ตอนที่[18]ชี้ทางสว่าง“พรุ่งนี้พื้นที่ด้านข้างนั่นจะเป็นที่เพาะปลูกของพวกเขา และข้าจะนำคนที่ไว้ใจได้มารับผิดชอบงานนี้” เขากล่าวแล้วก็ชี้นิ้วไปบริเวณพื้นที่ด้านข้างเรือนของท่านยายก่อนจะทำท่าทางแปลกประหลาดด้วยการเดินวนไปวนมา เซี่ยจื่อหรานจึงขมวดคิ้วมุ่นด้วยไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอันใด เสวี่ยจิ้นเมื่อเห็นว่าหญิงสาวดูเหมือนจะไม่เข้าใจก็ได้แสดงท่าทางหงุดหงิด เขาอยากให้นางชวนกินข้าวเย็นด้วยกัน เพราะนี่ก็ยามโหย่วแล้ว แต่นางกลับไม่คิดจะกล่าวอันใดนั่นทำให้เขาหงุดหงิดเหลือเกิน สุดท้ายเมื่อนางไม่กล่าวอันใดจริง ๆ เขาจึงได้สะบัดกายเดินจากไปทันที เซี่ยจื่อหรานมองซื่อจื่อแสนจุ้นอย่างไม่เข้าใจ เป็นอันใดของเขาเมื่อครู่ยังพูดกันดี ๆ อยู่เลย เสวี่ยจิ้นหลังจากที่ออกมาจากเรือนหลังน้อยของหญิงสาวก็เดินทางกลับไปที่วังหลวงอีกครั้ง เพื่อรายงานและปรึกษาหารือเรื่องราวต่าง ๆ กับฮ่องเต้ “ให้ไปจับตามอง เหตุใดไป ๆ มา ๆ จึงกลายเป็นต้องเสียเงินเล่า”“จ่ายไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ เสด็จลุงมีเงินน้อยที่ใดกัน” “เจ้าเชื่อนาง?” “เรื่องนั้นไม่สำคัญ แต่นี่เป็นโอกาสดีที่จะดึงหางของคนบางคนออกมา” เสวี่ยหลงฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็พยักห
ตอนที่[19]กรรมนั้นคืนสนอง วันต่อมาถงเจี้ยนตัดสินใจเขียนจดหมายหาคนผู้หนึ่งซึ่งเขาแน่ใจว่าหากนางได้รับจดหมายนางจะต้องมาตามนัดเป็นแน่ และก็เป็นจริงดังคาด! ฉีเยว่เผิงสวมหมวกม่านแพรแต่งกายมิดชิดมาพบกับเขาที่โรงเตี๊ยมด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ คงกลัวว่าจะมีคนมาพบเห็น ถงเจี้ยนยกยิ้มมุมปากท่าทางเจ้าเล่ห์แวบหนึ่งก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว หากถามว่าเขาเขียนจดหมายอันใดไป ฉีเยว่เผิงถึงได้ออกมาพบ เขาก็เพียงแค่จี้ปมที่มีอยู่ในใจของอีกฝ่ายไปก็เท่านั้น กล่าวว่าเขาพบฉีจื่อหรานแล้ว โดยเขามีแผนจะจัดการกับฉีจื่อหรานและมีวิธีที่จะทำให้ตระกูลฉีกลับคืนสู่สถานะเดิมอีกครั้ง หากต้องการร่วมมือกันให้มาพบกันที่โรงเตี๊ยมหรูอี้ตามลำพังห้ามบอกผู้ใด ด้วยกลัวว่าจะมีคนไม่เห็นด้วย หากเป็นเรื่องอื่นฉีเยว่เผิงอาจจะใช้เวลาไตร่ตรองมากกว่านี้ แต่พอเป็นเรื่องของน้องสาวคนเล็ก ฉีเยว่เผิงก็มักจะเกิดปฏิกิริยาตอบกลับฉับพลันเสมอนางอยากเป็นน้องสาวคนเล็กของตระกูลฉีที่ทุกคนให้ความสำคัญเฉกเช่นที่ผ่านมา และจะดีเพียงใดหากสามารถกำจัดฉีจื่อหรานให้พ้นทางไปได้ นางก็จะไม่มีอะไรให้กวนใจอีก นี่คือเหตุผลหนึ่งข้อของฉีเยว่เผิงท
