ราฮีมและณาณีมเดินไปตามถนน ที่นี่แม้จะมีการคมนาคมที่ทันสมัย แต่การเดินทางส่วนใหญ่ก็ยังคงต้องเดินด้วยเท้า“คุณ…จะไม่พูดอะไรกับผมจริงๆ นะเหรอ” ราฮีมเอ่ยถาม เพราะตั้งแต่เดินกันมาณาณีมก็แทบไม่คุยอะไรเลย“จะให้ฉันพูดอะไร”“อะไรก็ได้ โอ๊ย…คุณณา” เสียงอุทานของราฮีมที่อยู่ๆ ก็ดังขึ้น เหมือนเขาเจ็บปวดกับอะไรสักอย่าง ทำให้ณาณีมหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองชายหนุ่ม“เป็นอะไรคุณ อยู่ๆ ก็ร้องโอ๊ยแล้วยังเอามือกุมปากไว้แบบนั้นอีก”“ผมรู้สึกแปลกๆ อยากให้คุณช่วย” เสียงอู้อี้ของราฮีมเอ่ยตอบ เพราะยังคงเอามือปิดปากไว้อยู่“ช่วยอะไรคะ?” สีหน้าของณาณีมเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม นั่นเพราะยังไม่เข้าใจว่าราฮีมเป็นอะไร และเขาอยากให้เธอช่วยอะไร“ช่วยถอนพิษให้ผมหน่อย”“ถอนพิษ พิษอะไร” ตอนนี้สีหน้าของณาณีมยิ่งงงเข้าไปใหญ่“ก็พิษจากลิปสติกสีแดงๆ ของคุณพราวที่มันติดอยู่บนปากของผมตอนนี้ไง”“คุณราฮีม&hell
วันรุ่งขึ้น พราวตะวันตัดสินใจไปหาราฮีมที่โรงแรมตั้งแต่เช้า นั่นเพราะเมื่อวานเธอเซ้าซี้จนรู้ว่าชายหนุ่มพักอยู่ที่ไหน เธอไม่ได้มามือเปล่า แต่มาพร้อมอาหารทั้งคาวหวานและแอลกอฮอล์ รับรองว่าวันนี้เขาหนีเธอไม่พ้นแน่นอนราฮีมจำต้องลงไปพบเธอที่หน้าล็อบบี้ของโรงแรม อยากเสียมารยาทไม่เชิญเธอขึ้นมาบนห้องพัก แต่พอเห็นข้าวของที่เธอหอบหิ้วมาจนเต็มสองมือ วิญญาณสุภาพบุรุษก็เข้าสิง“เชิญบนห้องผมก่อนดีกว่าครับ”“จะดีเหรอคะ”“ถ้าคุณพราวไม่สะดวก ไว้วันหลังก็ได้”“พราวสะดวกวันนี้ค่ะ” พราวตะวันรีบเอ่ยรับทันที เพราะกลัวเสียโอกาส“งั้นเชิญครับ”“ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงอ่อนหวานดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนจะเดินตามราฮีมขึ้นไปบนห้องพักของชายหนุ่มเมื่อเข้ามาในห้องพักของราฮีมได้ พราวตะวันก็ต้องแปลกใจกับกระเป๋าเดินทางที่วางอยู่ตรงโซนรับแขก“คุณราฮีมจัดกระเป๋าเหมือนจะไปไหนอย่างนั้นแหละ”“ผมจะบินไปไทยพรุ่งนี้ครับ”“จริงเหรอ งั้นพราวกลับด้วยดีก
เพราะความเมา ทำให้ราฮีมเผลอหลับตรงบันไดหนีไฟ จึงไม่รู้ว่าตอนนี้พราวตะวันได้กลับออกไปจากห้องเขาแล้ว ชายหนุ่มจงใจหลบอยู่ที่นี่เพื่อรอณาณีมและเพราะหลับ ทำให้เขาไม่เห็นว่าเวลานี้เธอกลับมาแล้ว ณาณีมที่วันนี้รวบรวมความกล้ามาตลอดทั้งวัน ตัดสินใจจะสารภาพบางอย่างออกไป ก่อนที่พรุ่งนี้ราฮีมจะบินไปเมืองไทยเย็นวันนี้ เธอกลับห้องมาพร้อมเบียร์หลายกระป๋อง จากนั้นก็ดื่มเพื่อเรียกความกล้าเสียหน่อย ตบหน้าตัวเองสองสามครั้ง ก่อนจะเปิดประตูออกมาจากห้องตัวเองแล้วเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูห้องราฮีมด้วยหัวใจที่เต้นโครมครามก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!ณาณีมเคาะประตูไปสองสามครั้ง แล้วเอ่ยเรียกชายหนุ่ม เพราะกว่าเธอจะรวบรวมความกล้าเดินมายืนตรงนี้ได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ“คุณราฮีม นี่ฉันเอง” ณาณีมรอให้ราฮีมเปิดประตูให้ แต่ทุกอย่างกลับเงียบ เหมือนกับว่าชายหนุ่มไม่อยู่ในห้องอย่างนั้นแหละเธอจึงเคาะประตูอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยเรียกเขาอีกหน แต่ทุกอย่างก็ยังคงเงียบ ไม่มีการตอบรับใดๆ
“คุณก็ชิงปล่อยพิษใส่พราวก่อนสิ จะได้ไม่เสียเชิงชาย จูบมาจูบกลับ ปล้ำมาปล้ำกลับ วินๆ”“ก็ถ้าเป็นคุณ ผมก็อยากจะวินๆ อยู่นะครับ แต่นี่มันไม่ใช่ เพราะถ้าทำแบบนั้นได้ ผมทำไปตั้งนานแล้ว ไม่หนีไปหลบที่บันไดหนีไฟหรอกครับ...ฮัดชิ้ว!” จามครั้งนี้ราฮีมไม่ได้แกล้งทำ แต่มันกลับมาถูกจังหวะ นั่นเพราะณาณีมคิดว่าชายหนุ่มอาจกำลังไม่สบาย จึงยอมให้เขาเข้าไปในห้องด้วย“ชิส์…งั้นก็เข้ามาสิ”“ครับ…ฮัดชิ้ว!” แต่จามครั้งนี้ราฮีมตั้งใจทำ เพื่อจะได้สมเหตุสมผลยิ่งขึ้นว่าหากณาณีมปล่อยให้เขายืนอยู่นอกห้องแบบนี้ต่อไป เขาอาจไม่สบายได้“คุณเปียกไปทั้งตัวแบบนี้ ผมว่ารีบไปอาบน้ำอุ่น สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบาย” เมื่อเข้ามาในห้องได้ ราฮีมก็บอกณาณีมทันที ซึ่งเธอก็เห็นด้วยแต่…พอเข้ามาในห้องน้ำได้ก็หน้าซีด นั่นเพราะห้องน้ำของที่นี่มันไม่มีกลอนสำหรับล็อกประตูนี่สิคือปัญหาใหญ่ อยู่คนเดียวไม่เท่าไหร่ แต่เวลานี้ในห้องมีราฮีมอยู่ด้วย น
ณาณีมกำลังยืนสระผมอยู่ใต้ฝักบัว ฟองสีขาวเต็มศีรษะ ส่วนหนึ่งไหลไปตามร่างกายอันเปล่าเปลือย ยิ่งทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้ง ราฮีมก้าวเพียงไม่กี่ก้าวก็เข้าไปยืนซ้อนหลังของเธอไว้ และทันทีที่ณาณีมหันกลับมา เธอก็ต้องสะดุ้ง“คุณราฮีม!”