บทที่ 59 พบหมอเทวดาข้างทางถัดจากโต๊ะของพวกเขาจ้าวเว่ยเว่ยจัดให้มีโต๊ะขนาดเล็กแล้วนำสุราทุกชนิดเทใส่แก้วใบเล็กและอาหารปิ้งย่างวางเอาไว้ และนางนำธูปออกมาหนึ่งดอกและจุดวางเอาไว้ เมื่อเหมือนก้านธูปดอกนั้นหมดนางก็จุดอีกจนธุปหมดไป2-3 ดอกถึงได้หยุด และสุราแก้วเล็กที่วางเรียงเอาไว้มี 2 แก้วที่ล้มคว่ำนั้นคือ เบียร์และไวน์ขาว จ้าวเว่ยเว่ยพยักหน้าเป็นอันเข้าใจกัน ก่อนที่จะจัดโต๊ะชุดนี้นางได้เดินไปกระซิบบอกมารดาแล้วซึ่งเฟิงมิ่งจูก็พยักหน้าอนุญาตนางจึงได้ลงมือจัดให้...“นอกจากเรื่องที่พวกท่านมาเรื่องของตกแต่งเรือนยังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่เจ้าคะ” จ้าวเว่ยเว่ย“ใต้เท้าเกรงว่าแม่เฟิงจะลืมว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันที่จะประกวดบทกวีขอรับก็เลยให้ข้ามาย้ำเตือนท่านสักเล็กน้อยและก็เลยให้มาดูเรื่องของตกแต่งด้วยเลยขอรับและก็ใต้เท้าฟู่ให้คนมาถามว่าท่านหมอจะเข้าไปดูขาของฟู่จิ้นซื่ออีกวันไหนขอรับ”จางเซี่ยโหย่วที่ตอนนี้มีอาการกรึ่มๆ เอ่ยรายงาน งานที่ได้รับมอบหมายให้มาวันนี้ทันที จากนั้นเขาก็ยก Heineken เย็นเฉียบขึ้นจิบพร้อมกับกินเนื้อที่ย่างอย่างดีชิ้นใหญ่เข้าปากพลางหลับตาและส่ายศีรษะไปมาและรู้สึกจะมีเสียง ฮื่มมมม!!
บทที่ 60 การแข่งขันประกวดบทกวี EP 1จากการช่วยชีวิตฮูหยินชราทำให้จ้าวเว่ยเว่ยได้ทราบว่านางคือ ฮูหยินเสิ่นอวี้ เป็นฮูหยินเฒ่าของตระกูลเสิ่นของเสนาบดีเสิ่นฮ้าวหลงที่เป็นเหมือนคู่แข่งตลอดกาลของใต้เท้าหัวง นอกจากนี้ตระกูลเสิ่นเป็นญาติทางแม่ของชินอ๋องอีกด้วยฮูหยินเฒ่าเสิ่นต้องการที่จะตอบแทนท่านหมอเทวดาน้อยที่ได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ว่าจ้าวเว่ยเว่ยนั้นปฎิเสธไป นางจึงได้ให้หยกประจำตัวของตัวเองแก่นางไป (คนโบราณชอบให้หยกเนาะ) โดยบอกอีกว่าหากว่ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็สามารถไปหานางที่จวนเสิ่นได้ตลอด แน่นอนว่าจ้าวเว่ยเว่ยรับมาพลางยิ้มเล็กน้อยขณะนั้นเองทางแม่ก็เดิมมาและบอกว่าใกล้เวลาที่จะแข่งขันแล้ว.“เช่นนั้นพวกข้าต้องขอตัวก่อนนะเจ้าคะ วันนี้ท่านแม่ของข้าจะเข้าแข่งขันบทกวีเวลาไม่เช้าแล้วพวกข้าต้องไปก่อนนะเจ้าคะ” เพราะว่าฮูหยินเฒ่านั้นนอกจากตกใจก็ไม่เป็นอะไรมากแล้วจ้าวเว่ยเว่ยจึงไม่ได้ให้ยาอะไรไป เพราะยาถึงอย่างไร3ส่วนก็ยังเป็นพิษต่อร่างกายนั้นเอง หากไม่เป็นอะไรมากเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยง... มามารับใช้ยืนส่งพวกนางจนสุดสายตา จึงได้กลับขึ้นรถม้ากับฮูหยินเฒ่าอีกครั้งสี่แม่ลูกมาถึงจุดลงทะเบียนเกือบจ
