“ท่านพี่ก็พูดจาเข้าข้างนางนัก” สวินเหอซื่อกระเง้ากระงอดราวเด็กสาว ทำเอาผู้เป็นสามีหัวเราะออกมา “ได้ยินว่านางทำสุรายาให้ท่านรึ”สวินไคเฉิงพยักหน้ายอมรับ อนุของสวินเย่ว์ผู้นี้รู้จักดูแลผู้อื่นดียิ่ง และไม่มีท่าทีอยากได้หน้าในผลงานที่ทำไป ที่เขารู้เพราะสังเกตจากสิ่งรอบข้างที่เปลี่ยนแปลงอย่างละเล็กละน้อย จึงสอบถามจากพ่อบ้านและรู้ว่าฉางซีเข้าครัวด้วยตนเอง บางครั้งก็ช่วยรั่วเวยจัดการงานในจวน ปกติเรื่องในจวนเขาไม่ยุ่ง มอบหมายให้ฮูหยินจัดการ แน่นอนว่าภรรยาของตนย่อมส่งมอบหน้าที่นี้ให้รั่วเวยผู้เป็นภรรยาเอกของสวินเย่ว์ แต่นางอายุเพียงสิบเก้า แต่งงานมาสามปีแล้วยังประหม่าเมื่อต้องออกไปพบปะผู้อื่น แต่จะโทษนางก็มิได้ บุตรชายของเขาไม่ค่อยอยู่เมืองหลวง ไม่ได้อยู่ใกล้เพื่อทำความคุ้นเคยกันเขาเป็นบุรุษ เรื่องบุตรชายมีสตรีนอกจวนนั้นยอมรับได้ รับเข้ามาก็ดี จะเลี้ยงไว้นอกจวนก็ช่าง แต่นี่นางมีบุตรชายให้ตระกูลจะไม่รับเข้าจวนคงไม่ได้ แรกทีเดียวเขาเองเป็นกังวลเรื่องเดียวกับฮูหยินคือเกรงว่าเด็กคนนั้นจะไม่ใช่ลูกของสวินเย่ว์ แต่เมื่อได้พบ ‘หยางหยาง’ ทั้งใบหน้าและลักษณะนิสัยถอดแบบสวินเย่ว์ในวัยเยาว์รา
เด็กน้อยจำความรู้สึกยามถูกมารดาโอบกอดไม่ได้แล้ว ผู้อื่นมองว่าฮ่องเต้โปรดปรานเขามากจึงมักหาทางกลั่นแกล้งเขาเสมอ เพียงแค่เสี้ยวเวลาสั้นๆ ที่ฮ่องเต้ไม่อยู่ใกล้เขา เขาถูกรังแกสารพัด พี่น้องคนอื่นก็ไม่อยากจะเล่นกับเขา กับฮองเฮาที่เขาต้องเรียก ‘เสด็จแม่’ ก็ยังไม่ชอบเขา เหตุที่เขาไม่พูดเพราะ...เพราะเมื่อเขาพูดความจริงว่าถูกผู้อื่นรังแก แต่ไม่มีใครเชื่อ เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กขี้โกหก นานวันเข้า เขาจึงไม่พูดกับใครอีกเลยแต่ก่อนเขาคิดว่าตนเองอดทนได้ แต่ไม่เคยคิดว่าวันนั้น พี่น้องผู้อื่นมาชวนเขาไปเล่นด้วย แต่ใครคนหนึ่งกลับผลักเขาตกลงไปในหีบไม้ใบหนึ่ง ฝาหีบปิดทันทีที่เขาล้มหน้าคว่ำลงไป เขาหวาดกลัวความมืดเป็นที่สุด ไม่ว่าจะทุบผนังหรือส่งเสียงร้องเพียงใดก็ไม่มีใครเปิดให้ จนกระทั่งเขารู้สึกว่าหีบเคลื่อนไหวโคลงเคลงไปมา เขากลัวมาก กลัวจนแกะเล็บตนเองจนฉีกมีเลือดซึมเสิ่นฉางซีรู้สึกถึงร่างกายของอันอันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางกอดร่างเล็กๆ แน่นขึ้นแล้วพูดปลอบประโลม“ไม่มีอะไรแล้ว ไม่มีหมาป่าน่ากลัวอีกแล้ว”อันอันสูดน้ำมูก ใช้หลังมือปาดน้ำตาแล้วยิ้มให้ เสิ่นฉางซีลุกขึ้นแล้วฉวยตะกร้าและข้อมือเด็ก
