ซูเหยี่ยนดื่มสุราหมดจอกแล้วเอ่ย “ได้ยินว่าเจ้าซุกซน ไปประชุมพรรคมารช้าไปสองวันหรือ?” “แค่สองวัน” นางยักไหล่ “ข้าเป็นประมุขอย่างไรก็ต้อง เชื่อฟังข้าหาไม่แล้ว ข้าจะค่อยๆ เลาะกระดูกและเส้นเอ็นของพวกมันออกมา” “ดี” แม้ได้รับรายงานเรื่องอื่นมาอีก เขาหาได้ใส่ใจเรื่องเล่นสนุกของนาง นางชอบอะไรเขาตามใจนางเสมอ ซูเหยี่ยนหลุบตามองมือขวาที่สวมถุงมือไว้เพียงข้างเดียว เขาลุกขึ้นยืนแล้วพูด“พี่จะพักผ่อนสักหน่อย อีกสองวันพี่จะโคจรลมปราณ เจ้ารู้ใช่ไหมต้องทำเช่นไร” “ข้าทราบดี” ซูหลี่น่ายกมือขึ้นทุบหน้าอกตนเอง “มีเรื่องใดให้ปรึกษามู่หญง” “ข้าทราบแล้ว” ขานรับด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ก็กระโดดขึ้น ยื่นหน้าไปหาซูเหยี่ยนที่สูงกว่านางมากจนนางต้องแหงนหน้าคอแทบตั้งบ่า “อยากให้ข้าส่งหญิงรับใช้ไปปรนนิบัติหรือไม่ หญิงงามจากหอวสันต์รัญจวนฝึกปรือฝีมือมาอย่างดียิ่ง หากพี่เหยี่ยนต้องการ ข้าคัดเลือกหญิงงามส่งให้พี่ชายด้วยตนเอง” ซูเหยี่ยนมองสีหน้าทะเล้นของน้องสาวแล้วยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม “แล้วแต่เจ้าเถิด” “ได
“หอวสันต์รัญจวน เป็นหนึ่งในสาขาของพรรคเงาอสูร หากเจ้าอยากทำงานมีเงินทองไว้เลี้ยงลูกของเจ้า ข้าจะส่งเจ้าไปที่หอวสันต์รัญจวน”“ประมุขซู! ข้าไม่...ไม่ทำ...เรื่องนั้น”“เรื่องไหน?” ซูหลี่น่าเบ้ปาก “ข้าให้เจ้าไปเป็นแม่ครัวที่นั่นต่างหาก เด็กที่เกิดในพรรคมารเป็นสมบัติของพรรคมาร ข้าให้เจ้าเลือก อยากให้ลูกของเจ้าเป็นจอมยุทธ์ก็อยู่ที่พรรคเงาอสูร หากอยากให้ลูกเจ้าเป็นคนธรรมดาก็ต้องไปทำงานที่หอวสันต์รัญจวน”เสิ่นฉางซีแทบไม่ต้องคิด ลูกต้องเป็นของนาง นางจะไม่ยกลูกของนางให้ใครเด็ดขาด“หากไม่ได้ขายตัว ข้าทำงานที่หอวสันต์รัญจวนได้เจ้าค่ะ”ซูหลี่น่ากวาดตามองเสิ่นฉางซีขึ้นลงอีกรอบ “เจ้าคงยังตั้งครรภ์อ่อนๆ ระยะนี้อยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน”“ขอบคุณเจ้าค่ะ”“ไม่ต้องขอบคุณข้า ไปทำอาหารมาให้ถูกปากข้ากับพี่ใหญ่ก็พอ”เสิ่นฉางซียิ้มกว้าง มือยังวางบนหน้าท้องแบนราบของตน กระซิบบอกลูกในครรภ์ที่เติบโตอย่างช้าๆ ‘แม่จะเลี้ยงดูเจ้าให้ดีที่สุด’พลันเกิดความรู้สึกอบอุ่นในอก‘แม่’ในที่สุด นางก็ได้เรียกตัวเองด้วยคำคำนี้.คืนวันพ้นผ่าน หญิงสาวในชุดผ้าฝ้ายสีเขียวนั่งสงบเสงี่ยม ด้านหน้ามีฉากกั้นปักลายดอกเสาเย่
