แชร์

๓ ข้างๆ หัวใจ

ข้างๆ หัวใจ

            เข้าพักบังกะโลติดหาดที่เป็นส่วนตัว หล่อนได้ยินว่าปีหน้ากำลังจะปิดปรับปรุงแต่ดูแล้วที่พักไม่ได้เก่าเลยสักนิด หลังคามุงด้วยหญ้าฝางซึ่งค่อนข้างแข็งแรงมีเพดานฉลุลายดอกไม้ปิดทับอีกชั้น ผนังห้องทำด้วยไม้ขัดเงา ตัวที่พักจะยกสูงจากพื้นประมาณหนึ่งเมตรทำให้มีชานเรือนสำหรับนั่งรับลมหรือดูวิวทะเล

            เดินไปเปิดหน้าต่างรับลมข้างนอกพลางสูดเอากลิ่นทะเลเข้าปอด เธอไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ แต่ละวันผ่านไปด้วยการเรียนและโหมงานหนักจนแทบไม่เคยได้พักผ่อน เคยมีครั้งหนึ่งถึงขั้นเป็นลมจนเพื่อนที่ทำงานด้วยกันต้องปฐมพยาบาล ดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมากแค่นอนไม่พอ

            ถึงจะทำงานหนักแค่ไหนแต่เงินเก็บก็มีเพียงสองหมื่นเพราะส่วนมากหล่อนจ่ายหนี้ให้บิดาไปจนหมด หรือบางครั้งท่านก็มาหยิบยืมโดยไม่เคยคืนสักบาทจนต้องทำใจเสียแล้วว่าหากให้เงินพ่อก็ไม่หวังจะได้คืน

            วางกระเป๋าไว้บนเตียงเสร็จแล้วค่อยรูดซิปสำรวจว่าแม่บ้านเตรียมอะไรให้บ้าง มีชุดชั้นในครบเซ็ตพร้อมทั้งชุดนอนกระโปรงยาวผ้าเนื้อนุ่มที่แค่ได้สัมผัสก็รู้ว่าต้องราคาแพงแน่นอน ชุดทำงานเป็นเสื้อแขนยาวสีชมพูมีลูกเล่นตรงชายเสื้อเป็นระบายแสนน่ารัก คู่กับกระโปรงสอบบานปลาย

            ยิ้มอย่างมีความสุขก่อนนอนลงที่เตียงพลางผ่อนลมหายใจออกมา การได้เข้าใกล้แทนไทเป็นสิ่งเหนือความคาดหมายจนคิดว่าขอแค่อยู่ตรงนี้ก็คงเพียงพอแล้วกับคนฐานะเช่นหล่อน

            ไม่ต้องหวังสูงมากกว่านี้หรอก..

            ซ่า

            ฟ้าที่เคยสว่างสดใสกลับมีเมฆดำปกคลุมไม่นานฝนจึงตกลงมาหลังจากอบอ้าวทั้งวัน หล่อนสะดุ้งเพราะเผลอนอนหลับหลังจากเหนื่อยในการทำงานทั้งวัน อีกทั้งสิ่งที่ปลุกให้หญิงสาวฟื้นจากนิทราคือน้ำจำนวนหนึ่งที่ตกลงบนที่นอนจนเปียกชุ่ม

            “อะไรเนี่ย” รีบลงจากเตียงแล้วคว้ากระเป๋าออกมาด้วยกลัวว่าจะโดนน้ำ

            เพดานของบังกะโลที่สร้างมาหลายสิบปีดูท่าจะผุพังตามกาลเวลา น้ำรั่วซึมตกกระทบเตียงจนเปียกไปหมดไม่อาจนอนได้ ใบหน้าหวานฉายแววกังวลก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นต้องรีบรับอย่างรวดเร็ว

            “ค่ะคุณแทน”

            ‘ฉันสั่งรูมเซอร์วิสให้แล้วนะ ฝนตกแบบนี้คงออกไปกินข้างนอกไม่ได้’ หล่อนมีท่าทีกระอักกระอวนไม่รู้จะบอกเขาดีไหม จนตัดสินใจได้ถึงรับคำพร้อมแจ้งเหตุฉุกเฉินที่เกิดเมื่อสักครู่         

            “คุณแทนคะ ห้องของข้าวดูเหมือนฝ้าจะมีปัญหาตอนนี้น้ำฝนตกใส่ที่นอนเปียกไปหมดเลย” น้ำเสียงค่อนข้างเกรงใจที่เอาปัญหาของตนเองไปบอกชายหนุ่มอีกแล้ว ปลายสายเงียบสักครู่แล้วค่อยตอบกลับ

            ‘เดี๋ยวฉันเดินไปหา’ เขาวางสายทำให้หล่อนต้องเม้มปากแน่นที่ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้

            คนอะไรจะซวยได้ขนาดนี้เนี่ยใบข้าว..

            รอไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจึงได้รีบไปเปิดให้ร่างสูงเข้ามาข้างใน ร่มถูกวางไว้ข้างนอกก่อนที่ท่านประธานจะเข้ามาสำรวจความเสียหาย ใบหน้าคมเรียบนิ่งไม่ได้แสดงอาการใดก่อนจะหันมามองหล่อนซึ่งมีท่าทีหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด

            “ทุกห้องก็เต็มแล้วด้วย..” พึมพำเสียงเบาแต่เธอก็ได้ยินชัดเจน

            “เดี๋ยวข้าวนอนที่โซฟาก็ได้ค่ะ ไม่มีปัญหาหรอก” ชี้ไปยังโซฟาซึ่งวางไว้ใกล้ระเบียงของห้อง มันมีขนาดเล็กหากนอนทั้งคืนตื่นมาต้องปวดตามเนื้อตัวแน่

            “ไปนอนห้องฉันแล้วกัน” ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเมื่อเจ้านายตัดสินใจเช่นนั้น รีบเอ่ยขัดทันทีเพราะไม่ต้องการรบกวนเขาด้วยคิดว่าแทนไทจะย้ายมานอนห้องนี้

            “คะ..ไม่เป็นไรค่ะ ข้าวนอนห้องนี้ได้คุณแทนนอนห้องตัวเองเถอะนะคะ” โบกมือเป็นพัลวันแต่ดูเหมือนคนอายุมากกว่าจะไม่ฟังเสียงทัดทานกลับคว้าแขนเรียวพลางจูงกึ่งลากให้ออกไปข้างนอกด้วยกันไม่วายหันมาถามเสียงเรียบ

            “เอาของสำคัญออกมาหมดแล้วใช่ไหม”

            “ใช่ค่ะ แต่ว่าข้าวนอนห้องนี้ได้..” เขาไม่ฟังที่หล่อนพยายามจะสื่อสารเลยสักนิดกลับพาให้เข้ามาอยู่ในร่มคันเดียวกันแล้วเดินไปบังกะโลหลังที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

            บุณณดาเม้มปากให้เงียบสนิทหลังอยู่ใกล้ชายหนุ่มที่หมายปองจนไหล่ชิดกัน มือหนาโอบไหล่มนเอาไว้กลัวว่าคนตัวเล็กจะโดนฝน กระทั่งขึ้นมาบนบังกะโลมีหลังคากันเม็ดฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

            มีหยดน้ำตามตัวเล็กน้อยแต่ไม่ได้ทำให้เปียกมาก เขาดันหล่อนเข้าไปข้างในห้องที่เหมือนกันทุกอย่างต่างก็แต่เตียงที่ใหญ่กว่าเท่านั้น

            “นอนด้วยกันที่นี่แหละ ห้องมันเต็มหมดแล้วคงเปิดห้องใหม่ให้ไม่ได้”

            นอนด้วยกัน!

            ตกใจกับคำพูดนั้นจนเผลอแสดงสีหน้าออกไปทำให้คนมองต้องอมยิ้ม หล่อนแสดงความรู้สึกออกทางสีหน้าทุกครั้งจนสามารถคาดเดาอารมณ์ของนักศึกษาสาวได้โดยง่าย

            แม้กระทั่งความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขา

            “ฉันสาบานว่าจะไม่แตะต้องเธอ วางใจได้” ให้คำมั่นก่อนจะแยกออกไปรับรูมเซอร์วิชที่มากดกริ่งหน้าห้องพอดี หล่อนพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกให้เป็นปกติถึงสีหน้าจะแดงก่ำด้วยเขินอายจากคำพูดที่เขาเอ่ย

            อันที่จริงหากแทนไทจะทำอะไรเธอคิดว่าตนเองคงไม่สามารถต้านทานเขาได้ในเมื่อหัวใจมันมอบให้ชายอายุคราวพ่อเสียแล้ว เพียงได้มาอยู่ในห้องเดียวกันใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะ ดวงตาเผลอมองคนที่ยกอาหารมาวางไว้ยังโต๊ะกลมสำหรับรับประทานก่อนจะเงยหน้าสบตากัน

            “มากินข้าวเย็นสิ” เหมือนทำตามคำสั่งของเขาอัตโนมัติเพราะหล่อนรีบลุกเดินไปนั่งตรงข้ามร่างสูงทันที มองอาหารที่มีสลัดผักและสเต็กปลาแซลม่อน

            “พรุ่งนี้คงกลับตอนตีห้าเพราะมีประชุมเช้า” ยกจานสเต็กให้หญิงสาวจนหล่อนต้องค้อมศีรษะเป็นการขอบคุณแล้วพึมพำบอกเสียงเบา

            “ทำงานมาทั้งวันเป็นยังไงบ้าง ชอบไหม” ขณะที่เริ่มลงมือรับประทานอาหารเขาก็ถามไถ่ถึงเรื่องงานที่มาวันแรกก็เจอรับน้องนอกสถานที่เสียแล้ว อันที่จริงหากไม่ใช่บุณณดาเขาก็คงไม่รับนักศึกษาฝึกงานคนไหนมาทำตำแหน่งนี้หรอก

            เนื่องจากผู้ช่วยเลขานั้นต้องดูแลงานทุกอย่างเสมือนเป็นเลขาอีกคน ต้องมีความรอบคอบ กระฉับกระเฉง แก้ไขปัญหาและสถานการณ์เฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี ทำงานตั้งแต่สากเบือยันเรือรบตามแต่เจ้านายจะสั่ง เหมือนเป็นกระโถนท้องพระโรงด้วยซ้ำ

            แต่ถึงงานจะเยอะหรือหนักแค่ไหนก็ได้ค่าตอบแทนที่ค่อนข้างสูงคุ้มกับความสามารถ ยิ่งปลายปีโบนัสที่ได้ทำเอายิ้มแก้มปริหายเหนื่อยจากงานที่ตรากตรำทำมาทั้งปี

            ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องงานก่อนที่นาฬิกาจะบอกเวลาสองทุ่ม หญิงสาวแยกไปอาบน้ำพยายามทำตัวปกติทั้งที่ความจริงเกร็งจนเกือบจะเป็นตะคริวที่ได้อยู่ห้องกับชายในฝัน ต่างจากแทนไทซึ่งนั่งหน้าเครียดดูกระดานหุ้น