“ไว้ค่อยถาม ว่าผมคลายเชือกนั่นได้ยังไง” ราฮีมรีบคว้าเธอเข้ามากอดทันที เวลานี้ร่างกายเปลือยเปล่าของทั้งคู่ก็สัมผัสแนบแน่นร้อนรุ่มไปทั้งตัวเพียงแค่สบตาต่างก็รู้ใจว่าต้องการอะไร แต่ณาณีมก็ยังคงสับสน ลังเลอยู่ในความรู้สึก เธอจึงพยายามผลักชายหนุ่มให้ออกห่าง แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเสียดสีกับร่างกายเขา และส่วนนั้นของราฮีมที่ตื่นตัวเต็มที่ ก็ยังบดเบียดคลอเคลียอยู่แถวๆ ท้องน้อย ทำให้ใจเธอสั่น ลามไปจนถึงขาที่เริ่มจะอ่อนแรงอีกทั้งๆ ที่เรื่องแบบนี้เธอน่าจะชินได้แล้ว เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ทำไมมันถึงได้รู้สึกประหม่า ตื่นเต้น ราวกับนี่คือครั้งแรกของชีวิตนักก็ไม่รู้ นั่นทำให้เธอหลบสายตาเขา ลมหายใจร้อนๆ ของราฮีมรดอยู่แถวๆ แก้มของณาณีม ก่อนจะช้อนใบหน้าเธอขึ้นแล้วสบตาอีกครั้ง และนั่นเหมือนทำให้กำแพงของความลังเลสับสนของณาณีมพังทลาย
“แน่สิ มันคือความภูมิใจของผู้ชาย อย่างน้อยผมก็หนึ่งในนั้น หายเหนื่อยแล้วใช่ไหม ผมจะเริ่มยกสองแล้วนะ” คำพูดห่ามๆ ของราฮีม ทำเอาณาณีมตาโต รีบปัดป้องแต่เหมือนจะไม่ได้ผล“อุ๊ย! เดี๋ยว” คำคัดค้านใดๆ ของณาณีมหายไป เมื่อถูกราฮีมปิดกั้นด้วยริมฝีปากหยัก ที่ไม่ว่าเขาจะจูบ จะซุกไซ้ลงไปตรงไหนบนร่างกาย ณาณีมเป็นอันต้องร้อนๆ หนาวๆ อยู่ร่ำไป เวลานี้เธอช่างอ่อนไหวจนถูกปลุกอารมณ์ให้ลุกโชนได้ง่ายราฮีมอุ้มณาณีมขึ้น ปิดฝักบัวให้เรียบร้อย แล้วอุ้มเธอเดินตรงไปยังเตียงนอน ค่อยๆ วางณาณีมลงแล้วตามลงไปทาบทับ ข้างนอกฝนกำลังตกหนักอีกครั้ง ส่งผลให้อากาศเย็นจัด แต่ทำไมพวกเขาถึงได้ร้อนราวกับอยู่ท่ามกลางทะเลทรายราฮีมจับเส้นผมที่คลอเคลียอยู่บนใบหน้าของณาณีมออกให้ จากนั้นก็เริ่มการปลุกปั่นอารมณ์ของเธอให้ลุกโชนอีกครั้ง คราวนี้ราฮีมไล้จูบคนในอ้อมกอดมาตั้งแต่ใบหน้า ลำคอ แวะหยอกเย้าติ่งหูเล็กๆ ขบเม้มมันอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะลดใบหน้าลงต่ำกระทั่งถึงหน้าอกคู่สวยที่เขาสัมผัสนานหน่อย ทั้งจูบ ทั้งดูดดุนและสัมผัสด้วยปลายนิ้วและฝ่ามือณาณีมบิดเร้าไปมา เธอตื่นเต้นกับ
