เสิ่นหยินอู้กับเด็กทั้งสองคนเข้าไปในห้องผู้ป่วยแล้วก็ไม่สนใจเรื่องข้างนอกอีกเลยแม้จะมีเสียงการต่อสู้ดังมาจากข้างนอก และถึงแม้เด็กทั้งสองคนจะอยากรู้อยากเห็น แต่เธอก็ยังคงอยู่ในท่าทีสงบ"เหนียนเหนียน เหมิงเหมิง ไม่ต้องไปสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก""แต่......" เสิ่นเหมิงเหมิงพูดเบาๆ "เหมือนลุงเย่มู่กำลังสู้กับคนอื่นอยู่ หม่ามี๊ เราไม่ต้องสนใจจริงๆเหรอ? ถ้าลุงเย่มู่ถูกทำร้ายล่ะ......" เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะมองเธอ"หนูเป็นห่วงลุงเย่มู่มากเหรอ?" เสิ่นเหมิงเหมิงเบิกตาโตที่ใสซื่อและไร้เดียงสา"ลุงเย่มู่ให้เหมิงเหมิงกับพี่ลงโทษโดยการให้ลุงเลี้ยงข้าวพวกเรา ถ้าเขาเจ็บ เขาก็จะเลี้ยงข้าวพวกเราไม่ได้สิคะ?"เสิ่นหยินอู้ "......" ฉินเย่ แอบพูดอะไรกับเด็กสองคนตอนที่เธอนอนอยู่นะ? "เหมิงเหมิงไม่ต้องเป็นห่วงนะ ถ้าลุงเย่มู่ถูกทำร้าย แม่ก็เลี้ยงข้าวพวกหนูแทนเองไง?" จากนั้นเธอก็สอนเด็กทั้งสองคนอย่างนุ่มนวล ใครจะรู้ว่าพูดไปไม่นาน ประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงของฉินเย่ "กำลังคุยอะไรกัน?" เสิ่นหยินอู้หยุดชะงัก ไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาเร็วขนาดนี้ เธอคิดว่าเจียงฉูฉู่ก
ฉินเย่แสดงสีหน้าเหนื่อยใจเล็กน้อย "คุณคิดแบบนี้ได้ยังไง? ผมแค่อยากถามว่า หลังจากที่คุณส่งข้อความนั้น มีใครมาหาคุณไหม?"เสิ่นหยินอู้หยุดชะงัก นึกถึงตอนที่ส่งข้อความไปได้ไม่นาน เจียงฉูฉู่ก็มาหาเธอ และพูดบางอย่างกับเธอ เมื่อเห็นสีหน้าของเธอ ฉินเย่ก็คาดเดาได้ว่ามีคนมาหาเธอจริงๆ "มีคนมาหาคุณจริงๆสินะ ใคร?"เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ตอบเขาทันที เพียงแต่มองเขาอย่างแน่วแน่"ที่คุณพูดตอนนี้หมายความว่ายังไง ถ้าฉันบอก คุณจะเชื่อเหรอ?" สิ่งที่เธอไม่คาดคิดคือ ฉินเย่ก็มองเธออย่างจริงจังเช่นกัน"ถ้าผมไม่เชื่อคุณ ผมจะเชื่อใครได้อีก?" สายตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ ราวกับว่าไม่ว่าเธอจะพูดอะไรเขาก็จะเชื่อ ความเชื่อใจนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าทั้งสองเหมือนได้กลับไปสมัยเด็กอีกครั้ง ในตอนนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาใกล้ชิดกันมาก แม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นความรัก แต่ต่างฝ่ายต่างเป็นคนที่ไว้ใจกันที่สุด เป็นคนที่สามารถแบ่งปันทุกความรู้สึกและความลับทุกอย่างได้ ในตอนนั้นไม่มีใครเข้ามาแทรกกลางระหว่างพวกเขาสองคนเลย ไม่เหมือนกับตอนนี้...... ทั้งสองคนเติบโตขึ้นมาและมีสิ่งต่างๆ มากมายมากั้นกลางระหว่างพวกเขา"หย
