กลุ่มบริษัทใหญ่มากมายเลือกที่จะทำงานร่วมกับพวกเขา หลี่ชิงเฟิงมาถึงล็อบบี้แล้วแจ้งให้พนักงานต้อนรับได้ทราบ จากนั้นเธอก็รีบพาพวกเขาสองคนไปที่ห้องทำงานของเซียวหยาง ทันทีที่พวกเขามาถึงประตูห้องทำงาน เลขาของเซียวหยางก็ออกมาขวางพวกเขาไว้ "สองคนนี้มาจากเทียนชื่อกรุ๊ปและมาที่นี่เพื่อเซ็นสัญญากับคุณเซียวค่ะ" เลขาผงกศีรษะแล้วยิ้มให้หลี่ชิงเฟิงพลางกล่าวว่า "คุณหลี่ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ผู้จัดการเซียวติดประชุมอยู่ข้างใน คุณช่วยรออยู่ข้างนอกสักพักได้ไหมครับ?" หลี่ชิงเฟิงพยักหน้า "ได้สิครับ" เลขาพาพวกเขามาที่ห้องรับรองพลางยกกาแฟและของว่างมาให้แล้วรีบออกไป หลังจากเลขาออกมาได้ไม่นาน เขาก็ควักโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรหาเซียวหยาง "คุณเซียว ผมขวางเขาไว้ข้างนอกตามที่คุณสั่งแล้วครับ" เลขาพูดเสียงเบา "ดี มันอารมณ์เสียหรือเปล่า?" "ไม่ครับ" "เอาล่ะ ปล่อยให้มันรอไปเถอะ" เมื่อวางสายลง เซียวหยางยังคงนั่งเล่นเกมอยู่ในห้องทำงานโดยไม่ได้ติดประชุมแต่อย่างใด "หลี่ชิงเฟิง แกคิดว่าฉันเป็นพี่น้องของแกจริง ๆ งั้นเหรอ?" "สมัยเรียนแกเป็นจุดสนใจ เมื่ออยู่ต่อหน้าแก ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับเศษสวะชิ้นห
ก่อนที่หลี่ชิงเฟิงจะทันได้พูดอะไร หลานหลานที่อยู่ข้าง ๆ ก็อดรนทนไม่ไหว นี่เป็นการดูถูกหลี่ชิงเฟิงชัด ๆ เลย! หลานหลานกำลังจะอ้าปากโต้เถียงกับพวกเขา แต่กลับถูกหลี่ชิงเฟิงขวางเอาไว้ หลี่ชิงเฟิงยิ้มจาง ๆ พลางกล่าวว่า "เอาล่ะ คุณเซียว ฉันจะรอฟังข่าวจากนายก็แล้วกัน" หลังจากเดินออกมาจากบริษัท หลานหลานก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า "หัวหน้าทีมหลี่ คุณเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขาแท้ ๆ เขาทำกับคุณแบบนี้ได้ยังไงกันคะ!" หลี่ชิงเฟิงยิ้มขื่น "ไม่รู้จักกันแล้วล่ะ" "เทียนชื่อกรุ๊ปของพวกเราไม่มีอะไรต้องกลัวเขา อย่างแย่ที่สุดก็แตกหักกันไปเลย! พวกเราไม่อาจทนรับความอับอายขายหน้าแบบนี้ได้หรอก!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นท่าทางหลานหลาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา "แม่สาวน้อย ผมยังไม่โกรธเลยนะ ทำไมคุณถึงได้โกรธเสียขนาดนั้นเล่า?" หลานหลานถอนหายใจแล้วหยุดพูด หลี่ชิงเฟิงยิ้มพลางกล่าวว่า "ผมก็แค่อยากรู้สาเหตุที่เขาทำกับผมแบบนี้เหมือนกัน" ตอนบ่ายเมื่อหลี่ชิงเฟิงกลับมาที่ห้องทำงาน เขาก็เห็นเย่เซียวอยู่ในห้องทำงาน "มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?" หลี่ชิงเฟิงถามขึ้นมา เย่เซียวผงกศีรษะ "พี่ใหญ่ ซิวหลัวกรุ๊ปได้เข้าถือ