“พวกเจ้า!” เสี่ยวจูกระทบเท้าเร่าๆ พอเห็นอนุคนใหม่ของท่านแม่ทัพแล้วก็โยนโทสะเข้าใส่ “เพราะเจ้า! ข้าถึงได้ตกน้ำ” “ข้ารึ?” เสิ่นฉางซีแสร้งทำหน้าฉงน “เมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้น?” “เจ้าทำให้ข้าตกน้ำ” “ข้าจะทำให้แม่นางเสี่ยวจูตกน้ำได้อย่างไร เมื่อครู่ข้ายืนอยู่ใกล้ฮูหยินน้อย” หญิงสาวก้มหน้ามองอันอันที่ยื่นมือมาจับมือนางไว้ “หรือเจ้าจะบอกว่าอันอันเป็นคนทำเจ้าตกน้ำ” อันอันขยับตัวเข้ามากอดขาเสิ่นฉางซี ช้อนตามองอีกฝ่ายราวกับหวาดกลัวเสียเต็มประดา ผู้ใดเห็นก็อดเวทนาไม่ได้ เด็กตัวน้อยน่ารักจะไปทำผู้ใดได้ เสี่ยวจูหวีดร้องด้วยความโมโหที่ถูกมองเป็นตัวตลกเช่นนี้ นางยกฝ่ามือขึ้นหมายจะตบใบหน้าของเสิ่นฉางซี แต่ครั้งนี้เสิ่นฉางซีคว้าข้อมือเสี่ยวจูไว้ได้ทัน นางบีบข้อมืออีกฝ่ายแน่น “เจ้ากล้า!” เสี่ยวจูขึงตาใส่ “ลองดูหรือไม่” เสิ่นฉางซีคลี่ยิ้มเย็นยะเยือก “เจ้าลืมไปแล้วหรือ ข้าเป็นแม่ครัว ถนัดนักเรื่องใช้มีด เคล็ดลับการทำอาหารให้อร่อยคือต้องใช้ของสดๆ หมูเห็ดเป็ดไก่ข้าชำแหละด้วยตัวเอง เลาะก้างปลาเป็นงานถนัด แต่ยัง
เสิ่นฉางซีก้าวเท้าเข้าไปใกล้ ยื่นมือไปแกะปมเชือกเสื้อคลุมออก ราวกับทำเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ท่าทางที่ไร้การเคอะเขินทำให้สวินเย่ว์ผ่อนคลายลง เมื่อยืนใกล้กัน นางต้องเขย่งปลายเท้าเพื่อแกะปมเชือกเสื้อคลุมที่คอของเขา ด้วยเกรงว่านางจะล้มจึงยื่นมือไปโอบเอวนางไว้หลวมๆ นางกลับขยับเข้าใกล้เขามากยิ่งขึ้นแล้วแกะเชือกออกพร้อมเสื้อคลุมที่ร่วงลงพื้นเพราะคว้าไว้ไม่ทัน “ช่างเถอะ มีแต่ฝุ่นทั้งนั้น” เสื้อผ้าของเขาไม่ควรตกพื้น แต่เรื่องครั้งนี้เขาไม่ใส่ใจ มองนางก้มลงเก็บเสื้อคลุมของเขาพับไว้แล้วหาที่วาง ห้องครัวขนาดเล็กเหมาะกับนาง แต่พอสวินเย่ว์ยืนอยู่ในนี้ กลับดูคับแคบนัก “ท่านแม่ทัพหิวหรือไม่” นางถามแล้วหันไปเทน้ำใส่อ่างนำมาวางตรงหน้าเขา เพื่อให้ชายหนุ่มล้างมือ “เหตุใดไม่มีบ่าวไพร่คอยรับใช้” เขาล้างมือ ไม่เดือดร้อนแม้จะเป็นน้ำเย็น แต่ไม่อยากเห็นนางลำบาก แต่ก่อนนางอยู่นอกจวนใช้ชีวิตอย่างไรเขาไม่รู้ แต่เวลานี้ไม่ต้องการเห็นผู้หญิงของเขามีความเป็นอยู่ที่ไม่สะดวกสบาย “บ่าวไม่ชอบให้มีคนมาวุ่นวายเจ้าค่ะ” นางยิ้มบางๆ แล้วยื่นมือไปใช้ผ้านุ่มซับน้ำท
นางหอบหายใจแรง หัวใจเต้นรัวด้วยความเสียวซ่าน ระลอกแล้วระลอกเล่าถาโถมทุกครั้งที่นิ้วยาวเคลื่อนไหวเข้าออกอย่างเชื่องช้าและค่อยๆ เร็วขึ้น แรงขึ้น ความร้อนจากกายของเขาถ่ายเทมาสู่นาง เช่นเดียวกับลมหายใจร้อนระอุของเขากำลังหลอมละลายนาง สวินเย่ว์รับรู้ได้ว่าร่างคนบนตักเกร็งกระตุกด้วยถึงจุดสุขสมแล้ว ดวงตาฉ่ำวาวของนางจ้องมองเขาและโดยไม่รู้ตัว ปลายนิ้วของนางอยู่ที่สาบเสื้อของเขาคล้ายเรียกร้องปรารถนาแตะต้องร่างกายของเขาเช่นกัน กิริยาเพียงแค่นี้เรียกรอยยิ้มจากบุรุษชาตินักรบเช่นเขาได้ ร่างกายนางอ่อนระทวย นางหลุบตาเอียงอายในเงามืด ในขณะที่เขาปลดสายรัดเอวออก สวินเย่ว์เผลอคิดถึงจางรั่วเวยที่หวาดกลัวทุกครั้งที่เขาใกล้เขา เขาไม่อยากให้นางกลัวเช่นเดียวกับรั่วเวย เพราะเร่งรีบเดินทางกลับมาหานางทำให้เขาไม่ได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า บนกายยามนี้มีอาวุธซ่อนอยู่ เขาปลดมันวางไว้แล้วใช้เสื้อคลุมทับ เสิ่นฉางซียังหอบหายใจอยู่ทว่าบุรุษผู้นี้ไม่ยินยอมให้นางได้พักนานนัก เขามองเห็นแผ่นหลังของนางแล้วร้อนรุ่มไปทั่วร่าง รั้งนางมาที่โต๊ะวางของแล้วยกสะโพกนางขึ้น เสื้อผ้าของนางหลุดออกจากเรือนร
“เด็กดี” หลีเหว่ยเกลี่ยเส้นผมที่เคลียแก้มนวล “อดทนเพื่อข้าอีกสักนิด ข้าตระเตรียมรับเจ้าออกจากจวนท่านแม่ทัพ” “จริงหรือ?” แววตาใสคู่นั้นมีแววตื่นเต้นยินดี “พี่เหว่ยจะมารับข้าไปอยู่กับท่านจริงๆ นะ” “แน่นอน พี่จะทอดทิ้งภรรยาตัวน้อยได้อย่างไร” ได้ยินถ้อยคำหวานหู หัวใจจางรั่วเวยพลันอ่อนยวบ นางเอนกายพิงแผ่นอกของคนรัก วางปลายนิ้วบนอกเสื้อของอีกฝ่าย เฝ้ารอวันที่จะได้เคียงคู่โดยมิต้องหลบซ่อนอีก“ข้าเชื่อใจท่าน” “ฮูหยินน้อยเจ้าคะ” เสียงเสี่ยวจูกระซิบเรียกจากด้านนอกทำให้จางรั่วเวยได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง หลีเหว่ยโน้มหน้าลงจุมพิตกลีบปากอ่อนนุ่มอย่างอาลัย ดวงหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง แต่เสียงเรียกซ้ำๆ ด้านนอกทำให้ทั้งสองต้องผละออกจากกัน “ข้าจะรอท่าน” จางรั่วเวยเอ่ยแล้วเป็นฝ่ายลุกจากเตียงเดินจากห้อง เสี่ยวจูรีบเอาเสื้อคลุมมาคลุมร่าง ประคองพากันเดินหลบผู้คนออกจากโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้ แม้จะออกมาพ้นโรงเตี๊ยมแล้ว จางรั่วเวยหันกลับไปมองหน้าต่างชั้นสองบานนั้นที่เปิดอยู่ เพราะอยู่ไกลนางจึงเห็นเพียง
เขาไม่เคยรู้สึกรู้สาใดกับเสียงร้องโหยหวนร้องขอชีวิตหรือเสียงสาปแช่ง ทว่าในวันนั้น เสียงร้องของเด็กหญิงตัวน้อยกลับปลุกอีกเสี้ยวหนึ่งที่หลับใหลของเขาให้ตื่นฟื้น เพียงชั่วกะพริบตากลับหวนให้รำลึกถึงวัยเยาว์ บ้านของเขาเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ถูกไฟไหม้จนกลายเป็นทะเลเพลิง คราวนั้นเขาจูงมือน้องสาวแน่นไม่ยอมปล่อย ซูหลี่น่าเอาแต่ร้องไห้จนใบหน้าเปื้อนเปรอะ พร่ำเรียกหาบิดามารดาที่จมกองเลือดกลายเป็นซากศพ ปลายกระบี่จ่อที่ปลายจมูกของเขา ชายผู้นั้นสวมชุดสีม่วงเข้มคาดผ้ารัดเอวสีทองสะท้อนแสงเพลิงยามค่ำคืนอันโหดร้าย ‘ขอร้องข้าสิ เผื่อบางที