ตอนที่[19]กรรมนั้นคืนสนอง“คุณชายข้าน้อยนำสุรากาใหม่มาให้ตามที่สั่ง….” เสี่ยวเอ้อมีท่าทางตกใจไม่น้อยเพราะภาพตรงหน้าคือคนกำลังร่วมรักกันอย่างดุเดือด เรื่องนี้มิได้มีเพียงเสี่ยวเอ้อที่พบเห็น เพราะนอกจากเขายังมีบุรุษและสตรีอีกหลายคนที่มาดูเหตุการณ์ เดิมทีคงไม่มีผู้ใดมา แต่เพราะมีการปล่อยข่าวว่าคุณชายถงที่เป็นหัวข้อของคนในหลายวันที่ผ่านมาได้นัดแนะกับสตรีมาพบกันที่โรงเตี๊ยมหรูอี้ หากเป็นทั่วไปผู้คนคงไม่สนใจ แต่เมื่อคนผู้นี้มีข่าวลือว่าเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ แล้วเหตุใดจึงนัดสตรีไปพบกันอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ คนผู้หนึ่งจึงได้เสนอว่าไปดูกันเถิด เมื่อมีคนเริ่ม จึงมีคนตามสุดท้ายจึงได้เฮโลกันมาที่โรงเตี๊ยมหรูอี้และโชคก็เข้าข้างเมื่อเสี่ยวเอ้อเปิดประตูห้องพักของถงเจี้ยนเพื่อที่จะเอาสุราใหม่ไปให้ตามที่เขาสั่ง พวกเขาจึงได้เห็นภาพเด็ดกันอย่างถ้วนหน้า ภาพนี้ทำเอาทุกคนต้องคิดใหม่ บุรุษตัดแขนเสื้อที่ใด จะออกลวดลายลีลาเผ็ดร้อนเช่นนั้น แม้พบว่ามีคนเข้ามาในห้องเอวสอบของเขายังรัวกระหน่ำไม่หยุด!! “เหลวไหล ทำตัวเหลวไหลนัก!!”เสียงของฉีหวังตวาดลั่นขึ้น ใบหน้าของขุนนางคนสำคัญที่เคยมีสง่าราศีผ่านไปไม่กี่วันกลับดำคล้
ตอนที่[20]ร้านสมุนไพรท่านหญิง “ซื่อจื่อมีเรื่องใดจะหารือกับข้าหรือเจ้าคะ” “ข้าคิดว่าระหว่างที่เราเตรียมการทุกอย่างไป กว่าจะครบหนึ่งปี ระหว่างนี้เราควรจะต้องทำการค้าไปด้วย เช่นนั้น ไหน ๆ ก็ปลูกสมุนไพรอยู่แล้ว เราก็มาเปิดร้านขายสมุนไพรเป็นอย่างไร เจ้าเป็นเบื้องหน้า ข้าอยู่เบื้องหลัง” “ซื่อจื่อจะลงทุนให้ข้า?” “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่มันยังคงเป็นชื่อข้า หากเจ้าอยากได้ก็เก็บเงินมาซื้อต่อข้าละกัน” เขาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างคนเป็นต่อ หากแต่เมื่อเห็นสายตาของนางเขากลับคิดว่าคล้ายว่าเขากำลังตามหลังนาง “เจ้าคิดที่จะทำเรื่องนี้อยู่แล้ว?” “ซื่อจื่อหมายถึงเปิดร้านหรือเจ้าคะ หากเป็นเรื่องนี้ข้าก็คงตอบว่าใช่ แต่ดีที่พระองค์เสนอมาก่อน” นั่นอย่างไร! กลายเป็นเขาที่ยื่นมือเข้าไปเสนอก่อน น่าเสียดายหากรอช้ากว่านี้คงได้เห็นภาพที่นางมาอ้อนวอนเขา แต่เสวี่ยจิ้นคงไม่รู้ว่าในอนาคตนั้น อันใดที่เคยคิดว่าเป็นของตนก็อาจจะไม่ได้เป็นของตนอีกต่อไป “ส่วนเรื่องซื้อร้านต่อ ข้าไม่แน่ใจว่าหากทุกอย่างเรียบร้อยแล้วข้าจะยังอยู่ที่นี่หรือไม่” “เจ้าคิดจะไปจากเมืองหลวงหรือ จะไปที่ใด” เหตุใดพอได้ยินว่านางจะไปอ
ตอนที่[21]สร้างปรากฏการณ์ใหม่ ในยามที่ทุกคนกำลังหลั่งไหลเข้าร้านสมุนไพรเสียงเล็กแหลมของขันทีก็ดังขึ้นที่หน้าร้านเพื่อบ่งบอกว่าบุคคลสำคัญได้มาเยือนร้านนี้แล้ว ไม่ว่าผู้ใดที่ได้ยินเช่นนี้ก็ล้วนแต่คุกเข่าแล้วก้มหน้าลงอย่างถ้วนหน้า “ไม่ต้องมากพิธี เปิ่นกงเพียงแค่มาให้กำลังใจหลานสาวของเปิ่งกงก็เท่านั้น” แม้จะอายุมากแล้ว แต่พระพักตร์ของไทเฮาก็ยังสดใสและมากไปด้วยบารมี