ซูหลี่น่าเห็นสีหน้าจริงจังของเสิ่นฉางซีแล้วรู้สึกหมดสนุก นางโบกมือไปมาคล้ายไม่อยากพูดถึงเรื่องพวกนี้อีกจึงเอ่ยถามเรื่องของพี่ชายตัวเอง“พี่ชายข้ากินข้าวเรียบร้อยแล้วหรือ?”“เจ้าค่ะ”ซูหลี่น่าพยักหน้ารับ “อืม เป็นเช่นนั้นก็ดี”มีเพียงการพูดถึงอดีตประมุขพรรคมารเท่านั้นที่ทำให้ซูหลี่น่ามีสีหน้าอ่อนโยนลงราวเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง นางโบกมือไปมาไม่ใส่ใจสอบถามเรื่องใดอีก เสิ่นฉางซีจึงจูงแขนบุตรชายที่สูงกว่าเอวนางออกมาด้านนอก รถม้าแสนธรรมดาไม่บ่งบอกฐานะรออยู่ด้านนอก ลูกชายทำท่าประคองมารดาที่เดินกะโผลกกะเผลกขึ้นรถก่อน ส่วนตัวเองนั้นปีนป่ายขึ้นตามหลังอย่างว่องไวราวลิงน้อย เด็กน้อยมองมารดานั่งเรียบร้อยแล้วจึงโผล่หน้ามาทางหน้าต่างส่งเสียงเจื้อยแจ้วว่าพร้อมแล้วเดินทางได้เลย เสียงหัวเราะเบาๆ ของชายบังคับม้าดังขึ้นพร้อมการเคลื่อนตัวไปของรถม้า มือเล็กๆ ขยำลงที่ท่อนขาของมารดาพลางแหงนหน้าขึ้นมองส่งรอยยิ้มที่ทำให้คนใจละลายแล้วเอ่ยถาม “ท่านแม่ปวดขาหรือไม่ หยางเอ๋อร์จะนวดขาให้ท่านแม่” เด็กน้อยประจบแต่คนเป็นแม่รู้ทันจึงหัวเราะออกมา “แม่แค่นั่งนานไปหน่อยไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ว่าแต่วันนี้เ
อายุสิบเจ็ด นางออกจากหอนางโลมมาเช่าบ้านหลังเล็กๆ อยู่กับลูกชายเพียงสองคน แม้จะเป็นเพียงกระท่อมหลังน้อยแต่นางรู้สึกเหมือนคืนวันที่ได้อยู่กับบิดามารดาหวนมาอีกครั้ง นางยังไปทำงานเป็นแม่ครัวที่หอนางโลมเช่นเคยแต่ไม่ได้พักอาศัยที่นั่นอีกแล้ว ด้วยไม่ต้องการให้ลูกชายเติบโตในสถานที่เช่นนั้น อายุสิบแปด นางกลุ้มใจที่ลูกชายยังพูดไม่ได้ ได้แต่ส่งเสียงเป็นคำๆ และปีนี้ฮ่องเต้ที่ได้ยินข่าวว่าประชวรหนักมาหลายปีสิ้นพระชนม์ องค์รัชทายาทขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรมีนามว่าฝูหรง อายุสิบเก้า บุตรชายวัยสามขวบเรียกนางว่า “แม่” ได้ครั้งแรก พร้อมกับข่าวแม่ทัพสวินเย่ว์ได้รับปูนบำเหน็จเป็นแม่ทัพปกป้องแคว้น อายุยี่สิบ จากที่เคยกลัวว่าลูกตนเองจะพูดไม่ได้ เวลานั้นหยางหยาง หรือหยางเอ๋อร์ในวัยสี่ขวบพูดจาไม่ยอมหยุด และอาจเพราะบ้านของนางอยู่ใกล้สำนักศึกษา บ่อยครั้งได้ยินเสียงท่องโคลงกลอนหรือคัมภีร์สามอักษร เด็กน้อยถึงท่องได้คล่องปาก ทุกครั้งที่ว่าง นางจับมือบุตรชายหัดคัดชื่อตนเอง อายุยี่สิบเอ็ด ทั่วทั้งแคว้นเฉลิมฉลองฮ่องเต้มีพระโอรสพระองค์แรก ปลายปีเดียวกันแม่ทัพสว
“รู้ได้อย่างไร เจ้าเอาหูไปแนบประตูวังมารึ” “สองสามวันก่อนข้าไปทางฝั่งตะวันออกมา ได้ยินคนที่นั่นพูดกัน” “จะมีเรื่องใดเกิดขึ้นอีก แม่ทัพสวินเย่ว์ปราบข้าศึกที่มารุกรานจนได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพปกป้องแคว้น แผ่นดินผลัดเปลี่ยนผู้ปกครอง องค์รัชทายาททรงขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ ทุกอย่างก็ราบรื่นดีมิใช่หรือ” “เจ้าไม่เคยได้ยิน ‘คลื่นใต้น้ำ’ หรืออย่างไร ไม่แน่ว่าในวังอาจเกิดเรื่องที่พูดไม่ได้ก็เป็นได้” “จะเกิดสิ่งใดก็ช่างเถอะ อย่าให้หญ้าแพรกอย่างพวกเราเดือดร้อนก็พอ” “จริงด้วยๆ” เสิ่นฉางซีรับฟังเรื่องราวต่างๆ ด้วยท่าทีนิ่งสงบ มุมปากยังคงประดับรอยยิ้มน้อยๆ นางหยุดมองครู่หนึ่งแล้วเดินออกมาอย่างเงียบๆ แต่เดิมนางเคยคิดจะไปให้ไกลจากเมืองหลวง แต่เพราะซูหลี่น่าส่งนางมาเป็นแม่ครัวที่หอวสันต์รัญจวน ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเมือง และประโยคที่ซูหลี่น่าเคยเปรยกับนางไว้ว่า “สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด” ผู้อื่นคิดว่านางหลบหนีไปไกล แต่ความจริงนางยังอยู่ไม่ไกลนัก หญิงสาวเดินออกมาเงียบๆ จากตรอกเล็กๆ สู่ถนน มุ่งสู
“หนูน้อย เจ้าชื่ออะไร ข้า...เอ่อ...น้าชื่อฉางซี เจ้าเรียกน้าฉางซีก็ได้” นางแปรงผมให้เด็กชายได้สำเร็จเสียที แต่ไม่ว่านางจะถามหรือชวนคุยอะไร เด็กน้อยไม่ยอมตอบ“ท่านแม่ น้องชายพูดไม่ได้ขอรับ” หยางหยางวิ่งถลาเข้ามา“เจ้าว่าอะไรนะ!” นางอุทานอย่างตกใจ“ข้าเจอน้องชายสามวันก่อน ตั้งแต่เจอกันน้องชายไม่พูดสักคำ ข้าคิดว่าน้องชายคงเป็นใบ้ พ่อแม่เลยไม่ต้องการเขา”“เจ้านี่ก็เหลือเกิน เก็บซ่อนไว้ได้อย่างไรตั้งสามวัน”เสิ่นฉางซีส่ายหน้าไปมา แม้หยางหยางจะเป็นเพียงเด็กชายวัยเจ็ดขวบ แต่เป็นเด็กที่แข็งแรงและกตัญญูยิ่ง หยางหยางช่วยงานในบ้านอย่างไม่อิดออด รวมทั้งงานขนฟืนก็ทำด้วยตนเอง นางจึงไม่ค่อยได้เข้าไปสำรวจตรวจดูบริเวณนั้น “ข้าเตรียมน้ำอุ่นไว้ข้างนอกแล้ว พาน้องชายไปอาบน้ำกัน!” หยางหยางเปลี่ยนเรื่อง เขาแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นแล้วจูงมือ ‘น้องชาย’ ออกมาที่ด้านหลัง มีตุ่มน้ำหลายใบเพียงพอสำหรับการใช้สอยในบ้าน เขาเตรียมน้ำอุ่นให้น้องชาย “เจ้าก็สกปรกแล้ว อาบน้ำพร้อมน้องชายเถิด”มารดาส่ายหน้าระอาใจ ลูกชายเป็นคนเหงื่อมาก แถมเล่นสนุกซุกซน นางต้องไล่ให้ลูกอาบน้ำทุกวัน หยางหยางอยากจะปฏิเสธแต่เพราะกลัวเส
“กงกงไม่กินรึ” ซูหลี่น่าเอ่ยถามเมื่อกินของว่างในชามจนเกลี้ยง นางแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างไม่เกรงมารยาท “รึอาหารในหอนางโลมไม่ถูกปากกงกง”“ข้ามาคุยเรื่องงานกับเจ้า” ไป๋กงกงสูดลมหายใจลึก หากไม่จำเป็นคงไม่พาตัวเองมาอยู่ในสถานที่โสมมเช่นนี้“งาน?” ซูหลี่น่ารินน้ำชาให้ตนเอง เวลานี้นางขับไล่ผู้อื่นออกไปหมดจึงไม่มีใครปรนนิบัติรับใช้ “มิใช่ท่านให้ผู้อื่นทำหรอกรึ”“เรื่องนั้น” ไป๋กงกงหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาทันที งานครั้งนั้นอดีตประมุขพรรคเงาอสูรออกโรงลงมือสังหารคนด้วยตนเอง