            เขาสนใจหุ้นของบริษัท วิจิตร จำกัด(มหาชน) แต่ราคาขายกลับพุ่งสูงจนไม่กล้าซื้อ ดูความมั่นคงในระยะยาวค่อนข้างมั่นใจการบริหารของกองทัพ วิจิตรประภาที่ขึ้นแท่นตำแหน่งผู้บริหารแทนบิดาซึ่งเกษียณการทำงานไปเมื่อปีที่แล้ว ได้ข่าวว่าไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทนี้ทำกำไรได้มากกว่าเดิมถึงสามเท่า น่าสนใจทีเดียว

            ประตูห้องน้ำถูกเปิดและหล่อนก็ออกมาในชุดนอน ยังคงเห็นเขานั่งที่เดิม ทำตัวไม่ถูกอีกครั้งแต่ตัดสินใจก้าวไปยังเตียงนอนทันที เลือกที่จะนอนทั้งยังไม่ง่วง หากให้จ้องตากับแทนไทคงทำตัวไม่ถูกกันพอดี

            “จะนอนแล้วเหรอ” เงยหน้าจากจอสี่เหลี่ยมแล้วเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวขึ้นไปนั่งบนเตียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

            “ค่ะ” ตอบพลางพยักหน้าถี่เป็นการยืนยัน

            “เดี๋ยวฉันปิดไฟให้” ไม่อยากรบกวนคนบนเตียงจึงลุกขึ้นหมายจะไปปิดไฟแต่หล่อนก็รีบปฏิเสธทันทีเพราะแค่มารบกวนก็เกรงใจจะแย่แล้ว

            “ไม่เป็นไรค่ะ คุณแทนเปิดไฟไว้เลยก็ได้ ข้าวเป็นคนนอนง่ายจะเปิดทั้งห้องสว่างแค่ไหนก็หลับค่ะ” นั่งจ้องตากับเขาหลังพูดจบทำเอาชายหนุ่มแอบอมยิ้มออกมาแล้วพยักหน้าเข้าใจกับคำพูดแสนยาวเหยียดที่ร่างบางรัวใส่ไม่ยั้ง

            “ถ้าอย่างนั้นก็เปิดไฟไว้แล้วกัน” หล่อนตอบรับเสียงเบาก่อนเอนกายลงนอนปล่อยให้ร่างสูงเดินเข้าห้องน้ำไปชำระร่างกายแล้วออกมาด้วยชุดนอนคือเสื้อยืดและกางเกงขายาวผ้านิ่ม

            บุณณดาหลับตาสนิททั้งที่ไม่ได้รู้สึกง่วงนอน ฟังเสียงการก้าวเท้าของคนร่วมห้องยิ่งรู้สึกว่าใจเต้นแรงมากขึ้น พยายามห้ามใจตนเองแต่มันก็ไม่สามารถทำได้จนกลัวเขาจะรู้ว่าเธอตื่นเต้นมากแค่ไหนที่ได้อยู่ห้องเดียวกัน

            กระทั่งรู้สึกถึงแรงยวบบนเตียงทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงมานอนแล้ว ยิ่งหลับตาแน่นผ่อนลมหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอเหมือนคนหลับลึก แสงไฟที่เคยแยงตาถูกปิดลงพร้อมกับที่ร่างสูงหัวถึงหมอนก่อนเขาจะเข้าสู่ห้วงนิทราในขณะที่ฝนเริ่มซาลงจนหยุดตกไปนานแล้ว

            ถึงอยากจะลืมตาขึ้นมามองใบหน้าคมก็ไม่อาจทำอย่างที่ใจปรารถนาได้ ยังคงปิดตาสนิทกระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนาน และหล่อนยังไม่รู้สึกง่วงสักนิด

            “อ่ะ” จังหวะที่กำลังตัดสินใจจะลืมตานั้นลำตัวก็ถูกคนข้างกายคว้าเข้าไปกอดเสียก่อน เบิกตากว้างทันทีไม่คิดว่าตนเองจะตกอยู่ในอ้อมกอดของชายในดวงใจ

            ใบหน้าของเขาที่หลับตาพริ้มอยู่ห่างไม่ถึงคืบ ขนาดที่ได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันสร้างความตระหนกจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เกร็งตัวเสมือนเป็นท่อนไม้พลางเม้มปากแน่นไม่อยากให้แม้แต่อากาศปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากนิทรา

            ไม่เคยได้เข้าใกล้ผู้ชายคนไหนมากขนาดนี้มาก่อน ถึงจะมีคนมาจีบบ้างแต่ก็ถูกเปมทัตส่งสายตาเขม่นจนกระเจิงไปหมด เรียกได้ว่าตั้งแต่เข้าสู่วัยรุ่นจนโตเป็นสาวขนาดนี้ยังไม่เคยได้เรียนรู้ความรักผ่านทางร่างกายหรือจิตใจสักครั้ง

            และดูเหมือนว่าเจอครั้งแรกก็เป็นของสูงจนเกินเอื้อมเสียแล้ว

            หล่อนจ้องมองเขาในยามที่กำลังหลับใหล แสงจากดวงไฟภายนอกส่องผ่านหน้าต่างมากระทบใบหน้าคมที่หล่อเหลาราวรูปปั้น อยากยกมือขึ้นลูบไล้แต่ก็ไม่กล้าทำกลัวว่าชายหนุ่มจะตื่นถึงได้เก็บภาพประทับใจเอาไว้ผ่านทางดวงตาของตน

            หล่อนจะมีโอกาสยืนในหัวใจของเขาบ้างไหม..