บทที่ 61 การแข่งขันประกวดบทกวี EP 2หวังหย่งเล่อยืนนิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ เตรียมพร้อมที่จะเริ่มร่ายกลอน ทุกคนเงียบสงบ รอฟังบทกวีอันไพเราะจากเขา น้ำเสียงทุ้มต่ำเหมาะสมกับบุคลิกเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่เขารังสรรค์ขึ้นมา…สายใยผูกพันดั่งเส้นไหมคล้องใจสองเราไว้ด้วยรักพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดและประคบประหงมมอบชีวาและพรอันยิ่งใหญ่ยามทารกน้อยนอนหลับในอ้อมกอดน้ำตาแห่งความสุขรินรดคอยดูแลประคบประหงมไม่เคยเว้นด้วยความรักที่เปี่ยมล้นเกินกว่าคำยามลูกน้อยหัดคลานหัดเดินคอยประคองจับมือไม่ให้หกล้มยามลูกน้อยเจ็บป่วยยามไม่สบายคอยดูแลไม่ห่างกายห่างใจยามลูกน้อยเติบโตเป็นวัยรุ่นคอยอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีสอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดีสอนให้รู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบยามลูกน้อยโตเป็นผู้ใหญ่คอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้างยามลูกน้อยพบกับอุปสรรคและความยากลำบาคอยปลอบโยนให้กำลังใจไม่เคยท้อรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าคำเปรียบดั่งแสงเทียนส่องนำทางส่องนำลูกน้อยให้เดินบนเส้นทางชีวิตสู่ความสำเร็จและความสุขที่ปรารถนาลูกจงกตัญญูต่อพ่อแม่ดูแลท่านยามแก่เฒ่าตอบแทนพระคุณที่ท่านเลี้ยงดูให้ท่านสุขสบายยามบั้นปลายความรัก
บทที่ 62 แบบแปลนการสร้างเขื่อนเมื่อจบการแข่งขันตอนนี้ผู้ชมมากมายต่างก็แสดงความยินดีกับแม่นางเฟิง ที่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าตระกูลเฟิงนี้มาจากไหนกัน ส่วนหวังหย่งเล่อนั้นเขาผิดหวังกับตัวเองมาก แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าบทกวีของแม่สาวชาวบ้านคนสวยของเขานั้นมันเหนือกว่าบทกวีชาวไร่ชาวนาของเขามากจริง เขาจึงยอมรับความพ่ายแพ้นี้ ในขณะที่เขาต้องการที่จะเดินเข้าไปเพื่อแสดงความยินดีกับนางนั้นฝูงชนมากมายรุมล้อมนางจนทำให้นางเซมาด้านหลังเขาจึงรีบเข้าไปพยุงทันที ในตอนนั้นเองศีรษะของเขาก็เหมือนมีแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาภาพเหตุการณ์ต่างๆ มากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเขามันไหลเชี่ยวกรากรุนแรงเหมือนดั่งสายน้ำที่เขื่อนถูกกักเอาไว้และแตกออกจากกันเป็นสองส่วน ในเขาปวดหัวรุนแรงมาก เมื่อเฟิงมิ่งจูยืนเองได้เขาก็รีบถอยออกมาจากตอนนั้นทันที เขารีบเดินลงเวทีไปที่ด้านหลังมือจับท่าจมูกของตัวเองแน่น เมื่อลงมาด้านหลังเวทีเขาจำเป็นต้องยืนนิ่งๆ อยู่พักหนึ่ง ขณะนั้นเองเขาที่จมูกของเขาก็มีเลือดไหลทะลักออกมามากมาย หวังหย่งเล่อรีบเช็ดออกและเขารีบเดินไปที่รถม้าของตัวเองทันที......เฟิงมิ่งจูรู้สึกถึงสัมผัสของเขาที่ช่วยประคองตอนที่ฝูงชนแ
