พวกเขาสามคนมาถึงประตูบ้านก็เห็นคนกลุ่มใหญ่มามุงดูอยู่ไม่ห่าง ตอนที่พวกเขาเดินเข้ามาใกล้ ๆ ก็เห็นว่าเป็นสวีซานนั่นเอง สวีซานยืนอยู่หน้าที่ยืนอยู่หน้ารถ กำลังโอ้อวดรถของตัวเองต่อหน้าทุกคนอย่างแข็งขัน พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนบ้านกันทั้งนั้น จากนั้นทุกคนก็มองเขาด้วยสายตาอิจฉาริษยา! "ลูกชายของเหล่าสวีทำสำเร็จแล้วจริง ๆ เสียด้วย! เขาถึงกับซื้อรถเมอร์เซเดส เบนซ์ ให้พ่อตัวเองได้!" "ไม่เพียงทำสำเร็จเท่านั้น แต่เขายังกตัญญูอีกด้วย! ลูกชายแบบนี้เลี้ยงไม่เสียข้าวสุกจริง ๆ!" เมื่อหร่วนเหมยเห็นเช่นนั้น เธอก็เร่งฝีเท้าหมายจะเดินอ้อมพวกเขาไป แต่กลับถูกสวีซานผู้มีสายตาเฉียบคมจับสังเกตเอาได้ "หร่วนเหมย! เธอจะไปไหนน่ะ!" สวีซานรีบเดินเข้ามาขวางเธอไว้พลางเหลือบมองเซี่ยเซียนอินที่อยู่ข้างหลัง จากนั้นก็ยิ้มพลางกล่าวว่า "เซียนอิน หนูยังจำลุงได้ไหม?" เซี่ยเซียนอินไม่มีความประทับใจดี ๆ ในตัวเขาเลยสักนิด ดังนั้นเธอจึงได้แต่พยักหน้าแล้วพูดว่า "ค่ะ ลุงสวี" "นี่สามีของหนูงั้นเหรอ? แม่ของหนูบอกว่าสามีของหนูรวยและอยากจะซื้อรถให้เธอ แต่เธอไม่อยากได้ เรื่องนี้เป็นความจริงหรือเปล่า?" หร่วนเหมยเงยห
เมื่อสวีซานเห็นหลี่ชิงเฟิงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาใครสักคนด้วยท่าทีจริงจัง เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา "ก็แค่รถบุโรทั่งคันหนึ่ง! ต่อให้แกโทรหาใครสักคนจะไปทำอะไรได้ล่ะ?" เขาไม่รู้เรื่องรถมากนักแต่มีหลายคนที่รู้ พวกเขารีบกระซิบบอกข้างหูของเขาว่า “เหล่าซาน เบนท์ลีย์เป็นรถหรูเชียวนะ! คันที่ราคาถูกที่สุดก็แพงกว่ารถของนายเสียอีก!” สวีซานมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ "เหลวไหล! นายจะไปรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับรถเล่า? ยังจะมีรถอะไรแพงกว่ารถเบนซ์คันใหญ่ ๆ อีกงั้นเหรอ?" "เอาล่ะ อย่ามาขู่ให้ฉันกลัวเลย! ไอ้เด็กนี่จะเอามาได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย!" ความหยิ่งยโสและโง่เขลาของสวีซานทำเอาทุกคนพูดไม่ออกไปเลย ทุกคนจึงคร้านที่จะคุยกับเขาอีก แต่พวกเขาเริ่มตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่าหลี่ชิงเฟิงจะเอารถมาได้หรือไม่ ราว ๆ สิบนาทีต่อมา ใครสักคนท่ามกลางฝูงชนก็ร้องอุทานขึ้นมาว่า "ดูที่ประตูสิ! มีรถกำลังขับเข้ามาด้วยล่ะ!" เมื่อทุกคนเหลียวหลังไปมองก็เห็นรถเบนท์ลีย์สีดำสนิทกำลังค่อย ๆ ขับเข้ามา... ในชุมชนแบบนี้ ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ก็ใช่ว่าจะร่ำรวยอะไรนัก เมื่อมีรถเบนท์ลีย์ขับเข้ามา ก็ดึงดูดความสนใจขอ
