"สาวน้อยให้ข้าช่วยดีกว่า เจ้าต้องการกินอาหารแบบไหนสามารถบอกข้ามาได้เลย"พ่อครัวที่ได้รับข่าวมาจากเสี่ยวเอ้อว่ามีแม่นางน้อยผู้หนึ่งมาขอใช้ครัวของพวกเขาเพื่อที่จะทำอาหาร พอเหล่าเจิ้นเดินออกจากห้องครัวมาก็พบว่าเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น เขาจึงถามนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่านางต้องการจะกินอาหารแบบไหนเขาจะได้รีบทำให้"ข้าขอทำเองได้ไหมเจ้าคะ" หลี่หลิวทำตาปริบ ๆ อ้อนวอนพ่อครัวที่มีผ้าคล้องคอไว้ซับเหงื่อ แถมข้าง ๆ ตัวนางยังมีถังปลาหมึกที่มีความยาวมากกว่าสองคืบที่พันกันยั้วเยี้ยอย่างสยดสยอง ไม่ว่าใครที่ได้พบเห็นก็พากันขนลุกขนชัน และพากันถอยหนีออกห่างจากนางกันทั้งนั้น"สาวน้อยข้าให้เจ้าทำไม่ได้จริง ๆ ทำเช่นไรดี นี่เสี่ยวเอ้อแม่นางน้อยผู้นี้อยู่ห้องไหนรีบไปตามครอบครัวนางมาเถอะ" เหล่าเจิ้นพ่อครัวหนุ่มใหญ่วัยสามสิบปียังคงยิ้มแย้ม แล้วบอกหลี่หลิวว่านางไม่สามารถเข้าครัวได้ แถมยังบอกให้เสี่ยวเอ้อไปตามครอบครัวที่มากับนางให้มารับตัวนางกลับไป เด็กทุกวันนี้กล้าจับสัตว์น้ำที่แปลก ๆ แบบนี้มาเพื่อที่จะทำอาหารได้เช่นไรกัน เหล่าเจิ้นยังคงรอยยิ้มอ่อนโยนและถามไถ่ว่านางจับตัวอะไรมาแล้วถามนางว่าไม่กลัวมันรึ"พี
หลี่หลิวเป่าเชิงเทียนที่โต๊ะนั่งข้างมุมห้องแล้วค่อย ๆ เดินช้า ๆ นางยื่นมือน้อย ๆ คลำทางในความมืดเดินไปข้างหน้าเพื่อคว้าหาเตียงนอน พอมาถึงเตียงที่น้องเล็กนอนอยู่นางก็นั่งลงถอดรองเท้าปีนขึ้นไปนอนด้านในแล้วดึงเอาห่มผ้าที่อบอุ่นมาคลุมกาย อากาศเย็นลงมากในตอนกลางคืนดีหน่อยที่ผ้าห่มที่นี่ค่อนข้างหนาจึงไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนัก หลี่หลิวขยับเขยื้อนตัวให้อยู่ในท่าที่สบายแล้วดึงเอาผ้าขึ้นมาปิดจนถึงจมูกแล้วหลับไปวันถัดมา...ครอบครัวหนานจ้านตื่นขึ้นแต่เช้ากินน้ำแกงปลากับข้าวสวยร้อน ๆ ทำให้ท้องของพวกเขาอบอุ่น และมีพลังเป็นอย่างมาก ต้องขอบคุณแม่นางน้อยที่ทำให้พวกเขาได้กินอิ่มนอนหลับสบายเช่นนี้ เมื่อกินอิ่มหนานจ้านก็บอกบุตรชายคนโตให้ไปเตรียมรถลากคันเก่าออกมา พร้อมเจ้าม้าสองตัวที่หนานกงจูงมาอย่างเชื่อฟัง"พรุ่งนี้พวกเจ้าจะได้วิ่งไปที่เมืองหลวงอีกครั้งพวกเจ้าดีใจใช่ไหม" หนานกงคุยกับม้าแสนรักของเขาพร้อมกับช่วยพี่ชายเขาใส่อุปกรณ์เกวียนลากให้กับพวกมัน"ท่านพ่อถ้าเราซื้อเกวียนลากมาใหม่คงจะดีไม่น้อย" หนานอี้เฟยแฝดผู้น้องเอ่ยขึ้น เมื่อมองไปที่รถม้าคันเก่าของพวกเขา"พ่อคิดว่ามันยังใช้งานหนักได้ดีอยู่ และอีกอย่