บทที่ 63 วางแผนการตลาดการค้าสุรา“สุราชนิดนี้รสชาติช่างยอดเยี่ยมสมกับที่ท่านจางบอกเอาไว้จริงๆ” เมื่อพูดเสร็จเจิ้งเสี่ยวฟง รองแม่ทัพน้อยรักษาดินแดนปัจฉิมก็ยกเบียร์ขึ้นกระดกหมดแก้วทันที“ใช่ ใช่ รสชาตินุ่มนวล หอมกลิ่น มอ มอ มออะไรนะขอรับท่านจาง?”รองแม่ทัพน้อยเสิ่นหยาง (ลูกชายคนเล็กของฮูหยินเสิ่นอวิ้) ที่ยกดื่มหมดแล้วหันมาถามจางเซี่ยโหย่วที่เชิดหน้าอยู่เหมือนว่าตัวเองเป็นผู้ชำนาญด้านเครื่องดื่มชนิดนี้อย่างไรอย่างนั้น“หอมกลิ่นมอลต์!” เขาตอบออกมาเสียงดังฟังชัดมาก เพราะหัดจากท่านหมอมาตั้งหลายครั้งแล้ว มอลต์!! มอลต์!! มอลต์!!..เขาท่องมันขึ้นใจเลยเขาไม่รู้หรอกว่าไอ้มอลต์ที่ท่านหมอน้อยบอกมันคืออะไร แต่ว่าเห็นท่านหมอพูดแล้วมันดูเท่ดี ดูมีความรู้เขาก็เลยเอามาพูดบ้างเท่านั้นเอง“ใช่แล้วกลิ่นหอมรสชาตินุ่มละมุน ฮื่มมมม!! เหมาะสมที่จะเป็นเครื่องดื่มประจำตัวข้าจริงๆ”ฉินป้าเทียนกุนซื่อประจำกองทัพค่อยยกไวน์แดงขึ้นมาละเลียดจิบตามสไตล์ของกุนซื่อที่จะต้องมีบุคคิกที่เนิบนาบและหล่อเหลาราวกับหยกแต่ว่ามีดวงตาเฉียบคมทั้งสี่หันหน้าเข้าหากันและยกแก้วขึ้น“เอ้า ชน!”จ้าวเว่ยเว่ยเดินออกมามองพวกนายทหารขี้เมาอย
บทที่ 64 วิกฤตขาดแคลนเกลือเมื่อแผนการตลาดของท่านหมอน้อยถูกปล่อยออกมาแล้ว จางเซี่ยโหย่วก็รีบกลับเข้าเมือง และตรงไปหาใต้เท้าหวังทันที โดยเขาได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้เจอมาวันนี้ให้กับใต้เท้าได้ทราบ หวังเทียนซานมองดูสีหน้าที่มีความสุขเหลือเกินของลูกน้องคนสนิทและคิ้วขมวด มิใช่ว่าเขาส่งไปทำงานหรอกหรือทำไม เจ้านี้ดูมีความสุขจังเลย..“หากว่าท่านหมอน้อยต้องการเช่นนั้นเจ้าก็จัดการได้เลย ส่วนเรื่องการประมูลก็จัดให้เร็วขึ้นสักหน่อย ข้าก็อยากรู้เช่นนั้นว่า แผนการตลาดที่นางว่านี้จะสำเร็จหรือไม่ ว่าแต่เรื่องร้านของนาง นางจะให้นายช่างที่ไหนเป็นคนรับเหมาหรือ เจ้าได้ถามหรือไม่?” จางเซี่ยโหย่วพยักหน้ารับแล้วเอ่ยว่า“ถามแล้วขอรับพวกนางบอกว่าจะจัดการกันเอง ทั้งเรื่องหาคนและสร้างร้าน ข้าก็ไม่รู้ว่าพวกนางจะจัดการอย่างไร แต่ว่าใต้เท้าก็ทราบเรื่องของตกแต่งเรือนของพวกนางแล้วนี้ขอรับ.”เขาพูดแล้วยิ้มให้ใต้เท้าเหมือนจะบอกว่า ... ‘อย่างที่ท่านก็รู้นั้นแหล่ะ’ ให้กับใต้เท้าของเขาหวังเทียนซานพยักหน้าเล็กน้อยเหมือนจะเข้าใจความหมายที่เจ้านี้ส่งมา คงจะเป็นอย่างที่เจ้านี่บอกนั้นแหล่ะ เดี๋ยวพวกนางก็จัดการได้ เช่นนั
บทที่ 65 ร้านค้าเกลือของราชสำนัก“เกลือเช่นนั้นรึ!! เจ้ายังมีตัวอย่างมาด้วยจริงๆ รึ! เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เจ้าอย่าได้มาล้อข้าเล่นเชียวนะตาเฒ่าหวัง” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นมาเสียงดัง เมื่อหวังเทียนซานมาเข้าเฝ้าเขาเป็นการส่วนตัวในกลางดึกคืนนั้นเอง.