คำพูดเหล่านี้ฟังดูบาดหู แต่หลี่ชิงเฟิงกลับยังคงสงบนิ่งและไม่โต้เถียง "ขอแสดงความยินดีกับผู้จัดการเซียวด้วยนะครับ ในเมื่อพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ก็มาคุยเรื่องสัญญากันเถอะ..." ปัง! เซียวหยางพลันหน้าเปลี่ยนสี! เขากระแทกแก้วเบียร์ลงบนโต๊ะ "หลี่ชิงเฟิง แกหมายความว่ายังไงกัน? แกอิจฉาฉันใช่ไหมล่ะ?" เซียวหยางถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา หลี่ชิงเฟิงยิ้ม "ทำไมฉันต้องอิจฉานายด้วยล่ะ?" เซียวหยางยิ้มเยาะ "ทำไมน่ะเหรอ? ตอนนั้นแกเป็นคนเดียวที่ปกป้องฉัน อีกทั้งแกยังเป็นคนเดียวที่เป็นจุดสนใจ ตอนนี้เรื่องราวเปลี่ยนไปแล้ว แกคงจะเสียศูนย์มากเลยใช่ไหมล่ะ?" หลี่ชิงเฟิงเลิกคิ้วแล้วมองเขาพลางเอ่ยเสียงเบาว่า "เพื่อนเก่าของฉันประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ฉันย่อมดีใจกับนายจากก้นบึ้งของหัวใจ ทำไมนายถึงได้คิดแบบนั้นล่ะ?" "ฉันต้องอิจฉาทุกคนที่มีชีวิตดีกว่าตัวเองหรือไง?" เซียวหยางจ้องมองเขาพร้อมโบกมือให้อย่างไม่ใส่ใจแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ช่างมันเถอะ! ดวงตาของแกมันฟ้องว่าแกไม่มีความสุขเพราะตอนนี้ฉันทำได้ดีกว่าแกฉัน! ร่ำรวยกว่าแก! แถมยังมีอำนาจมากกว่าแก!” "บอกตามตรงเลยนะ ฉันแค่อยากเห็นแกไม่มีความสุ
รอยยิ้มอวดดีของเซียวเหยาค่อย ๆ เลือนหายไปจากใบหน้า มิหนำซ้ำยามที่จ้องมองหลี่ชิงเฟิง กลับถูกแทนที่ด้วยสีหน้าสับสนงุนงง ดูเหมือนว่าเขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เขาจึงจ้องมองหลี่ชิงเฟิงแล้วพูดด้วยความโมโหจัดว่า "แกมัวพูดไร้สาระบ้าบออะไรอยู่ที่นี่! นี่คือบอสของฉันนะ! ลุกขึ้นให้บอสของฉันนั่งสิวะ!" "หุบปากไปซะ!" จู่ ๆ ก็ถูกบอสตวาดใส่ ทำเอาเซียวหยางหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติแล้ว! "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! นี่คือบอสของฉันเองแหละโว้ย!" บอสรู้สึกหงุดหงิดมากเสียจนสบถคำหยาบออกมา ประโยคนี้ทำให้เซียวหยางเกือบลืมหายใจอยู่แล้ว! "มันคือบอส? ซิวหลัวกรุ๊ปเข้าถือสิทธิ์ในกิจการของบริษัทเราไม่ใช่เหรอ? งั้น..." ก่อนที่เซียวหยางจะทันได้พูดให้จบก็พลันสีหน้าซีดขาวขึ้นมาทันที! เขาไม่คิดจะพูดคำต่อไปและเขาก็ไม่กล้าพูดด้วย... ตอนนี้หลี่ชิงเฟิงค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาว่า "เร็วเข้าสิ คุณอยากดื่มไม่ใช่หรือไง? ผมยังรอเซ็นสัญญาอยู่นะ!" รอยยิ้มของบอสน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ "นายท่าน เซียวหยางไม่เข้าใจสถานการณ์ อย่าทำแบบนั้นเลยนะครับ มาเซ็นสัญญากันเดี๋ยวนี้เถอะ! ผมจะเซ็นสัญญากับคุณด้วยตัวเองเลย!" หลี
บอสที่อยู่ข้าง ๆ กัดฟันพลางรวบรวมความกล้า เขาวิ่งเข้าไปง้างปากเซียวหยางแล้วกรอกเบียร์ลงไป! เซียวหยางดิ้นรนสุดชีวิต บอสชักจะร้อนใจขึ้นมาแล้วจึงตวาดใส่ผู้คนที่อยู่ข้าง ๆ ตนว่า "ทำไมถึงยังไม่เข้ามาช่วยอีก! พวกแกไม่อยากทำงานกันแล้วใช่ไหม?" เมื่อเพื่อนร่วมงานเหล่านี้ได้ยิน พวกเขาก็รีบวิ่งเข้าไปกดเซียวหยางลงกับพื้น! หนึ่งขวด สองขวด สามขวด... หลังจากดื่มเข้าไปมากกว่าหลายสิบขวดในรวดเดียว เซียวหยางที่ยังคงดิ้นรนกระเสือกกระสนในทีแรก ตอนนี้กลับแน่นิ่งไปแล้ว ขืนพวกเขายังกรอกเบียร์ลงไปอยู่แบบนี้ ก็คงต้องมีใครตายจริง ๆ บอสหันมามองหลี่ชิงเฟิง "ขะ... เขาอาจจะตายได้นะ..." หลี่ชิงเฟิงยังคงคร่ำเคร่งกับการเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือพลางเอ่ยเสียงเบาว่า "นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ผมไม่อยากเห็นคน ๆ นี้มาทำงานอีก" หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ เขาก็เก็บโทรศัพท์พลางลุกขึ้นแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าออกไป... ……. หลังจากหลี่ชิงเฟิงจากไปแล้ว เซียวหยางก็ถูกส่งไปล้างท้องที่โรงพยาบาล หลังจากทรมานไปคืนหนึ่งก็ช่วยชีวิตของเขาไว้ได้ แต่เขาอาจจะต้องกินข้าวต้มเพื่อบำรุงกระเพาะอาหารไปอีกหลายปี วันรุ่งขึ้น เซีย
หร่วนเหมยหันหน้าไปแล้วเห็นรถเมอร์เซเดส เบนซ์ จอดอยู่ข้างหลังเธอ จากนั้นก็มีบุรุษอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอลงมาจากรถ เมื่อเห็นดวงตารูปทรงสามเหลี่ยมคู่นั้น หร่วนเหมยก็จำได้ว่าเป็นสวีซานอดีตเพื่อนบ้านของเธอ สวีซานกับครอบครัวของเขาเป็นเพื่อนบ้านกันมากว่าสิบปี แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขากลับไม่ใคร่ลงรอยกันนัก ตอนที่เธอยังสาว ลูกชายของสวีซานลงไม้ลงมือกับเซี่ยเซียนอินจนหวิดเสียโฉม เพราะเรื่องนี้เอง เซี่ยหมิงจื้อก็เลยใช้ไม้ฟาดลูกชายของเขาจนขาหัก ถึงแม้ภายหลังจะเข้าเฝือกในโรงพยาบาลและมีอาการไม่รุนแรง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองครอบครัวก็แตกหักกันไปแล้ว หร่วนเหมยสงสัยว่าสวีซานเรียกเธอทำไมกัน แต่เมื่อเธอเห็นรถเมอร์เซเดส เบนซ์ คันใหม่เอี่ยมที่อยู่ข้างหลัง เธอก็เข้าใจขึ้นมาทันที สวีซานเดินเข้ามาหาเธอ "อดีตเพื่อนบ้าน ฉันไม่เจอเธอเสียหลายปีเลยนะ ทำไมเธอถึงได้กลับมาอยู่บ้านเดิมอีกเล่า?" "ฉันจำได้ว่าครอบครัวของเธอดูถูกบ้านเดิมหลังนี้กันนักไม่ใช่รึไง?" สีหน้ายิ้มเยาะของสวีซานทำให้หร่วนเหมยรู้สึกกระอักกระอ่วน "ไม่มีอะไรหรอก ไม่ว่าข้างนอกจะดีแค่ไหน ก็ไม่ดีเท่าที่บ้าน ฉันแค่จะกลับมาอยู
พวกเขาสามคนมาถึงประตูบ้านก็เห็นคนกลุ่มใหญ่มามุงดูอยู่ไม่ห่าง ตอนที่พวกเขาเดินเข้ามาใกล้ ๆ ก็เห็นว่าเป็นสวีซานนั่นเอง สวีซานยืนอยู่หน้าที่ยืนอยู่หน้ารถ กำลังโอ้อวดรถของตัวเองต่อหน้าทุกคนอย่างแข็งขัน พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนบ้านกันทั้งนั้น จากนั้นทุกคนก็มองเขาด้วยสายตาอิจฉาริษยา! "ลูกชายของเหล่าสวีทำสำเร็จแล้วจริง ๆ เสียด้วย! เขาถึงกับซื้อรถเมอร์เซเดส เบนซ์ ให้พ่อตัวเองได้!" "ไม่เพียงทำสำเร็จเท่านั้น แต่เขายังกตัญญูอีกด้วย! ลูกชายแบบนี้เลี้ยงไม่เสียข้าวสุกจริง ๆ!" เมื่อหร่วนเหมยเห็นเช่นนั้น เธอก็เร่งฝีเท้าหมายจะเดินอ้อมพวกเขาไป แต่กลับถูกสวีซานผู้มีสายตาเฉียบคมจับสังเกตเอาได้ "หร่วนเหมย! เธอจะไปไหนน่ะ!" สวีซานรีบเดินเข้ามาขวางเธอไว้พลางเหลือบมองเซี่ยเซียนอินที่อยู่ข้างหลัง จากนั้นก็ยิ้มพลางกล่าวว่า "เซียนอิน หนูยังจำลุงได้ไหม?" เซี่ยเซียนอินไม่มีความประทับใจดี ๆ ในตัวเขาเลยสักนิด ดังนั้นเธอจึงได้แต่พยักหน้าแล้วพูดว่า "ค่ะ ลุงสวี" "นี่สามีของหนูงั้นเหรอ? แม่ของหนูบอกว่าสามีของหนูรวยและอยากจะซื้อรถให้เธอ แต่เธอไม่อยากได้ เรื่องนี้เป็นความจริงหรือเปล่า?" หร่วนเหมยเงยห