ข้าจะมีความเมตตาหลงเหลืออยู่’ เสียงเย้ยหยันนั้นทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ทั้งโกรธแค้นและชิงชัง แต่เขาอายุเพียงสิบขวบ วัยเด็กของเขามลายหายไปสิ้น ‘อย่าโทษข้า แต่จงโทษโชคชะตาของเจ้า’ อีกฝ่ายกล่าวอย่างใจเย็น ลากปลายกระบี่เปื้อนเลือดกรีดเสื้อของเด็กชายจนเห็นแผ่นอกขาวของคุณชายที่ไม่เคยต้องแดด คุณชายน้อยแห่งบ้านเศรษฐีซู ใครเลยจะรู้ว่าชีวิตที่ผู้คนอิจฉาจะมีวันนี้ เด็กชายกัดฟันแน่นก่อนเอ่ยออกไป ‘หากจะฆ่าข้า! จงฆ่าให้ตาย! ถ้าข้าไม่ตาย!
“ข้ารู้”“พี่ใหญ่เดินทางเถิด ข้าส่งแค่นี้” นางลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะพี่ชายของตนแล้วหันไปสั่งกับบุรุษหน้าตายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “มู่หญงดูแลพี่ใหญ่ของข้าด้วย”“บ่าวทราบแล้วขอรับ”“เช่นนั้นน้องขอตัว พี่ใหญ่เดินทางดีๆ รักษาตัวด้วย”“เจ้าก็เช่นกันซูหลี่น่า”หญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงเข้มก้าวออกไปขึ้นหลังม้าสีดำสนิทของตน นางหันไปสบตากับซูเหยี่ยนครั้งหนึ่งแล้วควบม้าออกไป มู่หญงเห็นนางออกไปไกลแล้วจึงระบายลมหายใจเบาๆ แต่กระนั้นก็ทำให้ซูเหยี่ยนหัวเราะด้วยน้ำเสียงแหบแห้งออกมา“พวกเราก็เดินทางกันเถิด”“ขอรับ”“มู่หญง”“....”“ขอบใจที่อยู่ข้างข้ามาตลอด”มู่หญงเงยหน้าสบตาซูเหยี่ยน ถ้อยคำเรียบง่ายนี้ทำให้หัวใจของมู่หญงตื้นตันและอับจนถ้อยคำในเวลาเดียวกัน“บ่าวเต็มใจยิ่ง”“ข้ารู้”ซูเหยี่ยนลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินมานอกศาลาแล้วสูดลมหายใจลึกๆ อีกครั้ง เด็กหญิงตัวน้อยผู้นั้นสอนให้เขารู้จักคำว่า ‘อภัย’ อย่างแท้จริงเป็นเช่นไร หัวใจที่แบกรับความเจ็บปวดมายาวนานก็เบาบางลงอย่างน่าอัศจรรย์แล้วนางเล่า จะผ่านเคราะห์กรรมของตนเองได้หรือไม่ เขาเองได้แต่หวังว่าเส้นทางที่นางเลือกนั้นจะไม่ทำให้นางต้องเสียใจ.กว่าแปดปีแล้ว นาง
“เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดมีอนุหรือรับหญิงใดเข้ามาอีก” เขาสารภาพเสียงเบา “เจ้าก็รู้ ข้าไม่คุ้นเคยกับสตรี เป็นข้าต่างหากที่เกรงจะเอาใจใส่เจ้าไม่เพียงพอ”“ท่านพี่ใส่ใจข้าดียิ่ง” เพราะรู้ว่าอยู่กับเพียงลำพัง นางจึงยื่นมือไปไล้เส้นผมของเขาเบาๆ “หากท่านพี่ไม่ใส่ใจข้า ในครรภ์ของข้าจะมีเด็กอยู่ได้อย่างไร”“เจ้าพูดให้ข้าสบายใจอย่างนั้นหรือ?” เขาถอนหายใจเบาๆ “ข้าใช้ชีวิตอยู่กับทหาร อยู่ในสนามรบ ไม่รู้ว่าควรดูแลเจ้าอย่างไร”“ท่านพี่ดูแลข้าดียิ่งจริงๆ” นางหัวเราะเบาๆ ไม่คิดว่าเขาจะกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ “เมื่อครั้งที่ตั้งครรภ์หยางหยาง