“กระหม่อมไหนเลยจะกล้าพะยะค่ะ นี่! นี่! กระหม่อนนำมาให้ทั้งหมดที่ได้มาเลย 2 กระสอบมิได้หมกเม็ดแม้แต่น้อยพะยะค่ะ พระองค์ลองชิมดูสิพะยะค่ะ มันเค็มมากๆ ดีมากๆ จริงๆ” ใต้เท้าหวังเทียนซานรีบให้ขันทีนำกระสอบเกลือที่ได้ทั้งหมด ‘2 กระสอบ’ ขึ้นถวายองค์ฮ่องเต้ทันที หยางเฟยหลงรีบให้ขันทีนำกระสอบเกลือมาให้เขาดูและเขาถึงกับดึงมีดที่ซ้อนเอาไว้สำหรับป้องกันตัวโดยที่ไม่มีใครรู้นั้นออกมาเปิดปากกระสอบด้วยตัวเองด้วยความตื่นเต้นเมื่อปากกระสอบเกลือเปิดออก มือของหยางเฟยหลงนั้นถึงกับสั่นเลยทีเดียวตอนที่เขาค่อยใช่มือกอบกำเม็ดเกลือสีขาวบริสุทธิ์ขึ้นมา เขาใช้นิ้วหยิบเข้าปากคำใหญ่และทำสีหน้าเหยเกกับความเค็มนั้น แต่ว่าก็ยัง ทำเช่นนั้นอยู่ 3- 4 ครั้งเพื่อความแน่ใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองตาเฒ่าหวังเพื่อนรักเพื่อนรบของเขา จากนั้นปากของหยางไป่หลงก็ค่อยๆ แย้มออกและกลายเป็นหัวเราะเสียงดั
บทที่ 66 ซื้อทาสวันเวลาผ่านไปรวดเร็วดังสายลมพัด ตอนนี้เป็นเวลา 7 วันแล้วที่ร้านค้าเกลือของราชสำนักได้เปิดขายเกลือราคาประหยัดให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยร้านค้าราชสำนักที่เปิดเองมีอยู่หลายจุดด้วยกัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอเพราะว่าคิวที่รอการซื้อนั้นยาวมากเพราะประชาชนนั้นกลัวว่าเกลือจะหมด ถึงแม้จะมีทหารมาประกาศตลอดว่ามีเกลือเพียงพอแต่ก็ยังไม่สามารถที่จะแก้ปัญหานี้ได้ เมื่อใต้เท้าหวังมารับเกลือพร้อมกับนำหนังสือสัญญาที่ราชสำนักทำรวมกันกับตระกูลเฟิง มาให้หลานสาว เขาก็ได้บ่นเรื่องนี้อย่างมีความสุขให้หลานสาวฟัง“ทำไมท่านตาไม่ให้ร้านขายของแห้งร่วมด้วยเล่าเจ้าค่ะ โดยให้ค่าเช่าร้านหรือค่าจ้างขายเป็นเกลือที่พวกเรามีนั่นแหล่ะ เพราะหากว่าเป็นร้านขายของแห้งเหล่านี้จะมีมากมายและยังเข้าถึงประชาชนได้มากกว่าที่ร้านของราชการจะทำเองนะเจ้าคะ”จ้าวเว่ยเว่ยหลังจากที่ประทับตราชื่อตระกูลของตัวเองลงในหนังสือสัญญากับทางราชการ นางก็ได้บอกวิธีการจัดการเรื่องการกระจายสินค้าให้เข้าถึงประชาชนอย่างรวดแล้วและทั่วถึงให้กับท่านตาของตัวเองได้ทราบ ซึ่งพอใต้เท้าหวังได้ฟังวิธีที่นางแนะนำมาเขาก็ถึงบางอ้อทันที และกลับไปจัดการตามที่หลา
ตอนพิเศษ บทส่งท้าย ท่านราชครูหวังหย่งเล่อหลังพิธีแต่งงานของคุณชายหวังหย่งเล่อและเฟิงมิ่งจู่ผ่านมา 6 เดือน ตอนนี้อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันปีใหม่เช้าวันที่หนาวเหน็บหิมะตกโปรยปรายบรรยากาศเหมาะสมกับการเฉลิมฉลองเป็นอย่างยิ่งและอีก 2 วันก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว จวนเฟิงตอนนี้ถือได้ว่าคึกคักขึ้นมาไม่น้อย เพราะตั้งแต่ที่เฟิงฮองเฮาแต่งออกไปที่แคว้นต้าเจียง บรรดาคนไข้ต่างๆ ก็ลดลงมากทำให้จวนเฟิงไม่ค่อยได้รับแขกที่เป็นคนไข้อีกแล้ว แต่ทว่าบ้านพักฟื้นนั้นกลับไม่เคยว่างเลยก็ว่าได้ มันถูกจองเต็มกันข้ามปีกันเลยทีเดียว