เมื่อสวีซานเห็นหลี่ชิงเฟิงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาใครสักคนด้วยท่าทีจริงจัง เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา "ก็แค่รถบุโรทั่งคันหนึ่ง! ต่อให้แกโทรหาใครสักคนจะไปทำอะไรได้ล่ะ?" เขาไม่รู้เรื่องรถมากนักแต่มีหลายคนที่รู้ พวกเขารีบกระซิบบอกข้างหูของเขาว่า “เหล่าซาน เบนท์ลีย์เป็นรถหรูเชียวนะ! คันที่ราคาถูกที่สุดก็แพงกว่ารถของนายเสียอีก!” สวีซานมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ "เหลวไหล! นายจะไปรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับรถเล่า? ยังจะมีรถอะไรแพงกว่ารถเบนซ์คันใหญ่ ๆ อีกงั้นเหรอ?" "เอาล่ะ อย่ามาขู่ให้ฉันกลัวเลย! ไอ้เด็กนี่จะเอามาได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย!" ความหยิ่งยโสและโง่เขลาของสวีซานทำเอาทุกคนพูดไม่ออกไปเลย ทุกคนจึงคร้านที่จะคุยกับเขาอีก แต่พวกเขาเริ่มตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่าหลี่ชิงเฟิงจะเอารถมาได้หรือไม่ ราว ๆ สิบนาทีต่อมา ใครสักคนท่ามกลางฝูงชนก็ร้องอุทานขึ้นมาว่า "ดูที่ประตูสิ! มีรถกำลังขับเข้ามาด้วยล่ะ!" เมื่อทุกคนเหลียวหลังไปมองก็เห็นรถเบนท์ลีย์สีดำสนิทกำลังค่อย ๆ ขับเข้ามา... ในชุมชนแบบนี้ ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ก็ใช่ว่าจะร่ำรวยอะไรนัก เมื่อมีรถเบนท์ลีย์ขับเข้ามา ก็ดึงดูดความสนใจขอ
"พ่อไม่ไปนะ!" จู่ ๆ เซี่ยเทาก็แผดเสียงร้องพลางกระโดดข้ามโซฟาแล้ววิ่งไปที่ประตูหลัง! เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายตอบสนองว่องไว! เพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวพลางจับเขากดลงกับพื้นแล้วบังคับสวมกุญแจมือ สิบนาทีต่อมา ภายในห้องสอบสวน เสี่ยวอิ๋งนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยความคิดมากมาย ตำรวจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูวิดีโอแล้วถามว่า "เท่าที่พวกเราทราบมา คนที่อยู่ในวิดีโอคือเซี่ยเทาพ่อของคุณ ตอนนี้เขาอยู่ห้องข้าง ๆ คุณจะอธิบายสิ่งที่เขาพูดว่ายังไงล่ะ?" เสี่ยวอิ๋งสูดลมหายใจลึก ๆ พลางผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า "ฉันไม่รู้หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทำไมคุณถึงไม่ถามเขาเองล่ะคะ?" "แน่นอนว่าพวกเราย่อมต้องถามเขาอยู่แล้ว แต่คุณเป็นลูกสาวของเขา คุณจะไม่รู้เรื่องนี้เลยเชียวเหรอ?" เซี่ยอิ่งลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า "จริงด้วยสิ! ดูเหมือนเขาจะเคยบอกว่าทำความผิดร้ายแรงบางอย่างแล้วอยากจะหนีไป! ฉันถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกอะไรเลยแถมยังบอกว่ายิ่งฉันรู้ให้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี! วันหน้าให้ฉันดูแลตัวเองให้ดี ๆ..." "พูดต่อไปสิ" "จากนั้น
"จะวิธีอะไร ฉันก็อยากลองดูทั้งนั้น!" เสี่ยวอิ๋งเอ่ยโดยไม่ลังเล "ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก! วิธีไหนฉันก็อยากจะลองดู!" เย่เจี้ยนเหอเงยหน้ามองเธอแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า "โยนความผิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้พ่อของเธอแบกรับไว้!" เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินเช่นนี้ ศีรษะของเธอก็ส่งเสียงอื้ออึง! ตอนแรกสังเวยคุณย่าไปแล้ว ตอนนี้ถึงทีพ่อของเธอแล้วงั้นเหรอ? เย่เจี้ยนเหอจ้องมองเธอ "ไม่มีเวลาคิดแล้ว จะตกลงหรือจะติดคุก!" "ฉันตกลง! ฉันตกลงค่ะ! ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก คุณอยากให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!" เสี่ยว อิ๋งผงกศีรษะซ้ำไปซ้ำมา เย่เจี้ยนเหอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า "เดี๋ยวฉันจะเรียกทนายเข้ามา พวกเขาจะบอกเธอว่าต้องพูดหรือทำอะไร จากนั้นเธอก็แค่รอให้ตำรวจเรียกตัว" เสี่ยวอิ๋งผงกศีรษะ "ฉะ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ" พอกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวอิ๋งก็เจอพ่อของเธอ เมื่อทั้งสองคนสบตากัน ดวงตาของเสี่ยวอิ๋งก็ฉายแววน่าหวาดกลัว เซี่ยเทาก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดเลย ลูกสาวของเขารู้เรื่องแล้ว "เสี่ยวอิ๋ง พ่อทำอาหารให้ลูกกินด้วยนะ ดูสิ..." "กินบ้าอะไรเล่า!" เสี่ยวอิ๋งพลันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ขึ้นมาทันที! เธอร
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขืนเสี่ยวอิ๋งมัวแต่เข้าไปพัวพันคงได้จบเห่กันพอดี การเก็บเธอไว้น่าจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เสี่ยวอิ๋งเองก็เป็นคนฉลาดจึงผงกศีรษะแล้ววิ่งออกทางประตูหลัง... เย่เซียวคิดจะเข้าไปขวาง แต่กลับถูกหลี่ชิงเฟิงห้ามเอาไว้ "ไม่ต้องไล่ตามหรอก วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของหวังเจิ้น อย่าทำอะไรน่าเกลียดเกินไปเท่านี้ก็พอแล้ว" เย่เซียวพยักหน้าแล้วยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ในตอนนี้เอง ปี้ไห่เทาก็เดินยิ้มเข้ามา "เหล่าหวัง วันนี้ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ! ทั้ง ๆ ที่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดดี ๆ ที่นายควรจะมีความสุขแท้ ๆ แต่กลับลงเอยแบบนี้เสียได้..." หวังเจิ้นถอนหายใจ "ช่างเถอะ" "เหล่าหวัง ตระกูลเย่ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหอการค้าเทียนเหมินของพวกเรา เย่เจี้ยนเหอดันพานังคนชั้นต่ำแบบนั้นมาเสียได้ กลับไปเมื่อไหร่ฉันย่อมต้องตำหนิเขาแน่! ฉันจะทำให้เขาจำให้ขึ้นใจเชียวล่ะ! เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ ไห่เทาย่อมต้องมาขอขมาของแน่นอน" หวังเจิ้นโบกมือ "คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ช่างมันเถอะ ผมไม่ถือสาหรอก" ปี้ไห่เทาพยักหน้าพลางขยิบตาให้เย่เจี้ยนเหอ จากนั้นพวกเขาสองคนก็ก้าวเดินจากไป ขณ