เพล้ง! กระจกหน้ารถยนต์แข็ง ๆ แหลกละเอียดทันที! เศษกระจกกระจายเกลื่อนไปทั่วพื้น! เมื่อสวีซานเห็นเช่นนี้ เขาก็โกรธจนหน้าตาแดงก่ำ "ไอ้หนู! ถ้าแกไม่มีปัญญาจ่ายทีหลัง ฉันจะจับแกเข้าตะราง!" หลังจากเขาพูดจบก็หยิบก้อนอิฐบนพื้นแล้วหันไปปาใส่รถของหลี่ชิงเฟิง! แม้แต่โลโก้ของรถก็หายไปด้วย ในตอนนี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง "พ่อครับ! พ่อทำอะไรอยู่น่ะ!" ทุกคนหันหลังไปเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาหา "สวีเหย่! แกกลับมาแล้ว! พ่อแกกำลังบดขยี้รถกับคนอื่นอยู่เลย! เข้ามาดูสิ!" ผู้คนรอบตัวต่างคุยกัน สวีเหย่เดินเข้าไปหารถเบนท์ลีย์แล้วมองผ่าน ๆ จากนั้นเขาก็ตกใจมากเสียจนนั่งลงกับพื้น... เมื่อเห็นลูกชายเป็นเช่นนี้ สวีซานก็หน้าเปลี่ยนสีแล้วรีบดึงตัวเขาขึ้นมา "เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ เจ้าลูกชาย? ไมมีอะไรหรอกน่า! นี่มันก็แค่รถ BYD ผุ ๆ พัง ๆ! พ่อไม่ใช้เงินของแกหรอกน่า พ่อจะใช้เงินเก็บของตัวเองสั่งสอนไอ้เด็กคนนี้เอง!" หลังจากสวีซานพูดจบก็ชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิง "ไอ้หนู! ถึงตาแกแล้ว! อย่าเลี่ยงไม่ยอมจ่ายก็แล้วกัน!" หลี่ชิงเฟิงส่ายหน้า "ไม่จำเป็นหรอก มูลค่าที่คุณต้องจ่ายทั้งสองคร
ตอนนี้เซี่ยเซียนอินประคองหร่วนเหมยเข้าบ้าน เธอค่อย ๆ เย็นลงบ้างแล้ว "สวีซานคนนั้น! ช่างสมควรตายนัก!" "ฉันโมโหแทบตายอยู่แล้ว!" เซี่ยหมิงจื้ออยู่ในห้อง ตอนที่เขาได้ยินหร่วนเหมยร้องตะโกนอยู่ข้างนอกก็เดินออกมา "มีเรื่องอะไรกัน? เธอมาส่งเสียงเอะอะอยู่ตรงนี้ทำไม?" หร่วนเหมยที่ยังคงโกรธจัด เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เซี่ยหมิงจื้อฟัง สุดท้ายเซี่ยหมิงจื้อก็เอาแต่ยิ้มเยาะ "ใครสั่งให้เธอไปแก้ต่างแทนไอ้ลูกเขยไร้ประโยชน์พรรค์นั้นเล่า? สมควรแล้วที่จะถูกคนอื่นสบประมาทเอา!" หร่วนเหมยจ้องมองเขาตาเขม็ง "ป่านนี้แล้วคุณยังจะพูดจากระทบกระเทียบอีก!" "ฉันพูดผิดรึไงล่ะ? มันเป็นไอ้เศษสวะจริง ๆ นี่! ดูมันเข้าสิ แถมยังขี่รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าอีก!" "ถ้าฉันเป็นสวีซาน ฉันก็ดูถูกเหมือนกันแหละ!" เมื่อหร่วนเหมยได้ยินเช่นนี้เข้า หัวใจก็เริ่มเต้นแรงอีกครั้ง! "พ่อคะ! ช่วยหยุดพูดสักทีเถอะ!" เซี่ยเซียนอินเองก็เป็นห่วงจนต้องส่งหร่วนเหมยกลับเข้าบ้านเพื่อไปพักผ่อน ในตอนนี้เอง จู่ ๆ สวีซานก็เปิดประตูแล้วเดินเข้ามาพร้อมกับสวีเหย่ลูกชายของเขา เมื่อหร่วนเหมยเห็นสวีซานก็อารมณ์พลุ่งพล่าน เธอชี้หน้าเตรียมจะสบถด่า แ