ทว่าครั้งนั้นเป็นเขาที่ตัดสินใจผิดพลาด ให้อดีตประมุขพรรคมารติดตามรถม้าคันนั้นไป มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดและไม่อาจแก้ไขได้ ผลที่ได้รับคือองค์รัชทายาทปลอดภัย ใครเลยจะคิดว่าแค่องครักษ์ปลายแถวกลับกล้าเอาลูกตัวเองปลอมตัวเป็นตัวล่อ หลังจากรู้ว่าองค์รัชทายาทกลับเข้าวังอย่างปลอดภัย เขาโมโหถึงขนาดสั่งคนสนิทไปจัดการเผาบ้านขององครักษ์ผู้นั้นซูหลี่น่าแย้มยิ้มยียวน “เอาเถิด เรื่องที่แล้วไปแล้วไม่พูดถึง แต่ครั้งนี้ข้าไม่อาจรับงานนี้ได้จริงๆ” “อะไรกัน เจ้าคือซูหลี่น่าแห่งพรรคเงาอสูรตัวจริงรึ” ไป๋กงกงเลิกคิ้วกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน “เจ้าไม่
ซูเหยี่ยนต้องรักษาตนเอง การฝึกฝ่ามืออัคคีส่งผลให้เขาใกล้เคียงมารร้าย แม้ซูหลี่น่ารู้ว่าซูเหยี่ยนรักและเอ็นดูนางมากเพียงใด แต่หากยามที่สติเลอะเลือนถึงขั้นวิปริตนั้น เขาก็อาจพลั้งมือฆ่านางทั้งที่ยังยิ้มอยู่ก็เป็นได้ มีเพียงมู่หญงที่ดูแลใกล้ชิดซูเหยี่ยนที่สุด ทุกสิบวันพี่ชายจะออกมาจากหอฝึกตนเพื่อกินอาหารหนึ่งมื้อ เป็นเช่นนี้มานานจนเด็กคนนั้นเติบโตเป็นเด็กซุกซนวัยเจ็ดขวบแล้วสินะเด็กหนุ่มเห็นนายหญิงเปลี่ยนทางเดิน แม้สงสัยแต่ไม่มีสิทธิ์เอ่ยถาม เขาเดินตามนางไปเงียบๆ จนถึงห้องที่ส่งเสียงดังอยู่เสิ่นฉางซียืนนิ่งด้วยท่าทีสงบ ใบหน้าเรียบเฉยมีเพียงรอยยิ้มบางๆ ข้างกายนางคือ ‘ผู้คุมกฎแห่งหอวสันต์รัญจวน’ แต่ทุกคนในที่นี้เรียกนางว่า ‘เหมยกุ้ย’“ข้ามีกำลังวังชาขึ้นเพราะเต่าตุ๋นยาจีนสูตรพิเศษของเจ้า” เศรษฐีกู่รูปร่างอ้วนท้วนเหมือนก้อนแป้งเดินได้ หลายปีมานี่เพียรพยายามกินยาสารพัด แต่ไม่อาจทำให้ร่างกายมีเรี่ยวแรงได้เท่าวัยหนุ่ม แต่เมื่อเพื่อนฝูงแนะให้มาหาความสำราญที่หอวสันต์รัญจวน ไม่เพียงแต่มีหญิงงามนางบำเรอที่ปรนนิบัติอย่างรู้ใจ แต่อาหารการกินที่เรียกมาบริการนั้นบำรุงกำลังวังชาให้เขาคึกคัก ความรู้
“เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดมีอนุหรือรับหญิงใดเข้ามาอีก” เขาสารภาพเสียงเบา “เจ้าก็รู้ ข้าไม่คุ้นเคยกับสตรี เป็นข้าต่างหากที่เกรงจะเอาใจใส่เจ้าไม่เพียงพอ”“ท่านพี่ใส่ใจข้าดียิ่ง” เพราะรู้ว่าอยู่กับเพียงลำพัง นางจึงยื่นมือไปไล้เส้นผมของเขาเบาๆ “หากท่านพี่ไม่ใส่ใจข้า ในครรภ์ของข้าจะมีเด็กอยู่ได้อย่างไร”“เจ้าพูดให้ข้าสบายใจอย่างนั้นหรือ?” เขาถอนหายใจเบาๆ “ข้าใช้ชีวิตอยู่กับทหาร อยู่ในสนามรบ ไม่รู้ว่าควรดูแลเจ้าอย่างไร”“ท่านพี่ดูแลข้าดียิ่งจริงๆ” นางหัวเราะเบาๆ ไม่คิดว่าเขาจะกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ “เมื่อครั้งที่ตั้งครรภ์หยางหยาง ข้าอยู่เพียงลำพัง แต่ครั้งนี้มีท่านพี่อยู่ด้วย กลางดึกข้าอยากถ่ายเบา ท่านพี่ก็ช่วยประคองข้าไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจหรือรำคาญ มือเท้าของข้าก็เป็นท่านที่คอยบีบนวดอย่างไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองท่านพี่เป็นคนเช่นไร”“เรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น” เขาทำหน้ายุ่ง เขาหาได้ใส่ใจว่าผู้ใดจะคิดกับเขาเช่นไร นางอุ้มท้องลูกของเขา เขาย่อมต้องดูแลนาง มีอะไรผิดกัน ฮึ!“เล็กน้อยสำหรับท่านพี่แต่สำคัญมากสำหรับข้า” นางเชื่อแล้วว่าเขาไม่คุ้นเคยกับสตรีจริงๆ “มิใช่บุรุษทุกคนจะยอมทำเ
“เอาไปศึกษาดู” สวินเย่ว์ผลักหนังสือเล่มนั้นออก แต่ฝูหรงยัดใส่อกเสื้ออีกฝ่ายซ้ำยังจับสาบเสื้อให้อย่างดีราวกับไม่ได้ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ “เรื่องฉลองวันเกิดนาง ข้าย่อมต้องมีส่วนร่วม อย่างไรนางก็เป็นผู้มีคุณของข้าและฝูเจี๋ย” “รู้แล้ว” “เจ้ามาปรึกษาแค่นี้รึ” “อืม” “เช่นนั้นก็ดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสักกาสิ” “ไม่ ข้ามีธุระ” “อ้าว” “ขอตัว” “เฮ้ย!” ฮ่องเต้ฝูหรงได้แต่อ้าปากค้างมองแผ่นหลังของแม่ทัพสวินเย่ว์เดินจ้ำออกไปอย่างรวดเร็วนี่เพราะเป็นสหายใช่ไหม? ถึงได้ทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้หลายวันมานี้ เสิ่นฉางซีเห็นท่าทางแปลกๆ ของสวินเย่ว์ จะเรียกว่าแปลกก็ไม่เชิงนัก เพียงแต่มีบางอย่างที่นางรู้สึกว่าเขาปิดบังนางอยู่ หญิงสาวหยุดหน้าห้องหนังสือ นางลังเลอยู่ครู่ก่อนตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไป สวินเย่ว์เงยหน้าขึ้นหมายจะตำหนิคนที่เข้ามา แต่พอเห็นว่าเป็นเสิ่นฉางซี เขารีบลุกขึ้นเข้าไปประคองภรรยารัก เป็นเพราะเขาออกคำสั่งไว้ หากนางมาหาเขา สามารถเข้ามาได้ไม่ต้องให้คนรายงาน
“จิ้นฝานเก่งมากใช่ไหมถึงได้เป็นองครักษ์ของอันอัน” “เจ้าอยากเป็นองครักษ์?” “ข้าอยากปกป้องอันอัน” สวินเย่ว์ตักน้ำราดตัวลูกชาย หยิบผ้ามาซับน้ำให้ ตอนเกิดไม่ได้เลี้ยงดู มาชดเชยเอาตอนนี้แทนก็แล้วกัน “ท่านพ่อ!” เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เด็กชายก็ขึ้นเสียง “พ่อเจ้าเก่งกว่าเจ้าองครักษ์นั่นเยอะ” เขาหัวเราะในลำคอ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะสอนให้เจ้าแข็งแกร่งกว่าจิ้นฝาน ว่าแต่เจ้าจะทนไหวเรอะ” “ข้าฝึกท่านั่งม้าตั้งแต่ห้าขวบแล้ว” หยางหยางคุยโต เมื่อครั้งที่ติดตามมารดาไปพรรคเงาอสูร ระหว่างมารดาปรุงอาหารอยู่นั้น เขาเล่นสนุกกับคนในพรรคมาร ได้ฝึกท่าพื้นฐานต่างๆ มาบ้าง “เจ้าไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งข้านี่” เขาจัดการชำระล้างตนเองให้หมดกลิ่นเหงื่อ แต่กระนั้นยังได้ยินเสียงลูกชายบ่นพึมพำ “ท่านยังไม่ค่อยเรียกข้าว่าลูกเลยนี่” “ก็” จะบอกว่าลืมก็กลัวลูกน้อยใจ “ลูกผู้ชายเขาพูดคุยกันเช่นนี้แหละ” “ก็ได้ ข้าเชื่อท่านก็ได้” “หยาง” “อืม” คนเป็นลูกขานรับห้วนๆ เหมือนกับบิดาที่ชอบเ
“เรื่องเอาใจสตรี ถามเสด็จพ่อของข้าก็ได้” อันอันแย้มยิ้มทำตาวิบวับไร้เดียงสา “ฮ่องเต้มีสนมมากมาย เมื่อถึงวันเกิดของผู้ใดก็จัดสรรของกำนัลให้กงกงนำไปมอบให้ทุกครั้ง” ‘ต้องปรึกษาเรื่องนี้กับคนเช่นนั้นนะรึ? จะได้เรื่องหรือไม่เล่า’ “ไปหาแม่บุญธรรมกันเถอะ ข้าหิวมากเลยพี่หยางหยาง” “อืม”หยางหยางพยักหน้ารับ หันไปสบตากับบิดาอีกครั้ง เห็นเพียงอีกฝ่ายโบกมือไล่ก็เข้าใจความหมาย เขาหันหลังย่อตัวลงให้อันอันปีนขึ้นหลังอย่างคุ้นเคย เด็กน้อยก็ทำตัวเป็นลูกลิงเกาะทันที สวินเย่ว์ได้แต่นวดขมับตนเองไม่รู้จะเตือนลูกชายอย่างไรไม่ให้ตามใจองค์ชายน้อยนัก แต่ช่างเถอะ ประเดี๋ยวมี ‘น้อง’ ของตัวเองแล้วก็คงเลิกใส่ใจองค์ชายฝูเจี๋ยไปเอง “ช่วงนี้ในวังเป็นอย่างไร” สวินเย่ว์เอ่ยถามองครักษ์ที่กำลังจะเดินตามองค์ชายฝูเจี๋ยไป จิ้นฝานชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ในวังเรียบร้อยดีขอรับ” “ดี” เขาพยักหน้ารับ “ดูแลเจ้าเด็กนั่นดีๆ อย่าไปตามใจนัก” “ขอรับ” จิ้นฝานได้แต่ลอบโอดครวญในอก เขาเป็นองครักษ์ไม่ต่างจากคนรับใช้ จะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเจ้านา
สวินเย่ว์เลิกคิ้วรอถ้อยคำจากริมฝีปากสีชาดของหญิงสาว ไม่น่าเชื่อเลยว่า หัวใจดุจน้ำแข็งของเขาจะถูกหลอมละลายอยู่ในอุ้งมือของนางได้ “ข้าชอบท่านที่สุด” นางยื่นริมฝีปากไปประกบริมฝีปากที่เจือรสสุราชวนมึนเมา วงแขนแข็งแกร่งรวบร่างนางเข้ามากอดแนบแน่น เขาจูบไล้กลีบปากของนางช้าๆ แล้วแทรกเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดด้วยเสน่หาลึกล้ำ ทำเอาร่างของนางอ่อนระทวยจนต้องเอนกายเข้าหา เขาจึงยอมละริมฝีปากแล้วเลื่อนมาประทับจูบที่รอยแผลเป็นของนางอย่างทะนุถนอม พลางกระซิบเสียงพร่า “ข้าชอบเจ้ามากกว่า” ‘แต่ข้ารักท่าน’ เสิ่นฉางซีไม่ได้พูดในสิ่งที่ใจคิด แต่นางเชื่อว่าเขารับรู้เสียงในหัวใจของนางได้ บางครั้งการกระทำสำคัญกว่าคำพูด เห็นทีว่าประโยคนี้จะใช้กับบุรุษตัวโตเอาแต่ใจได้ดี สวินเย่ว์ก้มมองหญิงสาวที่ช้อนตาขึ้นมองเขาพอดี สิบสามปีก่อน เขาถูกดวงตาสุกใสของนางตราตรึงจนยากจะลืมเลือน หนึ่งครั้งที่เขาช่วยชีวิตนาง หนึ่งครั้งที่นางช่วยชีวิตเขา ชะตานำพาใจสองดวงให้พานพบและผูกพัน เกิดสายใยโยงหัวใจสองดวง แม้ต้องไกลห่างก็นำพาให้หวนคืน ลมหายใจของนาง ไออุ่นจากกายของเขา ทุกส