จนเฟิงฮองเฮานั้นชักจะสงสัยแล้วว่าที่นางทำนั้นคือ บ้านพักตากอากาศหรือสถานพักฟื้นสำหรับคนป่วยกันแน่ ส่วนเรื่องความวุ่นวายที่เริ่มกลับมาที่จวนเฟิงอีกครั้งนั้นมาจากสาเหตุนี้เรื่องแรกคือท่านหวังหย่งเล่อที่มีศักดิ์เป็นพ่อต่อขององค์ฮ่องเต้แคว้นต้าเจียง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชครูของไท่จื่อของแคว้นต้าหมิงนั้นเอง เขาได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของต้าหมิงมีหน้าที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ที่เขามีให้กับองค์ไท่จื่อ โดยเฉพาะด้านวรยุทธ์ที่สูงส่งของเขาและกาพย์กลอน แต่ในด้านการเข้าสังคมนั้นองค์ฮ่องเต้หยางเฟยหล
บทที่ 116 ตอนพิเศษ...คืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่ง (ท่านพ่อท่านแม่)ภายในห้องหอที่ประดับประดาด้วยดอกไม้สีชมพูอ่อนระเรื่อ แสงเทียนระยิบระยับส่องกระทบกับผนังสีทองอร่าม กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และน้ำมันหอมระเหยอบอวลไปทั่วห้องเฟิงมิ่งจู่นั่งก้มอยู่บนเตียงที่ประดับตกแต่งเอาไว้อย่างประณีตสวยงามสมกับเป็นเตียงของบ่าวสาว สีแดงที่ตัดเย็บอย่างประณีตและสวยงามอลังการสมกับเป็นชุดแต่งงานของคู่รักคู่ครองที่เคยอยู่ร่วมกันมานานปี นางกำลังรอให้เจ้าบ่าว หวังหย่งเล่อของนางที่ตอนนี้กำลังยกดื่มสุราอยู่กับเหล่าขุนนาง ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงเดินเข้ามา ในขณะนั้นข้างกายของเฟิงมิ่งจู่นั้นมีบ่าวรับใช่ขั้นหนึ่งที่หวังฮูหยินส่งมาเพื่อดูแลและแนะนำพิธีการต่างๆ อยู่ต้องทราบว่าก่อนหน้านี้ที่ทั้งสองแต่งงานกันนั้นพวกเขาทำด้วยความรีบร้อนและไม่ได้มีพิธีการใดๆ เลยนอกจากกราบไหว้ฟ้าดินกันสองคน เพราะครอบครัวจ้าวนั้นไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกเขา มาตอนนี้หวังหย่งเล่อนั้นต้องการที่จะทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณีทั้งหมดไม่ให้ขาดแม้แต่ขั้นตอนเดียว เขาบอกกับทุกคนว่านี่เป็นวิธีการบอกรักและให้เกียรติฮูหยินของเขาอย่างหนึ่ง ซึ่งทุก
บทที่ 114 ตอนพิเศษ 3 คิดถึงเหลือเกิน..ที่รักของข้าหลังพิธีแต่งงานอันยิ่งใหญ่ของทั้งสองแคว้นผ่านไปชีวิตผู้คนทั้งสองแคว้นต่างก็อยู่กันอย่างปรกติสุข เพราะทั้งสองแคว้นนั้นต่างก็ช่วยเหลือและพึ่งพาอาศัยกัน ตอนนี้ราคาของเกลือและน้ำตาลนั้นลดลงมาเป็นอย่างมากแล้ว เพราะการผลิตที่เข้มงวดและเพิ่มกำลังออกมาเต็มที่ เพื่อให้ประชาชนของทั้งสองแคว้นได้มีสินค้าที่ดีและมีคุณภาพและราคายุติธรรมออกมาขาย ประชาชนจึงพออกพอใจการบริหารและดูแลพวกเขามาก ตอนนี้ไม่ว่าจะไปทางไหนก็มีแต่คนยกย่องสรรเสริญฮ่องเต้และราชวงค์ ไม่ว่าพวกเขาเดินทางไปทางไหนผู้คนก็จะทรงพระเจริญไปทั่ว เหล่าราชวงค์ พระสนมนางในต่างก็มีความสุขกันทั่วหน้าด้วยเช่นกัน