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างพร้อม ราฮีมก็ค่อยๆ ส่งตัวเองเข้าสู่ร่างกายของณาณีม ความคับแน่นในครั้งแรกที่แทรกแก่นกายเข้ามายังใจกลางกุหลาบก็ทำให้เขานิ่วหน้า ข้างในตัวณาณีมทั้งนุ่มและอุ่น จนเกิดคำถามว่าณาณีมเคยผ่านเรื่องเซ็กซ์กับอดีตสามีมาบ้างหรือเปล่า ทำไมช่องทางรักของเธอมันถึงได้คับจนเขาจะทนไม่ไหวอยู่แล้วแต่ก็ใช่ว่าราฮีมจะทรมานเพียงคนเดียว เวลานี้ณาณีมเองก็ทรมานกับขนาดของราฮีมที่ทำให้เธอแทบหายใจไม่ออก รู้สึกแน่นไปหมด รับรู้ได้ถึงการมีตัวตนของเขาที่กำลังรุกล้ำเข้าสู่ร่างกายของเธอมากขึ้นและมากขึ้น“อืมม์…รู้สึกดีเป็นบ้า” ราฮีมบ่นอุบ เมื่อภายในร่างกายของณาณีมเวลานี้กำลังตอดรัดแก่นกายของเขาแน่นขึ้นราวกับต้องการผลักไสชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ พยายามไม่รีบร้อน เพราะอยากอยู่ในตัวของณาณีมให้นานอย่างที่ใจเฝ้ารอ เขาค่อยๆ แทรกตัวเองเข้าสู่ร่างกายเธอช้าๆ เนิบๆ กระทั่งลึกสุดก็หยุดการเคลื่อนไหวแต่…ยังนับหนึ่งไม่ถึงสิบ ราฮีมก็ลุกพรวด ถอนแก่นกายออกจากตัวของณาณีมอย่างรวดเร็วชนิดที่หญิงสาวเองก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น“เอ๊ะ!” ณาณีมอุทานออกมาแค
ราฮีมมีกำหนดต้องบินกลับเมืองไทยในช่วงหัวค่ำ แต่เขาขอเลื่อนไปบินวันพรุ่งนี้แทน นั่นเพราะยังอยากใช้เวลาอยู่กับณาณีมให้มากกว่านี้อีกหน่อยชายหนุ่มนั่งมองคนขี้เซา ที่ตอนนี้บ่ายสองเข้าไปแล้ว แต่ณาณีม กลับยังไม่ยอมลุกขึ้นจากเตียง และราฮีมก็มีวิธีเด็ดๆ ที่จะใช้ปลุกเธอ นั่นคือการโยนผ้าห่มทิ้งแล้วเริ่มจูบณาณีมมาตั้งแต่ปลายเท้า ไล้จูบสูงขึ้นมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงหน้าขา สะโพก และจังหวะที่กำลังจะซุกหน้าลงไปจูบจุดกึ่งกลางลำตัวของเธอ คนขี้เซาก็ตื่นขึ้นเสียก่อน“จะลักหลับฉันหรือไงคะ” ณาณีมที่ยังคงงัวเงียเอ่ยถาม นั่นจึงจุดประกายทำให้ราฮีมตาลุกวาวอย่างเจ้าเล่ห์“ก็น่าสนใจดีนะครับ งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าไหม”“คนบ้า ฉันก็แค่พูดเล่น” พูดจบณาณีมก็รีบยกมือขึ้นมากันราฮีมไว้ เพราะดูท่าชายหนุ่มจะเอาจริง“แต่ผมเอาจริง เพราะของผมมันตื่นจนเป็นแบบนี้แล้ว”“คนลามก...ว้าย!” ณาณีมอุทานออกมา เมื่อราฮีมคว้ามือเธอให้ไปสัมผัสกับแก่นกายของเขาที่ตอนนี้มันพองขยายเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิดชายหนุ่มนอนพักผ่อนเต็มที
หลังเสร็จสิ้นการมาร่วมงานแต่งงาน ณาณีมและราฮีมก็ใช้เวลาพักผ่อนกันที่ภูเก็ตอีกหลายวัน ชายหนุ่มพาเธอไปล่องเรือยอร์ช และณาณีมก็มีโอกาสได้ใส่บิกินี่อวดหุ่นสวยๆแต่ทว่าเธอก็แค่ได้ใส่ นั่นเพราะยังไม่ทันจะได้กระโดดลงไปเล่นน้ำทะเล ราฮีมก็จัดการถอดมันออกเสียก่อน จากนั้นเขาก็ทำให้เธอเร่าร้อนจนนอนหอบ กว่าจะได้หยิบบิกินี่มาสวมก็เย็นมากแล้วช่วงเวลาสำหรับการมาพักผ่อนมักจะผ่านไปเร็วเสมอ กระทั่งถึงเช้าวันสุดท้าย เพราะช่วงบ่ายๆ ณาณีมกับราฮีมต้องบินกลับกรุงเทพฯ‘เจอกันที่ชายหาดนะคะ’ นี่คือข้อความที่ณาณีมเขียนด้วยลายมือแล้วทิ้งไว้บนหมอนให้ราฮีมที่เพิ่งตื่นนอนได้อ่าน และเขาก็ไม่ลังเลที่จะเดินตามเธอไปยังชายหาดและทันทีที่มาถึง ชายหนุ่มก็ถึงกับยืนตะลึง เพราะถ้าเขาไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองมากจนเกินไป ตรงหน้านี่คือฉากแต่งงานใช่ไหม ริมชายหาดมีซุ้มแต่งงานที่ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สดสีสวยและก้อนหิน ริมทางเดินยังโปรยด้วยกลีบกุหลาบแดงตัดกับทรายสีขาวละเอียดก่อนที่ณาณีมจะเดินมาหา ตอนนี้เ
ณาณีมกับราฮีมบินไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนชายหนุ่มที่ภูเก็ต บรรยากาศงานแต่งงานริมชายหาดที่ตกแต่งด้วยดอกไม้และเปลือกหอย เน้นโทนขาวฟ้าตามแบบที่เจ้าสาวชอบช่างดูโรแมนติก บวกกับแสงแดดอ่อนๆ ยามอัสดง ที่ทอประกายระยิบระยับสะท้อนกับคลื่นก็ยิ่งสวยงามไหนจะแสงจากเทียนที่ประดับอยู่รอบๆ ก็ส่งให้งานแต่งงานครั้งนี้น่าจดจำ บ่าวสาวนั้นสวยหล่อดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก“มองอะไรอยู่ครับ”“มองเจ้าบ่าวเจ้าสาวน่ะค่ะ” ณาณีมเอ่ยยิ้มๆ มีความสุขกับการได้เห็นคนรักกัน แม้ชีวิตเธอจะเคยล้มเหลวเรื่องความรักถึงขั้นหย่าร้าง แต่สุดท้ายก็ได้รับความรักดีๆ จากผู้ชายอย่างราฮีม แม้จะไม่รู้ว่าความรักครั้งนี้จะจบลงแบบไหน แต่ณาณีมก็ไม่เสียใจที่ได้รักใครอีกครั้ง“เปลี่ยนใจแต่งงานกับผมไหม”“ไม่เปลี่ยน”“ใจร้ายจังเลย” ราฮีมตีหน้าเศร้าได้ไม่นานก็ยิ้มร่า ทำเอาณาณีมตามอารมณ์เขาไม่ทัน แบบนี้ล่ะมั้งถึงอยู่ด้วยกันได้“แต่ร้ายยังไงก็รักครับ”“น่ารักแบบนี้ จะไม่ใ