            หรือไม่อย่างนั้นขอแค่เพียงข้างหัวใจก็ยังดี

            เช้าวันต่อมาต้องรีบออกจากบังกะโลตั้งแต่ฟ้าไม่ทันสางเพื่อให้ทันประชุมเช้าตอนเจ็ดโมงที่รวบรวมนักออกแบบจากทั้งประเทศไทยและต่างชาติซึ่งแทนไทดึงมาร่วมงานตั้งแต่โครงการแรกจนถึงโครงการล่าสุด

            ชายหนุ่มเป็นคนขับรถและโชคดีที่เจ้านายไม่ได้ขับฉวัดเฉวียนชวนเวียนหัวเหมือนนนทัช อีกอย่างคือรถช่วงเช้าไม่ติดเท่าไหร่เรียกได้ว่าถนนโล่งด้วยซ้ำ ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก็ถึงที่หมายนั่นคือบ้านสามชั้นของแทนไทนั่นเอง

            “เราไม่ไปบริษัทเหรอคะ” ถามด้วยความสงสัยแต่ร่างสูงกลับส่ายหน้า

            “เราจะประชุมกันที่บ้านฉัน” เดินตามลงมาอย่างรวดเร็วเข้าไปชั้นสองของบ้านโดยมีแม่บ้านคนเดิมเข้ามารับของจากคุณผู้ชาย

            บุณณดาโค้งทักทายอีกฝ่ายแล้วรออยู่ข้างนอกให้แทนไทไปเปลี่ยนชุด แต่ไม่นานนักก็เห็นนนทัชเดินขึ้นมาจากชั้นหนึ่ง หล่อนรีบเข้าไปเอ่ยสวัสดีก่อนจะได้รับมอบหมายหน้าที่สำหรับการประชุมวันนี้ คือต้องจดทุกอย่างและสรุปออกมาส่งภายในวันพรุ่งนี้

            เมื่อถึงเวลานัดก็เดินลงมาชั้นหนึ่งที่เปรียบเสมือนห้องทำงานสำหรับเขา พื้นที่เป็นห้องรับแขกขนาดใหญ่ที่มีโซฟาวางเข้าหากัน เพดานสูงห้อยโคมไฟระย้าที่เป็นสไตล์มินิมอลแต่กลับหรูหราในความรู้สึกของคนมอง ถัดมาคือห้องประชุมขนาดใหญ่จุคนได้กว่าสามสิบคน ตรงกลางจะเป็นโต๊ะยาวส่วนด้านข้างวางเก้าอี้สำหรับผู้สังเกตการณ์

            เธอเดินแจกเอกสารวางไว้ตามโต๊ะก่อนที่จะมีคนทยอยเข้ามาด้านในทำให้ต้องรีบไปนั่งด้านหลังเพื่อฟังรายงานและจดรายละเอียดในการประชุมครั้งนี้

            ประธานบริษัทก้าวมาพร้อมนักธุรกิจชาวออสเตรเลียที่เก่งในเรื่องการออกแบบ วันนี้จะประชุมเกี่ยวกับโปรเจคห้างสรรพสินค้า The diamond ที่สร้างอยู่เชียงใหม่ มีทีมวิศวกรจากต่างประเทศมาควบคุมงานโดยเฉพาะ

            บทสนทนาส่วนมากอยู่ในรูปแบบภาษาอังกฤษและเป็นศัพท์ทางเทคนิคทำเอามือใหม่อย่างหล่อนถึงกับขมวดคิ้วหลายรอบ ดีที่อัดเสียงเอาไว้ด้วยไม่ได้จดอย่างเดียว สงสัยคืนนี้คงต้องไปแกะเทปอีกครั้งพร้อมสรุปเพื่อส่งรายงานในวันพรุ่งนี้

            เมื่อลงสนามจริงทำให้รู้ว่าการเรียนนั้นสบายที่สุดแล้ว..

            กว่าจะประชุมเสร็จก็กินเวลาไปหลายชั่วโมงและเมื่อออกจากห้องประชุมก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาเสียแล้ว

            ปวดไปทั้งตัวจนต้องยืดเส้นยืดสายคลายกล้ามเนื้อ ขนาดทำวันเดียวยังล้าขนาดนี้แต่แทนไททำมานานหลายปีจนรู้สึกทึ่งในความสามารถและความอดทนของเขา แววตาที่มองชายหนุ่มจึงเป็นประกายมากกว่าเดิม

            “วันที่สองก็เจองานหนักแล้ว ท้อไหม” หลังส่งแขกหมดเจ้าของบ้านก็เดินเข้ามาถามผู้ช่วยเลขาด้วยรอยยิ้มแต้มริมฝีปาก

            “ไม่ค่ะ ข้าวดีใจที่ได้มาเรียนรู้งานกับคุณแทน” ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไรกลับยิ้มให้อย่างเดียวแล้วค่อยผละไปคุยกับนนทัชเรื่องงานวันพรุ่งนี้ที่ต้องไปเป็นวิทยากรให้นักศึกษาจากคณะบริหารธุรกิจ

            กลายเป็นเรื่องปกติเสียแล้วที่แทนไทจะไปให้ความรู้นักศึกษาหรือขึ้นพูดในเวทีระดับประเทศเกี่ยวกับการบริหารงานในเมื่อเขาคือบุคคลซึ่งน่าจับตามองในแวดวงธุรกิจเป็นอย่างมาก

