ระหว่างทาง ฉินเย่พูดถึงสิ่งอำนวยความสะดวกเกือบทั้งหมดที่เขานึกได้ หลี่มู่ถิงไม่สนใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร อย่างไรก็ตาม เมื่อฉินเย่เริ่มพูดถึงการออกแบบ เขาก็ได้กดบันทึกเสียงและเปิดโน้ตบุ๊กแล้ว เขาอัดเสียงและพิมพ์บันทึกไปด้วย "ก็ประมาณนี้แหละ ถ้าคิดอะไรได้เพิ่มเติมเดี๋ยวผมบอก ที่เหลือก็ให้นักออกแบบจัดการ" "ได้ครับ ประธานฉิน" หลี่มู่ถิงต้องการจะพูดอะไรเพิ่ม แต่อีกฝ่ายก็ได้ตัดสายไปแล้ว หลี่มู่ถิงใช้เวลาสักพักจึงตอบสนองอะไรได้ เมื่อครู่นี้ ดูเหมือนประธานฉินจะพูดถึงการออกแบบบ้านงั้นเหรอ? บ้าน? บ้านที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายขนาดนี้? หลังจากวางสายแล้ว รถก็จอดนิ่ง "ประธานฉิน ถึงแล้วครับ" "อืม" ฉินเย่ตอบรับอย่างเคร่งขรึม เก็บโทรศัพท์ของเขาแล้วลงจากรถ ในตอนนี้เขามีแบบบ้านต่างๆอยู่ในหัว อะไรที่ขาดไปก็ต้องมาเพิ่มเติมในภายหลัง จะเป็นการดีที่สุดที่เขาจะจดบันทึกไว้หลังจากที่เขากลับไป ตอนที่เขาคุยโทรศัพท์อยู่ในรถเมื่อครู่นี้ เขาแค่พูดในสิ่งที่เขาคิดได้ และเขาไม่มีประสบการณ์ในการเป็นพ่อมาก่อน ดังนั้นเขาจึงได้แต่พูดตามสิ่งที่เขาเห็นอยู่บ่อยๆเท่านั้น แต่เขาไม่เคยได้สัมผัสมันม
หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็สะอื้น เธอสงบอารมณ์ของเธอลง เดินเข้าไปใกล้ๆเขาแล้วพูดว่า: "และที่สำคัญที่สุดคือ ฉันก็แค่ลบข้อความนั้นไปเอง ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอเลย นายดูสิ สุดท้ายเธอก็ให้เด็กๆเกิดมา ถูกไหม? ขอแค่นายตกลง ฉันจะถือว่าเด็กๆเป็นเด็กที่ฉันต้องเลี้ยงดู และต่อจากนี้ฉันจะไม่มีลูก โอเคไหม?” ฉินเย่ยังคงมองเธอด้วยสีหน้าไม่แยแส “ลูกของผมน่ะ ไม่จำเป็นต้องให้ใครอื่นมาเลี้ยงดูหรอกนะ” "เย่……" มือของฉินเย่ที่ห้อยอยู่ข้างตัวกำแน่น และสายตาที่ดุร้ายก็ปรากฏขึ้นในดวงตาดำสีเข้มของเขา “ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเคยช่วยผมไว้... ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเคยช่วยผม…” เขากัดฟันและไม่พูดอะไรต่ออีก เจียงฉูฉู่สามารถได้ยินเสียงที่โกรธเกรี้ยวของเขาที่ออกมาจากสองประโยคที่ซ้ำกันนี้ ถึงขั้นสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขาอีกด้วย ถ้าเธอไม่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ เขาคงไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆเช่นนี้อย่างแน่นอน ตามวิธีการจัดการกับคนในอดีตของเขา ไม่เพียงแต่ตัวเธอเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงครอบครัวเจียงทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังเธอด้วย ถ้าให้พูดตามเหตุผล หลังจากที่เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา เจียงฉูฉู่ควรหยุดในสิ่ง