เพราะว่าตอนนี้การเงิน การทอง และเบี้ยหวัดของพวกนางนั้นฮ่องเต็ได้เพิ่มให้มาขึ้นแล้ว ตอนนี้พวกนางสามารถซื้อครีม ซื้อกระเป๋ารองเท้าตามแบบเว่ยฮองเฮาได้แล้วไม่ว่านางจะออกแบบสิ่งที่เว่ยฮองเฮาเรียกว่า คอลเลกชั่น ออกมากี่คอลเลกชั่นพวกนางก็สามารถสั่งซื้อได้ทันที ความสุขจึงได้เกิดขึ้นภายในวังมังกรของฮ่องเต้หยางเฟยหลงแล้วแต่ทว่าสิ่งเหล่านั้นหาได้เกิดขึ้นกับวังหลงหว่างฝู่ ของชินอ๋องอย่างสิ้นเชิง เวล
ตอนที่ 113 ตอนพิเศษ2 ฮันนีมูนที่ปารีสดึกดื่นคืนหนึ่งภายใต้แสงจันทร์นวลฉายแสงระยิบระยับลงบนผิวน้ำใสของทะเลสาบหูซีอันเลื่องชื่อบรรยากาศเงียบสงบ ไร้เสียงรบกวนเหลือเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งแผ่วเบาฮ่องเต้ฉู่อี้เทียนที่ทรงว่างจากภาระงานราชการพระองค์เอ่ยชวนเฟิงฮองเฮาอันเป็นที่รักกลับมาที่แคว้นต้าหมิง โดยทิ้งเหล่าองค์ชายและองค์หญิงให้กับทางแม่ยายและพ่อตาดูแล ฮ่องเต้ฉู่อี้เทียนทรงจับมือเฟิงฮองเฮาสุดที่รัก พาท่านล่องเรือไม้ลำน้อยออกสู่กลางทะเลสาบ สายลมเย็นพัดโชยมาแตะใบหน้า กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าโชยมาตามสายลม บรรยากาศโรแมนติกโอบล้อม ฉู่อี้เทียนที่มีเฟิงฮองเฮาอิงแอบอยู่ในอ้อมแขน เขาก้มลงมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก ทรงเอ่ยขึ้นว่า"คืนนี้น้องหญิงช่างงดงามเหลือเกิน" ก่อนจะจุมพิตลงบนผมที่มีกลิ่นหอมของดอกกุหลาบอ่อนๆ ของนางเฟิงฮองเฮาเงยหน้าขึ้นมา นางยื่นหน้าขึ้นมาจูบที่คางของเขาเบาๆ และยิ้มอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ยตอบว่า“ท่านพี่ก็เช่นกัน คืนนี้ท่านดูหล่อเหลาเป็นพิเศษข้าชอบ”พูดเสร็จก็ยื่นหน้าไปจุมพิตเขาอีก 2 ทีฉู่อี้เทียนยิ้มทรงโอบไหล่เฟิงฮองเฮาเข้าไว้เขาค่อยๆ ถอนหายใจออกมาอย่างมีความสุข และ
บทที่ 113 ตอนพิเศษ 1 CPR มิใช่การจุมพิตแต่เป็นการช่วยชีวิต“เพี๊ยะ!”ใบหน้าอันหล่อเหลาของคุณชายถงเจี้ยนหลานหันไปตาแรงตบของฝ่ามือเล็กๆ นั้น เขาค่อยๆ หันหน้ากลับมาและมองมือเล็กที่ยังคงเปียกชื้นอยู่ ซึ่งตอนนี้มันแดงก่ำเพราะการใช้กำลัง และแน่นอนบนใบหน้าของเขาก็ปรากฎรอยแดงขึ้นมาทันทีเช่นกัน“เจ้า..เจ้าคนสารเลว เจ้าเป็นโจรเด็ดบุปผาหรืออย่างไรกัน ทำไมถึงได้ทำกับข้ากลางวันแสกๆเช่นนี้” เสียงเล็กหวาน แว๊ดขึ้นมาใส่เขาอีกครั้งหนึ่ง นางน่าจะตกใจจนลืมไปว่าตัวเองเพิ่งจะตกน้ำจนหมดสติไป ตอนนี้ถงเจี้ยนหลานยังคงหาเสียงของตัวเองไม่เจอและเขาก็ค่อนข้างตกใจเหมือนกันที่อยู่ๆ ก็โดนตบเช่นนี้ เขาที่เป็นถึงเจ้ากระทรวงสาธารณสุขที่ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นต้าหมิง ช่วยชีวิตคนแล้วโดนตบ รู้ถึงไหนอายถึงนั้นจริงๆ แล้ว!!!!ย้อนไปเมื่อ หนึ่งเคอก่อนหน้านี้ ถงเจี้ยนหลานที่ปีนี้อายุอานามเข้า35ปีแล้ว แต่ว่าเขายังไม่แต่งงาน ตอนนี้เขากำลังอ่านหนังสือแพทย์ที่ท่านอาจารย์ซึ่งก็คือฮองเฮาแห่งแคว้นตาเจียงให้มา ในหนังสือแพทย์เล่มนั้นสอนเรื่องการผ่าตัดที่ซับซ้อนทำให้เขาสนใจมาก ตอนนี้คุณชายถงเจี้ยนหลานนั้นมีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงเจ้ากระทรวงสาธา