"ตอนนี้คุณถามจบหรือยัง?"เสิ่นหยินอู้มองเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ "ถ้าคุณรู้ทุกอย่างที่อยากรู้แล้ว ต่อไปอย่ามารบกวนฉันอีกได้ไหม?" เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นทันที มองเธอด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ"ถึงแม้จะรู้ว่าผมไม่ได้เห็นข้อความนั้น และไม่ได้ให้คุณทำแท้ง คุณก็ยังจะผลักไสผมเหรอ?" เสิ่นหยินอู้ยิ้มเบาๆ เสียงของเธอแผ่วเบา"คุณไม่ได้เห็นข้อความ มันเป็นความผิดผิดฉันเหรอ? ทั้งๆ ที่คุณเป็นคนไม่เคยห่างจากโทรศัพท์ แต่กลับส่งโทรศัพท์ให้อีกคนใช้บ่อยๆ ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้น ผลลัพธ์นี้คุณก็ควรเป็นคนรับผิดชอบ ฉินเย่ คุณคงไม่ลืมใช่ไหมว่าวันนั้นฝนตกหนัก พวกคุณอยู่ที่คลับบิลเลียด แล้วฉันถูกข้อความที่ส่งมาเล่นๆ ของคุณเรียกให้เอาร่มไปให้ สุดท้ายก็ถูกเพื่อนของคุณหัวเราะเยาะอยู่ที่ชั้นล่าง?""คุณรู้ไหม? ก่อนมาที่คลับบิลเลียด ฉันเพิ่งได้รับรายงานตรวจครรภ์จากโรงพยาบาล" มือของฉินเย่ที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่น ดวงตาเบิกกว้าง"ตอนนั้นฉันใสซื่อแค่ไหน คิดว่าจะใช้โอกาสนี้บอกข่าวดีให้คุณรู้ แม้ว่าเราจะแต่งงานกันปลอมๆ แต่ฉันท้องจริง คิดว่าบอกคุณไปแล้วคุณจะยอมรับ? แต่น่าเสียดาย กลายเป็นว่าพอฉันไปถึง กลับโดนก
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะอยู่กับใครเลย ฉันแค่อยากอยู่กับลูกสองคนของฉัน”“ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่ให้ผมช่วยดูแลด้วยล่ะ?” น้ำเสียงของเขาขมขื่น และพูดออกมาอย่างยากลำบาก “ถึงแม้...…แต่ผมก็เป็นพ่อแท้ๆ ของพวกเขานะ” “ก็แค่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเล็กน้อย ไม่ได้นับเป็นอะไรเลย” เธอตอบเบาๆไม่นับเป็นอะไรเลย...…ไม่นับเป็นอะไรเลย...… คำพูดของเสิ่นหยินอู้ประโยคนี้ดังสะท้อนอยู่ในหูของฉินเย่ เขาก้มหน้ามองเธอที่นั่งอยู่บนรถเข็นเป็นเวลานาน จากนั้นก็ก้มหน้าหัวเราะขมขื่น ใช่แล้ว ถึงแม้จะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแล้วยังไง เขาไม่ได้ทำหน้าที่พ่อเลยในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ยังไงก็ตาม เมื่อได้ยินเธอบอกว่าจะไม่อยู่กับผู้ชายคนไหน ฉินเย่ก็รู้สึกโล่งใจ ถ้าข้างกายเธอไม่มีใครเลย นั่นหมายความว่าในอนาคต เขาอาจจะยังมีโอกาส ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออาการบาดเจ็บของเธอ เมื่อคิดวนไปมาหลายครั้ง ฉินเย่ก็รีบตัดสินใจทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเสิ่นหยินอู้"โอเค ทุกอย่างที่คุณบอกผม ผมจะยอมรับทั้งหมด แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดของคุณคือต้องพักฟื้น ตอนนี้ผลยังไม่ออก" เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็มองเขาอย่างแปลกใจเล็กน้อ