“เรื่องคืนนั้นที่ญี่ปุ่นน่ะค่ะ พอมาตั้งสติแล้วนั่งคิด พราวถึงได้รู้ว่าตัวเองโง่มากที่ทำแบบนั้นลงไป” พราวตะวันคิดได้แบบนี้ในวันที่ผู้เป็นแม่ป่วยหนัก แม่พรั่งพรูความในใจออกมามากมายว่าเคยทำเรื่องไม่ดีกับใครไว้บ้าง อยากขอโทษก่อนที่จะสายไป แต่บางคนก็จากโลกนี้ไปแล้ว จึงไม่มีโอกาสได้คุย ได้ปรับความเข้าใจกันนั่นทำให้พราวตะวันย้อนคิดถึงตัวเองว่าเธอเคยทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง เพียงเพราะต้องการเอาชนะกัน หรืออะไรก็ตาม พอมานั่งคิดเรื่องต่างๆ ก็ย้อนกลับมาและหนึ่งในนั้นคือเรื่องของราฮีม ทำให้เธอมาหาเขาที่นี่“พราวอยากขอโทษณาด้วย แต่วันนี้กลับติดต่อณาไม่ได้”“คุณณามีประชุมครับ” ราฮีมบอกเหตุผล นั่นเพราะณาณีมได้บอกไว้แล้วว่าวันนี้เธออาจต้องประชุมทั้งวัน“ถ้ายังไง พราวฝากคุณราฮีมขอโทษณาด้วยนะคะ”“ได้สิครับ”“ถ้างั้นพราวขอตัวก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะต้องไปรับคุณแม่ที่โรงพยาบาล”“เชิญครับ” เสียงทุ้มเอ่ย
“ให้ตายสิ เชื่อไหม ผมไม่อยากกลับห้องเลย ตั้งแต่รักคุณ ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็กสิบหกสิบเจ็ดที่มีความรักสุมอก” บางครั้งราฮีมก็อยากเจาะประตูให้ห้องเขาและห้องณาณีมเชื่อมติดกันนัก แต่การอยู่กันคนละห้องแบบนี้ก็ดี เพราะต่างฝ่ายก็ต่างมีพื้นที่ของกันและกัน จะได้เว้นช่องว่างและจะได้คิดถึงกัน เฝ้ารอเวลาที่จะได้พบกัน“เชื่อค่ะ เพราะคุณทำให้ณาเชื่อ สำหรับณา รักครั้งนี้มันร้อนแรงจนณา…” ณาณีมกัดริมฝีปากตัวเอง พร้อมกับส่งสายตายั่วยวนมายังราฮีม“จนณาทำไมครับ”“จนณาคิดถึงและอยากกินคุณวันละหลายๆ ครั้ง” น้ำเสียงเบาๆ ของณาณีมทำเอาราฮีมขนลุก ส่วนตานั้นก็ลุกวาวอย่างเจ้าเล่ห์“เอาเลย ผมพร้อมเสมอ”“ไว้วันมะรืนก่อนนะคะ ณาจะกินคุณตั้งแต่หัวถึงปลายเท้าเลย” แค่ได้ฟัง ราฮีมก็อยากร่นวันร่นเวลาให้ถึงมะรืนที่เป็นวันคู่โดยเร็วแล้วสิ ส่วนณาณีมนั้นกลับยิ้มขำ ที่เขาจริงจังจนออกนอกหน้านอกตาแบบนี้“คนหล่อๆ ลุคนิ่งๆ ดูสมาร์ทนี่เขา
ชายหนุ่มดึงตัวณาณีมให้ขึ้นมานั่งคร่อม ยกสะโพกของเธอขึ้นสูงแล้วค่อยๆ กดลงมารับแก่นกายของเขาช้าๆ ให้มันค่อยๆ มุดหายเข้าไปอยู่ในตัวเธอ แม้จะมีอะไรกันมาหลายต่อหลายครั้ง แต่แรงตอดรัด ความอุ่นภายในตัวของณาณีมก็ทำให้ราฮีมคลั่งได้เสมอๆ“อ่า...