บทที่ 112 การจากลา (จบ)พิธีแต่งงานระหว่างสองแคว้น ต้าเจียงและต้าหมิง จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ ด้วยการเฉลิมฉลองที่ยาวนานถึง 7 วัน 7 คืน ประชาชนต่างมาร่วมแสดงความยินดีอย่างล้นหลาม สร้างความชื่นมื่นทั่วทั้งแคว้นต้าเจียง นับเป็นงานสมรสที่ยิ่งใหญ่และทรงเกียรติที่สุดในยุคสมัยสามเดือนผ่านไป ภายในพระตำหนัก ฮ่องเต้ฉู่อี้เทียนในเวลานี้กำลังนอนเอนอยู่บนแท่นบรรทมอันหนานุ่มที่ฮองเฮาทรงเตรียมไว้เป็นพิเศษ ข้างกายของพระองค์มีจานมะนาวฝานบางๆ วางอยู่ ถัดจากนั้นเป็นถาดผลไม้รสเปรี้ยวหลากหลายชนิด ตั้งเรียงไว้เพื่อช่วยบรรเทาอาการอยากอาเจียนที่ฮ่องเต้กำลังประสบ ฮ่องเต้ฉู่อี้เทียนหลับตาแน่น คิ้วขมวดเป็นปม พร้อมกับอมมะนาวไว้ในปากเพื่อบรรเทาความรู้สึกคลื่นไส้ที่ไม่หายไปง่ายๆขันทีประจำพระองค์ยืนอยู่ใกล้ๆ คอยมองด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าฮองเฮา ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะตรวจและบอกไปแล้วว่านี่เป็นอาการปรกติของผู้ชายที่ "แพ้ท้องแทนเมีย" ซึ่งไม่ร้ายแรงและจะหายไปเองเมื่อเวลาผ่านไป แต่ความทุกข์ทรมานที่ฮ่องเต้ต้องเผชิญทุกครั้งที่มีอาการอยากอาเจียน ทำให้ขันทีอดที่จะรู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วยไม่ได้ฮ่องเต้ฉู่อี้เทีย
บทที่ 111 แต่งงานด้วยความสำเร็จในการป้องกันและควบคุมโรคระบาดครั้งนี้ ฮ่องเต้หยางเฟยหลงทรงรู้สึกพอพระทัยอย่างยิ่ง พระองค์ทรงเห็นถึงความร่วมมือและความเสียสละของประชาชนที่ช่วยกันฝ่าฟันวิกฤตใหญ่หลวงนี้มาได้ ด้วยความยินดี พระองค์ทรงตกรางวัลให้กับเหล่าขุนนาง ตั้งแต่ตำแหน่งสูงสุดจนถึงคนงานเก็บขยะที่ทำงานอย่างหนัก ทุกคนได้รับการยกย่องในความพยายามและความตั้งใจบรรยากาศในเมืองเต็มไปด้วยความชื่นชมและความสุข แม้จะเพิ่งผ่านหายนะครั้งใหญ่ แต่การปลอบขวัญและการสนับสนุนจากฮ่องเต้ที่ประชาชนรัก ทำให้ทุกคนมีกำลังใจและพร้อมที่จะก้าวต่อไป อีกคนหนึ่งที่ประชาชนไม่มีทางลืมบุญคุณได้คือ จวิ่นจู่เว่ยเว่ย ผู้หญิงเก่งของแคว้นต้าหมิง นางเป็นผู้ที่นำความรู้และความสามารถมาช่วยเหลือแคว้นในยามที่ต้องการมากที่สุดตอนนี้ ครอบครัวหลายๆ ครอบครัวที่มีลูกสาว ต่างก็ปรารถนาให้ลูกหลานของตนได้เรียนแพทย์และพยาบาลเช่นเดียวกับจวิ่นจู่เว่ยเว่ย พวกเขาเห็นว่านี่เป็นวิธีที่ลูกสาวของพวกเขาจะสามารถช่วยเหลือแคว้นและชุมชนในยามที่ลำบาก เช่นเดียวกับที่จวิ่นจู่ได้ทำ สตรีในแคว้นต้าหมิงได้รับแรงบันดาลใจจากนาง ทำให้เกิดความตื่นตัวในการศึกษาและพ