ข้าอยู่เพียงลำพัง แต่ครั้งนี้มีท่านพี่อยู่ด้วย กลางดึกข้าอยากถ่ายเบา ท่านพี่ก็ช่วยประคองข้าไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจหรือรำคาญ มือเท้าของข้าก็เป็นท่านที่คอยบีบนวดอย่างไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองท่านพี่เป็นคนเช่นไร”“เรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น” เขาทำหน้ายุ่ง เขาหาได้ใส่ใจว่าผู้ใดจะคิดกับเขาเช่นไร นางอุ้มท้องลูกของเขา เขาย่อมต้องดูแลนาง มีอะไรผิดกัน ฮึ!“เล็กน้อยสำหรับท่านพี่แต่สำคัญมากสำหรับข้า” นางเชื่อแล้วว่าเขาไม่คุ้นเคยกับสตรีจริงๆ “มิใช่บุรุษทุกคนจะยอมทำเ
“เอาไปศึกษาดู” สวินเย่ว์ผลักหนังสือเล่มนั้นออก แต่ฝูหรงยัดใส่อกเสื้ออีกฝ่ายซ้ำยังจับสาบเสื้อให้อย่างดีราวกับไม่ได้ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ “เรื่องฉลองวันเกิดนาง ข้าย่อมต้องมีส่วนร่วม อย่างไรนางก็เป็นผู้มีคุณของข้าและฝูเจี๋ย” “รู้แล้ว” “เจ้ามาปรึกษาแค่นี้รึ” “อืม” “เช่นนั้นก็ดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสักกาสิ” “ไม่ ข้ามีธุระ” “อ้าว” “ขอตัว” “เฮ้ย!” ฮ่องเต้ฝูหรงได้แต่อ้าปากค้างมองแผ่นหลังของแม่ทัพสวินเย่ว์เดินจ้ำออกไปอย่างรวดเร็วนี่เพราะเป็นสหายใช่ไหม? ถึงได้ทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้หลายวันมานี้ เสิ่นฉางซีเห็นท่าทางแปลกๆ ของสวินเย่ว์ จะเรียกว่าแปลกก็ไม่เชิงนัก เพียงแต่มีบางอย่างที่นางรู้สึกว่าเขาปิดบังนางอยู่ หญิงสาวหยุดหน้าห้องหนังสือ นางลังเลอยู่ครู่ก่อนตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไป สวินเย่ว์เงยหน้าขึ้นหมายจะตำหนิคนที่เข้ามา แต่พอเห็นว่าเป็นเสิ่นฉางซี เขารีบลุกขึ้นเข้าไปประคองภรรยารัก เป็นเพราะเขาออกคำสั่งไว้ หากนางมาหาเขา สามารถเข้ามาได้ไม่ต้องให้คนรายงาน
“จิ้นฝานเก่งมากใช่ไหมถึงได้เป็นองครักษ์ของอันอัน” “เจ้าอยากเป็นองครักษ์?” “ข้าอยากปกป้องอันอัน” สวินเย่ว์ตักน้ำราดตัวลูกชาย หยิบผ้ามาซับน้ำให้ ตอนเกิดไม่ได้เลี้ยงดู มาชดเชยเอาตอนนี้แทนก็แล้วกัน “ท่านพ่อ!” เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เด็กชายก็ขึ้นเสียง “พ่อเจ้าเก่งกว่าเจ้าองครักษ์นั่นเยอะ” เขาหัวเราะในลำคอ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะสอนให้เจ้าแข็งแกร่งกว่าจิ้นฝาน ว่าแต่เจ้าจะทนไหวเรอะ” “ข้าฝึกท่านั่งม้าตั้งแต่ห้าขวบแล้ว” หยางหยางคุยโต เมื่อครั้งที่ติดตามมารดาไปพรรคเงาอสูร ระหว่างมารดาปรุงอาหารอยู่นั้น เขาเล่นสนุกกับคนในพรรคมาร ได้ฝึกท่าพื้นฐานต่างๆ มาบ้าง “เจ้าไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งข้านี่” เขาจัดการชำระล้างตนเองให้หมดกลิ่นเหงื่อ แต่กระนั้นยังได้ยินเสียงลูกชายบ่นพึมพำ “ท่านยังไม่ค่อยเรียกข้าว่าลูกเลยนี่” “ก็” จะบอกว่าลืมก็กลัวลูกน้อยใจ “ลูกผู้ชายเขาพูดคุยกันเช่นนี้แหละ” “ก็ได้ ข้าเชื่อท่านก็ได้” “หยาง” “อืม” คนเป็นลูกขานรับห้วนๆ เหมือนกับบิดาที่ชอบเ