หลี่ชิงเฟิงยิ้ม "ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่ทำให้เขาได้เห็นความเป็นจริงได้อย่างแจ่มแจ้งก็เท่านั้น" เซี่ยเซียนอินมองเขาด้วยสายตากังขา "คุณไม่ได้ลงไม้ลงมือกับพวกเขาใช่ไหม? ฉันขอบอกคุณเอาไว้เลยนะ คุณห้ามทำแบบนั้นเป็นอันขาด!" หลี่ชิงเฟิงทำหน้าตาไร้เดียงสา "พี่สาว ลำพังด้วยอุปนิสัยของสวีซาน อย่าว่าแต่ลงไม้ลงมือกับเขาเลย ถ้าผมผลักเขาจริง ๆ เขาก็คงแจ้งความเพื่อรีดไถเงินแล้วล่ะ!" "นั่นก็จริง..." เซี่ยเซียนอินถอนหายใจพลางกล่าวว่า "เอาล่ะ ต่อให้เรื่องนี้จบลงแล้ว แต่วันหน้าเมื่อไหร่ที่คุณเจอตระกูลสวี ก็ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาหรอกนะ" "เดี๋ยวตอนกินข้าวเย็นก็พูดคำดี ๆ ให้มากหน่อย เข้าใจไหม?" หลี่ชิงเฟิงพยักหน้าแต่โดยดี "ผมรู้แล้วน่า!" แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตอนที่อยู่ตรงโต๊ะรับประทานอาหาร ไม่ว่าหลี่ชิงเฟิงจะเอาอกเอาใจและพูดจาดีสักแค่ไหน หร่วนเหมยกับเซี่ยหมิงจื้อก็ยังคงไม่แยแสเขาเลยสักนิด พวกเขาได้แต่ฝืนรับอาหารจากหลี่ชิงเฟิง "จริงด้วยสิ เซียนอิน คุณย่าของแกบอกว่าแกมีเวลาเมื่อไหร่ให้ไปหาด้วย พรุ่งนี้แกควรจะไปเยี่ยมท่านสักหน่อยนะ ท่านคงมีเรื่องที่จะบอกแกน่ะ" เซี่ยหมิงจื้อพูดขึ้นมา เซี่ยเซียนอิน
สวีเหย่รู้สึกสับสนอยู่บ้าง ลำพังด้วยตัวตนของหลี่ชิงเฟิง ถ้าเขาคิดจะจัดการกับตระกูลเซี่ยยังจำเป็นต้องใช้เขาอีกหรือ? หากจะบอกว่าหลี่ชิงเฟิงดีดนิ้วเพียงครั้งเดียวก็สามารถกวาดล้างตระกูลเซี่ยได้แล้ว ก็ไม่นับว่าพูดเกินจริงเลย! ทว่ายามนี้เขาไม่กล้าพูดหรือถามอะไรทั้งนั้น ในเมื่อหลี่ชิงเฟิงออกคำสั่งมาเช่นนี้ เขาย่อมไม่กล้าปฏิเสธอยู่แล้ว "เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้วครับ..." หลี่ชิงเฟิงพยักหน้าด้วยท่าทีพึงพอใจ "ดี วางใจเถอะ ถ้านายทำได้ดี ฉันจะหาทางส่งเสริมนายเอง" เมื่อสวีเหย่ได้ยินเช่นนี้ เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างจึงยิ้มพลางกล่าวว่า "ขอบคุณครับ คุณหลี่!" "ไปได้แล้ว เอาไว้ติดต่อกันเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน" หลี่ชิงเฟิงกล่าวพลางโบกมือไล่ หลังจากค่ำคืนแห่งความเงียบงัน เซี่ยเซียนอินก็เก็บข้าวของแต่เช้าตรู่แล้วไปที่คฤหาสน์ตระกูลเซี่ย หลี่ชิงเฟิงเกรงว่าจะเกิดเรื่อง ดังนั้นเขาจึงตามไปด้วย ณ ตระกูลเซี่ยในยามนี้ เสี่ยวอิ๋งที่มีสีหน้าโกรธจัดมองคุณย่าด้วยสายตาเหลือเชื่อ "คุณย่าคิดจะมอบโรงแรมให้เซี่ยเซียนอินบริหารงั้นเหรอคะ? คุณย่าคะ คุณย่ายังสติดีอยู่ไหมคะ?" "มันไม่ได้มาจากตระกูลเซี่ยของพวกเรานะคะ!
"ตอนนี้ลูกต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้! ลูกเข้าใจไหม?" "พ่อคะ พ่อไม่เห็นหรือไง? ตอนนี้เซี่ยเซียนอินกำลังรุ่งโรจน์ มันเปลี่ยนไปแล้ว! อีกปีเดียว คุณย่าก็จะมอบกิจการทั้งหมดของตระกูลเซี่ยให้มันดูแล!" "ถึงตอนนั้น หลังจากคุณย่าจากไปและเซี่ยเซียนอินได้ครองอำนาจ มันจะปฏิบัติกับพวกเราสองคนยังไง? พ่อเคยคิดเรื่องนั้นเอาไว้บ้างหรือเปล่า?" หลังจากเซี่ยเทาได้ยินเช่นนี้ เขาก็เริ่มกังวลใจขึ้นมา... "คงไม่ร้ายแรงขนาดนั้นหรอก..." "ใช่ค่ะ คงจะ!" เสี่ยวอิ๋งกุมมือของพ่อตัวเองไว้พร้อมทำหน้าตาจริงจัง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกว่า "พวกเราไม่อาจปล่อยให้เซี่ยเซียนอินเข้ามาบริหารจัดการโดยสะดวกราบรื่นได้! พวกเราจะต้องชิงลงมือก่อนค่ะ!" เซี่ยเทาเกาศีรษะ "งั้น... พวกเราควรจะทำยังไงดีล่ะ? ลูกคงจะไม่ปะทะกับคุณย่าหรอกใช่ไหม?" เสี่ยวอิ๋งครุ่นคิดอยู่สักครู่ จากนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง... เสี่ยวอิ๋งผุดรอยยิ้มประหลาดขึ้นมา... ……. ดึกดื่นค่ำคืน สวีเหย่ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงกลับยากจะข่มตาหลับลงได้ สมองของเขาเต็มไปด้วยภาพเหตุการณ์ที่เขาได้พบเจอหลี่ชิงเฟิงในวันนี้ เขารู้สึกตื่นตระหนกแล
สวีเหย่ตะลึงงันไปทันที! เขาจ้องมองมาที่หลี่ชิงเฟิง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงล้อเล่นกับตนอยู่แน่ ๆ "คุณหลี่ ยาสีฟันจะมีพิษได้ยังไงกันครับ?" หลี่ชิงเฟิงเหลือบมองเขา "ทำไมนายไม่ลองใช้ดูล่ะ? จะได้รู้ว่าฉันพูดจริงหรือเปล่า?" หลังจากใช้ชีวิตราวกับตกขุมนรกมาหกปี ทำให้หลี่ชิงเฟิงรู้ว่าสิ่งใดเป็นพิษหรือไม่โดยไม่ต้องถามเลย! นอกเหนือไปจากนั้น พิษในยาสีฟันหลอดนี้ยังเป็นพิษชนิดพิเศษที่ออกฤทธิ์ถึงตายอีกต่างหาก! ตอนนี้สวีเหย่ไม่กล้าล้อเล่นอีก สีหน้าของเขาผสมผเสไปด้วยความโกรธและตื่นตกใจระคนกันไป! "ทำไม? ทำไมเซี่ยอิ่งต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะครับ? นั่นเป็นโรงแรมของตระกูลเซี่ยเองเชียวนะ! เธอบ้าไปแล้วหรือไง?" สวีเหย่พูดเสียงดังพลางเกาศีรษะ หลี่ชิงเฟิงยิ้มจาง ๆ "นายคิดว่าคนอย่างเธอจะนึกถึงตระกูลของตัวเองหรือเปล่าล่ะ? เธอสนใจแต่ตัวเองเท่านั้นแหละ" "โรงแรมเต๋อฮุ่ยไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเธออีกต่อไปแล้ว แน่นอนว่าเธอย่อมคิดจะทำลายมันทิ้ง" สวีเหย่ทรุดลงกับพื้นพร้อมหัวสมองว่างเปล่าขาวโพลน เขาไม่เคยเผชิญสถานการณ์เช่นนั้นมาก่อนในอาชีพการงานของตน หลี่ชิงเฟิงเดินเข้ามาพลางเอ่ยเสียงเบาว่า "ดูท่าทางไม่รู้เ
"พ่อไม่ไปนะ!" จู่ ๆ เซี่ยเทาก็แผดเสียงร้องพลางกระโดดข้ามโซฟาแล้ววิ่งไปที่ประตูหลัง! เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายตอบสนองว่องไว! เพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวพลางจับเขากดลงกับพื้นแล้วบังคับสวมกุญแจมือ สิบนาทีต่อมา ภายในห้องสอบสวน เสี่ยวอิ๋งนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยความคิดมากมาย ตำรวจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูวิดีโอแล้วถามว่า "เท่าที่พวกเราทราบมา