หลังจากจบมื้อค่ำแล้วทุกคนต่างแยกย้ายกันเข้านอน พอถึงห้องพักหลี่เฉินเอาแต่ถามพี่รองของเขาว่าทำไมพี่รองถึงต้องให้สูตรอาหารกับพวกเขาด้วย ทำไมพี่รองถึงไม่บอกปัดพวกเขาไป จนนางต้องบอกให้เขาหลับตานอนในตอนที่แสงเทียนดับลงแล้ว เด็กคนนี้กลายเป็นคนรู้เท่าทันคนไปเสียแล้ว ข้าจะดีใจหรือเสียใจดีที่เขาเริ่มฉลาดแล้วยังรู้จักเจรจาต่อรองกับข้าเช่นนี้ หลี่หลิวยิ้มบางแล้วกระชับผ้าห่มให้น้องชายตัวอวบของนาง นับวันเขายิ่งจ้ำม่ำขึ้นจนนางต้องคอยบอกว่าหากเขาอ้วนแล้วจะไม่หล่อ จนเจ้าเด็กน้อยต้องคอยห้ามปากตัวเองเพราะสายตาของนางคอยห้ามปรามเขาเอาไว้ ข้าคงต้องหาเมนูที่กินได้เรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ทำให้อ้วนมาไว้รองรับพุงน้อย ๆ ของเขาแล้วล่ะ หากวันหนึ่งเขาเกิดหิวมาก ๆ และห้ามตัวเองไม่อยู่ขึ้นมา คงได้แต่เข็นเจ้าก้อนกลม ๆ ไปไหนมาไหนด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้เป็นแน่บ้านหนานจ้านพากันตื่นแต่เช้า และขนข้าวของที่เหลืออยู่ขึ้นเกวียนลาก ก่อนจะมุ่งหน้าออกจากบ้านด้วยการจ้างวานของกลุ่มรถลากที่ตื่นมาทำงานตั้งแต่เช้า ครอบครัวตี้อันหนิง และเหล่าเจิ้นก็ออกมารวมตัวกันที่หน้าโรงเตี๊ยมด้วยเช่นกัน ตี้อันหนิงมองผู้คนอีกเจ็ดคนที่มายืนออรวมกันอย่างรอค
สือไท่กลับถึงบ้านผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่เขาสวมใส่ประจำ การที่ต้องสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยมั่นใจนัก ชุดสีน้ำเงินเข้มตัดดำถูกสวมใส่อย่างดีบนรูปร่างอันสมส่วน และกำยำของเขา สือไท่รีบลงจากบ้าน และวานให้เว่ยหนิงไปหาบ้านพักให้ทั้งสามครอบครัว ซึ่งเป็นคนงานที่พึ่งมาใหม่ตามคำขอของนางในดวงใจ"ท่านพ่อข้าไปที่ร้านสมุนไพรก่อนนะขอรับ" สือไท่กล่าวถ้อยคำรื่นหูที่พ่อใหญ่อยากฟังมากที่สุด แล้วออกจากบ้านไปพร้อมกับจางปิง"ดี ดีเจ้าเด็กคนนี้หัดเริ่มที่จะรู้จักทำงานทำการเสียที" สือหานเห็นบุตรชายมีความขยันเขาถึงกับเอ่ยชมออกมาทำให้สืออิงยิ้มตาม และพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง"ข้าเห็นหลี่หลิวนั้นขยันเป็นอย่างมาก หากสือไท่ยังไปมาหาสู่กับนางอยู่เช่นนี้ อาจเป็นเรื่องดีที่จะกระตุ้นให้เขารู้จักทำหน้าที่ของตนเพิ่มมากขึ้น"เมื่อนางวางช้อนที่ตักน้ำผึ้งลงก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมหลี่หลิว เพราะนางแท้ ๆ ที่คอยเป็นแรงผลักดันให้เขาอยู่ตลอดเวลา จนทำให้คนที่ห่วงเล่นอย่างเขาได้มีเป้าหมายที่ชัดเจนเช่นนี้ อันที่จริงแล้วสือไท่เป็นคนที่จดจำเรื่องราวได้ดี หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือสิ่งที่เขาได้อ่านไปแล้วครั้งหนึ่งไม่มีทางที
หนานจ้านกับบุตรชายทั้งสี่เมื่อได้ไม้ไผ่กลับมาก็ช่วยกันผ่าไม้ไผ่เป็นแผ่น ๆ มันมีขนาดที่ไม่หนา และบางจนเกินไปพวกเขาจึงช่วยกันเหลาพวกเสี้ยนหนามออกเพื่อให้สะดวกในเวลาที่สาน หลี่หลิวบอกพวกเขาว่าต้องทำแผ่นที่มีขนาดใหญ่ และยาวกว่าแปลงผักเพี่อที่จะได้วางคลุมผักพวกนี้ได้ง่ายขึ้น หนานจิ้นพอรู้ว่านางต้องการจะที่ทำอะไรจึงพาท่านพ่อ และพี่น้องของตนทำมันออกมาตามที่แม่นางน้อยต้องการ"เจ้าอยู่นี่เองหรือ วันพรุ่งนี้พ่อจะไปรับท่านปู่กับท่านย่าเจ้าอยากจะไปกับพ่อด้วยไหม" หลี่หงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกมาหานาง ข้าก็รู้ว่านางไม่ชอบท่านย่านัก แต่อย่างไรก็คงต้องบอกให้นางได้รับรู้เสียหน่อย"ท่านพ่อข้าพึ่งกลับจากเทียนจวินมาได้แค่ไม่กี่วัน ข้ายังเหนื่อย และเพลียอยู่เลย ท่านพ่อไปเถอะเจ้าค่ะ" หลี่หลิวหันหน้าไปตอบท่านพ่อ และส่งรอยยิ้มอันเจ็บปวดให้ผู้เป็นพ่อก่อนจะหันหลังกลับไปดูบ้านหนานที่เหลาไม้ไผ่อย่างตั้งอกตั้งใจ"เอาตามที่เจ้าว่า งั้นพรุ่งนี้พ่อจะออกเดินทางแต่เช้า""ท่านพ่อไม่ต้องห่วงข้าหรอกเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นไร" หลี่หลิวรู้ว่าผู้เป็นพ่อยังไม่ได้จากไป จึงเอ่ยถ้อยคำให้เขาสบายใจขึ้น แต่คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ผู้เป็
ห้าวันถัดมาหลี่หลิวยังคงมีไข้หลงเหลืออยู่บ้างแต่ตามเนื้อตัวก็เริ่มเย็นลงมาบ้างแล้ว สือไท่คอยรับส่งนางในดวงใจทุกวัน จนตอนนี้แทบจะเรียกได้อย่างเต็มปากว่านางเป็นคนของเขาไปแล้วครึ่งนึง"ป้าชิงหร่วนไม่ต้องเอาของกินมาให้ข้าอีกแล้วนะเจ้าคะ ข้ากินได้ไม่มากหรอกเจ้าค่ะ"หลี่หลิวที่มานอนห้องสือไท่ในเวลากลางวันได้รับการดูแลจากแม่บ้าน และพ่อบ้านจนทุกคนพากันเรียกนางว่าคุณหนูน้อยจนติดปากไปเสียแล้ว หลี่หลิวได้แต่บอกว่านางกินได้ไม่มาก เพราะยังมีไข้อยู่แต่ท่านป้าหร่วนชิงก็ยังคงเอาอาหารมาส่งให้นางพร้อมทั้งของกินเล่นไม่ขาดสาย จนตอนนี้นางแทบจะขึ้นอึดอยู่แล้ว"กินอีกหน่อยเถอะคุณหนูน้อย จะได้หายไว ๆ นะเจ้าคะ" ป้าชิงหร่วนคอยมาดูแลหลี่หลิวตั้งแต่วันแรกที่นางเข้ามา ท่านป้าชิงหร่วนเอ็นดูนางมาก เพราะนางไม่งอแงแถมยังพูดจาได้น่าฟังยิ่งนักหลี่หลิวกลัวว่าสือไท่จะเสียงานจึงให้เขาไปเรียนรู้ที่ร้านสมุนไพรเสมอ นางบอกเขาว่าหากท่านยังมัวแต่ห่วงข้า ข้าก็จะกลับไปพักที่บ้าน เขาจึงต้องยอมจำนน และฝากนางไว้กับท่านป้าที่เป็นเสมือนแม่เลี้ยงของเขา นับต่อจากนั้นมาท่านป้าชิงหร่วนก็รับหน้าที่คอยดูแลนางเป็นอย่างดี บางเวลาแม่ใหญ่ว่างก
หลี่หวนพร้อมทั้งบุตรชายคนโตที่อุ้มหลี่เต๋อมาตามทางเดิน พอมาถึงหน้ากระท่อมเก่าของลี่หงก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากกระท่อม พวกเขาต่างก็พากันสงสัยจึงได้แต่เดินเข้าไปในพื้นที่ของรั้วกำแพงไม้ไผ่นั่น ที่แปลงนี้ที่ข้าซื้อไว้ดูดีถึงเพียงนี้เชียว หลี่หวนได้แต่คิดในใจ เมื่อได้มองเข้าไปในรั้วบ้านที่กว้างขวาง อีกทั้งยังโล่งสบายตาเขาก็เผลอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้"อ้าว ท่านมาหาหลี่หงหรือ เขานั่งอยู่หลังบ้านทางด้านนั้น ข้าขอตัวกลับก่อนนะ ข้าว่าจะไปทำอาหารมาให้พวกเขาได้กินดี ๆ หน่อย" ลุงฉวีกับภรรยาทักทายหลี่หวนเสร็จแล้วก็รีบเร่งกลับบ้านไปทำอาหารมาให้หลี่หง และพรรคพวกของพวกเขาทันที"ท่านปู่หลี่ พี่ชายหลี่" จางปิงนั่งอยู่โต๊ะไม้กล่าวทักทายสามพ่อลูกที่เดินเข้ามาด้านในชายคากระท่อมด้วยใบหน้าเรียบเฉยหลี่หวนกับหลี่โจวกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอเมื่อเห็นผู้คุ้มกันวางดาบสีดำไว้บนโต๊ะ แล้วแสดงสีหน้าออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก พวกเขากล่าวทักทายตอบกลับไปก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ให้เขา แล้วเดินไปหาหลี่หงทางหลังกระท่อมด้วยการก้าวขายาว ๆ"น้องรอง"หลี่โจวเรียกน้องคนรองที่นั่งดูปลาริมขอบบ่อทำให้เขาหันกลับมาดู พอเห็นว่าเป็นใคร
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่กินข้าวเสร็จภรรยาของฉวีหลงเทียนก็เก็บถ้วยชามใส่ตะกร้า หลี่หงกล่าวขอบคุณท่านลุงฉวี และครอบครัวของท่านที่มาดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ทั้งสองฝ่ายล่ำลากันเสร็จหลี่หงก็ขึ้นรถม้าคันโตจากไป"ท่านพ่อเจ้าคะ ต่อไปสามีข้าจะได้ไปทำงานกับเขาจริง ๆ ใช่ไหมเจ้าคะ" ลุงฉวีหันมายิ้มให้สะใภ้เพียงคนเดียวของเขาแล้วพยักหน้าด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขมันต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน หลี่หงเป็นคนดี และเขาก็รับปากข้าไว้แล้วว่าหากแม่หนูน้อยคนนั้นรับคนงานเพิ่มครั้งหน้าบุตรชายของข้าจะต้องได้ไปทำงานด้วยอย่างแน่นอน ฉวีหลงเทียนจะต้องดีใจอย่างแน่นอนหากรู้ว่างานที่พ่อคนนี้หาไว้ให้ได้ค่าแรงมากกว่าที่เก่าเป็นเท่าตัว ครอบครัวฉวีเดินทางกลับบ้านช่วงเช้าด้วยรอยยิ้ม ส่วนสองพี่น้องฉวีก็เอาแต่พูดถึงหลี่เฉินด้วยความคิดถึงเมื่อรถม้ามาถึงหน้าบ้านพวกท่านปู่ท่านย่าก็พร้อมที่จะออกเดินทางแล้วเช่นกัน หลี่จงเชิญพวกท่านขึ้นรถม้าแต่พอหลี่ไช่หัวเห็นจางปิงแล้วก็มือไม้สั่น จนหลี่โจวต้องไปพยุงท่านแม่ขึ้นรถแล้วค่อยหันกลับมารับท่านพ่อกับครอบครัวของตนตามขึ้นไปทีหลัง ของทั้งหมดถูกยกขึ้นรถลากของพี่น้องเฟยจนเต็มทั้งสอง
"อ้าว....ยัยลูกคนนี้หนิ ถ้าไม่สบายทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องนอนล่ะเนี่ย" หมิงหลิวมองไปที่ลูกสาวที่หลับไปทั้งแบบนั้น รองเท้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลยแท้ ๆ สงสัยเสี่ยวเหมยจะถูกหัวหน้ากดดันมาอีกสิท่า เห้อ...สมัยนี้ทำงานมันไม่ง่ายเลยจริง ๆ"แม่บอกแล้วว่าให้หาผู้ชายดี ๆ สักคนมาคอยดูแล ถ้าไปดูตัวตามที่แม่บอกแต่แรกคงจะไม่เป็นแบบนี้ ป่านนี้คงยิ้มหน้าบานเท่ากระด้งไม่ก็ออกไปเดทดูหนังผ่อนคลายแล้วซักหน่อยก็ยังดี" หมิงหลิวบ่นให้ลูกสาวหัวรั้นพร้อมทั้งเดินไปเอาผ้าห่มมาห่มตัวให้เสี่ยวเหมยวันนี้เป็นวันหยุดของเสี่ยวเหมยว่าแต่เสี่ยวเหมยไปไหนมากันแน่นะ ไหนว่าจะไปหาเพื่อนแล้วไหงถึงได้กลับมาอยู่ในสภาพแบบนี้กันหมิงหลิวส่ายหัวไปมาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ ถึงแบบนั้นแต่เธอก็เดินเข้าครัวไปต้มโจ๊กไว้รอให้หมิงเหมยที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอ"หมิงหลิวเอ้ย ทำไมเสี่ยวเหมยของเราถึงตัวร้อนแบบนี้ล่ะ"เสียงแหบชราของย่าหมิงดังมาจากห้องรับแขก ทำให้หมิงหลิวที่ทำโจ๊กอยู่ทำหน้างุนงง เมื่อกี้เสี่ยวเหมยยังไม่มีไข้นี่นาแล้วจู่ ๆ มีไข้ขึ้นมาเฉยเลยงั้นเหรอ หมิงหลิวปิดเตาเมื่อต้มโจ๊กเสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาดู เห็นย่าหมิงกำลังเช็ดตัวให้เ