ยิ่งวันนี้เป็นวันเปิดกิจการของหลานสาวคนโปรดจิตใจยิ่งเบิกบานกว่าวันใด ส่งผลให้พระพักตร์ยิ่งอ่อนเยาว์ลงไปอีกหลายปี เพียงเท่านี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าท่านหญิงมีน้ำหนักในใจของไทเฮามากเพียงใด ไทเฮากล่าวเสร็จก็มีคนมาเชื้อเชิญให้พระองค์ไปนั่งยังห้องรับรองส่วนตัวที่สามารถมองเห็นบริเวณเวทีแนะนำสินค้าได้อย่างชัดเจน เมื่อทุกคนจับจองหาที่นั่งของตนเองเสร็จแล้ว ไม่นานก็มีคนของร้านขึ้นมาบนเวทีที่ถูกยกสูงขึ้นก่อนที่จะขึ้นมาแนะนำสินค้าแต่ละตัวด้วยความคล่องแคล่ว ด้วยสรรพคุณที่เด่นชัดได้ถูกประกาศออกไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องอธิบายละเอียดอันใดมาก เพราะจิตใจของหลายคนย่อมมีสินค้าที่ต้องการในใจแล้ว โดยเฉพาะในสตรีชนชั้นสูงที่ต้องการครอบครองอาหารเสริม
ตอนที่[22]ชีวิตที่น่าสมเพช “หน้ากากอนามัยเช่นนั้นหรือ มันคืออันใดกัน” ไม่เพียงแต่ไทเฮาที่สงสัย แม้แต่ซื่อจื่อที่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตากินอาหารก็ได้แต่วางตะเกียบลงรอฟังสิ่งที่หญิงสาวจะพูด จริงอยู่ที่นางให้เขาหาผ้าที่มีคุณสมบัติตามที่นางต้องการ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะไปทำอันใด และเขาก็ไม่ได้คิดจะถามนาง มาย้อนคิดดูเหตุใดเขาจึงไม่ถาม เขาไม่เคยปล่อยสิ่งที่สงสัยให้ผ่านไปเลยสักครั้ง เสวี่ยจิ้นคงไม่รู้ว่าเขาคลายความสงสัยต่อเซี่ยจื่อหรานมาพักใหญ่แล้ว “มันเป็นหน้ากากที่เอาไว้สวมปิดจมูกเพื่อป้องกันโรคและสิ่งสกปรกเจ้าค่ะ ทำให้เราไม่ต้องไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นโดยตรง” เซี่ยจื่อหรานกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากแต่หน้ากากอนามัยนี่จะต้องใช้ช่างตัดเย็บด้วยวิธีการพิเศษ และต้องระมัดระวังควบคุมความสะอาดในขั้นตอนการผลิตเป็นอย่างมาก ดังนั้น ขั้นตอนนี้จะต้องหาช่างที่มีฝีมือจำนวนมาก รวมถึงสถานที่ที่ดีในการผลิต จึงต้องใช้งบประมาณ….” กล่าวแล้วก็เหล่มองไปยังบุรุษที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของตน หากแต่เมื่อไทเฮาได้ยินว่าหลานต้องการใช้เงินก็เตรียมจะเสนอขึ้น “ยาย…”“เดี๋ยวข้าจัดการเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” ชินอ๋องซื่อจื่อ
ตอนที่[22]ชีวิตที่น่าสมเพช“เจ้าดูอารมณ์ดี?” เสวี่ยจิ้นเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคนด้านข้างยามนี้ดูอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก “คิดว่าจะได้ชมเรื่องสนุกจึงรู้สึกดีไม่น้อยเจ้าค่ะ” กล่าวแล้วก็ระบายยิ้มเต็มใบหน้า รอยยิ้มนั้นทำให้เสวี่ยจิ้นกระแอมไอออกมาก่อนจะเบือนหน้าหนี นี่มันอันตรายเกินไปแล้ว ด้านหญิงสาวที่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มเป็นอันใดก็ได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อครู่ยังพูดคุยกันดี