หลังจากโทรศัพท์เสร็จ ฉินเป่ยก็ส่งใบรายชื่อวัตถุดิบยาที่เขาต้องการทั้งหมดไป จากนั้นก็กลับบ้านทันที
เขาตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะไปรีโนเวทร้านเสียหน่อย เขาอยากให้แม่รู้ว่าเขามีการงานเป็นหลักแหล่งให้เร็วที่สุด แบบนี้ต่อไปแม่จะได้ไม่ต้องเป็นกังวลมาก
เวลานี้ ณ บ้านตระกูลโจว
โจวเทียนเป่ยผู้นำตระกูลโจวโมโหโกรธาด่าทอเขาเป็นคนไร้ความสามารถทันทีที่เป็นแขนทั้งข้างของอากุ่ยใช้การไม่ได้
“อากุ่ย ตระกูลโจวของเราเลี้ยงดูแกมานานหลายปีขนาดนี้ ปกติแกกับพวกของแกไม่เคยกลัวอะไรใคร ครั้งนี้ฉันให้แกไปออกหน้าเอง แต่กลับถูกไอ้เด็กธรรมดานั่นจัดการ”
“แค่นั้นก็พอแล้ว แกยังปล่อยให้มันทำลายแขนแกไปข้างอีก”
“แกบอกฉันสิว่าแกมันไร้ความสามารถแค่ไหน!”
ความสามารถของอากุ่ย โจวเทียนเป่ยรู้ดี
ถึงความสามารถของเขาจะไม่ถึงกลับไม่ต้องเกรงกลัวใครในหยางตู แต่เขาก็มีฝีมือไม่ร้อย แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่านอกจากจะไม่ได้แขนขาของฉินเป่ยกลับมา ตัวเขายังโดนทำลายแขนไปหนึ่งข้าง
อากุ่ยนอนอยู่บนเปลหาม เขาถูกเพื่อนในทีมแบกกลับมา
สีหน้าของเขาขาวซีด หน้าตาเจ็บปวดสุดชีวิต
“ท่านผู้นำ ครั้งนี้ผมไม่สำเร็จภารกิจเป็นความผิดของผมเอง ผมยอมให้ท่านลงโทษครับ”
“แต่ว่าท่านผู้นำ เจ้าเด็กนั่นร้ายกาจมาก เขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ผมสัมผัสถึงกระแสลมปราณจอมยุทธ์ของเขาเลย”
“แต่หมัดนั่นของเขาอย่างนั้นก็ต้องเป็นการบำเพ็ญครึ่งหนึ่งของปรมาจารย์ อีกทั้ง ผมสงสัยว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ครับ”
“สรุปแล้ว ท่านผู้นำต้องระวังฉินเป่ยไว้นะครับ ไอ้เจ้าเด็กนั่นมันร้ายกาจจริง ๆ ”
อากุ่ยกลัวจนหลอน ตอนนี้ระดับของจอมยุทธ์ถูกแบ่งออกเป็น ทัฬหะนอก ทัฬหะใน นักพรต ยอดนักพรต ปรมาจารย์ระดับชี่ ยอดปรมาจารย์ และราชาจอมยุทธ์…..
ตอนนี้คนที่เป็นปรมาจารย์ในเมืองหยางตูมีไม่เกินห้าคน คนที่เป็นยอดปรมาจารย์มีแค่สามคน ทุกคนล้วนมาจากตระกูลที่ร่ำรวยอันดับต้น ๆ และเป็นจวนเจ้าเมืองกับตำหนักเล็กที่เก้าแห่งตำหนักเทียนอ๋อง
ปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งสามารถเลี้ยงดูตระกูลเศรษฐีได้ทั้งตระกูล
คนที่บำเพ็ญสูงสุดในตระกูลโจวไม่ใช่เขา แต่เป็นโจวเทียนหนานผู้เป็นอารอง ที่ระดับพลังอยู่ครึ่งหนึ่งของระดับปรมาจารย์
อากุ่ยตั้งใจเตือนโจวเทียนเป่ย แต่โจวเทียนเป่ยกลับไม่เชื่อคำพูดของเขา
“อากุ่ย นี่แกเห็นฉันเป็นเด็กสามขวบหรือไง?”
“ไอ้เจ้าเด็กนั่นเป็นปรมาจารย์? ก่อนแกจะพูดคำนี้ออกมาช่วยใช้สมองหน่อยได้ไหม ในเมืองหยางตูมีคนเป็นปรมาจารย์กี่คน? คนไหนบ้างที่โจวเทียนเป่ยคนนี้ไม่รู้จัก?”
“คนไหนบ้างที่ไม่ได้อายุหกสิบเจ็ดสิบ?”
“ไอ้ฉินเป่ยมันเพิ่งอายุเท่าไร? แกบอกฉันว่ามันเป็นปรมาจารย์?”
“เศษสวะ พวกแกมันเศษสวะ”
“ไสหัวไป ไสหัวออกไปให้หมด ตระกูลโจวจะไม่เลี้ยงดูไอ้พวกสวะ!”