หลังจากวันที่สืออิงคลอดบุตร สือไท่ก็พาบ้านหลี่แวะไปเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง จนหลี่หลิวที่ไม่ค่อยไปไหนนักก็มักไปติดอยู่กับบ้านนั้นเข้าเสียแล้ว"วันนี้เจ้าจะไปหาสือต้าเหนิงอีกแล้วรึ ไหนเจ้าบอกว่าวันนี้จะทำสบู่ หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจไม่ทำแล้ว" หลี่จงเดินมารดน้ำผักยามเช้าแล้วถามไถ่ผู้เป็นน้องสาวขึ้นอย่างสงสัย"ข้าไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น เดี๋ยวช่วงสายหน่อยข้าก็จะกลับมาทำงานเช่นเดิม""ในเมื่อเจ้าชอบเด็กถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีให้เขาสักคนล่ะ""นี่ พี่ใหญ่...ข้าชอบเด็กก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่อยากมีในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ ข้ายังไม่พร้อมน่ะ""งั้นเจ้าก็อยู่บ้านบ้างสิ งานโรงเตี๊ยมเจ้าก็แทบจะโยนมาให้ข้าหมดแล้ว เจ้าหนิมันจริง ๆ เลยนะ""จะให้ข้าทำเช่นไรได้ เจ้าตัวเล็กนั่นน่ารักขนาดนั้น แถมแก้มน้อย ๆ ก็น่าหยิกน่าชังยิ่งนัก""น้องรอง...ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน นั่นไม่ใช่เจ้าเล็กของเรานะ ห้ามแม้แต่จะคิดที่จะไปหยิกแก้มเขาเชียวล่ะ""ข้ารู้หรอกน่า ชิ...ข้าล่ะเกลียดท่านจริง ๆ" หลี่จงส่ายหัว และยิ้มน้อย ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างรู้ทัน นางชอบหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กเป็นที่สุด มีหรือข้าจะไม่รู้"เอาล่ะ หาก
ณ บ้านสือ....ยามอู่ ช่วงสิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงเกือบบ่ายโมง"เร็วหน่อย ๆ นายหญิงจะคลอดแล้ว" ลุงชิงหัวพ่อบ้านวัยสี่สิบเอ็ดปีสามีของป้าชิงหร่วน ส่งเสียงบอกสาวใช้ในเรือนให้รีบไปเตรียมข้าวของตามที่หมอตำแยบอก"นายท่านขอรับ เดี๋ยวข้าส่งคนไปบอกนายน้อยดีหรือไม่ขอรับ"ลุงชิงหัวถามนายท่านของตนที่เดินวนไปมาอยู่หน้าห้องนอนหลายรอบอย่างตื่นเต้น"จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาพึ่งเข้าห้องหอไปเมื่อคืน แถมดูจากสภาพของเขาแล้วตอนนี้คงยังเมาค้างอยู่อย่างแน่นอน" ใบหน้าของสือหานปรากฎแววของความอดรนทนไม่ไหวขึ้นมาจาง ๆ"แต่อย่างน้อย เราควรไปแจ้งข่าวให้นายน้อยทราบสักหน่อยนะขอรับ" ลุงชิงหัวกล่าวทักท้วงนายท่านสือหานด้วยความห่วงใย"ข้าคิดว่าหากนายน้อยรู้เรื่องไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะต้องรีบบึ่งมาที่นี่อย่างแน่นอนขอรับ""เอาตามที่ท่านเห็นสมควรเถอะ แค่นี้ข้าก็ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว"สือหานที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยาดังออกมาจากด้านในเป็นพัก ๆ ทำให้เขาปวดใจจนยากที่จะอธิบาย ในตอนนี้เขาก็ไม่มีกระจิตกะใจไปสนใจเรื่องอื่นอีกแล้ว เขาได้แต่เดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องนอนอย่างร้อนใจ ใบหน้าของสือหานในยามนี้ปราศจากรอยยิ้มอันอบอุ่นมีแต่ค