เมื่อได้ยินแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เงียบไปฉินเย่เห็นว่าเธอไม่พูดอะไร จึงมองไปทางเธอ ราวกับเห็นว่าเธอสีหน้าไม่ค่อยดี จึงอธิบายว่า "อย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้ตำหนิคุณเลยนะ ผมแค่คิดว่าเด็กๆยังเล็ก ควรจะได้ทำกิจกรรมที่น่าสนุกบ้าง"เสิ่นหยินอู้พูดอย่างคนหมดคำจะพูดว่า "ฉันเข้าใจสิ่งที่คุณพูดนะ แต่ที่คุณบอกมามันเป็นไปไม่ได้เลย หรือคุณจะสร้างสถานที่สนุกๆ ไว้ที่บ้านงั้นเหรอ?" ไม่คิดเลยว่าฉินเย่จะพยักหน้าในวินาทีถัดมา"ใช่" เสิ่นหยินอู้ "......"เธออยากจะพูดเสียดสีฉินเย่ว่าคุณคิดหรอว่าสิ่งนี้ใครๆ ก็สร้างขึ้นได้ง่ายๆ? แต่คำพูดนั้นกลับติดอยู่ที่ริมฝีปาก เมื่อเธอนึกถึงทรัพย์สินของฉินเย่และทรัพย์สมบัติจำนวนมากที่เขาให้เธอตอนกลับมาประเทศจีน เธอมั่นใจว่าถ้าเธอพยักหน้า เขาจะสั่งให้คนจัดการทันที "คุณว่ายังไง?" แน่นอน เมื่อเห็นเธอไม่ตอบ ฉินเย่ก็ถามอีกครั้งเสิ่นหยินอู้เริ่มรู้สึกรำคาญเล็กน้อย แต่มีอะไรบางอย่างที่เธอไม่อยากพูดต่อหน้าเด็กสองคน จึงหันไปบอกพี่เลี้ยงว่า "รบกวนพาเด็กๆไปดูตารางเรียนของพรุ่งนี้หน่อยได้ไหมคะ?" พี่เลี้ยงที่ยืนอยู่ข้างๆ เหมือนกับหุ่นยนต์รีบตอบสนองทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น
"อีกอย่าง ของที่ผมให้ คุณอาจไม่ต้องการ แต่คุณลองถามเด็กๆดูสิ ว่าพวกเขาไม่ต้องการด้วยหรือเปล่า?" เสิ่นหยินอู้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "พวกเขาเป็นลูกของฉัน แน่นอนว่าต้องฟังฉัน"ฉินเย่ไม่โกรธ แต่เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ"พรุ่งนี้ผมจะให้คนออกแบบแปลนบ้านก่อน พอทำเสร็จแล้วจะเอามาให้คุณพิจารณา รอจนคุณพอใจแล้วผมถึงจะให้คนเริ่มสร้าง ตอนนี้คุณพักผ่อนก่อน ระวังอย่าให้แผลโดนน้ำ เวลานอนก็อย่านอนคว่ำ และช่วงนี้หยุดงานไปก่อนสักสองสามวันจะดีที่สุด" "พูดจบหรือยัง?" แม้เขาจะพูดจาอ่อนโยนแค่ไหน แต่ท่าทีของเสิ่นหยินอู้ก็ยังคงเย็นชาเหมือนเดิม "ฉันขอบคุณที่คุณพาฉันกลับมา ถ้าคุณพูดจบแล้ว เชิญกลับไปเถอะ" แม้เธอจะเย็นชาแค่ไหน ฉินเย่ก็ไม่โกรธ กลับพยักหน้าอย่างสงบ "โอเค งั้นผมกลับก่อน" หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกและรีบออกไป เมื่อประตูปิดลง ห้องก็เงียบสงบลง ซึ่งทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริงอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาชอบตามรบกวนเธอเสมอ แต่ครั้งนี้กลับจากไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกไม่ชินชั่วขณะ หลังจากที่เงียบไปนาน พี่เลี้ยงจึงเปิดประตูออกมาด้วยความกังวลและมองเธอ