            เธอเก็บเอกสารเรียบร้อยก็เห็นพี่เลี้ยงในการฝึกงานเดินเข้ามาหา “เสร็จงานแล้วจะกลับพร้อมกันไหม” ส่ายหน้าก่อนที่สมองจะสั่งการด้วยซ้ำยิ่งคิดถึงเมื่อวานยามนั่งอยู่บนรถของนนทัช มันช่างน่าหวาดเสียวจนไม่อยากเสี่ยงชีวิตอีก

            “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปส่งใบข้าวเอง” เจ้านายแทรกขึ้นมาทันทีลูกน้องจึงค้อมศีรษะรับ

            “ถ้าอย่างนั้นเจอกันพรุ่งนี้นะข้าว” โบกมือลาผู้ช่วยของตนเองแล้วหันมาทำความเคารพแทนไทค่อยออกไปข้างนอก

            “วันนี้เลิกเร็วหน่อยนะเพราะทำงานมาตั้งแต่เช้า ฉันบอกแม่บ้านทำข้าวเย็นให้เธอกลับไปกินที่บ้าน” ยื่นถุงผ้ามาตรงหน้าหล่อนจนต้องรีบรับพลางขอบคุณเสียยกใหญ่ที่เขามีน้ำใจต่อตนเองมากขนาดนี้

            “ขอบคุณมากนะคะ”

            “ตอบแทนที่ทำงานดี” ถึงจะไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแต่ก็ติดตามแทบไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว

            ร่างสูงเดินนำไปที่รถยนต์แล้วขับไปส่งหล่อนถึงบ้านพักอาศัย ระหว่างทางก็คุยเกี่ยวกับเรื่องสถานที่ทำงานถึงเพิ่งรู้ว่าส่วนมากเขาไม่ค่อยเข้าบริษัทเพราะยุ่งกับการไปดูงานตามห้างสรรพสินค้า ตึกส่วนกลางทำเพื่อให้พนักงานอยู่เป็นสัดส่วน และต้อนรับคู่ค้าจากต่างประเทศเท่านั้น

            “แล้วข้าวต้องทำงานที่ไหนคะ” ในเมื่อเจ้านายอยู่บ้านแล้วหล่อนต้องมาอยู่บ้านเขาหรือเปล่า..

            แค่คิดใบหน้าก็แดงเสียแล้วจนต้องรีบสั่งให้สมองหยุดจินตนาการเรื่องของตัวเองทันทีแล้วนิ่งฟังจากปากแทนไท

            “ฉันอยู่ไหนเธอก็อยู่นั่นแหละ” คำตอบของเขายิ่งทำให้คนฟังจินตนาการไปไกลกว่าเดิมเสียอีก ในเมื่อเขาพูดแบบนี้แสดงว่าต้องตัวติดกันตลอดเวลาใช่หรือเปล่า

            ร่างบางนั่งตัวตรงนิ่งพยายามกลั้นยิ้มเอาไว้แต่ก็ยากเสียเหลือเกิน ในเมื่อคำพูดของเขาที่ส่งตรงมามีผลต่อหัวใจจนมันค่อยพองโตขึ้นเรื่อยๆ

            ระยะทางจากบ้านของแทนไทมาถึงบ้านหล่อนใช้เวลาชั่วโมงกว่าเพราะอยู่ในช่วงรถติด เขาจอดลงหน้าบ้านของน้าแพงโดยไม่รู้ว่าบ้านจริงๆ ของหล่อนอยู่เยื้องกันนั่นเอง

            มือเล็กเอื้อมมาปลดสายเข็มขัดแล้วหันมายกมือไหว้ขอบคุณร่างสูงซึ่งอุตส่าห์ขับรถส่งหล่อนถึงบ้านทั้งที่ประชุมหนักมาทั้งวัน ประทับใจจนชอบเขามากกว่าเดิมเสียอีก แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลง

            หรือที่จริงเธอก็แค่กลัวว่าเขาจะเปลี่ยนไป..

            “ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง” เปิดประตูลงจากรถพร้อมถือถุงผ้าที่มีอาหารจากบ้านแทนไท ความสุขส่งประกายในดวงตาก่อนจะเห็นว่าเขาลงมาจากรถเช่นเดียวกัน

            “พรุ่งนี้เจอกันที่บริษัทนะ” ใบหน้าหวานยิ้มตอบทันที

            “ค่ะ” แต่ไม่ทันที่ประธานบริษัทจะกลับเข้าไปนั่งในรถก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาก่อนเรียกความสนใจจากชายหญิงเป็นอย่างดี

            ร่างสูงของหนุ่มวัยรุ่นก้าวเข้ามาทำลายโลกสีชมพูพร้อมใบหน้าที่เคร่งขรึม ใจมันบีบรัดไปหมดยามที่มองผู้หญิงในดวงใจกำลังส่งยิ้มหวานให้ชายอื่น ขนาดมองจากที่ไกลยังรับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่มากกว่าเจ้านายลูกน้องของคนทั้งคู่

            “ผมไม่ยักทราบว่าท่านประธานจะว่างถึงขนาดมาส่งลูกน้องได้” เปมทัตก้าวมายืนเคียงข้างบุณณดาทั้งยังมองไปที่แทนไทอย่างหาเรื่องเต็มที่ ไม่ปิดบังความไม่พอใจของตนเองเพราะรู้สึกว่าเพื่อนที่เขาคิดไม่ซื่อด้วยกำลังจะห่างออกไป