เสี่ยวอิ๋งโมโหจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เธอชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วด่ากราดว่า "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! คู่ควรที่จะมอบของขวัญให้ฉันแล้วงั้นเหรอ?" "หุบปากไปซะ พ่อตาของแกโดนซ้อมขนาดนั้น เขยอย่างแกไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียด้วยซ้ำไป! แกยังกล้ามาก่อเรื่องที่นี่อีกงั้นรึ?" "ถ้าฉันเป็นแกล่ะก็ คงได้โหม่งเสาโทรศัพท์ตายไปแล้ว!" "ไร้ยางอายสิ้นดี!" เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งหน้าแดงก่ำและลำคอแข็ง หลี่ชิงเฟิงกลับยิ่งขบขันพลางกล่าวว่า "ฉันคิดว่าเธอต่างหาก มั้งที่น่าจะเป็นฝ่ายโหม่งเสาโทรศัพท์?" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าจอขนาดยักษ์ข้างหลังล็อบบี้ก็พลันสว่างขึ้น! หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แสงก็สลัวลงแล้ววิดีโอก็เริ่มฉายบนหน้าจอขนาดยักษ์ เมื่อเสี่ยวอิ๋งหันหน้าไป สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือเซี่ยเทาที่กำลังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยมีสาวสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธออยู่ข้างกาย! หึ่ง! เสี่ยวอิ๋งศีรษะจวนจะระเบิดอยู่แล้ว! เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น! มันเป็นวิดีโอที่ก่อนหน้านี้หลี่ชิงเฟิงถ่ายเอาไว้นั่นเอง! เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งนิ่งงันไป หลี่ชิงเฟิงก็นิ้มแล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า "ทุกท่าน ผู้ชายที่อยู่ในวิดี
เงินหลายล้านบาทไม่ได้จ่ายไปโดยไร้ประโยชน์แล้ว! ศาสตราจารย์เฒ่าโดนเขาหลอกเข้าแล้วจริง ๆ! เสี่ยวอิ๋งเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นก็ยิ้มพลางชี้นิ้วมาที่หลี่ชิงเฟิง "ตอนนี้แกจะว่ายังไงเล่า? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าแจกันของแกมันเป็นของปลอม!" "น่าตลกชะมัดเลย! ฉันเสนอทางออกให้ แต่แกกลับยืนกรานที่จะขุดหลุมฝังตัวเองให้ได้! ไม่มีใครห้ามแกได้เลย!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มจาง ๆ แล้วหันมามองศาสตราจารย์หลี่พลางพูดว่า "ศาสตราจารย์หลี่ ช่วยดูขอองผมอีกสักครั้งเถอะครับ" คาดไม่ถึงว่าศาสตราจารย์หลี่จะส่ายหน้าแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ไม่ต้องดูหรอก" เซี่ยอิ่งหัวเราะพลางกล่าวว่า "แจกันใบนั้นของแกมันปลอมชัดเจนเกินไป! ศาสตราจารย์หลี่ไม่มองให้เสียสายตาหรอก!" ในยามนี้เอง ศาสตราจารย์หลี่ก็เหลือบมองเธอแล้วสายหน้า "สาวน้อย ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย ถึงแม้ว่าแจกันใบนี้จะฝีมือยอดเยี่ยมจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่มันเป็นของปลอมจริง ๆ" "ส่วนแจกันของคุณหลี่ ทันทีที่เข้ามาผมก็เห็นแล้วล่ะ มันเป็นของจริง ดังนั้นผมจึงไม่ต้องตรวจดูเลย" หลังจากศาสตราจารย์หลี่พูดจบ ทั้งห้องก็เ