“เรื่องเอาใจสตรี ถามเสด็จพ่อของข้าก็ได้” อันอันแย้มยิ้มทำตาวิบวับไร้เดียงสา “ฮ่องเต้มีสนมมากมาย เมื่อถึงวันเกิดของผู้ใดก็จัดสรรของกำนัลให้กงกงนำไปมอบให้ทุกครั้ง” ‘ต้องปรึกษาเรื่องนี้กับคนเช่นนั้นนะรึ? จะได้เรื่องหรือไม่เล่า’ “ไปหาแม่บุญธรรมกันเถอะ ข้าหิวมากเลยพี่หยางหยาง” “อืม”หยางหยางพยักหน้ารับ หันไปสบตากับบิดาอีกครั้ง เห็นเพียงอีกฝ่ายโบกมือไล่ก็เข้าใจความหมาย เขาหันหลังย่อตัวลงให้อันอันปีนขึ้นหลังอย่างคุ้นเคย เด็กน้อยก็ทำตัวเป็นลูกลิงเกาะทันที สวินเย่ว์ได้แต่นวดขมับตนเองไม่รู้จะเตือนลูกชายอย่างไรไม่ให้ตามใจองค์ชายน้อยนัก แต่ช่างเถอะ ประเดี๋ยวมี ‘น้อง’ ของตัวเองแล้วก็คงเลิกใส่ใจองค์ชายฝูเจี๋ยไปเอง “ช่วงนี้ในวังเป็นอย่างไร” สวินเย่ว์เอ่ยถามองครักษ์ที่กำลังจะเดินตามองค์ชายฝูเจี๋ยไป จิ้นฝานชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ในวังเรียบร้อยดีขอรับ” “ดี” เขาพยักหน้ารับ “ดูแลเจ้าเด็กนั่นดีๆ อย่าไปตามใจนัก” “ขอรับ” จิ้นฝานได้แต่ลอบโอดครวญในอก เขาเป็นองครักษ์ไม่ต่างจากคนรับใช้ จะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเจ้านา
สวินเย่ว์เลิกคิ้วรอถ้อยคำจากริมฝีปากสีชาดของหญิงสาว ไม่น่าเชื่อเลยว่า หัวใจดุจน้ำแข็งของเขาจะถูกหลอมละลายอยู่ในอุ้งมือของนางได้ “ข้าชอบท่านที่สุด” นางยื่นริมฝีปากไปประกบริมฝีปากที่เจือรสสุราชวนมึนเมา วงแขนแข็งแกร่งรวบร่างนางเข้ามากอดแนบแน่น เขาจูบไล้กลีบปากของนางช้าๆ แล้วแทรกเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดด้วยเสน่หาลึกล้ำ ทำเอาร่างของนางอ่อนระทวยจนต้องเอนกายเข้าหา เขาจึงยอมละริมฝีปากแล้วเลื่อนมาประทับจูบที่รอยแผลเป็นของนางอย่างทะนุถนอม พลางกระซิบเสียงพร่า “ข้าชอบเจ้ามากกว่า” ‘แต่ข้ารักท่าน’ เสิ่นฉางซีไม่ได้พูดในสิ่งที่ใจคิด แต่นางเชื่อว่าเขารับรู้เสียงในหัวใจของนางได้ บางครั้งการกระทำสำคัญกว่าคำพูด เห็นทีว่าประโยคนี้จะใช้กับบุรุษตัวโตเอาแต่ใจได้ดี สวินเย่ว์ก้มมองหญิงสาวที่ช้อนตาขึ้นมองเขาพอดี สิบสามปีก่อน เขาถูกดวงตาสุกใสของนางตราตรึงจนยากจะลืมเลือน หนึ่งครั้งที่เขาช่วยชีวิตนาง หนึ่งครั้งที่นางช่วยชีวิตเขา ชะตานำพาใจสองดวงให้พานพบและผูกพัน เกิดสายใยโยงหัวใจสองดวง แม้ต้องไกลห่างก็นำพาให้หวนคืน ลมหายใจของนาง ไออุ่นจากกายของเขา ทุกส