อาห์…” ณาณีมครางออกมาเมื่อเวลานี้เธอรับแก่นกายของราฮีมไว้จนลึกสุด ชายหนุ่มนอนนิ่งๆ ราวกับต้องการซึมซับความเสียวซ่าน แต่ณาณีมกลับทนไม่ไหวและเธอก็เริ่มขยับสะโพกบดเบียดสลับขึ้นลง จากช้าก็เปลี่ยนมาเป็นเร็วและถี่กระชั้น“ใจเย็นๆ ที่รัก ผมยังอยากอยู่ในตัวคุณ” ราฮีมรีบห้าม นั่นเพราะยังอยากอยู่ในตัวณาณีมให้นาน แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือณาณีมกัดริมฝีปากล่าง มองราฮีมด้วยแววตาเซ็กซี่ ทำเอาหัวใจชายหนุ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะเผลอปล่อยอารมณ์ให้กระเจิดกระเจิงจนเกือบปลดปล่อยและเมื่อรู้ตัวราฮีมก็ถอดถอนความแข็งขืนออกมาจากตัวเธอก่อน แล้วจัดการเปลี่ยนท่าทางด้วยการจับณาณีมให้กลับมานอนหงายบนเตียง ส่วนเขาลงไปยืนอยู่ริมเตียง รั้งเธอให้ขยับเข้าหาแล้วแทรกตั
“ขอบใจแกสองคนมากนะ ที่คอยช่วยเหลือฉันทุกอย่าง” ณิการ์หันไปมองณาณีมกับธัญมณที่ต้องเหนื่อยแทนเธอตั้งหลายเรื่อง โดยเฉพาะณาณีม“เล็กน้อยน่ะ” ธัญมณยิ้มให้“พรุ่งนี้สามีฉันก็บินกลับมาแล้ว โล่งอกไปหน่อย”“สู้ๆ คุณแม่” ณาณีมยิ้มให้คนบนเตียงที่กึ่งนั่งกึ่งนอนด้วยอีกคน“อื้อ…สู้อยู่แล้ว เป็นแม่คนต้องอดทน สิบล้อชนต้องไม่ตาย แต่แค่ผ่าไส้ติ่งทำไมมันเจ็บงี้ก็ไม่รู้” เพิ่งบอกให้อดทนไปหยกๆ แต่อยู่ๆ หน้าณิการ์ก็ยู่ยี่ เพราะยังรู้สึกเจ็บจี๊ดที่แผลผ่าตัด“เอาน่ะ เจ็บแค่นี้เล็กน้อย มันสู้ตอนแกเบ่งคลอดน้องภูมิไม่ได้ด้วยซ้ำ จริงไหม” ณิการ์พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของณาณีม“จริง เพราะงั้นฉันเลยขอมีลูกแค่คนเดียวนี่ไง เข็ดตอนเบ่งคลอด”“แกนี่” ณาณีมส่ายหน้าให้ณิการ์อีกที ก่อนที่ณิการ์จะเอ่ยกับลูกชาย ที่พอทำการบ้านเสร็จก็ตัวติดกับราฮีมทันทีเหมือนกัน“น้องภู
“เชิญค่ะ เพราะการเม้าท์มอยในที่ทำงานถือเป็นงานหลัก เอ้ย! ไม่สิ งานอดิเรกของใครหลายๆ คนอยู่แล้ว แต่ณาว่าพี่ณิอรกับมาตาคงไม่เป็นหรอก ใช่ไหมคะ”“ใช่จ้ะใช่” ณิอรเอ่ยรับก่อน“ใช่ค่ะ มาตากับพี่ณิอรไม่ใช่พวกขาเม้าท์แน่นอน เรื่องเม้าท์ไร้สาระทั้งนั้น” มาตาที่นั่งฟังมานานเอ่ยเสริมขึ้นบ้าง แต่แค่ได้ฟังก็คันปากยิกๆ“กินข้าวกันค่ะ เดี๋ยวเย็นแล้วมันจะไม่อร่อย” ณิอรและมาตาพยักหน้ารับกันหงึกหงักแล้วกินข้าวเที่ยงกันอย่างเงียบๆ ส่วนณาณีมนั้นนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะรู้ว่าสองคนนี้คิดอะไรกันอยู่ ดีไม่ดีกลับเข้าไปทำงานในช่วงบ่าย เธออาจเป็นเซเลบที่มีแต่คนมอง ซึ่งณาณีมก็หาได้แคร์ไม่กระทั่งอิ่ม ณาณีมก็ขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงมื้อกลางวัน ณิอรและมาตาก็ไม่ได้คัดค้าน ดีซะอีก เพราะจะได้ประหยัดเงินค่ามื้อเที่ยงไปอีกหนึ่งมื้อ จากนั้นณาณีมก็ขอตัวกลับออกไปก่อน“ก่อนกินข้าว พี่ณิอรว่าพี่ณาแขวะเราไหมคะ” เมื่ออยู่กันสองคน มาตาก็เอ่ยขึ้น“
