เรื่องสำคัญที่ต้องทำเหรอ? ทำไมเขาถึงไม่บอกเธอล่ะ? แต่ในไม่ช้า เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกโล่งใจ ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่ตอบข้อความของเธอ ที่แท้เขาก็ยุ่งอยู่จริงๆนี่เองถ้างั้นข้อความที่เธอส่งไปก็คงไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้เขาใช่ไหม? “คุณหนูเสิ่น ไม่ต้องกังวลนะครับ ประธานฉินไม่เป็นไรหรอกครับ นี่ก็ดึกแล้ว คุณรีบพักผ่อนจะดีกว่านะครับ” แม้ว่าหลี่มู่ถิงจะพูดเช่นนี้ แต่เสิ่นหยินอู้ก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงมีความรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว มันไม่ใช่เวลาที่จะรบกวนเขา “โอเค งั้นคุณพักผ่อนตามสบายค่ะ” “ถ้ามีเรื่องอะไร คุณหนูเสิ่นโทรหาผมได้ตลอดเวลานะครับ สำหรับเรื่องเกี่ยวกับประธานฉิน ผมจะรีบแจ้งให้คุณหนูเสิ่นทราบในทันทีที่ผมได้ข่าว” "ขอบคุณค่ะ" หลังจากวางสายแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็กำโทรศัพท์ไว้และพลิกตัวไป เธอยังคงไม่ได้นอน เธอกัดริมฝีปากล่าง อาจพูดได้ว่าหัวใจของเธอนั้นยุ่งเหยิงเหมือนด้ายที่พันกัน แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็หลับไปกับความคิดเช่นนี้พร้อมกับกำโทรศัพท์ไว้ในมือ จากนั้นเธอก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการที่โทรศัพท์สั่น หลังจากตื่นขึ้น เธอก็พบว่ามันคื
ถ้าคิดดูอีกทีมันก็ถูก เขาน่าจะติดต่อตัวเธอเองมากที่สุดแล้ว เขาไม่ได้ติดต่อเธอ และคงไม่ได้ติดต่อตนอื่น แต่แม้ว่าจะรู้ดีว่าเป็นเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยังไม่ยอมแพ้และต้องการที่จะถามดู ตอนนี้เธอได้รับคำตอบแล้ว แต่เธอก็ยังคงผิดหวังมาก เมื่อคุณแม่ฉินเห็นหยินอู้ลดสายตาต่ำลงราวกับว่ากำลังจมเข้าสู่ภวังค์ความคิดของตัวเอง เธอรู้สึกเหมือนได้เห็นหยินอู้เติบโตขึ้น หากปะปิดปะต่อเรื่องราวก่อนหลังสักนิด เธอก็สามารถรู้ได้ว่าเสิ่นหยินอู้กำลังคิดอะไรอยู่ เธอก้าวไปข้างหน้าและถามหยั่งเชิงดู: "หยินอู้ ฉินเย่ไม่ได้ติดต่อหนูมาในช่วงสองวันมานี้ หนูเป็นห่วงเขาหรอ?" เมื่อเผชิญกับคำถามของคุณแม่ฉิน อาจเป็นเพราะพวกเธอทั้งคู่เป็นผู้หญิง เธอจึงพยักหน้ายอมรับอย่างไม่มีความกดดันใดๆ “อืม ถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติแล้ว เขาควรจะตอบกลับข้อความมันถึงจะถูก” “จะว่าไปมันก็ใช่” หลังจากฟังคำพูดของเธอ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เขาไม่ได้ติดต่อหนูมานานแค่ไหนแล้ว?” เสิ่นหยินอู้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องเวลาและข้อความที่เธอส่งไปให้เขาที่เขายังไม่ได้ตอบกลับให้คุณแม่ฉินฟังคร่าวๆ “ถ้าพูดตามหลักเหตุผล ตั้งแต่เมื่อวานถึงตอน