ยามไฮ่ สี่ทุ่มโดยประมาณ...."ท่านพี่… ข้าว่าน่าจะได้เวลาแล้วนะเจ้าคะ"สืออิงเรียกสามีของตนที่กำลังติดลมดื่มด่ำสุรากับเพื่อนฝูงจนลืมเวลาไป"ถึงเวลาแล้วรึ?" สือหานที่ใบหน้าแดงก่ำวางจอกสุราลง แล้วหันมาถามสืออิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีป้าชิงหร่วนคอยนวดขาให้นางเพื่อคลายความเมื่อยล้า"เจ้าค่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว หากรอนานกว่านี้อีก เจ้าลูกชายของท่านพี่คงหมดสภาพไปแล้วอย่างแน่นอน" สืออิงหันหน้าไปทางสือไท่ที่ร่ำสุรามงคลกับเพื่อนพ้อง จนตอนนี้เขาดูเมามายแถมสนุกสนานจนลืมไปแล้วว่าตนกำลังทำอะไรอยู่"เว่ยหนิง..."สือหานเรียกเว่ยหนิงที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ที่เขาดื่มสุราไปเพียงเล็กน้อยแต่พอควร และคุยเล่นกับจางปิงกับครอบครัวอย่างสนุกสนาน ดูท่าทางแล้วพอถึงเวลาจริงจังกับเป็นเว่ยหนิงที่พึ่งพาได้มากที่สุด"เดี๋ยวพ่อมานะ เจ้าอยู่กับท่านแม่ และเล่นกับพี่ชายไปก่อน""ขอรับท่านพ่อ" เสียงเล็ก ๆ ของเด็กวัยสองขวบ ตอบรับผู้เป็นบิดา และหันไปเล่นกับพี่ชายที่เป็นบุตรชายของจางปิงต่อ เว่ยหนิงใช้มืออันหนาใหญ่ ยีหัวบุตรชายเบา ๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของนายท่านสือหาน"นายท่าน"เว่ยหนิงลุกขึ้นยืนเต็มตัว เขาก้าวขาเพียงเล็กน้อยก็มาถึง
"ตั้งใจทำงานกันหน่อย อีกเดี๋ยวพอลูกค้าเริ่มมาแล้วจะวุ่นวายกันไปใหญ่ ตรงนั้นน่ะดึงผ้าให้ตึงกว่านี้อีกหน่อยมันหย่อนจนเกินงามไปแล้ว" สืออิงที่นั่งเก้าอี้ใช้พัดที่ยังไม่กางออกชี้สั่งงานคนงานของตน และแม่บ้านที่นำมาด้วยให้ช่วยกันเร่งมือตั้งแต่เช้าตรู่ยิ่งนางได้เห็นท่าทีของสือไท่ว่าเขามีความสุขมากแค่ไหนในตอนที่เขากลับไปถึงบ้าน นางยิ่งมีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น และยังหวังลึก ๆ ในใจว่านางยังจะทนไหวจนกว่าสือไท่จะตบแต่งจนเสร็จ สืออิงคอยบอกทารกในครรภ์อยู่เสมอว่าให้อดทนรอจนกว่าจะเสร็จงานแต่งของพี่ชายจึงค่อยออกมาพบเจอกัน เพราะนางอยากให้งานแต่งของสือไท่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีที่ติ นางจึงต้องลากร่างกายที่เหมือนจะพร้อมคลอดทุกเมื่อออกมาเร่งจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อย"พี่สืออิง ท่านไม่ต้องเร่งรีบไป ข้ารู้ว่าท่านอยากอยู่รอดูวันนั้นของสือไท่ด้วยตาของท่านเอง แต่หากท่านฝืนตัวเองมากเกินไปตัวท่านเองนั่นแหละจะลำบาก ดูเอาเถอะทั้งสือไท่ และหลี่หลิวต่างมาคอยดูแลคุมงานอย่างใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ท่านก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะที่จะคอยตรวจตราพวกเขาอีกที"หลี่ลู่เห็นพี่สืออิงมานั่งคอยสอดส่องอย่างใกล้ชิด และออกคำสั่ง