            ทั้งที่ปกติก็ไกลเกินเอื้อมอยู่แล้ว ทำดีเท่าไหร่ก็ไม่เคยได้เฉียดเข้าไปใกล้หัวใจหล่อนเลย

            “เปรม!” เตือนเพื่อนเสียงดังด้วยไม่ชอบใจในวาจาและสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองเจ้านายตนเอง

            “เวลาของผมมันขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นสำคัญกับเราหรือเปล่า” และคำตอบของเขาที่บอกชายรุ่นลูกก่อนจะหันมามองบุณณดาด้วยแววตาแฝงความหมายก็ทำให้เปมทัตถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ ยิ่งเห็นปฏิกิริยาของสาวในดวงใจก็ทำเอากำมือแน่น

            เขาพยายามแทบตายเพื่อให้ได้หัวใจ แต่ผู้ชายคนนั้นแค่พูดคำหวานก็ดูเหมือนหล่อนจะเคลิ้มไปกับมันเสียแล้ว

            “ปกติคุณพูดหวานแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนหรือเปล่าครับ เห็นว่ามีคนมาตบตีแย่งคุณไม่เว้นวันไม่ใช่เหรอ อย่าเอาเพื่อนของผมไปเป็นผู้หญิงในสต็อคคุณเลย” พูดตรงจนร่างบางต้องปรามเขาเสียงดัง

            “พอได้แล้วเปรม! ขอโทษด้วยนะคะคุณแทนสงสัยเขาคงอารมณ์เสียมาจากที่อื่น ขอบคุณที่มาส่งนะคะ” ทั้งจูงทั้งลากเพื่อนสนิทเข้าบ้านไม่ต้องการให้อีกฝ่ายกล่าววาจาก้าวร้าวกับแทนไทอีก ในขณะที่คนสูงกว่าวัยมองตามแล้วขบฟันแน่น

            ผ่อนลมหายใจเข้าออกจ้องที่มือของบุณณดาซึ่งจับจูงอีกฝ่ายเข้าบ้าน ความไม่พอใจตีรวนในอกก่อนจะสลัดมันทิ้งแล้วขับรถยนต์ออกไปทันทีสวนกับแท็กซี่ที่เคลื่อนเข้ามาจอดยังหน้าบ้านสองชั้นขนาดเล็ก

            หล่อนเปิดประตูบ้านน้าแพงที่ถูกล็อคเพราะเจ้าของบ้านไปทำธุระข้างนอกน่าจะกลับค่ำ ชายหนุ่มอีกคนเลยยกมือขึ้นกอดด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

            “ใบข้าว” ประตูรั้วถูกเปิดออกทำให้ทั้งสองต้องหันไปมองว่าใครมาก็พบบัลลพที่อยู่ในชุดปฏิบัติงาน ใบหน้าท่านยิ้มแย้มเมื่อเห็นว่าลูกสาวกลับมาถึงบ้านแล้ว   

            ถึงจะอายุ 42 ปีแต่เพราะตรากตรำทำงานหนักไหนจะปล่อยตัวจนร่างกายที่เคยดูดีกลับอ้วนท้วมด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ซึ่งดื่มหนักในแต่ละวัน หล่อนถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินนำสองหนุ่มต่างวัยเข้ามาในบ้าน

            น้าแพงไม่ได้หวงพื้นที่ส่วนตัวทั้งยังเคยเอ่ยชวนเพื่อนสนิทของหลานสาวมารับประทานอาหารในบ้าน และอนุญาตให้ใบข้าวพาเพื่อนเข้ามายามนางไม่อยู่

            “คุณน้าครับ ข้าวมีผู้ชายเข้ามาติดพันแถมยังดูไม่น่าไว้ใจด้วย” ร่างบางปล่อยให้แขกหนุ่มนั่งลงยังโซฟาห้องรับแขกส่วนตนเองก็เดินเข้าครัวแล้วรินน้ำมาเสิร์ฟทั้งสอง ด้วยบ้านหลังนี้ไม่ได้ใหญ่มากนักถึงจะอยู่ที่ห้องครัวแต่ก็ได้ยินบทสนทนาของเปมทัตซึ่งเอ่ยกับบิดาของตน

            “หยุดพูดเลยนะเปรม” เดินออกมาพร้อมเหยือกน้ำและแก้วสองใบแล้วทำหน้าบึ้งตึงใส่เพื่อน

            “ก็มันจริงไหมล่ะ ผู้ชายเจ้าชู้แบบนั้นไม่มีทางจริงจังกับข้าวหรอก” ตอบกลับทันทีพร้อมจ้องใบหน้าหวานอย่างไม่ยอมแพ้ปล่อยให้บัลลพกลายเป็นคนนอกที่ไม่รู้เรื่องราว

            “คุณแทนไม่ได้เจ้าชู้ ฉันรู้จักเขามานานไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะล่วงเกินหรือพูดในเชิงชู้สาว” เรื่องนี้เปมทัตก็ไม่ค่อยชอบใจนักที่เห็นว่าบุณณดาคุยกับชายรุ่นใหญ่มานานหลายปี ทำทีเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพื่อจะได้ไม่เจ็บช้ำ

            นึกว่าอย่างไรเสียแทนไทก็คงไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนสนิทของตนหรอก ในเมื่อเขามีผู้หญิงให้เลือกตั้งเยอะ จนกระทั่งรู้ว่าใบข้าวได้ฝึกงานในตำแหน่งผู้ช่วยเลขา

            ไม่ธรรมดาเสียแล้ว..