โจวเทียนเป่ยออกคำสั่งยุบทีมบอดี้การ์ดตระกูลโจวในทันที แต่ว่าตอนนี้เองที่โจวเทียนหนานน้องชายของเขาเดินออกมาจากห้องด้านหลัง
“พี่ใหญ่ พี่ไม่ต้องโมโหหรอก ผมเข้าใจเรื่องราวแล้ว ให้ผมจัดการเถอะ!”
“ความสามารถของอากุ่ยผมรู้ดี ผมเชื่อคำพูดของเขา เจ้าเด็กฉินเป่ยนั่นร้ายกาจมาก แล้วเขาเป็นปรมาจารย์หรือไม่ เราจะได้รู้กันเร็ว ๆ นี้”
“เมื่อกี้ผมเพิ่งได้รับข้อความมาว่า หงส์ปัณฑูรเทพีแห่งสงครามกลับไปถึงหน่วยผู้บัญชาการแล้ว อีกห้าวันเธอจะมาเปิดตัวที่เมืองหยางตู แล้วก็ประกาศเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่ง”
“ข่าวนี้จะถูกแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งเมืองหยางตูใกล้จะได้รู้กันหมด”
“ตอนนี้เราได้ข่าวนี้มาแล้ว ก็จะต้องเตรียมการทั้งหมดให้พร้อม ผมคิดว่าเรื่องที่หงส์ปัณฑูรเทพีแห่งสงครามจะประกาศน่าจะเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยา”
“นี่เป็นสายที่ตระกูลโจวของเราแข็งแกร่ง เราจะคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้ได้ ขอแค่เราเหยียบไปถึงขั้นหงส์ปัณฑูรเทพีแห่งสงคราม อย่าว่าแต่ฉินเป่ยเป็นปรมาจารย์เลย ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์ก็เป็นแค่มดในสายตาหงส์ปัณฑูรเทพีแห่งสงคราม!”
“พี่ใหญ่ ผมหวังว่าพี่จะทำเพื่อตระกูลโจวเราเป็นสำคัญ”
“นอกจากนั้น แพทย์เซียนที่มาจากแดนมังกรจะมาถึงหยางตูในอีกสองชั่วโมง ในฐานะผู้นำตระกูลโจว ผมหวังว่าพี่จะไปรอต้อนรับเขาที่สนามบินด้วยตัวเอง”
“มีแพทย์เซียนอยู่ขาสองข้างของเสี่ยวห้าวต้องรักษาหายแน่ เขาจะต้องกลับมายืนได้อีกครั้ง”
“ส่วนเรื่องฉินเป่ย ผมจะให้เขาสนุกอีกสักสองสามวัน แล้วผมจะไปชำระแค้นมันเอง”
คำพูดของโจวเทียนหนานทำให้ความโมโหของโจวเทียนเป่ยมลายหายไปสิ้น เขาพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “น้องรอง ข้อความของนายถูกต้องใช่ไหม?”
“ถูกต้องแน่นอน นี่เป็นข่าวที่ผมได้มาจากกรมการทหารเมื่อกี้”
โจวเทียนหนานมั่นใจมาก
“ผมถึงว่า ทำไมผมตามหาหงส์ปัณฑูรเทพีแห่งสงครามที่หยางตูอยู่ตั้งหลายวันทำไมผมถึงไม่เจอแม้แต่เงา ที่แท้เธอกลับไปที่กรมการทหารแล้ว!”
“น้องรอง เรื่องหงส์ปัณฑูรเทพีแห่งสงครามพี่จะมอบให้นายจัดการ ตอนนี้พี่จะไปรับแพทย์เซียนที่สนามบิน”
จากนั้นโจวเทียนเป่ยคิดอยู่สักพักก็พูดกับอากุ่ยและบอดี้การ์ดตระกูลโจวว่า “ตระกูลโจวของเราไม่เคยปล่อยให้พวกแกลำบาก พวกแกจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยซะ”
พูดจบโจวเทียนเป่ยก็พาคนออกจากบ้านตระกูลโจวมุ่งตรงไปยังสนามบิน
วันต่อมา
หลังจากทานอาหารเช้า ฉินเป่ยก็พาแม่มาถึงร้านที่เขาซื้อมาเมื่อวานนี้ แล้วเริ่มทำการรีโนเวท
ตอนกลางวันเขาได้เดินทางไปที่คฤหาสน์หมายเลขหนึ่งบนตำหนักทิพย์พิมานเมฆแล้ว
ถึงจะไม่ได้ขาดเงิน แต่ทันทีที่เขารู้ว่าคฤหาสน์หมายเลขหนึ่งที่ท่านย่ามอบให้เขามูลค่ากว่าพันล้านเขาก็ยังตกใจ
หลังจากที่ทำความเข้าใจ เขาก็ได้รู้ว่าที่แพงที่สุดในตำหนักทิพย์พิมานเมฆก็คือคฤหาสน์หมายเลขหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เข้ามาในคฤหาสน์หมายเลขหนึ่งนี้แล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณเบาบาง
ในเวลานี้ ไม่ว่าเขาจะโง่แค่ไหน เขาก็เข้าใจว่าดีว่าทำไมท่านย่าเวินถึงได้ให้ของขวัญราคาแพงขนาดนี้กับเขา!