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลี่ชิงเฟิงจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้น! ปี้ไห่เทาที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ แอบรู้สึกว่าชักไม่ได้การเสียแล้ว หลี่ชิงเฟิงคนนี้ดูไม่เหมือนเขยไร้ประโยชน์อย่างที่ข่าวร่ำลือกันเอาไว้เลยสักนิด การที่ยังสามารถสงบนิ่งได้ในภาวะคับขันเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังพูดจาเสียคล่องปากและท่าทีเจ้าแผนการของอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนแบบนี้จะเป็นเขยไร้ประโยชน์ไปได้ สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ ต่อให้อีกฝ่ายจะก่อเรื่องเช่นนั้น แต่หวังเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่มีวี่แววที่จะโมโหเลยสักนิด พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เขาเองก็รู้นิสัยของหวังเจิ้น อีกฝ่ายไม่ใช่ตาเฒ่าที่นิสัยดิบดีอะไรเลย พอปี้ไห่เทานึกได้เช่นนี้ เขาก็ทอดสายตามองเย่เจี้ยนเหออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสายตาหลุกหลิกอยู่บ้าง เขาก็พอจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบนี้จะมีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ เสียด้วย ตอนนี้เย่เซียวยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมเจตนาสังหารอันแรงกล้า! เย่เจี้ยนเหอกับเสี่ยวอิ๋งหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ ไม่นานปี้ไห่เทาก็ลุกขึ้นแล้วมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชา "ทำแบบนี้
"ฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งลงเหวงั้นรึ? ถ้าทุกคนทำตัวเป็นไอ้เศษสวะชอบหลอกกินข้าวนิ่มอย่างแก ประเทศชาติก็คงจะพินาศไปตั้งนานแล้ว!" "ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี! แกมันก็แค่มดปลวกตัวหนึ่งแท้ ๆ กล้าดียังไงถึงได้มาหัวเราะเยาะใส่พวกเรา?" ในตอนนี้เอง จู่ ๆ หวังเจิ้นที่เอาแต่เงียบมาจนถึงตอนนี้ก็ตบโต๊ะ! ทุกคนพลันหุบปากฉับ! หวังเจิ้นแววตามืดมน เขาเหลือบมองทุกคนแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า "พวกคุณหมายความว่ายังไงกัน? คิดจะก่อจลาจลในงานเลี้ยงวันเกิดของผมรึไง? พวกคุณไม่เห็นแก่หน้าผมเลย! คิดจะทำอะไรกันแน่!" เมื่อหวังเจิ้นโกรธขึ้นมา แม้แต่ปี้ไห่เทาก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน นับประสาอะไรกับพวกเขากันเล่า "เหล่าหวัง ได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะ เอาแบบนี้เป็นยังไง เพื่อจะได้รู้ว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบไหนเป็นของจริงใบไหนเป็นของปลอม คุณก็แค่เชิญผู้เชี่ยวชาญให้มาประเมินก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?" "คุณเองคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของเก่ามานานหลายปี เช่นนั้นก็น่าจะรู้จักผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้เยอะอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ?" หวังเจิ้นถอนหายใจพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า "ก็ได้! ในเมื่อพวกคุณอยากเถียงกันดีนัก งั้นก็มาทำให้เรื่องนี้กระจ่างกันไปเลย
หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ ทุกคนก็ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วหัวเราะลั่น! เสี่ยวอิ๋งกับเย่เจี้ยนเหอหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จากนั้นพวกเขาก็ชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วพูดว่า "แกมันขี้โม้จนไม่เลือกเวลาจริง ๆ พับผ่าสิ! ลำพังแค่คุยโวโอ้อวดต่อหน้าพ่อตาโง่ ๆ ของแกไม่พอ แต่ยังจะมาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าพวกเราอีกงั้นเหรอ?" ปี้ไห่เทาที่อยู่อีกด้านเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยแววดูถูกดูแคลน "ลำพังแค่พวกเราคนใดคนหนึ่งก็ผ่านโลกมามากกว่าแกถึงสิบชาติภพรวมกันเสียอีก แกกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ คิดว่าพวกเราโง่หรือไงกัน?" "ผ่านโลกมามาก? คุณคิดว่าตัวเองผ่านโลกมามากแล้วงั้นรึ?" หลี่ชิงเฟิงยิ้มเหยียดหยันพลางเอ่ยเสียงทุ้มลึก "วันนี้ผมจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของคุณเองก็แล้วกัน เย่เซียว เอาของขวัญของพวกเราออกมา" เย่เซียวผงกศีรษะ จากนั้นเขาก็หยิบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนออกมาจากกล่องแล้ววางลงต่อหน้าทุกคน ทันทีที่พวกเขาเห็นแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวน ทุกคนก็ถูกแจกันใบนั้นดึงดูดความสนใจเข้าแล้วจริง ๆ เย่เจี้ยนเหอหน้าถอดสีแล้วตรวจสอบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วให้รู้สึกสับสน ฝีมือช่างวิจิตรประณีตนัก!
เย่เจี้ยนเหอยิ้มเหยียดหยัน "แกคิดจะแข่งกับฉันงั้นรึ? ก็ได้ ฉันจะเอาออกมาให้แกได้เปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน ฉันขอพนันเลยว่าชั่วชีวิตแกน่าจะได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ" หลังจากเย่เจี้ยนเหอพูดจบก็ดีดนิ้ว จากนั้นผู้ช่วยคนงามที่อยู่ข้างหลังก็รีบเดินเข้ามา ของขวัญของอีกฝ่ายเองก็อยู่ในกล่อง มิหนำซ้ำยังมีขนาดพอ ๆ กับของเขาอีกต่างหาก เย่เจี้ยนเหอยิ้มอวดดีแล้วพูดว่า "มหาเศรษฐีหวัง ผมได้ยินมาว่าคุณชอบสะสมของเก่ามากทีเดียว ดังนั้นผมจึงสั่งให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศประมูลของสิ่งนี้มาให้คุณเป็นพิเศษ เชิญดูเอาเองเถอะครับ!" หลังจากพูดจบ ผู้ช่วยสาวก็เปิดกล่องแล้วสายตาของทุกคนก็ทอดมองมาที่มือของผู้ช่วยสาว! แจกันลายครามใบหนึ่งค่อย ๆ เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา! เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นแจกันใบนี้ก็ถึงกับตะลึงงัน... ช่างเหมือนกับแจกันลายครามที่เขาซื้อมาไม่มีผิดเพี้ยนเลย! เขาเหลือบมองเย่เซียวที่อยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเย่เซียวก็เอ่ยกระซิบข้างหูว่า "เป็นของปลอมแน่ ๆ ครับ" ในยามนี้เอง เย่เจี้ยนเหอก็หยิบแจกันขึ้นมาแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้วพูดเสียงดังว่า "แจกันลายครามสมัยราชวงศ์ห