หากไม่ให้เงิน ก็จะฆ่าทิ้ง สถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักในสังคม เป็นเพราะว่าคนรวยปกป้องลูกของตัวเองเป็นอย่างดี แต่ถ้าพวกเขาประมาทและปล่อยให้อาชญากรมีเวลาและพื้นที่ แม้พวกเขาจะมีเงินทองไม่ขาดสาย แต่คงจะต้องเป็นห่วงลูกๆของพวกเขาว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ดังนั้นคุณแม่ฉินจึงไม่แปลกใจที่เห็นบอดี้การ์ดติดตามพวกเขาไปในทุกๆที่ "โอเค เข้าใจแล้วค่ะ" หลังจากรับปากกับเธอแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็หันหลังกลับและจากไป เธอกลับไปที่ห้องของเธอ เปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองแล้วลงไปที่ชั้นล่าง เดิมทีเธอคิดจะออกไปในทันที แต่คนรับใช้เรียกเธอเพื่อให้เธอลงมารับประทานอาหารเช้าเสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงนั่งลง และทานอาหารเช้าโดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พลางเลื่อนดูโทรศัพท์ไปด้วย เธอไม่มีความอยากอาหาร ดังนั้นเธอจึงฝืนทานไปสักสองสามคำ จากนั้นก็ได้รับสายจากหลี่มู่ถิง เมื่อเห็นสายของหลี่มู่ถิง หัวใจของเสิ่นหยินอู้ก็เต้นรัวในทันที เธอรีบรับสายอย่างรวดเร็ว “ฮัลโหล ผู้ช่วยหลี่ มีข่าวอะไรบ้างไหมคะ?” อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า: "คุณหนูเสิ่น อย่าเพิ่งใจร้อนครับ ถึงผมจะยังไม่ได้ติดต่อกับประธานฉ
เสิ่นหยินอู้เก็บโทรศัพท์ไป เธอไม่มีอารมณ์จะทานอาหารอีกต่อไป ในตอนแรกเธอคิดที่จะออกไปข้างนอก แต่ตอนนี้เธอเข้าใจสถานการณ์เบื้องต้นแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องออกไปข้างนอกอีก “คุณหนูเสิ่น?”ก่อนหน้านี้เธอคุยโทรศัพท์อยู่ อารมณ์ของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน คนใช้ที่อยู่ข้างๆไม่กล้าพูดอะไร หลังจากเธอวางสาย เธอก็ยังไม่ได้ทานอาหาร ดังนั้นคนรับใช้จึงทำได้เพียงเตือนเธออย่างระมัดระวัง: "อาหารจะเย็นหมดแล้วนะคะ” หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็มองลงไปที่จานอาหารตรงหน้าเธอ จากนั้นก็มองไปที่คนรับใช้ ริมฝีปากของเธอขยับ ในตอนแรกเธออยากจะบอกว่าเธอกินไม่ลงแล้วและจะให้คนรับใช้เอาอาหารไปเก็บ แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะทานอาหารเข้าไปสองสามคำก่อนจะลุกขึ้นและจากไป เธอมักจะบอกลูกๆทั้งสองคนเสมอว่าอย่ากินเหลือ เธอก็ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้พวกเขาไม่ใช่หรอ? หลังจากขึ้นไปชั้นบนแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็กลับไปที่ห้องและกดโทรไปที่เบอร์ของฉินเย่ แม้ว่าหลี่มู่ถิงจะบอกว่าเธอว่าติดต่อไม่ได้ แต่เธอก็ปฏิเสธที่จะยอมแพ้ ตู๊ดตู๊ด--- หลังจากที่โทรศัพท์ดังขึ้นสองครั้ง โทรศัพท์ก็ตัดสายไปโดยอัตโนมัติ และไม่มีเสียงบอกว่าอีกฝ่าย