“ไมต้องเขินอายไป เรื่องแบบนี้ข้ารู้ว่าพูดยาก แต่ข้าเป็นคนคุยง่าย เจ้าอยากแต่งงานใหญ่โตกว่าท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ ข้าก็จัดการให้เจ้าได้”“ใครบอกว่าข้าจะแต่งกับเจ้า”“ก็ข้าพูดออกไปเมื่อครู่ไง” นางทำตาปริบๆ “แต่งกับข้าเถอะน่า ข้าอยากได้ยินคนบ่นข้างหูแบบนี้ทุกวัน”“นี่เจ้าชอบข้าเรอะ!” เขาควรรู้สึกยินดีใช่ไหมที่สตรีประหลาดอย่างซูหลี่น่ามาชอบเขา“อืม” นางพยักหน้า “อยู่กับเจ้าก็เหมือนเลี้ยงนกแก้วให้มันส่งเสียงเจื้อยแจ้วข้างหู”“เจ้ากล้าเปรียบเทียบข้ากับนกแก้วเรอะ!”“อืม” นางพยักหน้าขึ้นลง “ไม่ต้องอาย ข้าจะไปสู่ขอเจ้าเอง”ซูหลี่น่านั่งลงบนตักของเกาเทียนฉี สะโพกกลมกลึงบดเบียดเย้ายวนจนส่วนที่หลับใหลตื่นฟื้น นางยิ้มเจ้าเล่ห์ในขณะที่เกาเทียนฉีได้แต่หลับตาโอดครวญอยู่ในอกที่ไม่สามารถบังคับ ‘ส่วนนั้น’ ของร่างกายได้เลยเอาเถอะ! บางทีชีวิตของเขาอาจรอผู้หญิงบ้าๆ อย่างนางอยู่ก็เป็นได้.เด็กชายวัยเจ็ดขวบยืนตาโตมองมารดาของตนในชุดสีแดงงดงามจับตา เสิ่นฉางซีอยู่ในชุดเจ้าสาว แม้มีผ้าคลุมหน้าอยู่ก็รับรู้ได้ว่าถูกลูกชายจ้องมองจนรู้สึกเขินอาย “เลิกมองแม่ได้แล้ว” “ท่านแม่สวยมาก” หยางหยางพูดขึ
เสิ่นฉางซีหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากกับชายที่นางรัก นางเคยบอกตัวเองไม่ให้รักชายผู้นี้ แต่หัวใจกลับทรยศนางไม่เชื่อฟัง แม้จะเห็นภาพที่เขาสวมชุดเจ้าบ่าวแต่งงานกับผู้อื่น หัวใจของนางก็ยังรักเขาเรื่อยมา ความรักที่นางเก็บซ่อนไว้ในอกมาตลอดสิบสามปี ความรักที่นางไม่คิดจะให้เขาได้รับรู้ ทว่าโชคชะตานำพาเขากลับมาให้ได้พบกับนาง ด้ายแดงผูกมัดไม่ให้นางกับเขาได้คลาดกันไปไกลอีกแล้วในวันที่เสิ่นฉางซีอายุย่างยี่สิบสี่ นางได้ครอบครองชายที่รัก บุตรชายอันประเสริฐและตำแหน่งองค์หญิงอันเล่อ แต่ไม่มีสิ่งใดมีความหมายมากเท่าชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ริมฝีปากอุ่นของเขาย้ำเตือนว่านี่ไม่ใช่ความฝัน จากนี้ไป นางจะไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว.บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีแดงมงคลอยู่บนหลังอาชางามสง่า ใบหน้าคมคายนั้นประดับรอยยิ้มน้อยๆ ที่ยากจะได้เห็นนัก ใครเลยจะรู้ว่าแม่ทัพสวินเย่ว์ยามยกมุมปากเป็นรอยยิ้มจะหล่อเหลาถึงเพียงนี้ บรรดาหญิงสาวที่มาชมขบวนพิธีแต่งงานต่างพากันใจสั่นไหว ไม่คาดคิดว่าบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมร้ายกาจในสนามรบจะมีเสน่ห์ถึงเพียงนี้ บนชั้นสองระเบียงของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หญิงสาวในชุดสีม่วงเย้ายวน ม