ๆ อยู่เลย แม้จะผ่านมาเกือบปี นางก็ยังไม่คุ้นชินกับท่าทางเช่นนี้ของเขาเท่าไรนัก เมื่อผ่านเหตุการณ์อันตรายต่อหัวใจผ่านพ้นไปทั้งสองก็ไม่ได้พูดอันใดกันอีก จนกระทั่งคนบังคับรถม้าบอกว่าถึงจุดหมายแรกแล้ว ตระกูลเหลียง ด้วยทักษะตัวเบาที่มีอยู่ทำให้เซี่ยจื่อหรานสามารถหาจุดที่เหมาะสำหรับการณ์สอดส่องเรื่องของชาวบ้านได้อย่างรวดเร็ว แม้แต่เสวี่ยจิ้นยังแทบมองตามไม่ทัน แต่หากเมื่อตั้งสติแล้วเขาก็รีบตามหญิงสาวไปทันที เบื้องหน้าทั้งคู่ยามนี้คือสตรีและบุรุษที่กำลังทะเลาะกันอย่างดุเดือด เป็นฉีเยว่อิน บุตรสาวคนรองของตระกูลฉี ส่วนผู้เป็นสามีนั้นเป็นขุนนางขั้นแปด ที่กำลังอยู่ในท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก“ข้าจะมีอนุเพิ่มอีกสองคนไม่รู้ล่ะ
ตอนที่[23]ทดลองยา ในขณะที่รถม้ากำลังเคลื่อนที่เพื่อเดินทางไปหมู่บ้านเซียงหวย ในใจของเซี่ยจื่อหรานนั้นไม่ปกติเท่าใดนัก นางกำลังมีความวิตกกังวล ในใจภาวนาขอให้มันมิใช่โรคระบาดที่เคยเกิดขึ้น เป็นเพียงการเจ็บไข้ธรรมดา แต่ลางสังหรณ์ในใจกลับบอกว่าต้องเป็นโรคระบาดเป็นแน่แท้ แม้จะเตรียมตัวมานาน แต่ชั่วขณะหนึ่งก็รู้สึกไม่มั่นใจ ยานั่น จะได้ผลดีเช่นโลกอนาคตหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่นางกังวล การเดินทางครั้งนี้มิได้มีเพียงนาง แต่ซื่อจื่อยังพาเหล่าทหารในสังกัดของตนและหน่วยทหารของเมืองหลวงติดตามไปด้วย เพราะหากว่าเป็นโรคระบาดจริง จะต้องมีการกักบริเวณผู้คนที่เจ็บป่วย ไม่ให้เคลื่อนย้ายไปที่ใด จะได้ง่ายต่อการควบคุมสถานการณ์และการรักษา การเตรียมตัวในการเดินทางครั้งนี้นางให้ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยให้ครบถ้วนทุกคนและบอกวิธีการเฝ้าระวังต่าง ๆ ให้ด้วย แม้ว่าจะเกิดข้อสงสัยและข้อกังขาในหมู่เหล่าทหาร แต่เมื่อซื่อจื่อสั่งการพวกเขาจึงไม่กล้าขัดข้องอันใด หมู่บ้านเซียงหวยนั้นอยู่ห่างจากใจกลางเมืองหลวงค่อนข้างมากแทบจะอยู่ติดเขตกำแพงเมืองหลวงฝั่งตะวันตก การเดินทางจึงต้องใช้เวลาพอสมควร ทว่าเมื่อไปถึงกลับพบภาพที่น่
ตอนพิเศษ[2]พร้อมหน้าพร้อมตา วันเวลาผันผ่านไปนานหลายปีหากแต่แคว้นตี้ยังมีแต่ความสงบสุข ไร้ซึ่งความวุ่นวาย นอกจากนั้นยามนี้ยังกลายเป็นผู้นำในด้านสมุนไพรหายากและล้ำค่าอีก เซี่ยจื่อหรานกลายเป็นที่ปรึกษาพิเศษของสำนักหมอหลวง ไม่ว่าหัวขาวหัวดำต่างเรียกนางว่า ‘ท่านอาจารย์’ แทบทั้งสิ้น แม้ไม่อยากจะรับแต่ก็ต้องรับไว้ ไทเฮากล่าวว่าลับหลังนางพวกเขาก็เรียกขานนางว่าท่านอาจารย์อยู่ดี สู้ทำให้กลายเป็นที่ประจักษ์กันไปเลย ผู้ใดจะคิดว่าสตรีอายุน้อยจะมีความรู้แตกฉานในด้านสมุนไพรเช่นนี้ ทั้งสามารถนำสมุนไพรเหล่านั้นมาปรุงเป็นอาหารจานเด็ดได้ด้วยผู้ใดได้กินก็ล้วนแต่ติดใจ หากแต่มีโอกาสได้กินน้อยนัก เพราะชินอ๋องซื่อจื่อหวงภรรยายิ่งกว่าสิ่งใด คงมีแต่ชินอ๋องซื่อจื่อและเชื้อพระวงศ์ที่สนิทกระมังถึงจะได้กินฝีมือของท่านอาจารย์เซี่ย และก็เป็นจริงดังนั้น วันนี้เป็นวันจะเข้าคืนวันขึ้นปีใหม่ ทุกคนตกลงกันว่าจะมารวมตัวกันและเฉลิมฉลองปีใหม่กันที่เรือนซิ่งฝู ดังนั้นเซี่ยจื่อหรานจึงต้องเตรียมอาหารที่ทุกคนลงความเห็นว่าอร่อยหาที่ใดเทียม อาหารที่ว่าก็คือ ไก่ผัดเซียงเหมา นอกจากนั้นยังมีปลาผัดกันเจียง (ขิง) เนื้อแกะตุ๋นส
ตอนพิเศษ[1]ถูกกลั่นแกล้ง สองขาแข็งแกร่งก้าวไปอย่างมั่นคงไม่มีซวนเซเลยแม้แต่น้อยแม้จะดื่มสุรามงคลเข้าไปเพียงใดก็ตาม ค่ำคืนนี้เขาจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับสตรีในดวงใจแล้วจะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร ทว่ายิ่งเร่งรีบเหตุใดปลายทางก็ยิ่งห่างไกล หรือว่าเขากำลังตื่นเต้นเกินไป จึงรู้สึกว่าทุกอย่างเชื่องช้าไปเสียหมด แต่สุดท้ายก็สามารถพาตนเองไปอยู่ที่หน้าห้องที่ประดับตกแต่งด้วยผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในขณะที่มือหนากำลังจะเอื้อมมือไปเปิดบานประตู จู่ ๆ องครักษ์ก็มารายงานว่าฝ่าบาทมีรับสั่งให้เขาไปทำภารกิจเร่งด่วนในคืนนี้ หากเป็นวันทั่วไปเขาก็คงไปโดยไม่อิดออด แต่คืนนี้เป็นคืนสำคัญของเขา คิดได้อย่างเดียวว่านี่ต้องเป็นการกลั่นแกล้งจากเสด็จลุงเป็นแน่ ไม่สิ อาจจะมีเสด็จย่าเข้าร่วมด้วย “ข้าไม่ไป” ชายหนุ่มปฏิเสธเตรียมจะเปิดประตูเข้าห้องหออีกครั้ง “เอ่อ ฝ่าบาทรับสั่งว่าหากซื่อจื่อไม่ไปจะทำการโยกย้ายพระองค์ไปประจำการที่แดนใต้ตั้งแต่คืนนี้โดยไม่ให้ฮูหยินติดตามไปด้วยขอรับ” “ฮึ่ม นี่มันเกินไปจริง ๆ” ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกัดฟันกรอดแม้จะรู้สึกขัดใจเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องไป มาดูกันว่าเสด็จลุงจะกลั่นแกล้
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็นภาพทุกอย่างตัดกลับไปที่ฉีจื่อหรานยังคงเป็นทารกน้อยครานี้เสิ่นเจียงร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ นั่นสิ นางเป็นแม่แบบใดกัน อุ้มท้องมาตั้งเก้าเดือน กว่าจะคลอดออกมา จื่อหรานในยามเป็นทารกก็น่ารักน่าชังยิ่ง นางทำกับเด็กที่ไร้เดียงสาเช่นนั้นได้อย่างไร สวรรค์ลงโทษแล้ว เป็นนาง นางเป็นมารดาที่ชั่วช้า เหล่าคนตระกูลฉีเริ่มรู้แล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นผลจากการกระทำที่ตนได้กระทำกับฉีจื่อหรานอย่างโหดร้ายในชาติก่อน ชาตินี้ก็ยังกระทำซ้ำรอบเดิมอีก ไม่แปลกที่จะได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจเช่นนี้ บัดนี้ความรู้สึกโกรธแค้น ความรู้สึกไม่เข้าใจ ไม่ยินยอมได้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดมาจากใจจริง “หรานเออร์พวกเราขอโทษเจ้า โปรดให้อภัยพวกเราด้วย”เหล่าผู้ที่รับหน้าที่คุมตัวตระกูลฉีไปส่งที่แดนเหนือ รีบลงมาจากรถม้าเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ไม่นานพวกเขาก็ต้องถอนหายใจออกมาเพราะยามนี้เบื้องหน้าปรากฏเพียงร่างไร้วิญญาณของพ่อแม่ลูกตระกูลฉีเท่านั้น ใบหน้าของพวกเขายังมีคราบน้ำตาติดอยู่มากมายราวกับคนที่ร้องไห้ด้วยความทรมานจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต โดยเฉพาะคนผู้หนึ่งที
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็น “เหตุใดจึงแต่งงานกันไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ยามนี้ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกำลังเอ่ยถามพระอัยยิกาพร้อมทั้งมีสีหน้าบึ้งตึงด้วยไม่พอใจอย่างยิ่งยวด “ย่าอนุญาตให้คบหากันนั่นก็ที่สุดแล้ว แล้วนี่เพิ่งคบกันได้หนึ่งเดือนจะแต่งงานกันเลยได้อย่างไร เวลาน้อยไป หรานเออร์หลานย่า ย่าไม่ยอมให้คบผู้ใดเพียงแค่ผิวเผินแน่นอน” เซี่ยไทเฮาว่าพลางดึงหลานสาวให้ไปอยู่ด้านหลังตน “แล้วหลานมิใช่หลานของเสด็จย่าเช่นเดียวกันหรือ อีกอย่างหลานหาใช่คนชั่วร้ายอันใด จะให้รอไปถึงเมื่อใดกัน เสด็จย่าอย่าใจร้ายกับหลานเลย” ว่าแล้วพลางส่งสายตาที่น่าสงสารไปให้คนรักที่อยู่ด้านหลังผู้เป็นย่า หวังว่านางจะเห็นใจเขาและช่วยพูดกับเสด็จย่า หากแต่นางกลับมีเพียงรอยยิ้มน้อย ๆ และไม่กล่าวอันใดอีก “ระยะเวลาไม่กำหนด แต่หากซื่อจื่อทำให้ย่าเห็นว่าเจ้าสามารถดูแลหรานเออร์ได้ดี เมื่อนั้นย่าจะอนุญาตเอง” “โธ่ แล้วหากว่ากว่าจะเป็นที่ถูกใจเสด็จย่ามันก็ผ่านไปหลายปีแล้วเล่า” “หลายปีก็หลายปีสิ ซื่อจื่อรอไม่ไหวหรือ เช่นนั้นย่าจะได้ให้หรานเออร์ไปแต่งกับผู้อื่นที่ความอดทนมีมากกว่า” “ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!! เฮ้อ เช่นนั้น รอก็ร
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด ใช้เวลากว่าแรมเดือนกว่าที่นางจะสามารถจัดการธุระสำคัญทั้งหมดเสร็จสิ้น หลังจากที่เหตุการณ์อันตรายผ่านพ้นไป ไทเฮาจึงได้ชวนเชื้อพระวงศ์ไปพักผ่อนที่ตำหนักซินหยานอีกครา แม้อากาศจะเริ่มเหน็บหนาวแล้วแต่ยังสามารถเดินทางออกไปได้อยู่ ยามนี้ที่นั่นคงงดงามไม่น้อย “จื่อหราน รอบนี้เราไปปีนเก็บผลไม้กันมาเยอะ ๆ อย่าให้พี่ใหญ่จับได้” ท่านหญิงเสวี่ยเร่อมากระซิบข้างหูนางด้วยความซุกซนเช่นเคย นั่นสินะ ผลไม้หลายอย่างที่เติบโตในอากาศหนาวคงกำลังออกผลผลิตเต็มต้น หากแต่สิ่งที่นางตื่นเต้นนั้นมิใช่แค่การเก็บผลไม้เหล่านั้นอย่างเดียว หากแต่เป็นสิ่งที่คนผู้นั้นกล่าวว่ามีบางอย่างจะพูดคุยกับนาง “หรานเออร์ พี่มีบางอย่างจะพูดคุยกับเจ้า” เพียงแค่ถึงตำหนัก เขาก็ไม่รอช้าที่ลากนางเข้าไปในป่า ในป่าที่เป็นป่าจริง ๆ หาใช่สวนบุปผาที่สวยงามแต่อย่างใด ลากมาอย่างรวดเร็วและไกลชนิดที่ว่าเสวี่ยเร่อตามไม่ทันกันเลยทีเดียว พร้อมทั้งคำเรียกขานที่เปลี่ยนไปทั้งหมด “เจ้าหนาวหรือไม่” เขาว่าพร้อมถอดเสื้อคลุมมาคลุมให้นางโดยไม่รอคำตอบ แต่เขาควรจะถามว่าเหนื่อยหรือไม่ก่อนสิ ก็เล่นลากกันมาไกลเช่นนี้ “เจ้า