เขาเรียกเถ้าแก่อยู่หลายครั้งก่อนจะดึงสติเสิ่นหยินอู้กลับมาได้ หลังจากกลับมาได้สติอีกครั้ง เสิ่นหยินอู้ก็มองไปที่อู๋อี้ไห่ที่มีสีหน้าเหนื่อยใจที่อยู่ตรงหน้าเธอ ความรู้สึกผิดในใจพุ่งถึงขีดสุด “ขอโทษที เมื่อกี้ฉันฟุ้งซ่านไปหน่อย” “เถ้าแก่ ผมรู้ว่าเรื่องของคุณอาจจะสำคัญมาก แต่... ตอนนี้คุณต้องสละเวลามาดูสัญญานี้สักพัก เสร็จแล้วก็ค่อยไปฟุ้งซ่านต่อ โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้มองไปที่เขา เปิดริมฝีปากขาวซีดของเธอออกเล็กน้อยแล้วพยักหน้า คราวนี้เธอไม่ได้ฟุ้งซ่านอีก เธออ่านสัญญาอย่างละเอียดจนจบและทำการเซ็นชื่อ หลังจากนั้นเธอก็ยื่นสัญญาให้อู๋อี้ไห่: "ขอบคุณที่ตั้งใจทำงานในช่วงที่ผ่านมา" “ไม่หรอกครับ ใครใช้ให้ผมเป็นผู้ช่วยของคุณล่ะครับ?” อู๋อี้ไห่ยิ้มเล็กน้อย ในตอนแรกเขากำลังจะถือสัญญาแล้วเดินออกไป แต่ก่อนจากไป เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “เถ้าแก่ เป็นปัญหาทางด้านความรักเหรอครับ?” อย่างไรก็ตาม คำถามของเขาไม่ได้รับการตอบกลับ เพราะหลังจากที่เสิ่นหยินอู้ส่งสัญญาให้กับเขา เธอก็ตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง หลังจากนั้น อู๋อี้ไห่ก็ทำได้เพียงพูดอย่างช่วยไม่ได้: "ช่างมันเถอะ อีกเดี๋ยวตอนกลับบ้านก็กลั
ดังนั้น เสิ่นหยินอู้จึงถูกเชิญให้กลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน โดยที่ตรงหน้าต่างมีคนคอยเฝ้าอยู่ รวมถึงที่หน้าประตูด้วย ถ้าหากตอนนี้มีกล้องถ่ายอยู่ในห้องนี้ คงจะคิดว่าเธอเป็นภรรยาของหัวหน้าแก๊งมาเฟียแน่ๆ เธอไม่มีอารมณ์จะทำงาน มือถือวางอยู่ข้างตัวตลอดเวลา กลัวจะพลาดการติดต่อใดๆ แม้จะไม่มีสมาธิ แต่เธอก็พยายามทำงานจนเสร็จไปบางส่วน และได้รับข้อความจากหลี่มู่ถิงว่าเขาขึ้นเครื่องแล้วหลังจากเขาขึ้นเครื่องแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้อีก ทำได้แค่รอจนกว่าเครื่องบินจะลงจอดมือถือเงียบไปทั้งบ่าย ขณะที่เสิ่นหยินอู้เตรียมเก็บของกลับบ้าน ในที่สุดมือถือก็ส่งเสียงขึ้นมา พอได้ยินเสียง เสิ่นหยินอู้หยิบมือถือขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แล้วเห็นว่าเป็นสายจากต่างประเทศที่ไม่รู้จัก นี่คือ? เธอไม่ได้คิดมาก รีบกดรับสายทันที“ฮัลโหล?” ในใจลึกๆ เธอหวังว่าคนที่โทรมาคือฉินเย่ เพื่อบอกเธอว่าเขาไม่เป็นอะไร แค่จำเป็นต้องใช้เบอร์นี้ชั่วคราวเท่านั้น แต่เสิ่นหยินอู้ก็ยังไม่กล้าพูดชื่อเขาออกมาตรงๆ“ในที่สุด เธอก็กลับมาใช้เบอร์นี้อีกครั้งนะ” ทว่า เสียงที่ดังเข้ามาในโสตประสาทของเธอกลับเป็นเสียงอีกคนหนึ่งท