“ไมต้องเขินอายไป เรื่องแบบนี้ข้ารู้ว่าพูดยาก แต่ข้าเป็นคนคุยง่าย เจ้าอยากแต่งงานใหญ่โตกว่าท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ ข้าก็จัดการให้เจ้าได้”“ใครบอกว่าข้าจะแต่งกับเจ้า”“ก็ข้าพูดออกไปเมื่อครู่ไง” นางทำตาปริบๆ “แต่งกับข้าเถอะน่า ข้าอยากได้ยินคนบ่นข้างหูแบบนี้ทุกวัน”“นี่เจ้าชอบข้าเรอะ!” เขาควรรู้สึกยินดีใช่ไหมที่สตรีประหลาดอย่างซูหลี่น่ามาชอบเขา“อืม” นางพยักหน้า “อยู่กับเจ้าก็เหมือนเลี้ยงนกแก้วให้มันส่งเสียงเจื้อยแจ้วข้างหู”“เจ้ากล้าเปรียบเทียบข้ากับนกแก้วเรอะ!”“อืม” นางพยักหน้าขึ้นลง “ไม่ต้องอาย ข้าจะไปสู่ขอเจ้าเอง”ซูหลี่น่านั่งลงบนตักของเกาเทียนฉี สะโพกกลมกลึงบดเบียดเย้ายวนจนส่วนที่หลับใหลตื่นฟื้น นางยิ้มเจ้าเล่ห์ในขณะที่เกาเทียนฉีได้แต่หลับตาโอดครวญอยู่ในอกที่ไม่สามารถบังคับ ‘ส่วนนั้น’ ของร่างกายได้เลยเอาเถอะ! บางทีชีวิตของเขาอาจรอผู้หญิงบ้าๆ อย่างนางอยู่ก็เป็นได้.เด็กชายวัยเจ็ดขวบยืนตาโตมองมารดาของตนในชุดสีแดงงดงามจับตา เสิ่นฉางซีอยู่ในชุดเจ้าสาว แม้มีผ้าคลุมหน้าอยู่ก็รับรู้ได้ว่าถูกลูกชายจ้องมองจนรู้สึกเขินอาย “เลิกมองแม่ได้แล้ว” “ท่านแม่สวยมาก” หยางหยางพูดขึ
เสิ่นฉางซีหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากกับชายที่นางรัก นางเคยบอกตัวเองไม่ให้รักชายผู้นี้ แต่หัวใจกลับทรยศนางไม่เชื่อฟัง แม้จะเห็นภาพที่เขาสวมชุดเจ้าบ่าวแต่งงานกับผู้อื่น หัวใจของนางก็ยังรักเขาเรื่อยมา ความรักที่นางเก็บซ่อนไว้ในอกมาตลอดสิบสามปี ความรักที่นางไม่คิดจะให้เขาได้รับรู้ ทว่าโชคชะตานำพาเขากลับมาให้ได้พบกับนาง ด้ายแดงผูกมัดไม่ให้นางกับเขาได้คลาดกันไปไกลอีกแล้วในวันที่เสิ่นฉางซีอายุย่างยี่สิบสี่ นางได้ครอบครองชายที่รัก บุตรชายอันประเสริฐและตำแหน่งองค์หญิงอันเล่อ แต่ไม่มีสิ่งใดมีความหมายมากเท่าชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ริมฝีปากอุ่นของเขาย้ำเตือนว่านี่ไม่ใช่ความฝัน จากนี้ไป นางจะไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว.บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีแดงมงคลอยู่บนหลังอาชางามสง่า ใบหน้าคมคายนั้นประดับรอยยิ้มน้อยๆ ที่ยากจะได้เห็นนัก ใครเลยจะรู้ว่าแม่ทัพสวินเย่ว์ยามยกมุมปากเป็นรอยยิ้มจะหล่อเหลาถึงเพียงนี้ บรรดาหญิงสาวที่มาชมขบวนพิธีแต่งงานต่างพากันใจสั่นไหว ไม่คาดคิดว่าบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมร้ายกาจในสนามรบจะมีเสน่ห์ถึงเพียงนี้ บนชั้นสองระเบียงของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หญิงสาวในชุดสีม่วงเย้ายวน ม