“มี มีลูกกับเขาเหรอ?” เจียงฉูฉู่สับสนกับคำพูดของแม่เธอ “แม่ หมายความว่ายังไง หนูจะไปมีลูกกับเขาได้ยังไง? ตอนนี้เขาไม่อยากเห็นหน้าหนูด้วยซ้ำ รู้ไหม... วันนี้หนูเห็สายตาของเขา มันดูเหมือนเขาจะแก้แค้นหนู” คุณแม่เจียงกลับมองเธอด้วยความรังเกียจ “แกตื่นตระหนกอะไร? หรือแกไม่ใช่ลูกสาวของตระกูลเจียงของฉันแล้ว? แกตื่นตระหนกกับเรื่องเล็กๆแบบนี้เหรอ?” "แต่……" “ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ แกคือผู้มีพระคุณของเขา และสิ่งนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แกเห็นไหมว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว เขาก็ยังทำอะไรแกไม่ได้เลย แต่ฉันก็คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าฉินเย่จะเป็นคนที่มีศีลธรรมมากขนาดนี้ ถ้าเป็นฉัน…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ คุณแม่เจียงก็หยุดไปครู่หนึ่ง แต่กลับไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก เธอเปลี่ยนมาพูดถึงเรื่องของเจียงฉูฉู่แทน “ถ้าเทียบแกกับเสิ่นหยินอู้ในตอนนี้ มันก็แค่เธอมีลูกแล้ว แต่แกยังไม่มี ถูกไหม? ฉินเย่ก็เลยเลือกเธอแบบไม่ลังเล แต่ถ้าแกมีลูกด้วยล่ะ? บวกกับที่แกเคยช่วยชีวิตเขาแล้ว แกคิดว่าเขาจะเลือกใคร?" เจียงฉูฉู่ไม่ได้พูดอะไร “แม่ว่า ถึงแกกับเขาไม่ได้หมั้นกัน แต่แกคงไม่เข้าใจหลักการที่ว่าแม่สูงส่งได้เพราะลูกสินะ
“แต่เขาคงไม่อยากเจอหน้าหนูตอนนี้...” “แม่จะหาโอกาสให้แก ที่แกต้องทำก็คือทำตามที่แม่บอกก็พอ” เมื่อมองไปที่แม่ของเธอ ในที่สุดเจียงฉูฉู่ก็พยักหน้า - ตอนนี้เป็นเวลากลางดึกแล้ว แต่ไฟยังคงเปิดอยู่ในห้องอ่านหนังสือของฉินเย่ เขาฟุบลงไปกับโต๊ะและถือปากกาไว้ในมือ กองกระดาษสีขาวข้างหน้าเขาเต็มไปด้วยข้อความที่ถูกเขาเขียนไว้เต็มไปหมด และยังมีโครงสร้างที่เขาวาดไว้ด้วย ในตอนนี้ โต๊ะคอมที่ปกติเป็นระเบียบเรียบร้อยกลับรกและยุ่งเหยิงไปหมด แต่ฉินเย่ไม่สนใจเลยสักนิดและยังคงตั้งใจทำงานออกแบบต่อไป ในขณะที่ทำอะไรอย่างจริงจัง เวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อฉินเย่เขียนทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาคิดเสร็จเรียบร้อย ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างก็เริ่มสางแล้ว และดวงตาของเขาก็แดงเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่ได้นอนเลยทั้งคืน แต่เขาก็ยังรู้สึกตื่นตัวมากและไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว เขามองดูเวลา ในเวลานี้เสิ่นหยินอู้กับเด็กๆคงจะกำลังพักผ่อนอยู่ ดังนั้นฉินเย่จึงเก็บร่างออกแบบที่ยังไม่สมบูรณ์ที่เขาทำข้ามคืนลงไป เขาค่อยๆเก็บมันอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างเพื่อกันไม่ให้ลมพัดร่างออกแบบนั้นปลิ