"อย่าเป็นแบบไหน? ถ้าผมทำแบบนี้ตั้งแต่แรก เธอคงจะไม่กลับประเทศหรือเปล่า? บางทีการให้เธอกลับประเทศอาจจะเป็นความผิดพลาด อย่างน้อยถ้าอยู่ต่างประเทศ ถึงเธอจะไม่ยอมรับผม แต่ก็จะไม่ไปอยู่ข้างคนอื่น"คำพูดของเขาทำให้เสิ่นหยินอู้หลับตาลง สูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะถามว่า "เขาอยู่กับนายหรือเปล่า? นายทำอะไรกับเขา?""ไม่มีความอดทนพอที่จะฟังผมพูดเรื่องอื่นแล้วหรอ?""ฉัน......""ถ้าเธออยากรู้จริงๆ ว่าเขาเป็นยังไง ทำไมไม่มาดูเองล่ะ?"เสิ่นหยินอู้รู้สึกหายใจสะดุด"ก่อนจะเห็นหน้าเธอ ผมจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเขาเด็ดขาด" เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปาก"ตอนแรกทุกอย่างก็ดีอยู่แล้ว ทำไมนายต้องทำแบบนี้?""หึ"โม่ไป๋หัวเราะเบาๆ "ใช่ ก่อนหน้านั้นทุกอย่างมันดี ทำไมเธอต้องกลับประเทศ?" เสิ่นหยินอู้เงียบไปชั่วขณะ เขากลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เธอไม่สามารถพูดอะไรกับเขาได้เลย"มาหาผมสิ ผมรออยู่ที่เดิม"พูดจบ โม่ไป๋ก็ทำท่าจะวางสาย เสิ่นหยินอู้รู้สึกกังวล "เดี๋ยวก่อน นายยังไม่ได้บอกเลยว่านายทำอะไรกับเขา ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?""หยินอู้ ผมจะไม่พูดอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะเจอหน้าเธอ แน่นอนว่าเธอก็อย่าหวังว่าจะหาเขาเจอ" พูดจบ โม่ไ
"เรื่องนี้คุณไม่ต้องห่วงเลยครับ ในตอนที่คุณฉินว่าจ้างผม เขาจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าหนึ่งปีมาแล้วครับ" หนึ่งปี?? เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงกับตกใจไปเล็กน้อย เขาจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าไว้นานขนาดนี้ "ดังนั้น คุณเสิ่น ภายในหนึ่งปีนี้ เราจะคุ้มครองความปลอดภัยของคุณอย่างดีครับ" เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างอดไม่ได้ "พวกคุณทำงานตามค่าจ้างใช่ไหม?" หัวหน้าบอดี้การ์ดพยักหน้า"งั้นก็ดี ถ้าฉันจ่ายมากกว่าเขา แล้วขอให้พวกคุณไปต่างประเทศด้วยกันเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของฉัน พวกคุณจะรับไหมคะ?" เมื่อได้ยินแบบนั้น หัวหน้าบอดี้การ์ดถึงกับอึ้งไป"ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่แค่ฉินเย่ที่มีเงิน ฉันเองก็จ่ายได้ค่ะ ถ้าพวกคุณไม่เชื่อ ฉันก็สามารถจ่ายล่วงหน้าให้พวกคุณได้เหมือนกัน""เอ่อ......" "หรือว่าขอบเขตการคุ้มกันของพวกคุณมีแค่ในประเทศ?""ไม่ใช่นะครับ ในต่างประเทศก็ทำได้ เพียงแต่ว่า...... พวกเราสัญญากับคุณฉินแล้วว่าจะคุ้มครองความปลอดภัยของคุณ ดังนั้นพวกเรา......""ใช่" เสิ่นหยินอู้ยิ้มเล็กน้อย "พวกคุณคุ้มครองความปลอดภัยของฉัน แต่ไม่ใช่การจำกัดเสรีภาพของฉันใช่ไหมคะ? หรือว
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