หลังจากสร้างบ้านที่ท้ายสวนเสร็จหลี่หลิวก็พยุงท่านแม่ใหญ่อย่างสืออิงที่ท้องโตเต็มที่เดินตรวจตราดูความเรียบร้อยจนนางพอใจ หลี่ลู่เดินข้าง ๆ ตามมาพร้อมกับสือหาน และสือไท่ ก่อนจะพูดคุยเรื่องการจัดงานแต่งในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าด้วยความกระตือรือร้น"เรื่องของแม่นางกงซูหนิงก็จบลงด้วยดี ต่อไปนี้ก็คงไม่มีอะไรมาคอยกวนใจหลี่หลิวอีกแล้วล่ะ" สือหานกล่าวพร้อมกับมองบ้านหลังที่ไม่เล็ก และไม่ใหญ่จนเกินไปอย่างพอใจ หลี่หลิวสร้างบ้านได้น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงข้าวจะของยังจัดการไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่นักแต่โดยรวมแล้วดูลงตัวเป็นอย่างมาก ถึงมันจะเรียบง่ายแต่ก็ดูเรียบหรูอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเลยว่าบ้านธรรมดาหลังหนึ่งแต่ด้านในจะสามารถดูดีได้ถึงเพียงนี้"ตรงนี้ข้าจะเอาไว้ต้อนรับแขกเจ้าค่ะ"เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านที่สร้างเป็นเรือนหอ หลี่หลิวก็หันมาบอกว่าชายคาที่ยื่นออกไปนี้นางเตรียมไว้สำหรับรองรับแขก เพื่อว่าพวกท่านทั้งหมดมาเยี่ยมเยือนก็จะได้มานั่งพักชมวิวตรงจุดนี้ มันมีโต๊ะไม้ยาวที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่าแปดถึงสิบคน ซึ่งหลี่หลิวมองเห็นว่าในอนาคตอาจจำเป็นต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน"เจ้าออกแบบบ้านหลังนี้ด้วย
"เจ้าอยากมาเป็นนางคณิกาที่นี่งั้นหรือ""ใช่เจ้าค่ะ"นายหญิงแห่งหอคณิกามองไปที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของนางแล้วก็ต้องตกใจ แม่นางผู้นี้คือบุตรสาวของนายท่านกงเหวินผู้ที่เคยมีชื่อเสียงกว้างขวาง ถึงแม่นางกงจะงดงามไม่น้อยแต่ข้าก็ไม่สามารถรับคนที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นนี้เข้ามาเพื่อทำให้หอคณิกาของข้าแปดเปื้อนได้ ถึงจะเสียดายใบหน้าที่งดงามของนางอยู่ไม่น้อยก็ตาม การไม่เข้าไปยุ่งกับคนเช่นนี้นั้นย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน"ข้าดูจากใบหน้าของเจ้าก็พอใช้ได้ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่รับนางคณิกาเพิ่มหรอกนะเจ้ากลับไปเสียเถอะ""ทำไมล่ะเจ้าคะข้า...ข้าสามารถเต้นรำ หรือทำงานอะไรก็ได้นะเจ้าคะ""เด็ก ๆ ส่งนางออกไปที""ขอรับนายหญิง""ไม่ต้อง ข้าออกไปเองได้"เมื่อกงซูหนิงเห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัวเดินมาทางนาง นางที่นั่งคุกเข่าอยู่เมื่อครู่เพื่อที่จะอ้อนวอนนายหญิงจึงรีบลุกขึ้นเชิดหน้าหยิ่งทะนงตน กระทืบเท้าไปหนึ่งทีอย่างไม่พอใจแล้วหันหลังเดินออกไปจากหอคณิกาทันที"นายหญิงเจ้าคะ ท่านไม่เสียดายนางรึเจ้าคะ นานมากแล้วนะที่หอคณิกาของเราไม่มีนางคณิกาใหม่ ๆ มาบ้างเลย""เจ้าดูเอาเถอะ กิริยาเช่นนี้มีหรือจะรับแขกได้ หากรับมานา