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด โทษของตระกูลฉีสามารถทำให้ร้ายแรงไปจนถึงขั้นประหารชีวิตเฉกเช่นองค์ชายห้าได้ แต่เพราะนางอยากให้พวกเขาได้ลิ้มรสความสิ้นหวังและการถูกทอดทิ้งว่าเป็นอย่างไร เมื่อไม่สามารถกลับบ้านและกลับมาสู่จุดเดิมที่เคยอยู่ ตกต่ำไร้คนเหลียวแล แบบนั้นคงจะเจ็บแสบกว่าการประหารและลิ้มรสความเจ็บปวดเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ ที่จริงแล้วตระกูลฉีไม่ได้ฉลาดล้ำโดยการไปร่วมมือวางแผนการกับองค์ชายห้าถึงเพียงนั้น แต่เพราะพวกเขาถูกหลอกใช้ ว่าจะมอบยารักษาให้รวมถึงช่วยแก้แค้นหากพวกเขาสามารถเผาที่เก็บยาสมุนไพรของนางได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น เพราะสมุนไพรทั้งหมดนางเก็บเอาไว้ที่เรือนที่ถูกสร้างขึ้นใกล้กันกับเรือนซิ่งฝู แต่เมื่อลงมือทำแล้วก็ต้องรับผลของการกระทำ ชีวิตหลังจากนี้ของพวกเขาจะเป็นเช่นไรก็แล้วแต่โชคชะตากำหนดก็แล้วกัน ด้านองค์ชายห้าผู้ที่เป็นต้นเหตุและต้นตอของความวุ่นวายในเมืองหลวงที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายวัน และเป็นคลื่นใต้น้ำในราชสำนักมาหลายปีก็ถูกจับกุมตัวและถูกสั่งโทษประหารเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวเริ่มต้นที่องค์ชายห้าผู้ที่มักวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แท้จริงกลั
ตอนที่[28]ถอยกลับไม่ทันแล้ว “ใช่ ช่างไม่นึกถึงข้าวแดงแกงร้อน และบุญคุณที่ข้าอุ้มท้องเจ้ามาตั้งหลายเดือนเลยสักนิด” เสิ่นเจียงไม่อาจปั้นหน้ากล่าวดี ๆ กับอีกฝ่ายได้เช่นกัน จึงได้ชี้หน้าใส่บุตรสาวด้วยความโกรธเกรี้ยว “หึ คำก็บุญคุณสองคำก็บุญคุณ พวกท่านเลี้ยงข้าดีนักหรือ อาหารที่ข้าได้รับนั้นแย่ยิ่งกว่าของบ่าวในเรือนเสียอีกกระมัง หากจะพูดถึงเรื่องบุญคุณข้าว่า…. ข้าน่าจะชดใช้ให้พวกท่านไปแล้วตั้งแต่ที่พวกท่านคิดแผนร้ายเพื่อจัดการกับข้าในคืนนั้น” “แล้วอย่างไร สุดท้ายคนที่แต่งกับถงเจี้ยนก็คือข้ามิใช่หรือ ฉีจื่อหรานเป็นเพราะเจ้า ข้าถึงต้องแต่งกับคนชั่วเช่นนั้น เป็นเพราะเจ้าข้าถึงต้องตกอยู่ในสภาพนี้” ฉีเยว่เผิงกล่าวแล้วก็ยกมือขึ้นจับใบหน้าตนเอง “การที่ท่านแต่งกับถงเจี้ยนมันเกี่ยวอันใดกับข้าแล้วการที่ใบหน้าของท่านเสียโฉมแล้วมันเกี่ยวกันอันใดกับข้าพี่ห้า ไปทำชั่วอันใดเข้าล่ะ หน้าถึงได้เละเช่นนั้น” “นี่ นังน้องชั่ว!” ฉีเยว่เผิงทำท่าจะเข้าไปจัดการกับเซี่ยจื่อหราน หากแต่ยังไม่ได้ทำอันใดก็มีมือปริศนาตบเข้าที่ใบหน้าจนล้มฟุบลงไป มิใช่เพียงแค่ฉีเยว่เผิงสมาชิกทุกคนของตระกูลฉีก็ถูกฝ่ามือปริศนาตบแบบไ
