ยเพ่ยเองยามนี้ไร้ซึ่งเรื่องทุกข์หรือกังวลใจใดๆ นางดื่มด่ำกับบรรยากาศของธรรมชาติที่สวยงามของแคว้นอู๋มาตลอดการเดินทาง เพ่ยเพ่ยเริ่มสนิทสนมคุ้นเคยกับอี้ซินมากขึ้นแล้ว เด็กสาวเป็นคนช่างพูดช่างเจรจา พลอยทำให้นาง
"นายหญิง ท่านนี้ก็คือแม่นางหลิวซือเย่ที่คุณชายหลินฝากฝังให้ท่านช่วยดูแลขอรับ" "แม่นางหลิว ท่านนี้ก็คือนายหญิงหลิวหรือที่รู้จักในนามคุณหนูเล็กตระกูลหลิวขอรับ" หลิวเสี่ยวหลินเมื่อเห็นได้เห็นเพ่ยเพ่ยก็ตกตะลึงในความงามของนาง แม้ว่าจะเคยเห็นสตรีที่ว่างามที่สุดในเมืองฉางเจียงมาแล้วแต่ก็ยังเทียบมิได้กับเ
-จวนตระกูลหยาง- "มากันแล้ว มากันแล้วขอรับ!" เสียงพ่อบ้านทั้งวิ่งทั้งตะโกนเรียกทุกคนในเรือนไปพร้อมๆ กัน ทุกคนวางมือจากงานที่ทำอยู่อย่างลนลานก่อนจะรีบไปรวมตัวกันที่หน้าประตูจวนเพื่อนต้อนรับอ๋องหมิงและพระชายา ระหว่างเดินทางอ๋องหมิงให้ม้าเร็วมาแจ้งตระกูลหยางล่วงหน้าแล้วว่าเขากำลังพาเพ่ยเพ่ยกลับมาชางห
เพ่ยเพ่ยมองทั้งสามและพิจารณาถึงสิ่งที่อี้ซินบอก ใช่แล้ว คนเคร่งขรึมหน้าตาไร้อารมณ์เช่นเขาความจริงแล้วไม่น่าจะมีเด็กที่ไหนอยากเล่นด้วยเลยต่างหาก อาจเป็นเพราะสัมพันธ์พ่อลูกที่ตัดอย่างไรก็ไม่ขาดกระมัง เวลาล่วงเลยมาจนถึงเวลารับสำรับเย็น ไม่น่าเชื่อว่า อาหารพื้นๆ ในเรือนหลังไม่ใหญ่แต่อาหารมื้อนี้สำหรับ
"ท่านพ่อ ท่านแม่ เมื่อไหร่จะตื่นเสียที พวกเรารอตั้งนานแล้วนะ" เด็กทั้งสองเคาะประตูอยู่หน้าห้องไม่หยุด อี้ซินมีสีหน้าซีดเผือด นางพยายามห้ามนายน้อยและคุณหนูอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่สองแฝดผู้เอาแต่ใจก็หาได้ฟังใครไม่ หลังจากที่รอบิดากับมารดามาตั้งแต่เช้า กระทั่งพวกเขารับสำรับเช้าเสร็จแล้วแต่ท่านพ่อท่
"เมื่อกี้เจ้าจูบข้าก่อน" อ๋องหมิงมองเพ่ยเพ่ยพร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มขึ้น หัวใจกระตุกเพราะนางไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน ทุกครั้งมีเพียงเขาที่เป็นฝ่ายจูบนางก่อนและเกือบทุกครั้งคือการบังคับให้นางต้องรับจูบจากเขา "ใช่เพคะ มิได้หรือ" "ทำไมจะมิได้ เปิ่นหวางชอบ" เพ่ยเพ่ยมอบจุมพิตแผ่วเบาบนริมฝีปากของเขาอีกครั
"แล้วหม่อมฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าหม่อมฉันพูดอันใดไปบ้าง ท่านอ๋องก็บอกหม่อมฉันสิเพคะ" "เจ้าจับหน้าเปิ่นหวาง เรียกข้าว่าอ้ปป้าแล้วยังบอกว่าหากได้จูบอ้ปป้าสักครั้งจะตั้งใจทำงาน" "หา! หม่อมฉันเนี่ยนะเพคะกล่าวเช่นนั้นออกมา" แต่ภาษาวัยรุ่นแบบนั้น ไม่ใช่แกแล้วเขาจะคิดเองได้หรือไงเล่ายัยบ้า เมื่อคิดได้เช่
"เจ้าพูดอะไรของเจ้า ยิ่งฟังเจ้าข้าก็ยิ่งงง ท่านอ๋องเคยไปรังแกเจ้าด้วยรึ" "หึ เจ้าอยากโดนรุมซ้อมดูบ้างไหมล่ะ คนของเขาเท้าหนักๆ กันทั้งนั้น เพราะอารมณ์หึงหวงอย่างมิมีเหตุผลของเขาอย่างไรล่ะ" อย่าให้เขาบรรยายเลย บุรุษยุคนี้ หน้าใหญ่ใจโต ถือว่าตนมีอำนาจก็ไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น กดทุกคนให้อยู่ต่ำหมดไม่ว่า
อ๋องหมิงได้ยินดังนั้นก็หันขวับไปจ้องหน้าเพ่ยเพ่ย แขนแกร่งทั้งสองข้างจับข้อมือเล็กของนางแน่น แล้วดึงมือนางที่จับกุมใบหน้าของตนออก แววตาของเขาเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธแต่กลับแอบแฝงความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ เขายังจำได้ เมื่อครั้งที่เห็นนางเมาในคราแรกแล้วเพ้อถึงแต่อ้ปป้านั่น แค่คิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาเขาก็แ
อันที่จริงเรือนเหมยฮวาก็ไม่ได้ไกลอะไร แต่เพ่ยเพ่ยก็ไม่ได้ปฏิเสธนายหญิงหลิว เพราะหากไม่รับปากนาง นางก็จะคะยั้นคะยอไม่เลิก เพ่ยเพ่ยเองก็ชินกับนิสัยนายหญิงหลิวแล้ว นางชอบเวลาที่ลูกหลานอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา อ๋องหมิงต้องยอมรับว่าเหล้าโซจูที่หลินเฟิงอี้นำมานั้นค่อนข้างแรง ดื่มไปเพียงนิดก็แสบไปทั้งลำคอ
"เฟิงอี้ หวังว่าเจ้าคงจะไม่ลืมที่เคยสัญญาเอาไว้เมื่อคราวก่อน" "ย่อมไม่ลืม" หลินเฟิงอี้กระดิกนิ้วเรียกให้บ่าวคนสนิทนำไหเหล้าเข้ามา "ตามที่ขอ ข้าหมักเองกับมือ นี่โซจูตามสูตรที่ได้มาจากโชซอนเลยนะ" "ว๊าว อ้ปป้า เยี่ยมสุดๆ ไปเลย ข้าขอคารวะ หากรู้มาก่อนว่าเจ้าจะมาวันนี้ ข้าคงทำกิมจิไว้รอแล้ว" เพ่ยเพ่