ระหว่างทาง ฉินเย่พูดถึงสิ่งอำนวยความสะดวกเกือบทั้งหมดที่เขานึกได้ หลี่มู่ถิงไม่สนใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร อย่างไรก็ตาม เมื่อฉินเย่เริ่มพูดถึงการออกแบบ เขาก็ได้กดบันทึกเสียงและเปิดโน้ตบุ๊กแล้ว เขาอัดเสียงและพิมพ์บันทึกไปด้วย "ก็ประมาณนี้แหละ ถ้าคิดอะไรได้เพิ่มเติมเดี๋ยวผมบอก ที่เหลือก็ให้นักออกแบบจัดการ" "ได้ครับ ประธานฉิน" หลี่มู่ถิงต้องการจะพูดอะไรเพิ่ม แต่อีกฝ่ายก็ได้ตัดสายไปแล้ว หลี่มู่ถิงใช้เวลาสักพักจึงตอบสนองอะไรได้ เมื่อครู่นี้ ดูเหมือนประธานฉินจะพูดถึงการออกแบบบ้านงั้นเหรอ? บ้าน? บ้านที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายขนาดนี้? หลังจากวางสายแล้ว รถก็จอดนิ่ง "ประธานฉิน ถึงแล้วครับ" "อืม" ฉินเย่ตอบรับอย่างเคร่งขรึม เก็บโทรศัพท์ของเขาแล้วลงจากรถ ในตอนนี้เขามีแบบบ้านต่างๆอยู่ในหัว อะไรที่ขาดไปก็ต้องมาเพิ่มเติมในภายหลัง จะเป็นการดีที่สุดที่เขาจะจดบันทึกไว้หลังจากที่เขากลับไป ตอนที่เขาคุยโทรศัพท์อยู่ในรถเมื่อครู่นี้ เขาแค่พูดในสิ่งที่เขาคิดได้ และเขาไม่มีประสบการณ์ในการเป็นพ่อมาก่อน ดังนั้นเขาจึงได้แต่พูดตามสิ่งที่เขาเห็นอยู่บ่อยๆเท่านั้น แต่เขาไม่เคยได้สัมผัสมันม
หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็สะอื้น เธอสงบอารมณ์ของเธอลง เดินเข้าไปใกล้ๆเขาแล้วพูดว่า: "และที่สำคัญที่สุดคือ ฉันก็แค่ลบข้อความนั้นไปเอง ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอเลย นายดูสิ สุดท้ายเธอก็ให้เด็กๆเกิดมา ถูกไหม? ขอแค่นายตกลง ฉันจะถือว่าเด็กๆเป็นเด็กที่ฉันต้องเลี้ยงดู และต่อจากนี้ฉันจะไม่มีลูก โอเคไหม?” ฉินเย่ยังคงมองเธอด้วยสีหน้าไม่แยแส “ลูกของผมน่ะ ไม่จำเป็นต้องให้ใครอื่นมาเลี้ยงดูหรอกนะ” "เย่……" มือของฉินเย่ที่ห้อยอยู่ข้างตัวกำแน่น และสายตาที่ดุร้ายก็ปรากฏขึ้นในดวงตาดำสีเข้มของเขา “ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเคยช่วยผมไว้... ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเคยช่วยผม…” เขากัดฟันและไม่พูดอะไรต่ออีก เจียงฉูฉู่สามารถได้ยินเสียงที่โกรธเกรี้ยวของเขาที่ออกมาจากสองประโยคที่ซ้ำกันนี้ ถึงขั้นสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขาอีกด้วย ถ้าเธอไม่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ เขาคงไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆเช่นนี้อย่างแน่นอน ตามวิธีการจัดการกับคนในอดีตของเขา ไม่เพียงแต่ตัวเธอเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงครอบครัวเจียงทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังเธอด้วย ถ้าให้พูดตามเหตุผล หลังจากที่เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา เจียงฉูฉู่ควรหยุดในสิ่ง
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