คนที่อยู่ในวิดีโอคือเซี่ยเทาพ่อของคุณ ตอนนี้เขาอยู่ห้องข้าง ๆ คุณจะอธิบายสิ่งที่เขาพูดว่ายังไงล่ะ?" เสี่ยวอิ๋งสูดลมหายใจลึก ๆ พลางผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า "ฉันไม่รู้หรอกค่ะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทำไมคุณถึงไม่ถามเขาเองล่ะคะ?" "แน่นอนว่าพวกเราย่อมต้องถามเขาอยู่แล้ว แต่คุณเป็นลูกสาวของเขา คุณจะไม่รู้เรื่องนี้เลยเชียวเหรอ?" เซี่ยอิ่งลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า "จริงด้วยสิ! ดูเหมือนเขาจะเคยบอกว่าทำความผิดร้ายแรงบางอย่างแล้วอยากจะหนีไป! ฉันถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกอะไรเลยแถมยังบอกว่ายิ่งฉันรู้ให้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี! วันหน้าให้ฉันดูแลตัวเองให้ดี ๆ..." "พูดต่อไปสิ" "จากนั้น
"จะวิธีอะไร ฉันก็อยากลองดูทั้งนั้น!" เสี่ยวอิ๋งเอ่ยโดยไม่ลังเล "ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก! วิธีไหนฉันก็อยากจะลองดู!" เย่เจี้ยนเหอเงยหน้ามองเธอแล้วพูดเสียงเย็นชาว่า "โยนความผิดเรื่องทั้งหมดนี้ให้พ่อของเธอแบกรับไว้!" เมื่อเสี่ยวอิ๋งได้ยินเช่นนี้ ศีรษะของเธอก็ส่งเสียงอื้ออึง! ตอนแรกสังเวยคุณย่าไปแล้ว ตอนนี้ถึงทีพ่อของเธอแล้วงั้นเหรอ? เย่เจี้ยนเหอจ้องมองเธอ "ไม่มีเวลาคิดแล้ว จะตกลงหรือจะติดคุก!" "ฉันตกลง! ฉันตกลงค่ะ! ขอเพียงคุณช่วยให้ฉันไม่ต้องติดคุก คุณอยากให้ฉันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!" เสี่ยว อิ๋งผงกศีรษะซ้ำไปซ้ำมา เย่เจี้ยนเหอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า "เดี๋ยวฉันจะเรียกทนายเข้ามา พวกเขาจะบอกเธอว่าต้องพูดหรือทำอะไร จากนั้นเธอก็แค่รอให้ตำรวจเรียกตัว" เสี่ยวอิ๋งผงกศีรษะ "ฉะ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ" พอกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวอิ๋งก็เจอพ่อของเธอ เมื่อทั้งสองคนสบตากัน ดวงตาของเสี่ยวอิ๋งก็ฉายแววน่าหวาดกลัว เซี่ยเทาก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดเลย ลูกสาวของเขารู้เรื่องแล้ว "เสี่ยวอิ๋ง พ่อทำอาหารให้ลูกกินด้วยนะ ดูสิ..." "กินบ้าอะไรเล่า!" เสี่ยวอิ๋งพลันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ขึ้นมาทันที! เธอร
ในสถานการณ์เช่นนี้ ขืนเสี่ยวอิ๋งมัวแต่เข้าไปพัวพันคงได้จบเห่กันพอดี การเก็บเธอไว้น่าจะยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง เสี่ยวอิ๋งเองก็เป็นคนฉลาดจึงผงกศีรษะแล้ววิ่งออกทางประตูหลัง... เย่เซียวคิดจะเข้าไปขวาง แต่กลับถูกหลี่ชิงเฟิงห้ามเอาไว้ "ไม่ต้องไล่ตามหรอก วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของหวังเจิ้น อย่าทำอะไรน่าเกลียดเกินไปเท่านี้ก็พอแล้ว" เย่เซียวพยักหน้าแล้วยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ในตอนนี้เอง ปี้ไห่เทาก็เดินยิ้มเข้ามา "เหล่าหวัง วันนี้ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะ! ทั้ง ๆ ที่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดดี ๆ ที่นายควรจะมีความสุขแท้ ๆ แต่กลับลงเอยแบบนี้เสียได้..." หวังเจิ้นถอนหายใจ "ช่างเถอะ" "เหล่าหวัง ตระกูลเย่ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหอการค้าเทียนเหมินของพวกเรา เย่เจี้ยนเหอดันพานังคนชั้นต่ำแบบนั้นมาเสียได้ กลับไปเมื่อไหร่ฉันย่อมต้องตำหนิเขาแน่! ฉันจะทำให้เขาจำให้ขึ้นใจเชียวล่ะ! เมื่อพวกเรากลับถึงเมืองหลวงเมื่อไหร่ ไห่เทาย่อมต้องมาขอขมาของแน่นอน" หวังเจิ้นโบกมือ "คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ช่างมันเถอะ ผมไม่ถือสาหรอก" ปี้ไห่เทาพยักหน้าพลางขยิบตาให้เย่เจี้ยนเหอ จากนั้นพวกเขาสองคนก็ก้าวเดินจากไป ขณ
เสี่ยวอิ๋งโมโหจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว เธอชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วด่ากราดว่า "แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! คู่ควรที่จะมอบของขวัญให้ฉันแล้วงั้นเหรอ?" "หุบปากไปซะ พ่อตาของแกโดนซ้อมขนาดนั้น เขยอย่างแกไม่กล้าแม้แต่จะผายลมเสียด้วยซ้ำไป! แกยังกล้ามาก่อเรื่องที่นี่อีกงั้นรึ?" "ถ้าฉันเป็นแกล่ะก็ คงได้โหม่งเสาโทรศัพท์ตายไปแล้ว!" "ไร้ยางอายสิ้นดี!" เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งหน้าแดงก่ำและลำคอแข็ง หลี่ชิงเฟิงกลับยิ่งขบขันพลางกล่าวว่า "ฉันคิดว่าเธอต่างหาก มั้งที่น่าจะเป็นฝ่ายโหม่งเสาโทรศัพท์?" ทันทีที่เขาพูดจบ หน้าจอขนาดยักษ์ข้างหลังล็อบบี้ก็พลันสว่างขึ้น! หลังจากนั้นไม่กี่วินาที แสงก็สลัวลงแล้ววิดีโอก็เริ่มฉายบนหน้าจอขนาดยักษ์ เมื่อเสี่ยวอิ๋งหันหน้าไป สิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือเซี่ยเทาที่กำลังนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง โดยมีสาวสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธออยู่ข้างกาย! หึ่ง! เสี่ยวอิ๋งศีรษะจวนจะระเบิดอยู่แล้ว! เธอได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น! มันเป็นวิดีโอที่ก่อนหน้านี้หลี่ชิงเฟิงถ่ายเอาไว้นั่นเอง! เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋งนิ่งงันไป หลี่ชิงเฟิงก็นิ้มแล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า "ทุกท่าน ผู้ชายที่อยู่ในวิดี
เงินหลายล้านบาทไม่ได้จ่ายไปโดยไร้ประโยชน์แล้ว! ศาสตราจารย์เฒ่าโดนเขาหลอกเข้าแล้วจริง ๆ! เสี่ยวอิ๋งเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นก็ยิ้มพลางชี้นิ้วมาที่หลี่ชิงเฟิง "ตอนนี้แกจะว่ายังไงเล่า? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าแจกันของแกมันเป็นของปลอม!" "น่าตลกชะมัดเลย! ฉันเสนอทางออกให้ แต่แกกลับยืนกรานที่จะขุดหลุมฝังตัวเองให้ได้! ไม่มีใครห้ามแกได้เลย!" เมื่อหลี่ชิงเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มจาง ๆ แล้วหันมามองศาสตราจารย์หลี่พลางพูดว่า "ศาสตราจารย์หลี่ ช่วยดูขอองผมอีกสักครั้งเถอะครับ" คาดไม่ถึงว่าศาสตราจารย์หลี่จะส่ายหน้าแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า "ไม่ต้องดูหรอก" เซี่ยอิ่งหัวเราะพลางกล่าวว่า "แจกันใบนั้นของแกมันปลอมชัดเจนเกินไป! ศาสตราจารย์หลี่ไม่มองให้เสียสายตาหรอก!" ในยามนี้เอง