อย่างไรก็ตาม เสิ่นหยินอู้ก็นึกได้เพียงเท่านี้ ส่วนที่เหลือที่เธอพยายามตั้งใจนึกให้ออก หัวของเธอก็รู้สึกยุ่งเหยิงไปหมด นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก เธอนั่งที่ข้างเตียงและคิดอย่างเหม่อลอยอยู่เนิ่นนาน แต่ก็ยังมีเพียงภาพนั้น เมื่อเห็นแสงสว่างนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ก็ยอมแพ้และลุกขึ้น หลังจากที่เธอออกจากห้อง เธอก็บังเอิญพบกับเด็กๆสองคนที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วและเดินออกมาพอดี นิสัยที่ดีๆต้องได้รับการปลูกฝังตั้งแต่อายุยังน้อยๆ เสิ่นหยินอู้สอนพวกเขาทั้งสองว่าควรหาเสื้อผ้าที่ต้องใส่ในเช้าวันถัดไปเตรียมไว้ก่อน เมื่อตื่นขึ้นและลุกขึ้นมาจากเตียงในวันรุ่งขึ้นก็ต้องรีบเปลี่ยนชุด ไม่ควรยืดยาดเพื่อที่จะได้ไม่เป็นหวัด ช่วงแรกๆพวกเขาทั้งสองค่อนข้างลำบากในการที่จะเรียนรู้ แต่เมื่อพวกเขาชินกับมันแล้ว หลังจากนั้นพวกเขาก็ทำมันได้อย่างราบรื่น อย่างไรก็ตาม เสิ่นหยินอู้ยังคงไม่ค่อยวางใจ เธอเดินไปตรวจดูเสื้อผ้าที่ทั้งสองคนใส่อยู่บนร่างกาย ตอนนี้อุณหภูมิในต่ำมาก หากสวมเสื้อผ้าด้านในไม่มากพอก็อาจจะเป็นหวัดได้ง่าย ภูมิคุ้มกันของเด็กๆไม่ค่อยดี หากป่วยขึ้นมาก็จะเป็นปัญหาได้ หลังจากตรวจดูและแน่ใจแล้วว่าเด็กน้อ
เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้วและพูดว่า "ฉันเมินนายแล้วมันทำไม? นายคิดว่านายเป็นใคร? นายสูงส่งมาจากไหนหรอ? นายเรียกฉัน ฉันจะต้องตอบรับหรอ?" เธอโกรธมากจนผลักเขาออกไป แต่หลังจากก้าวไปได้สองก้าว เขาก็จับข้อมือของเธอไว้แน่นแล้วดึงเธอกลับไป “จะหนีไปไหน? คุยกันให้ชัดเจนก่อน” ถ้าเขาไม่ได้ขวางเธอไว้ที่โรงเรียน เขาจะตรงไปหาเธอที่บ้านเธอทันที และเนื่องจากทั้งสองเป็นเพื่อนสมัยเด็ก ทันทีที่คนรับใช้เห็นเขามา พวกเขาก็ย่อมต้องเปิดประตูให้เขาเข้าไปในบ้านด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเสิ่นหยินอู้จะบอกคุณปู่พ่อบ้านว่าอย่าให้เขาเข้าบ้านอยู่เสมอก็ตาม คุณปู่พ่อบ้านก็แค่ยิ้มแล้วพูดว่า: "คุณหนูทะเลาะกับนายน้อยฉินอีกแล้วเหรอครับ? เป็นเรื่องปกติของเด็กๆที่จะทะเลาะกันน่ะครับ อีกเดี๋ยวก็คืนดีกัน" “ฝันไปเถอะ หนูไม่อยากคืนดีกับเขาอีก คุณปู่พ่อบ้านคะ อย่าให้เขาเข้ามาอีกนะ ไม่งั้นหนูจะโกรธ” “คุณปู่พ่อบ้านครับ ช่วยเปิดประตูให้ผมเข้าไปหน่อย ไม่งั้นเธอคงจะโกรธผมไปจนถึงสิ้นเดือน” จากนั้นคุณปู่พ่อบ้านที่เข้าข้างฉินเย่ในเวลานั้นก็เปิดประตูทันทีที่เขาร้องขอ เสิ่นหยินอู้สงสัยมาโดยตลอดว่าฉินเย่แอบติดสินบนคุณปู่พ่อบ้าน "หม่ามี๊