            “แล้วผู้ชายที่พูดถึงเนี่ย เขารวยไหม” ดวงตาคนแก่กว่าวัยเป็นประกายขึ้นมาทันทีถึงจะตงิดกับชื่อที่ได้ยินก็รีบปัดความคิดนั้นออกอย่างรวดเร็ว

            “รวยขนาดที่มีอาณาจักรเป็นของตัวเองเลยครับ” ไม่อยากอธิบายไปมากกว่านั้นเพราะในใจลึกๆ ก็อดยอมรับในความสามารถของชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้

            การสร้างอาณาจักรเป็นของตัวเองมันไม่ง่ายแต่แทนไทก็ทำออกมาจนประสบความสำเร็จกลายเป็นที่กล่าวขานในวงกว้างของสังคมนักธุรกิจ ถึงจะมีต้นทุนดีเพราะพี่เขยก็เป็นเจ้าของโลจิสติกส์มีสาขาทั่วโลกทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว กลับปลีกตัวออกมาก่อตั้งบริษัทเอง

            “ถ้าอย่างนั้นก็จับเลยสิลูก เขาสนใจข้าวไหม” จากที่ต้องการให้ท่านเข้าข้างแต่ดูเหมือนบัลลพจะชอบใจที่มีคนรวยมาติดพันลูกสาวตัวเอง

            “คุณน้า!” เปมทัตเรียกเสียงดังไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงสนับสนุนลูกสาวให้รักกับผู้ชายคนนั้นด้วย บุณณดาไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้ว่าพ่อตนเองหวังสมบัติของแทนไท

            หล่อนไม่เคยเล่าเรื่องชายหนุ่มให้ท่านฟังด้วยไม่ต้องการเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับหนุ่มนักธุรกิจเพื่อหวังเงินทอง ความรู้สึกเธอที่มีต่อเขามันยิ่งใหญ่มากกว่านั้น

            ไม่ได้หวังเงินตราขอเพียงแค่ความรักจากใจจริง...

            “ฟังนะทั้งพ่อและเปรม คุณแทนเขาไม่ได้รักข้าวเพราะเขามีคนที่คู่ควรอยู่แล้ว จากนี้เลิกพูดเรื่องคุณแทนได้แล้วไม่อย่างนั้นข้าวจะไม่คุยด้วย” บอกเสียงเฉียบทำให้สองหนุ่มไม่กล้าเอ่ย

            คำพูดของเพื่อนทำให้ชายหนุ่มมีความหวังแต่มันก็เล็กน้อยจนแทบจะกลายเป็นแสงอันริบหรี่

            สำหรับผู้ชายแล้วถึงไม่ได้รักแต่ก็สามารถมีความสัมพันธ์ทางร่างกายได้ การแยกรักกับเซ็กมันง่ายดายจนเขากลัวเหลือเกินว่าหล่อนจะตกหลุมพรางของราชสีห์ที่ทำตัวเชื่องเป็นแมว ก่อนที่วันหนึ่งมันจะกรางกรงเล็บอันแหลมคมทำให้ลูกกระต่ายตัวน้อยเจ็บ           

            “ไม่พูดก็ได้..ว่าแต่ลูกมีเงินให้พ่อยืมสักหนึ่งพันไหม” ถึงจะแอบเสียดายว่าที่ลูกเขยแต่ก็ยังเหลือเปมทัตที่แสดงออกชัดเจนว่าชอบลูกสาวเขาทำให้ไม่ค่อยหนักใจกับเรื่องคู่ครองของบุณณดาสักเท่าไหร่

            หญิงสาวถอนหายใจแล้วหยิบเงินยื่นให้ตามจำนวนที่ท่านขอยืมซึ่งแน่นอนว่าจะไม่มีทางได้คืน เขารับมาด้วยรอยยิ้มพลางเก็บใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว

            “ขอบใจมากนะลูก ถ้ามีเมื่อไหร่พ่อจะรีบคืนทันที จะว่าไปก็ถึงเวลางานแล้วด้วย พ่อไปทำงานล่ะ” ลุกขึ้นตบบ่าชายหนุ่มรุ่นลูกค่อยออกจากบ้านหลังเล็กปล่อยสองหนุ่มสาวอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง

            ใบหน้าที่เคยแย้มยิ้มเคร่งขรึมทันทีเมื่อได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหนี้ของตนเอง บัลลพรีบเข้ามาภายในรถแท็กซี่ไม่ต้องการให้ลูกรู้ว่ายอดเงินที่เขาติดกับบ่อนนั้นมันไม่ใช่เพียงแค่สองสามแสนอีกต่อไปแล้ว

            แต่จำนวนทั้งหมดคือ 20 ล้านบาท!