“เหตุใดไม่ได้เล่า ข้าจะได้เป็นพี่น้องกับพี่หยางหยาง” อันอันเบ้ปากทำหน้าจะร้องไห้เสิ่นฉางซีส่ายหน้าไปมาแล้วพูดขึ้น “หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสามัญชน ไม่อาจเป็นแม่บุญธรรมให้องค์ชายฝูเจี๋ยได้เพคะ”อันอันทำหน้าเศร้าแล้วยื่นมือไปโอบรอบคอบิดา ฝูหรงจึงตบหลังเด็กน้อยเบาๆ อาจกล่าวได้ว่าเขารักลูกลำเอียงก็ได้ มีเพียงฝูเจี๋ยที่เขาโอบอุ้มเช่นนี้ บุตรชายบุตรสาวหลายคนของเขามักไม่ค่อยสนิทสนมใกล้ชิดนัก“ได้สิ” ฝูหรงเอ่ยขึ้น “นางไม่ใช่สามัญชนธรรมดา นางเป็นถึงบุตรสาวคนเดียวขององครักษ์เสิ่นที่ยอมใช้ชีวิตปกป้องอดีตรัชทายาท โดยให้บุตรสาวเพียงคนเดียวสวมเสื้อคลุมของรัชทายาท เบี่ยงเบนนักฆ่า ให้มีโอกาสหลบหนีรอดชีวิตมาเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ไม่คิดว่าเรื่องที่นางปิดบังมานานจะมีผู้อื่นล่วงรู้ นางมองสีหน้าของฮ่องเต้ แล้วย้ายสายตามองไปทางสวินเย่ว์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน “พวกท่านรู้? รู้ว่าข้าเป็นใคร?”“เจ้าอย่าได้โกรธสวินเย่ว์ในเรื่องนี้” ฝูหรงรีบพูดขึ้น แต่สวินเย่ว์หัวคิ้วกระตุกที่ถูกป้ายความผิดให้ แท้จริงเป็นเขาทั้งสองคนที่ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด และจากที่ให้คนไปสืบประวัตินางจ
หยางหยางจ้องมองอันอันที่เวลานี้แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามราวองค์ชายน้อย เอ่อ...ไม่สิ อันอันเป็นองค์ชายอยู่แล้วนี่น่า “พี่หยางหยาง” อันอันยื่นมือไปกระตุกมือของหยางหยางเบาๆ ดวงตากลมมีแววกังวลใจ “เจ้าเป็นองค์ชายจริงๆ สินะ” หยางหยางเกาศีรษะแก้เขินไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหน แม้รู้อยู่เต็มอกว่าอันอันคือองค์ชายฝูเจี๋ย แต่ในความรู้สึกของเขา อันอันคือน้องชายตัวน้อยที่คอยจับมือของเขาตลอดเวลา “พี่หยางหยางไม่รักข้าแล้วหรือ?” เด็กน้อยทำตาปริบๆ น้ำเสียงสั่นเครือทำให้เด็กชายตัวโตกว่ายื่นมือไปโอบเจ้าตัวเล็กมากอดแล้วตบหลังเบาๆ “เจ้าเป็นน้องชายของข้า! และข้าจะเป็นพี่ชายของเจ้าตลอดไป!” หยางหยางให้คำสัญญา สวินเย่ว์มองดูเด็กชายต่างวัยแล้วกลอกตามองบน “ลูกชายเจ้ามันเจ้าเล่ห์!” “หือ?” ฝูหรงที่มารับอันอันเลิกคิ้วแล้วหัวเราะออกมา “นั่นเรียกมิตรภาพระหว่างลูกผู้ชาย” “เฮอะ!” สวินเย่ว์ทำเสียงรำคาญในลำคอ เห็นชัดว่าเจ้าเด็กขี้แยนั่นเหนี่ยวรั้งหยางหยางด้วยท่าทีอ่อนแอ เจ้าเด็กนั่นก็ใจอ่อนเหมือนแม่ไม่มีผิด เห็นใครเดือดร้อนก็จะยื่นมือช่วยเหล