บทที่ 110 ผ่านพ้นหายนะครั้งใหญ่วันเวลาผันผ่านไปไวราวกับสายลมพัด แคว้นต้าหมิงหลังจากเผชิญหน้ากับฤดูฝนที่ยาวนานและโหดร้าย ก็ต้องพบกับภัยแล้งที่จวิ่นจู่เคยเอ่ยเตือนเอาไว้จริงๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่แคว้นต้าหมิงได้เตรียมการรับมือไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งจากการให้ความช่วยเหลือจากแคว้นต้าเจียง ทำให้พวกเขาสามารถผ่านพ้นภัยแล้งนี้ไปได้ แม้ว่าจะเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่ก็ไม่ถึงกับสิ้นหวังประชาชนในแคว้นต้าหมิง แม้จะเผชิญอุปสรรคมากมายในปีนี้ แต่พวกเขากลับรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจ เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ของพวกเขาไม่เคยทอดทิ้ง ไม่ว่าช่วงเวลาจะยากลำบากเพียงใด พระองค์ทรงจัดหาอาหาร น้ำดื่ม และแม้แต่แจกเงินเพื่อบรรเทาทุกข์ ช่วยให้ประชาชนสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ด้วยการสนับสนุนและส่งเสริมอย่างต่อเนื่องจากราชสำนัก ทำให้ประชาชนในแคว้นต้าหมิงมีกำลังใจและแรงใจมากขึ้น พวกเขาตระหนักดีว่าฮ่องเต้ของพวกเขาทรงห่วงใยและคอยดูแลไม่เพียงแค่ในยามที่บ้านเมืองสงบสุข แต่ยังรวมถึงในยามที่เกิดวิกฤติอย่างนี้ด้วย ความเชื่อมั่นในผู้นำเพิ่มพูนขึ้น และประชาชนต่างพร้อมใจกันที่จะฟื้นฟูบ้านเมือง และสู้ต่อไปด้วยคว
บทที่109 ข้าต้องการเวลา“ต่อไปนี้สำนักแห่งนี้คือสำนักพลังจิตเฟิงหวง ข้าคือรองเจ้าสำนัก ส่วนเจ้าสำนักตัวจริงนั้นยังไม่มา คิดว่าอีกไม่นานนางก็คงจะว่างมาที่นี่”หวังหย่งเล่อที่ตอนนี้เดินขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งเจ้าสำนักและพูดขึ้นมา“งานสกปรกทุกชนิดที่พวกเจ้าเคยทำให้หยุดให้หมด และเปิดรับลูกศิษย์ใหม่อีกครั้ง ส่วนพวกเจ้ามีทางเลือก เพียงหนึ่งทางเท่านั้นคือ สวามิภักดิ์ต่อข้าเพียงคนเดียว”เมื่อเขาเอ่ยเสร็จ ก็มีเสียงเล็กๆ ดังขึ้นมาจากแถวด้านหลังสุดของเหล่าศิษย์เก่าของสำนัก เอ่ยเบาๆ เหมือนคุยกันเองสองคนว่า“หากว่ามีแค่ทางเดียวจะเรียกว่าทางเลือกได้อย่างไรกัน เขาเรียกว่าบังคับ!!!”จากนั้นสายตาเกือบสิบคู่ก็พุ่งไปหาเจ้าของเสียงนั้นทันที ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเห็นด้วยที่เจ้านี่พูด แต่เจ้าจำเป็นต้องพูดออกมารึ เจ้าโง่!! สายตาประนามเหล่านั้นทำให้เจ้าคนที่พูดแทบจะเงยหน้าไม่ขึ้นเลยทีเดียว....เจ้านั้นเหมือนจะรู้ตัวว่าคิดเสียงดังไปจึงได้ค่อยๆ ก้มหน้ามองหามดหาแมลงบนพื้นอย่างแข็งขันไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีกเลย…“ส่วนงานที่พวกเจ้าจะรับต่อไปนั้นคืองานสำนักคุ้มภัย รับดูแลคุ้มครองสินค้าและบุคคลสำคัญของทั้งสองแคว้น และคอยช่วย