"ปล่อยข้านะ อย่านะ!!"เสียงร้องของหญิงสาวดังออกมาจากมุมอับของกำแพง มีชายหนุ่มน้อยใหญ่สามสี่คนที่กำลังเมามายมารุมรังแกนาง"ปล่อยลูกสาวข้าไปเถอะนะ พวกเราเป็นแค่เพียงขอทานจน ๆ เพียงเท่านั้น ได้โปรดเถอะ" ชายชราผมขาวยกมืออ้อนวอนกลุ่มคนเมาที่พยายามจะมาลวนลามบุตรสาวของตน"เจ้าอยากได้เงินไม่ใช่หรือ ไปกับพวกข้าซะสิ ข้าจะให้เงินมากมายกับเจ้าเอง"ชายร่างท้วมผิวดำคล้ำพุงป่องพยายามล่อลวงนางด้วยการถือเงินอีแปะเป็นพวง ๆ เพื่อหวังจะหลอกล่อนาง"ข้าไม่เอา ๆ ปล่อยมือข้านะ""ปล่อยข้ากับบุตรสาวของข้าไปเถอะ""ใครจะอยากได้เจ้ากันล่ะ ข้าแค่ต้องการบุตรสาวของเจ้าเพียงเท่านั้น หลีกไปให้พ้น!!!" กลุ่มชายที่เมามายผลักดันชายชราออกไปด้วยเท้า จากนั้นใช้ผ้าออกมาเช็ดปัดเสื้อผ้าออกเหมือนกับว่ามันสกปรกมาก และน่าขยะแขยง"ทำอะไรกันน่ะ"เสียงกลุ่มคนของทางการดังขึ้นมาจากด้านหลังของชายหนุ่ม ทำให้พวกเขาสบถด่า แล้วรีบเอามือปิดใบหน้าก่อนจะรีบวิ่งออกไป"ท่านลุง แม่นาง ไม่เป็นไรใช่ไหม""ข้าไม่เป็นไร ข้าขอบคุณพวกเจ้ามาก ที่เข้ามาช่วยข้ากับบุตรสาวได้ทันเวลา ขอบคุณจริง ๆ ""ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ว่าแต่พวกท่านเคยเห็นแม่นางคนหนึ่งที่รูปร่าง
"ท่านพี่ ท่านไปไหนมาหรือเจ้าคะ" เสิ่นเหนียงเหนียงถามสามีที่พึ่งกลับมาเอาตอนมืดค่ำ ยังดีที่รถม้ามีคบเพลิงจึงทำให้นางเบาใจลงมาบ้าง"ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ไปช่วยคนมาน่ะ"หลี่จงมองไปทางหลี่หลิวที่ยืนอยู่ในมุมมืดเพราะว่าชายเสื้อและกระโปรงของนางเปื้อนไปด้วยเลือดมากกว่าเขาเสียอีก ยิ่งชุดที่นางสวมใส่อยู่นั้นเป็นสีอ่อนเท่าใด มันก็ยิ่งสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เขาจึงต้องชวนเมียรักเข้าไปในบ้าน แล้วไปนั่งที่โต๊ะใหญ่ตรงที่นั่งประจำพร้อมกับกินอาหารที่นางเตรียมเอาไว้ให้ หลี่หลิวเห็นเช่นนั้นนางจึงเดินเข้ามาแล้วขอไปอาบน้ำล้างตัวเสียก่อน หลี่หลิวใช้เวลาช่วงที่ไม่มีใครสังเกตเห็นรีบเดินขึ้นบ้านไปเอาชุดมาเปลี่ยนแล้วรีบไปล้างกลิ่นคาวที่ติดตัวนางออกด้วยสบู่กลิ่นกุหลาบที่นางใช้เป็นประจำ หลี่หลิวนำชุดที่เปื้อนเลือดมาซักด้วยสบู่จนหายคาวแต่ยังคงมีรอยเลือดที่ล้างไม่ออกอยู่บ้าง หลังจากแต่งตัวด้วยชุดใหม่เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำมาแล้วนำชุดไปตากหลังบ้าน"ท่านรีบไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวข้าจะเอาชุดนี้ไปซักให้ มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังกันนะ" แม่นางเสิ่นถามไถ่สามีจนรู้เรื่องของแม่นางกงที่มาทำงานได้เพียงสามเดือน โดย