            ‘ว่าไง..ตอนไหนจะใช้เงินคืน’ แค่เสียงทักทายก็รู้สึกเสียววาบไปทั่วสันหลัง เขายังจำติดตาที่มันเคยตัดนิ้วคนไม่จ่ายเงินต่อหน้าต่อตาลูกหนี้ทั้งหลายจนไม่สามารถลบภาพนั้นออกไปได้

            เสี่ยทรงภพ ทวีเดช เปิดบ่อนและปล่อยเงินกู้นอกระบบที่ลือกันว่าทวงโหดถึงขนาดตัดแขนตัดขาคนที่ไม่คืนเงินก็มีมาแล้ว คราแรกที่เข้าบ่อนก็คิดว่าจะได้เงินมาใช้จ่าย โชคดีที่ได้มาตั้งห้าแสนทำให้ลองเสี่ยงดวงอีกครั้งและก็ได้มาหนึ่งล้าน

            คิดว่าเงินช่างได้มาง่ายดายเสียเหลือเกินเขาทุ่มหมดตัวเพื่อเล่นในครั้งต่อไปแต่มันก็มีแต่เลวร้ายลงกว่าเดิม ถึงเงินไม่มีแต่ความอยากกลับมากขึ้นกว่าเดิม

            เข้าบ่อนด้วยความหวังว่ามันจะเป็นเหมือนครั้งแรกที่เดินเข้ามา อยากได้เงินเป็นกอบเป็นกำ แต่ยิ่งเล่นก็เหมือนว่าเงินกลับหมดไปเรื่อยๆ เครียดจนต้องพึ่งน้ำเมากระทั่งหลายปีก่อนเสี่ยทรงภพให้ยืมเงินเพื่อเล่นการพนันโดยไม่คิดดอกเบี้ยสักบาท

            เขาดีใจรีบตะครุบเอาไว้และเมื่อเล่นเสียก็ไปขอหยิบยืมอีกจนเงินงอกเงยเป็นยี่สิบล้าน...

            มันมากเกินไปจนเริ่มเครียดว่าจะหาจากไหนมาจ่าย

            “ผมขอเวลาอีกหน่อยได้ไหมครับเสี่ย” ต่อรองทั้งที่รู้ว่ายาก

            ‘ถ้าไม่มีเงินก็เอาลูกสาวแกมาขัดดอกก็ได้ ยังเอ๊าะๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอ’ เบิกตากว้างด้วยความตกใจไม่คิดว่าพวกนั้นจะรู้เรื่องลูกของตนเองทั้งที่พยายามปิดบังมาตลอด

            ถึงจะเป็นพ่อที่ไม่ดีแต่ก็ไม่เคยคิดขายลูกเพื่อใช้หนี้สักครั้ง

            ลูกเกิดมาจากความรักของเขา ถึงผู้หญิงที่เป็นแม่ของลูกจะไม่ได้รักเขาก็ตาม

            ‘รีบหามาคืนตอนที่ฉันยังปรานีแกอยู่ ภายในเดือนหน้าแกต้องเอาเงินยี่สิบล้านมาคืนฉัน’ สายโทรศัพท์ถูกวางลงอย่างรวดเร็วทำให้คนขับแท็กซี่ที่หากินไปวันๆ ไม่ได้มีเงินเก็บเป็นถุงเป็นถังเริ่มคิดหนักเสียแล้ว

            เขาใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายตอนที่ยังหยิบยืมเสี่ยทรงภพได้ลืมคิดว่าถึงมันไม่คิดดอกเบี้ยแต่ใช่ว่าจะไม่ทวงคืน บัลลพทุบพวงมาลัยระบายความอัดอั้นไม่เคยคิดว่าจากชีวิตคุณผู้ชายของบ้านหลังใหญ่จะตกต่ำขนาดนี้เพราะทำตัวเองแท้ๆ

           

            พาหนะเคลื่อนตัวเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ก่อนจะจอดยังชั้นสองแล้วยื่นกุญแจให้คนขับรถนำไปเก็บที่โรงจอด ร่างสูงเดินผ่านสะพานไม้เข้าบ้านของตนเอง ปิดหน้าต่างและเปิดเครื่องปรับอากาศค่อยเดินมายังโต๊ะอาหารซึ่งแม่บ้านกำลังจัดขึ้นโต๊ะ

            ใบหน้าคมเรียบเฉยไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรก่อนที่โทรศัพท์จะดังขึ้นจึงกดรับเมื่อเห็นชื่อของคนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

            ‘เสี่ยทรงภพ’

            ริมฝีปากหยักยกยิ้มแล้วกรอกเสียงลงไป

“ว่ายังไงครับ”

ใครเล่าจะคิดว่าเจ้าพ่อค้าปลีกขนาดใหญ่จะรู้จักกับคนที่อยู่ในโลกมืดไม่ได้อยู่ท่ามกลางแสงสว่างเช่นเขา

            ‘ผมจัดการตามที่คุณต้องการแล้ว หวังว่าเงินจะโอนเข้าบัญชีผมในเร็ววันนะครับ’ ความเขี้ยวลากดินของเสี่ยเขารู้ดีจึงตอบกลับ

            “ครับ ผมก็หวังว่าจะได้ร่วมธุรกิจกับเสี่ยเช่นกัน แต่ขอเป็นโรงแรมสักแห่งหรือห้างสรรพสินค้าสักที่ในเมืองไทยแล้วกันนะครับ” คุยกันครู่หนึ่งก่อนจะวางสาย เขารู้มาว่าเสี่ยทรงภพกำลังจะสร้างคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอยู่ประเทศกัมพูชา น่าเสียดายที่ประเทศไทยไม่อนุญาตให้เปิดแบบถูกกฎหมายทำให้เม็ดเงินต้องตกไปอยู่กับเพื่อนบ้าน

            คนรวยจำนวนหนึ่งถึงกับบินไปเล่นคาสิโนและหอบเงินกลับมาเป็นกอบเป็นกำ หรือบางครั้งก็เสียแต่ไม่ได้หมดตัวเนื่องจากรู้ลิมิตในการเล่น

            ต่างจากใครบางคน..

            เขาจะทำให้มันได้เจ็บเหมือนที่เขาเคยเจ็บ!

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status