“ท่านย่าคนนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ!”
ในเมื่อเป็นของที่รับมาแล้ว ฉินเป่ยย่อมไม่มีทางคืนกลับไป
เขาตัดสินใจแล้วว่าต่อไปจะอยู่ที่คฤหาสน์หมายเลขหนึ่งนี่
ในขณะเดียวกัน เขาก็ตัดสินใจจะช่วยท่านย่าอีกครั้ง ตอนที่เขารักษาให้เธอ เขาก็ค้นพบว่าเธอหยุดอยู่ที่ระดับปรมาจารย์มานานหลายปีแล้ว
เขาตั้งใจจะมอบยาเม็ดหนึ่งให้เธอ ช่วยให้เธอออกจากระดับปรมาจารย์
หลังจากเดินไปรอบคฤหาสน์หมายเลขหนึ่งหลังใหญ่นี้แล้ว สุดท้ายฉินเป่ยก็มาถึงชั้นบนสุดของอาคาร ก่อนจะนั่งขัดสมาธิและเริ่มดูดซับจิตวิญญาณอันเบาบางในอากาศ
เมื่อสามปีก่อนเขาได้ไปถึงระดับพลังที่ผู้คนบนโลกนี้เล่าเขา แต่การจะก้าวต่อไปในอีกระดับนั้นช่างยากเย็นนัก
ยากราวกับจะขึ้นสวรรค์
ที่อาจารย์ของเขาจากไปเมื่อสามปีก่อน ก็เพื่อจะตามหาวิธีการทะลวงบนเส้นทางแห่งจอมยุทธ์แทนเขา
หลังจากนั่งอยู่สองชั่วโมง ฉินเป่ยก็ลุกขึ้นเดินออกไป
สำหรับระดับการบำเพ็ญของเขาตอนนี้จิตวิญญาณอันบางเบาเหล่านี้ไม่ได้ช่วยเขามักนัก แต่สำหรับอวี่เจียวหรงมันต่างออกไป
เขาตัดสินใจว่าหลังจากที่อวี่เจียวหรงกลับมา เขาจะพาเธอมาที่คฤหาสน์หมายเลขหนึ่งเพื่อฝึกฝน
เมื่อได้เห็นอวี่เจียวหรง เขาก็สัมผัสได้ถึงระดับพลังงานของเธอในทันที อาศัยพลังจิตวิญญาณบาง ๆ เหล่านี้และยาลูกกลอนของเขา เขาเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ของอวี่เจียวหรง เธอจะสามารถทะลวงระดับพลังในตอนนี้ของเธอได้อย่างสมบูรณ์และก้าวไปสู่ระดับพลังใหม่ได้ภายในครึ่งปี
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ฉินเป่ยกลับไปยังร้าน ตอนนี้ป้ายติดที่หน้าประตูใหญ่แขวนเสร็จแล้ว
ชื่อของคลินิกใช้ชื่อของอวี่เจียวหรงมาตั้ง
คลินิกเจียวหรง อักษรตัวใหญ่สี่คำเด่นชัด
เพิ่งเข้ามาในร้าน ฉินเป่ยก็เห็นเวินซูซูกำลังคุยกับแม่อยู่
เขาตะลึงงัน
ภายในใจก็คิดว่ายัยเด็กนั่นทำไมมาหาถึงที่นี่ได้กันเนี่ย?
เมื่อตู้เหมยจวนเห็นฉินเป่ยกลับมา เธอก็ดึงเวินซูซูไปยืนข้างเขาแล้วพูดว่า “เสี่ยวเป่ย ลูกไปไหนมา? แม่นางซูซูมาหาลูก ลูกคุยกับเธอไปก่อนนะ”
พูดจบตู้เหมยจวนก็มาข้าง ๆ ฉินเป่ยแล้วกระซิบ “ลูกชาย แม่นางซูซูเป็นแฟนลูกเหรอ?”
ฉินเป่ยได้ยินก็รู้สึกเวียนหัวเหมือนจะสุขิต แม่เห็นว่าเขาไม่พูดสีหน้าก็เผยรอยยิ้ม
“แม่นางซูซู ลูกชายน้ากลับมาแล้ว พวกมีอะไรก็คุยกันไปก่อนนะ”
“ได้ค่ะคุณน้า”
เวินซูซูตอบรับก่อนจะไปยืนข้างฉินเป่ย
เธอไม่ได้อยากมาหาฉินเป่ย แต่ท่านย่าบังคับให้เธอมา
เธอเองก็ไม่คิดว่าจะได้มาเจอพ่อแม่ของฉินเป่ยที่นี่ เธอคิดถึงแม่ของเธอเมื่อได้คุยกับแม่ของฉินเป่ย
ถ้าแม่ยังอยู่ตรงนี้จะดีแค่ไหนกันนะ ตัวเธอในตอนนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีหนัก