คุณคนโปรดสุดที่ร้าย
ตอนที่ 4
พบเจอ
หลายวันต่อมา
โรงแรม N
ริษาเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงขอบคุณสปอนเซอร์ของผู้จัดท่านหนึ่งที่มีโอกาสได้ร่วมงานและเคารพนับถือกันมานาน แขกเหรื่อในงานล้วนแล้วแต่เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งคนที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลัง รวมไปถึงสื่อมวลชนจากหลายช่องข่าว บรรยากาศงานจึงคึกคักผ่อนคลาย
สถานที่จัดงานเป็นห้องบอลรูมขนาดกลาง โอ่โถงด้วยเพดานสูง ตกแต่งภายในด้วยโทนสีน้ำตาลทองให้ความรู้สึกแสนหรูหรา แขกส่วนใหญ่แต่งกายด้วยชุดสุภาพดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า
วันนี้ริษาอยู่ในชุดเดรสเข้ารูปเน้นสัดส่วนโค้งเว้าอวดโชว์ทรวดทรงน่าประทับใจ เลื่อมปักชุดระยิบระยับเพื่อจุดประสงค์ในการดึงดูดสายตาแขกผู้ร่วมงานและช่างภาพข่าวบันเทิงตามคำแนะนำจากสไตลิสต์ซึ่งสนิทสนมกัน
นอกจากมาร่วมแสดงความยินดีกับผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ อีกประการก็เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับบรรดาสปอนเซอร์ซึ่งได้รับเชิญ หากเป็นเมื่อก่อนหญิงสาวคงไม่ถึงกับต้องหว่านพืชหวังผลให้คนอื่นเมตตาขนาดนี้ ทว่าจากสถานการณ์ปัจจุบันหากมัวนิ่งเฉยรองานคงไม่มีอะไรต่างจากที่เป็น บ่อน้ำไม่เดินไปหาควายฉันใด โอกาสก็ไม่ได้เดินมาหาคนฉันนั้น
“ชวดอีกแล้วเหรอ?”
“ให้แกทายว่าใครได้งานนั้นไป?”
“อย่าบอกนะ…”
“ถูก!”
“ฉันยังไม่ได้พูดชื่อเลย”
“คนที่แกคิดนั่นแหละ”
“เพื่อนรักแกได้งานตัดหน้าไปอีกแล้วสิ”
“รักกับผีน่ะสิ!” นางร้ายหน้าสวยทำเสียงขึ้นจมูกด้วยความฉุนเฉียว ก่อนจะต้องรีบเก็บสีหน้ารักษาอาการสงบนิ่งตามเดิม เมื่อตระหนักได้ว่าบัดนี้เธอไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่เป็นส่วนตัว
หลินหลิน เพื่อนดาราคนสนิทยิ้มกว้างหัวเราะไปกับท่าทีเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาที่ได้เห็น พลางก็ต้องลูบหลังปลอบใจคนซึ่งตกอยู่ในสภาวะผันผวนทางอารมณ์
“ถ้าเดือดร้อนมาก จะยืมเงินฉันก่อนก็ได้นะ” นางเอกลูกครึ่งจีนเจ้าของฉายาน้ำตาสั่งได้เอ่ยทั้งสีหน้าแสดงความเป็นห่วง “แกก็รู้ว่าฉันยินดีช่วย”
ทว่าคนฟังก็ปฏิเสธทันควัน “ไม่ต้อง ที่แกช่วยเหลือมาตลอดก็มากเกินจะใช้หนี้ไหวแล้ว ฉันไม่รบกวนหรอก”
ริษารู้ดีว่าครอบครัวของหลินหลินร่ำรวย แต่ความช่วยเหลือที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ครั้งแล้วครั้งเล่านั้นเธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะชดใช้หมดเมื่อไร อีกทั้งยิ่งสนิทก็ยิ่งต้องเกรงใจ ต่อให้ย่ำแย่ยิ่งกว่านี้ริษาก็จะไม่รับความช่วยเหลือจากเพื่อนอีก
“ถ้ามันหนักนักก็วางบ้างเถอะแก” ถึงหลินหลินเองก็เหนื่อยที่จะโน้มน้าว ได้แต่ส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วยในความดันทุรังจะจัดการทุกอย่างด้วยตนเองของเพื่อน
“เอาเป็นว่าฉันจะพยายามจัดการด้วยตัวเองก่อน พักหลังแกเองก็มีปัญหากับคุณอาบ่อย ๆ ฉันไม่อยากสร้างปัญหาเพิ่ม” ริษากำลังหมายถึง เจ้าสัวกำชัย ผู้เป็นพ่อของคนข้าง ๆ
คงไม่ต้องพยายามเปลี่ยนประเด็นเพื่อหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อีกแล้ว เพียงได้ยินการอ้างถึงบิดา ก็ราวกับหลินหลินจะไม่ต้องการพูดถึงเช่นกัน ทั้งนางเอกสาวยังเป็นฝ่ายพาเปลี่ยนเรื่องเสียเอง
“คนนั้นคุณคม ได้ข่าวว่าช่วงนี้กำลังมองหาพรีเซนเตอร์คนใหม่ เขาเป็นเจ้าของแบรนด์สกินแคร์ที่กำลังมาแรงช่วงนี้” หลินหลินพยักพเยิดไปทางหนึ่งพร้อมให้ข้อมูล
“คุณคมเหรอ คุ้น ๆ นะ” ริษามองตามอย่างให้ความสนใจ “คนข้าง ๆ ล่ะ?”
“คนนั้นถ้าจำไม่ผิดเป็นเพื่อนสนิทคุณรตี ผู้จัดละครพีเรียดเรื่องที่กำลังเป็นกระแส”
“อืม น่าสนใจ”
“น่าสนใจคือ?”
“ก็น่าทำความรู้จักน่ะสิ แกก็รู้ว่าฉันต้องการงาน”
ได้เห็นริษาตีหน้ายุ่งยาก นางเอกลูกครึ่งก็ถอนหายใจเอ่ยทั้งน้ำเสียงกวนอารมณ์ “นึกว่าถามเพราะเขาหล่อ”
“พักค่ะ เพื่อนแกเหมือนต้องการผู้ชายนักหรือไง?”
“อืม นั่นสินะ”
หลินหลินเห็นด้วย เธอรู้ดีว่าริษาไม่เพียงแต่ไม่ต้องการผู้ชาย แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับใครมานานหลายปีแล้วต่างหาก แม้จะมีหน้าตาสะสวยจนติดโผดาราสุดฮอตจากโพลหลายสำนัก แต่ชีวิตจริงเพื่อนแทบไม่ชายตามองผู้ชายคนไหน หากให้ความสนใจก็คงไม่พ้นเรื่องงาน แถมพอพูดถึงเรื่องผู้ชายทีไรริษาก็มักจะปัดตกไม่สนใจจะฟังทุกที
เวลาเดินหน้าท่ามกลางเสียงจอแจเคล้าไปกับดนตรีดังคลอ สองสาวก็ยังกระซิบเสียงพูดคุยกันสองคน ขณะที่คนหนึ่งให้ข้อมูล อีกคนก็พยายามล็อกเล็งเป้าหมายด้วยความตั้งอกตั้งใจ
และหลังจากผ่านไปนานกว่าชั่วโมงริษาก็ขยับกอดเอวคนข้าง ๆ เข้าหาตัวพร้อมเอ่ยปากชมเสียงสดใส
“มีเพื่อนเป็นแกนี่ดีจริง ๆ” หากไม่ได้คนซึ่งมีสังคมกว้างขวางให้การแนะนำเธอคงไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
“ฉันเป็นคนเข้าสังคม จะรู้ทันเหตุการณ์บ้านเมืองก็ไม่แปลก” หลินหลินยิ้มมุมปากด้วยความภูมิใจ ถึงริษาก็หรี่ตามองเพื่อนด้วยความมันเขี้ยว
“ไม่ต้องเป็นแล้วไหมนางเอก รับบทนางซีซีทีวีดีกว่า”
“ด่ามาเถอะว่านางเสือก” นางเอกลูกครึ่งพยักหน้ายอมรับไม่คิดโต้แย้งเลยสักคำ ทั้งยังขยายความปณิธานนำใจของตัวเองต่อด้วยสีหน้าขบขัน “เรื่องงานตอบไม่ค่อยได้ แต่เรื่องชาวบ้านขอให้บอก หลินหลินเล่าได้เป็นวัน”
“ฉันเชื่อแก” คนฟังถึงกับยกมือยอมแพ้
ความสนิทสนมทำให้ริษารู้ดีว่านิสัยส่วนตัวของเพื่อนเป็นอย่างไร เบื้องหน้าหลินหลินเป็นนางเอกเจ้าบทบาทที่รีดน้ำตาเก่งยิ่งกว่าใครในวงการจึงมักได้รับบทนางเอกชีวิตรันทดแสนอ่อนแอ หากเบื้องหลังเป็นคนกว้างขวางซ้ำยังขุดคุ้ยหาข้อมูลเก่งยิ่งกว่านาตาชา ถามเรื่องใครเจ้าตัวรู้หมดอย่างกับอยู่ใต้เตียง จะไม่ให้เรียกว่านางซีซีทีวีได้อย่างไร
ทว่าริษานั้นต่างออกไป เธอแทบไม่ได้ให้ความสนใจกับใคร หลายปีที่ผ่านมาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่งาน เวลาว่างที่มีหมดไปกับการดูแลตนเอง ทั้งเข้าคลินิก ทำสปา ปั้นหุ่นออกกำลังกาย หากเป็นตอนที่ยังร่ำรวยกิจกรรมสุดโปรดปรานอีกอย่างคงไม่พ้นการชอปปิงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายตามเทรนด์แฟชั่นที่มีการอัปเดตใหม่อยู่เสมอทั้งที่เป็นกระแสทางสื่อโซเชียล รวมไปถึงการวิเคราะห์จากรันเวย์แฟชั่นโชว์ของแต่ละแบรนด์ในซีซั่นต่าง ๆ
“เฮ้อ!” นางร้ายหน้าสวยลอบถอนหายใจอย่างสุดเซ็ง เมื่อนึกถึงกิจกรรมสุดโปรดที่ระยะหลังไม่มีโอกาสได้ทำเท่าไรนัก
หากเป็นเมื่อก่อนจะเจอตัวริษาคงไม่ต้องเดาว่าอยู่ที่ไหน แต่ตอนนี้อดีตคนเคยรวยไม่มีกำลังทรัพย์มากพอจะชอปปิงเสื้อผ้าแบรนด์หรู ไม่มีเงินมากพอจะเข้าคลินิกบ่อย ๆ กระทั่งกิจกรรมนวดผ่อนคลายระหว่างวันก็ต้องตัดทิ้งไปจากรูทีนเช่นกัน
ทว่าในระหว่างห้วงคำนึงนึกย้อนถึงไลฟ์สไตล์ในอดีตก็มีบางอย่างดึงดูดความสนใจให้หันมองไปอีกทาง ริษาแสดงสีหน้าบางอย่างจนคนข้าง ๆ ถึงขั้นสัมผัสได้
“เป็นอะไร?” หลินหลินอดไม่ได้ที่จะมองตามสายตา หากคนที่มีปฏิกิริยาเปลี่ยนไปก็ปฏิเสธทันควัน
“เปล่า”
ทว่าท่าทีที่พยายามกลบเกลื่อนอาการก็ตกอยู่ในการจับจ้องของเพื่อนซึ่งฉลาดพอจะตั้งข้อสังเกต
“แกทำหน้าเหมือนเจอผี”
“…”
การได้เจอใครบางคนที่นี่สำหรับริษายิ่งกว่าได้เจอผีเสียอีก แต่ครั้งนี้เธอไม่ถึงกับตื่นตกใจ ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าจะได้เจอ เขา จากรายชื่อผู้สนับสนุนที่ได้รับเชิญ
ห่างออกไปทางด้านหนึ่ง เจ้าของเครื่องหน้าคมสันกับรูปร่างโปร่งสูงโดดเด่นในหมู่ฝูงชนกำลังตกเป็นที่จับตามองจากบรรดาแขกเหรื่อ รวมถึงตกเป็นเป้าชัตเตอร์จากหลายทิศทาง
วันนี้ภูริดูดียิ่งกว่าวันก่อนที่ริษามีโอกาสได้เจอ…
หลายปีก่อนเธอคิดว่าอดีตคนรักควรไปเป็นนายแบบหรือนักแสดง หากวันนี้แม้ไม่ได้เข้าวงการบันเทิง ทว่าภูริในชุดสูทสี Midnight Blue ให้ความรู้สึกถึงบุคลิกเคร่งขรึมแต่ดูไม่น่าเบื่อจนเกินไป ประกอบกับสีหน้าขรึมสงบไม่แสดงอารมณ์ยิ่งขับให้ภาพลักษณ์ของเขาโดดเด่นน่าสนใจ ปรากฏตัวเพียงไม่กี่นาทีก็ได้รับแสงสปอตไลต์จากทุกคนยิ่งกว่าพระเอกแถวหน้าของวงการ
“คนนั้นไม่ค่อยออกงานเท่าไร ชื่อคุณภู” หลินหลินยังคงรับหน้าที่ให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องเมื่อจับสังเกตได้ว่าเพื่อนสนิทกำลังให้ความสนใจกับนักธุรกิจหนุ่ม
“แกรู้จักเหรอ?”
“รู้สิ เขารู้จักกับพ่อฉันด้วย”
“รู้จักกับคุณอาด้วยเหรอ?” ริษาประหลาดใจ แม้แต่คนใกล้ตัวเธอยังรู้จักภูริ แถมเขายังมีโอกาสรู้จักกับคนระดับเจ้าสัวกำชัยเสียอีก
“ทำไม? แกสนใจ?” นางเอกลูกครึ่งอดไม่ได้ที่จะพายเรือให้เพื่อนนั่ง “คนนี้เก่งนะ หล่อด้วย”
“ไม่เห็นจะหล่อตรงไหน” ริษาปัดตก ทว่าสายตายังคงจดจ้องที่ตำแหน่งเดิม แม้ใจอยากคิดให้ได้อย่างปากว่า แต่ลึก ๆ แล้วเธอก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายิ่งโตพี่ภูก็ยิ่งดูดี
“ถ้าแบบนั้นไม่หล่อ แล้วจะต้องแบบไหนไม่ทราบ?”
“ไม่รู้สิ เด็กสมัยนี้หล่อกว่าตั้งเยอะ” คนปากว่าไม่สน หากสายตาก็ไม่สามารถละมองไปทางอื่น
“ไม่ยักรู้ว่าแกชอบเด็ก ๆ” เสียงของนางเอกสาวราวกับจะหยอกล้อ “รู้มาว่าคุณภูอายุสามสิบกว่า แถมยังไม่มีภรรยา วัยนี้ แรงกำลังดี แกไม่สนใจ?”
“ไม่”
ริษาดึงสายตากลับมาเพราะคำพูดชวนคิดลึกของนางเอกเก๊อย่างหลินหลิน มีอย่างที่ไหนในจอเรียบร้อยยิ่งกว่าผ้าพับไว้หลังบ้านทะลึ่งตึงตังได้ขนาดนี้
“วันนี้ปัดแก้มเยอะไปเหรอ หน้าแดงเชียว” เสียงล้อเลียนยังคงเอ่ยต่อ หลินหลินรู้ดีว่าริษาที่ไม่เคยชายตามองผู้ชายคนไหนกำลังให้ความสนใจต่อคนซึ่งถูกยกมาเป็นหัวข้อในการสนทนา
ทว่าคนที่แห้งเหือดมานานหลายปีก็ทำเมินไม่สนใจ
“พอเลย ฉันไม่สนใจเรื่องผู้ชาย”
“แหม ใครจะไปคิดว่าคนที่หน้าสวยหุ่นสับขนาดนี้จะไม่เฉียดเข้าใกล้ผู้ชายคนไหนมาตั้งหกเจ็ดปี…” หลินหลินเว้นระยะ ก่อนจะยกมือขึ้นทาบอกทำหน้าแตกตื่นตกใจ “หรือว่าแกยังไม่เคยผ่านผู้ชายมาก่อน?”
ริษาเมินมองไปทางอื่นโดยไม่ตอบคำถาม ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยผ่านประสบการณ์บนเตียง แต่ที่ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะประสบการณ์ที่มีก็มาจากคนเพียงคนเดียว…
“ก็นี่ไง… คุณภูนี่ไง” นางเอกสาวรีบกระซิบเสียงไซโคอย่างต่อเนื่องเพราะนานทีปีหนเพื่อนถึงจะสนใจผู้ชายสักที หลินหลินไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่เพราะตอนที่สองสาวได้รู้จักกัน ริษากับภูริได้เลิกกันไปแล้ว
“ฉันไม่สนใจ”
“ไม่สน?”
“ไม่”
“แต่ฉันว่าเขาดูสนแก”
รอยยิ้มปรากฏในสีหน้าคนตั้งข้อสังเกต หลินหลินบังเอิญได้เห็นว่าฝ่ายชายก็ชำเลืองมองมาทางนี้เช่นกัน ทว่าก่อนจะได้พูดอะไรต่อ คู่สนทนาก็เปลี่ยนเรื่องทำหูทวนลมราวกับไม่ได้ยิน
“เมื่อไหร่เจ๊ต้อยจะมาเนี่ย” ริษาว่าพลางก็ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา วันนี้ต้อยติ่งบอกให้เธอล่วงหน้ามาที่งานก่อน แต่ตอนนี้งานกำลังจะเริ่มก็ยังไม่มาสักที
แม้จะประหลาดใจกับการเบี่ยงประเด็นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ แต่หลินหลินก็จำใจต้องเก็บไม้พายชั่วคราวด้วยความเสียดาย
“แกก็โทรตามสิ ถ้าต้องแบกหน้าทำความรู้จักคนเดียวคงเหนื่อยตาย หรือจะให้ฉันเดินเป็นเพื่อน?”
“ไม่ต้องหรอกแก ฉันจัดการเอง” แน่นอนว่าริษาปฏิเสธ พร้อมกันก็ต่อสายหาผู้จัดการส่วนตัว รอไม่กี่อึดใจปลายสายก็กดรับ
“เจ๊ต้อยอยู่ไหนแล้วคะ? งานจะเริ่มแล้วนะ”
(เจ๊น่าจะไปช้าหน่อยค่ะคุณลูก คงอีกสักชั่วโมง ระหว่างนี้เธอนั่งรอไปก่อนนะ มีอุบัติเหตุบนทางด่วนรถติดยาวเลยเนี่ย) ที่ต้อยติ่งพูดคงไม่ใช่เรื่องเกินจริงเพราะริษาได้ยินเสียงไซเรนรถพยาบาลดังแทรกเข้ามาในสาย
“ยังไงรีบมานะเจ๊”
(เจ๊จะรีบไปให้เร็วที่สุด น่าจะยังทัน)
“งั้นเท่านี้นะคะ ขับรถดี ๆ ค่ะ”
หลังจากวางสาย หันมองข้างตัวอีกทีก็พบว่าหลินหลินกำลังสนทนาอยู่กับเพื่อนร่วมวงการที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ขณะที่นางเอกลูกครึ่งสามารถโต้ตอบกับคนอื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ริษาเพียงแค่ยิ้มทักทายพอเป็นพิธี
เธอไม่ใช่คนเป็นมิตรสักเท่าไร หากไร้รอยยิ้มประดับบนหน้าก็เรียกได้ว่าบทบาทนางร้ายที่มักจะได้รับนั้นช่างเข้ากับภาพลักษณ์ภายนอกอย่างแท้จริง สุดท้ายจึงหมดเวลาไปกับการหันมองบรรยากาศรอบตัว และมักจะจบสายตาลงที่ใครบางคน…
ขณะที่เสียงจอแจยังคงดัง ระหว่างที่ทุกคนยังคงสนุกอยู่กับการพูดคุย คงมีแค่หญิงสาวที่ลอบสำรวจท่าทีร่างสูงที่ยืนห่างออกไปท่ามกลางฝูงชน ทว่าในหลายจังหวะก็จำต้องเป็นฝ่ายเมินหน้าหนีเพราะอีกฝ่ายดันเห็นว่าเธอแอบลอบมองเขาไม่วางตา
นักธุรกิจหนุ่มหย่อนกายนั่งไขว่ห้างที่เก้าอี้ตัวหนึ่งโดยมีลูกน้องยืนอยู่ที่ด้านข้าง ดวงตาคมกริบไม่แสดงอารมณ์จับมองคนในอดีตของเขาที่ยังคงเป็นสาวเนื้อหอมมีผู้ชายตบเท้าเข้าหาชวนพูดคุยไม่ขาดสาย
อีกทั้งเจ้าตัวก็ทำทีกระตือรือร้นที่จะสนทนาทั้งที่ก่อนหน้าแทบไม่ได้ให้ความสนใจกับใคร ยิ้มหวานที่ปรากฏบนใบหน้า ท่าทีเย้ายวนสายตาโดยไม่ตั้งใจ ทั้งการเคลื่อนไหวแต่ละขยับประหนึ่งจะโปรยเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม
ทว่าเมื่อสบตากับเขาท่าทีดังกล่าวก็จะเปลี่ยนไป ภูริคิดว่าอาการเชิดหน้าคอแทบหักของเธอ คงมีไว้สำหรับตอบสนองต่อสายตาเขาแค่คนเดียว