ศาสตราจารย์หลี่ก็เหลือบมองเธอแล้วสายหน้า "สาวน้อย ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นสักหน่อย ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย ถึงแม้ว่าแจกันใบนี้จะฝีมือยอดเยี่ยมจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่มันเป็นของปลอมจริง ๆ" "ส่วนแจกันของคุณหลี่ ทันทีที่เข้ามาผมก็เห็นแล้วล่ะ มันเป็นของจริง ดังนั้นผมจึงไม่ต้องตรวจดูเลย" หลังจากศาสตราจารย์หลี่พูดจบ ทั้งห้องก็เ
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลี่ชิงเฟิงจะมีท่าทีแข็งกร้าวเช่นนั้น! ปี้ไห่เทาที่คอยสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ แอบรู้สึกว่าชักไม่ได้การเสียแล้ว หลี่ชิงเฟิงคนนี้ดูไม่เหมือนเขยไร้ประโยชน์อย่างที่ข่าวร่ำลือกันเอาไว้เลยสักนิด การที่ยังสามารถสงบนิ่งได้ในภาวะคับขันเช่นนั้น มิหนำซ้ำยังพูดจาเสียคล่องปากและท่าทีเจ้าแผนการของอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อหรอกว่าคนแบบนี้จะเป็นเขยไร้ประโยชน์ไปได้ สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดคือ ต่อให้อีกฝ่ายจะก่อเรื่องเช่นนั้น แต่หวังเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ กลับไม่มีวี่แววที่จะโมโหเลยสักนิด พวกเขาต่างอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เขาเองก็รู้นิสัยของหวังเจิ้น อีกฝ่ายไม่ใช่ตาเฒ่าที่นิสัยดิบดีอะไรเลย พอปี้ไห่เทานึกได้เช่นนี้ เขาก็ทอดสายตามองเย่เจี้ยนเหออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสายตาหลุกหลิกอยู่บ้าง เขาก็พอจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบนี้จะมีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ เสียด้วย ตอนนี้เย่เซียวยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมเจตนาสังหารอันแรงกล้า! เย่เจี้ยนเหอกับเสี่ยวอิ๋งหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับตัวไปชั่วขณะ ไม่นานปี้ไห่เทาก็ลุกขึ้นแล้วมองหลี่ชิงเฟิงด้วยสายตาเย็นชา "ทำแบบนี้
"ฉุดเศรษฐกิจให้ดิ่งลงเหวงั้นรึ? ถ้าทุกคนทำตัวเป็นไอ้เศษสวะชอบหลอกกินข้าวนิ่มอย่างแก ประเทศชาติก็คงจะพินาศไปตั้งนานแล้ว!" "ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี! แกมันก็แค่มดปลวกตัวหนึ่งแท้ ๆ กล้าดียังไงถึงได้มาหัวเราะเยาะใส่พวกเรา?" ในตอนนี้เอง จู่ ๆ หวังเจิ้นที่เอาแต่เงียบมาจนถึงตอนนี้ก็ตบโต๊ะ! ทุกคนพลันหุบปากฉับ! หวังเจิ้นแววตามืดมน เขาเหลือบมองทุกคนแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า "พวกคุณหมายความว่ายังไงกัน? คิดจะก่อจลาจลในงานเลี้ยงวันเกิดของผมรึไง? พวกคุณไม่เห็นแก่หน้าผมเลย! คิดจะทำอะไรกันแน่!" เมื่อหวังเจิ้นโกรธขึ้นมา แม้แต่ปี้ไห่เทาก็ยังไม่กล้าล่วงเกิน นับประสาอะไรกับพวกเขากันเล่า "เหล่าหวัง ได้โปรดใจเย็นลงก่อนเถอะ เอาแบบนี้เป็นยังไง เพื่อจะได้รู้ว่าแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนใบไหนเป็นของจริงใบไหนเป็นของปลอม คุณก็แค่เชิญผู้เชี่ยวชาญให้มาประเมินก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?" "คุณเองคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของเก่ามานานหลายปี เช่นนั้นก็น่าจะรู้จักผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้เยอะอยู่บ้างใช่ไหมล่ะ?" หวังเจิ้นถอนหายใจพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า "ก็ได้! ในเมื่อพวกคุณอยากเถียงกันดีนัก งั้นก็มาทำให้เรื่องนี้กระจ่างกันไปเลย