ตอนที่[28]ถอยกลับไม่ทันแล้ว บ่าวในเรือนล้วนหาทางหลบหนีแต่ก็ไร้ทางออก บ้างก็ร้องไห้บ้างก็ฟุบลงอย่างไร้เรี่ยวแรง อาการป่วยเช่นนี้พวกเขาไม่เคยประสบมาก่อน อาการช่างกำเริบรวดเร็วฉับพลันเหลือเกิน หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้พวกเขาคงไม่กลับเข้ามาในจวน ไม่สิ คงไม่ดูหมิ่นคุณหนูหกเช่นนั้น หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาอาจจะไม่ต้องถูกขังอยู่ที่นี่ ด้านเจ็ดคนพ่อแม่ลูกตระกูลฉีที่พยายามจะออกที่หน้าประตูหลัก เมื่อไม่สามารถทำได้ก็พยายามคิดหาหนทางกันแทบหัวแตก จนท้ายที่สุดฉีเยว่เผิงกลับนึกถึงเส้นทางหนึ่งที่ตนเคยจำได้ว่ามันมีรอยแยกระหว่างกำแพงที่ยังไม่ได้รับการซ่อมแซม “ท่านพ่อท่านแม่ พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม พี่สี่ พวกเราไปที่ท้ายจวนกันเถิดข้ามีวิธีออกจากจวนได้แล้ว” ทุกคนเมื่อเห็นว่ามีทางรอดจึงได้แย้มยิ้มออกมาแม้ว่าร่างกายจะอิดโรยจากอาการป่วยแทบเดินไม่ไหวกันเต็มที ฉีเยว่เผิงคิดว่าหากออกไปรักษาจนหายดีทั้งอาการป่วยและใบหน้าแล้ว จากนั้นตนจะเอาคืนฉีจื่อหรานให้สาสม และชินอ๋องซื่อจื่อก็ต้องตกเป็นของนางในที่สุด ยิ่งเมื่อนึกถึงว่าหนึ่งปีก่อนที่นางได้พบกับชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นที่งานเลี้ยงในเมืองหลวงแล้วรู้สึกประทับใจเ
ตอนที่[27]ถูกทอดทิ้งเป็นอย่างไร ครอบครัวที่ได้เกี่ยวดองกับบุตรสาวตระกูลฉีต่างก็เร่งให้สะใภ้ของตนไปขอขมาท่านหญิงเซี่ยเพื่อจะได้เข้ารับการรักษาหรือรับยามากิน แต่สตรีที่เกลียดชังน้องสาวอย่างฝังลึกมีหรือจะยินยอม เมื่อเห็นว่าสะใภ้อย่างไรก็ไม่ยอม สุดท้ายเพื่อความอยู่รอดตระกูลเหล่านั้นจึงได้ให้บุตรชายเขียนหนังสือหย่าขาดจากภรรยาเสีย บุรุษเหล่านั้นหาได้เป็นคนดีอันใดอยู่แล้ว เพราะความกลัวตายจึงได้รีบหย่าภรรยาโดยเร็ว หนำซ้ำก่อนจะขับไล่อีกฝ่ายออกจากจวนยังตบตีทำร้ายร่างกายที่พวกนางไม่ได้ดังใจอีก สุดท้ายเหล่าสตรีตระกูลฉีเลยต้องพาร่างกายและจิตใจอันบอบช้ำกลับบ้านเดิมของตนเพราะไม่มีที่ไป ยิ่งเมื่อเห็นสภาพของบุตรสาวแต่ละคนฉีหวังก็กล่าวออกมาอย่างมีโทสะว่า “หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรข้าก็ไม่มีทางไปขอร้องนังตัวซวยนั่นเด็ดขาด!!”โดยที่ระหว่างนั้นไม่ได้สังเกตอาการตนเองแม้แต่น้อยว่าเริ่มมีอาการระคายคอแล้ว “ฝีมือท่านหรือ” เซี่ยจื่อหรานเอ่ยถามชายหนุ่มที่กำลังจิบชาสมุนไพรอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะคัดแยกสมุนไพรของนางที่เรือนซิ่งฝู “ก็ผู้ใดให้พวกเขามาเผาร้านของเรากัน ก็ต้องสั่งสอนไปเสียบ้าง” เซี่ยจื่อหรานรู้สึกทำหน้า