“เร็วไปนะคะ พูดถึงท่านปุ๊บก็จะชวนณาไปปั๊บ ใจร้อนเป็นวัยรุ่นไปได้” ณาณีมส่ายหน้าให้คนตัวโตกว่า ที่ตอนนี้เขาเอาแต่นั่งยิ้ม นั่นเพราะแม้รักครั้งนี้เขาจะให้ณาณีมเป็นคนออกแบบ แต่เส้นทางที่เธอเลือกมันก็ไม่ได้ต่างไปจากตัวตนในแบบที่ราฮีมอยากได้“ก็ผมอยากให้ครอบครัวได้เจอกับผู้หญิงคนที่ผมจะใช้ชีวิตด้วยหลังจากนี้ ผมจะได้บอกพ่อกับแม่ว่าวันนี้พระเจ้าได้ประทานผู้หญิงที่มีค่ามาให้ผมแล้ว”“เดี๋ยวณาก็ตัวลอยหรอก”“ผมพูดเรื่องจริง”“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจณา ขอบคุณ” นอกจากคำๆ นี้แล้ว ณาณีมก็ไม่รู้จะเอ่ยคำไหน ถึงแม้ก่อนหน้านี้เธอไม่คิดจะเปิดใจให้เขา แต่สุดท้ายก็แพ้ใจ“ถ้าไม่ให้ผมเข้าใจคนที่ผมรักแล้วจะให้ผมไปเข้าใจใครครับ…หืม” เพราะรักราฮีมจึงเข้าใจด้วยหัวใจ และไม่ต้องการเปลี่ยนตัวตนของณาณีม เขาต่างหากที่ต้องขอบคุณที่เธอเปิดใจให้ นั่นเพราะรู้ว่าความรักสำหรับคนอย่างณาณีมนั้นต่างจากทุกๆ คน“ดึกแล้ว ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้คุณ
“รู้ไหมว่าลูกแกพูดอะไรกับฉันเมื่อวาน น้องภูมิบอกว่ารักแกมาก แกอยากให้เรียนพิเศษอะไร น้องภูมิก็เรียน เรียนเพื่อตามใจแก” ยังฟังไม่ทันจบประโยค ณิการ์ก็ปล่อยโฮออกมาอย่างยากจะกลั้นไว้ได้เธอสะอึกสะอื้นจนตัวโยน ที่ผ่านมาเธอคงเป็นแม่ที่เห็นแก่ตัวจริงๆ คิดเองเออเองในฐานะแม่ ว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับภูมิแผ่นดิน และเมื่อเห็นแม่ร้องไห้ เด็กชายก็เดินเข้ามาหาใกล้ๆ นั่นทำให้ณิการ์คว้าลูกชายมากอดอย่างรู้สึกผิด“แม่ขอโทษนะครับภูมิ แม่ขอโทษ”“คุณแม่ขอโทษน้องภูมิทำไมครับ” เด็กชายเอ่ยถามอย่างงุนงง นั่นเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดนัก ที่สำคัญเมื่อครู่ยังถูกราฮีมจงใจเบี่ยงเบนความสนใจขณะที่ณาณีมคุยกับณิการ์ไปด้วย“วันหลังเราไปเล่นบ้านบอล ไปกินเฟรนช์ฟรายส์กันนะครับ”“จริงๆ นะฮะ” ภูมิแผ่นดินยิ้มกว้างทันที“จริงสิครับ ส่วนเรียนพิเศษ ต่อไปนี้แม่จะถามก่อนว่าน้องภูมิอยากเรียนไหม ถ้าไม่ชอบก็บอกแม่นะครับ”