หลังจากหลี่ชิงเฟิงพูดจบ ทุกคนก็ตะลึงงันไปชั่วขณะแล้วหัวเราะลั่น! เสี่ยวอิ๋งกับเย่เจี้ยนเหอหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จากนั้นพวกเขาก็ชี้นิ้วใส่หลี่ชิงเฟิงแล้วพูดว่า "แกมันขี้โม้จนไม่เลือกเวลาจริง ๆ พับผ่าสิ! ลำพังแค่คุยโวโอ้อวดต่อหน้าพ่อตาโง่ ๆ ของแกไม่พอ แต่ยังจะมาคุยโวโอ้อวดต่อหน้าพวกเราอีกงั้นเหรอ?" ปี้ไห่เทาที่อยู่อีกด้านเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยแววดูถูกดูแคลน "ลำพังแค่พวกเราคนใดคนหนึ่งก็ผ่านโลกมามากกว่าแกถึงสิบชาติภพรวมกันเสียอีก แกกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ คิดว่าพวกเราโง่หรือไงกัน?" "ผ่านโลกมามาก? คุณคิดว่าตัวเองผ่านโลกมามากแล้วงั้นรึ?" หลี่ชิงเฟิงยิ้มเหยียดหยันพลางเอ่ยเสียงทุ้มลึก "วันนี้ผมจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของคุณเองก็แล้วกัน เย่เซียว เอาของขวัญของพวกเราออกมา" เย่เซียวผงกศีรษะ จากนั้นเขาก็หยิบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนออกมาจากกล่องแล้ววางลงต่อหน้าทุกคน ทันทีที่พวกเขาเห็นแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวน ทุกคนก็ถูกแจกันใบนั้นดึงดูดความสนใจเข้าแล้วจริง ๆ เย่เจี้ยนเหอหน้าถอดสีแล้วตรวจสอบแจกันลายครามสมัยราชวงศ์หยวนโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้วให้รู้สึกสับสน ฝีมือช่างวิจิตรประณีตนัก!
เย่เจี้ยนเหอยิ้มเหยียดหยัน "แกคิดจะแข่งกับฉันงั้นรึ? ก็ได้ ฉันจะเอาออกมาให้แกได้เปิดหูเปิดตาก็แล้วกัน ฉันขอพนันเลยว่าชั่วชีวิตแกน่าจะได้เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ" หลังจากเย่เจี้ยนเหอพูดจบก็ดีดนิ้ว จากนั้นผู้ช่วยคนงามที่อยู่ข้างหลังก็รีบเดินเข้ามา ของขวัญของอีกฝ่ายเองก็อยู่ในกล่อง มิหนำซ้ำยังมีขนาดพอ ๆ กับของเขาอีกต่างหาก เย่เจี้ยนเหอยิ้มอวดดีแล้วพูดว่า "มหาเศรษฐีหวัง ผมได้ยินมาว่าคุณชอบสะสมของเก่ามากทีเดียว ดังนั้นผมจึงสั่งให้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศประมูลของสิ่งนี้มาให้คุณเป็นพิเศษ เชิญดูเอาเองเถอะครับ!" หลังจากพูดจบ ผู้ช่วยสาวก็เปิดกล่องแล้วสายตาของทุกคนก็ทอดมองมาที่มือของผู้ช่วยสาว! แจกันลายครามใบหนึ่งค่อย ๆ เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมา! เมื่อหลี่ชิงเฟิงเห็นแจกันใบนี้ก็ถึงกับตะลึงงัน... ช่างเหมือนกับแจกันลายครามที่เขาซื้อมาไม่มีผิดเพี้ยนเลย! เขาเหลือบมองเย่เซียวที่อยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเย่เซียวก็เอ่ยกระซิบข้างหูว่า "เป็นของปลอมแน่ ๆ ครับ" ในยามนี้เอง เย่เจี้ยนเหอก็หยิบแจกันขึ้นมาแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้วพูดเสียงดังว่า "แจกันลายครามสมัยราชวงศ์ห