เมื่อมองดูเนื้อหาที่หนาแน่นเบียดเสียดกันบนกระดาษ เสิ่นหยินอู้ก็มีเพียงความรู้สึกใจหายเท่านั้น มันเป็นลายมือของเขา ไม่ผิดแน่ แต่เพียงแค่ชั่วข้ามคืน... เมื่อนึกถึงตอนที่สบตากับเขาเมื่อครู่นี้ รอยคล้ำที่ใต้ตาของฉินเย่ก็ดูจะแย่กว่าของเธอเสียอีก แม้ว่าภาพลักษณ์ของเขาจะยังคงเรียบร้อยไม่มีที่ติก็ตาม หลังจากกวาดสายตาไปมองอย่างเร่งรีบ เสิ่นหยินอู้ก็พับภาพวาดนั้นแล้วส่งคืนให้ฉินเย่ ฉินเย่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณ...ดูเสร็จแล้วเหรอ?” เสิ่นหยินอู้พยักหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่สนใจไยดี เมื่อได้ยิน สีหน้าของฉินเย่ก็เต็มไปด้วยความสงสัย เขาไม่ได้รับมันกลับมา "เร็วขนาดนี้ คุณดูครบหมดหรือยัง?" น้ำเสียงของเสิ่นหยินอู้ยังคงสงบ "ฉันดูแล้ว" ฉินเย่มองเธอ แม้ว่าปากเธอจะบอกว่าดูเสร็จแล้ว แต่ท่าทางแบบขอไปทีและน้ำเสียงที่ไม่แยแสอย่างชัดเจนของเธอบ่งบอกว่าเธอไม่ได้ใส่ใจกับร่างออกแบบนี้เลย เขาเม้มริมฝีปาก รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยอยู่ในใจ แต่เขาก็ยังพูดออกมาว่า "ร่างออกแบบนี้ ไม่ถูกใจคุณใช่ไหม?" เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ตอบคำถามนี้ตรงๆ แต่ยิ้มให้เขาเล็กน้อยแล้วพูดว่า "ลำบากคุณหาคนมาออกแบบข้ามคืนซะแล้วสิ
มีของขาย แล้วก็มีของให้ซื้อ คนส่วนใหญ่ไปตลาดในเวลานี้ หากขับรถเข้าไปก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตอนออกจะเสียเวลาค่อนข้างนาน ถ้าวันนี้พวกเขามาที่นี่เพื่อทานอาหารเช้าอย่างเดียวและไม่ต้องรีบไปเรียน พวกเขาก็สามารถขับรถเข้าไปได้ แต่ว่า…… ขณะที่เสิ่นหยินอู้กำลังจะพูด เธอก็ได้ยินฉินเย่ที่อยู่ข้างหน้าพูดว่า: "ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปกันเถอะ" เขาแย่งเธอพูด เธอมองที่แผ่นหลังของเขาด้วยความไม่พอใจ "ไปกันเถอะ" ฉินเย่เก็บกระเป๋านักเรียนของเด็กๆทั้งสองคนแล้วพาพวกเขาลงจากรถ คนขับพูดขึ้นมาในทันที: "ประธานฉิน เดี๋ยวผมรอพวกคุณอยู่ในรถนะครับ" ฉินเย่พยักหน้าตอบรับ เมื่อเห็นเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ทำได้เพียงต้องลงจากรถด้วย หลังจากลงจากรถ เธอก็มองเสื้อผ้าของฉินเย่แล้วพูดว่า "คุณแน่ใจหรอว่าจะสวมชุดสูทราคาแพงหูฉี่นี้ไปกินปาท่องโก๋ด้วยกันกับเราที่ร้าน?" ฉินเย่มองไปที่เธอ “มีปัญหาเหรอ? คุณก็แต่งตัวได้สะดุดตามากเหมือนกัน” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ก้มลงไปมองเสื้อผ้าของเธอโดยไม่รู้ตัว ที่จริงแล้วเธอแต่งตัวเรียบง่ายมาก กางเกงขายาวสีดำกับเสื้อสเวตเตอร์สีฟ้าโดยมีเสื้อคลุมยาวสีเบจอยู่ด้านนอก มันไม่มี
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