“เหตุใดไม่ได้เล่า ข้าจะได้เป็นพี่น้องกับพี่หยางหยาง” อันอันเบ้ปากทำหน้าจะร้องไห้เสิ่นฉางซีส่ายหน้าไปมาแล้วพูดขึ้น “หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสามัญชน ไม่อาจเป็นแม่บุญธรรมให้องค์ชายฝูเจี๋ยได้เพคะ”อันอันทำหน้าเศร้าแล้วยื่นมือไปโอบรอบคอบิดา ฝูหรงจึงตบหลังเด็กน้อยเบาๆ อาจกล่าวได้ว่าเขารักลูกลำเอียงก็ได้ มีเพียงฝูเจี๋ยที่เขาโอบอุ้มเช่นนี้ บุตรชายบุตรสาวหลายคนของเขามักไม่ค่อยสนิทสนมใกล้ชิดนัก“ได้สิ” ฝูหรงเอ่ยขึ้น “นางไม่ใช่สามัญชนธรรมดา นางเป็นถึงบุตรสาวคนเดียวขององครักษ์เสิ่นที่ยอมใช้ชีวิตปกป้องอดีตรัชทายาท โดยให้บุตรสาวเพียงคนเดียวสวมเสื้อคลุมของรัชทายาท เบี่ยงเบนนักฆ่า ให้มีโอกาสหลบหนีรอดชีวิตมาเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ไม่คิดว่าเรื่องที่นางปิดบังมานานจะมีผู้อื่นล่วงรู้ นางมองสีหน้าของฮ่องเต้ แล้วย้ายสายตามองไปทางสวินเย่ว์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน “พวกท่านรู้? รู้ว่าข้าเป็นใคร?”“เจ้าอย่าได้โกรธสวินเย่ว์ในเรื่องนี้” ฝูหรงรีบพูดขึ้น แต่สวินเย่ว์หัวคิ้วกระตุกที่ถูกป้ายความผิดให้ แท้จริงเป็นเขาทั้งสองคนที่ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด และจากที่ให้คนไปสืบประวัตินางจ
หยางหยางจ้องมองอันอันที่เวลานี้แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามราวองค์ชายน้อย เอ่อ...ไม่สิ อันอันเป็นองค์ชายอยู่แล้วนี่น่า “พี่หยางหยาง” อันอันยื่นมือไปกระตุกมือของหยางหยางเบาๆ ดวงตากลมมีแววกังวลใจ “เจ้าเป็นองค์ชายจริงๆ สินะ” หยางหยางเกาศีรษะแก้เขินไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหน แม้รู้อยู่เต็มอกว่าอันอันคือองค์ชายฝูเจี๋ย แต่ในความรู้สึกของเขา อันอันคือน้องชายตัวน้อยที่คอยจับมือของเขาตลอดเวลา “พี่หยางหยางไม่รักข้าแล้วหรือ?” เด็กน้อยทำตาปริบๆ น้ำเสียงสั่นเครือทำให้เด็กชายตัวโตกว่ายื่นมือไปโอบเจ้าตัวเล็กมากอดแล้วตบหลังเบาๆ “เจ้าเป็นน้องชายของข้า! และข้าจะเป็นพี่ชายของเจ้าตลอดไป!” หยางหยางให้คำสัญญา สวินเย่ว์มองดูเด็กชายต่างวัยแล้วกลอกตามองบน “ลูกชายเจ้ามันเจ้าเล่ห์!” “หือ?” ฝูหรงที่มารับอันอันเลิกคิ้วแล้วหัวเราะออกมา “นั่นเรียกมิตรภาพระหว่างลูกผู้ชาย” “เฮอะ!” สวินเย่ว์ทำเสียงรำคาญในลำคอ เห็นชัดว่าเจ้าเด็กขี้แยนั่นเหนี่ยวรั้งหยางหยางด้วยท่าทีอ่อนแอ เจ้าเด็กนั่นก็ใจอ่อนเหมือนแม่ไม่มีผิด เห็นใครเดือดร้อนก็จะยื่นมือช่วยเหล