อย่างไรก็ตาม เสิ่นซือเหนียนไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าและยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยความลังเล “น้องสาวของลูกขึ้นรถแล้ว ลูกกังวลอะไรจ๊ะ? เราทิ้งน้องสาวของลูกไว้ตามลำพังไม่ได้หรอกนะ” หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็จูงมือของซือเหนียนแล้วเดินขึ้นไปบนรถ การกระทำของฉินเย่ที่อุ้มเหมิงเหมิงขึ้นมาบนรถอย่างหน้าเฉยควบคุมเธอได้อยู่หมัดจริงๆ ตราบใดที่เขาพาเด็กๆไปด้วย เธอก็ไม่มีทางที่จะทิ้งลูกๆของเธอไปได้ หลังจากที่เห็นเธอขึ้นมาบนรถ ฉินเย่ก็ยกริมฝีปากบางของเขาขึ้น จากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็อุ้มเสิ่นเหมิงเหมิงขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนของเขา วันนี้เขาไม่ได้ขับรถเอง มีคนขับอยู่ข้างหน้า หลังจากที่เธอกับเสิ่นซือเหนียนขึ้นรถแล้ว หลี่มู่ถิงซึ่งรออยู่ด้านนอกรถก็ขึ้นรถตามไปด้วย หลังจากที่หลี่มู่ถิงขึ้นรถ สายตาของเขาก็ไม่สามารถละออกไปจากเสิ่นหยินอู้และเด็กๆทั้งสองได้เลย เขาตกใจมากในตอนที่รู้ว่าเด็กสองคนนี้เป็นลูกของประธานฉิน ฉินเย่ที่เป็นเช่นก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าประธานของเขาอาจจะต้องแก่ตายตามลำพัง แต่ตอนนี้เขามีลูกแฝดชายหญิงอย่างละคน นั่นทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก และที่สำคัญที่สุดคือ ว่าที่ภรรยาของประธานเป็นคนหน้
"อืม" ฉินเย่ตอบอย่างเย็นชา “ถ้างั้นประธานฉิน... ในเมื่อคุณหนูเสิ่นไปที่สถานีรถไฟใต้ดินแล้ว เรากลับไปที่บริษัทกันเถอะครับ ช่วงนี้มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในบริษัท ถ้าไม่ไปจัดการ…” หลี่มู่ถิงไม่ได้พูดประโยคสุดท้ายต่อ แต่ฉินเย่ก็เข้าใจได้ด้วยตัวเอง มุมปากบางของเขาค่อยๆเป็นเส้นตรง และในที่สุดเขาก็ละสายตาออกไปแล้วพูดว่า "ไปที่บริษัท" - เสิ่นหยินอู้เข้าไปในสถานีรถไฟใต้ดินได้สักพัก เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองข้างหลัง เมื่อพบว่าไม่มีใครตามมา เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนจะแอบผิดหวังอยู่ในใจเล็กๆ แต่ในไม่ช้า อารมณ์อันเล็กน้อยนี้ก็ถูกเธอกำจัดไป และเธอก็รีบไปซื้อตั๋ว หลังจากถึงบริษัท เสิ่นหยินอู้ไม่มีอารมณ์ที่จะทำงานเลย แม้แต่ในระหว่างการประชุม เธอก็ยังสติหลุดลอยออกไป หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมด้วยความมึนงง ขณะที่อู๋อี้ไห่ตามหลังเสิ่นหยินอู้ออกไป เขาก็อดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อขวางเธอไว้ “ผมว่านะเถ้าแก่ สองวันที่ผ่านมาคุณมีเรื่องไม่สบายใจใช่ไหม?” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไป แต่เธอไม่ได้ตอบคำถามของเขา “เถ้าแก่ มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?” อู๋อี้
เดิมทีเขาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ของเธอ แต่หลังจากพูดถึงเรื่องลูกแล้ว ความสนใจของอู๋อี้ไห่ก็เปลี่ยนไปในทันที “เถ้าแก่ ลูกแฝดของคุณเป็นหญิงหรือชายหรอครับ?” เสิ่นหยินอู้มองเขาอย่างเรียบเฉย "เพื่อนของฉัน" อู๋อี้ไห่: "ครับครับ เพื่อนคุณ งั้นฝาแฝดที่เพื่อนของคุณคลอดออกมาเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงครับ?" “มันสำคัญหรอว่าจะเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง?” “สำคัญสิครับ ผมอยากรู้นี่” “...แฝดชายหญิง” “ว้าว งั้นถ้าประธานฉินแย่งไปได้ เขาก็จะได้ไปทั้งลูกชายแล้วก็ลูกสาวสิ?” เสิ่นหยินอู้: "อดีตสามีของเพื่อนฉัน" “ครับครับ อดีตสามีของเพื่อนคุณ ผมพูดผิด พูดผิดน่ะครับ” “แต่ว่าประธาน...ทำไมเพื่อนของคุณถึงคิดว่าอดีตสามีของเธอต้องการแย่งลูกไปจากเธอแทนที่จะคิดว่าเขาอยากเลี้ยงลูกด้วยกันกับเธอล่ะครับ?” “เลี้ยงด้วยกัน คุณล้อเล่นเหรอ? เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย” “มันต้องมีเหตุผลสินะ ทำไมเป็นไปไม่ได้ล่ะครับ?” อู๋อี้ไห่เลิกคิ้วแล้ววิเคราะห์: “อดีตสามีของคุณ ไม่สิ อดีตสามีของเพื่อนคุณเก่งมากเลยสินะ? เขามีทั้งสถานะในสังคมและตำแหน่งที่สูงส่ง ถ้ามีเขามาช่วยเลี้ยงดูลูกๆ มันคงจะเป็นเรื่
อู๋อี้ไห่: "นี่นี่ เถ้าแก่ ผมก็คิดว่าคุณไม่ได้สนใจเลยสักนิด ที่แท้คุณก็ยังฟังอยู่" เสิ่นหยินอู้: "..." เธออดทน อดทนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป และพูดกับอู๋อี้ไห่ว่า: "ผู้จัดการอู๋ คุณอยากโดนไล่ออกไหม?" “ไม่ครับ ไม่ ผมแค่ล้อเล่นเพื่อคลายเครียดเอง ถ้าคุณตอบกลับ ผมก็รู้ว่าคุณกำลังฟังอยู่”เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเสิ่นหยินอู้ไม่ดีอย่างรุนแรง อู๋อี้ไห่จึงทำได้เพียงพูดว่า: "เอาล่ะๆ ผมจะพูดต่อ" “ในตอนนั้นทุกคนคิดว่าพวกเขาทั้งสองกำลังจะหมั้นกัน เพราะแม้กระทั่งวันหมั้นก็ได้ประกาศออกมาแล้ว และคนในแวดวงต่างก็โพสต์คำเชิญเข้าร่วมงานกันหลายคนเลยด้วย” เมื่อได้ยิน คิ้วที่ของเสิ่นหยินอู้ก็ขมวดเล็กน้อย "แล้วไงต่อ?" “เถ้าแก่อย่าเพิ่งเร่งครับ ฟังผมให้จบก่อน” เสิ่นหยินอู้: "..." เธอไม่ได้เร่ง “ต่อมา หลายๆคนได้รับคำเชิญ แม้แต่ภายสถานที่จัดงานหมั้นก็ถูกถ่ายภาพไว้แล้ว ในเวลานั้น ทั่วทั้งหลานเฉิงแพร่ข่าวลือเรื่องที่ว่าทั้งสองกำลังจะหมั้นกัน แค่เพียงรอวันหมั้นที่กำลังจะมาถึง ถึงขั้นมีนักข่าวมามุงอัดกันอยู่ที่ประตูบ้านของตระกูลฉินเพียงเพื่อจะถามเกี่ยวกับเรื่องการหมั้นหมาย แต่เดาส
เสิ่นหยินอู้ใช้เวลาอยู่นานก่อนที่จะพูดออกมาได้ “เขาไม่ได้ไปเหรอ?” อู๋อี้ไห่พยักหน้าอย่างจริงจัง "ไม่ได้ไป" หลังจากได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินก็ลดสายตาลงและเงียบไป เดิมทีเขาเป็นหนี้บุญคุณเจียงฉูฉู่ ถ้าเขาไม่ไป นั่นไม่ใช่การเอาตัวเองไปเผาบนกองไฟหรอ? แต่ถึงไม่ไปแล้วมันจะทำไม เรื่องราวก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด “ตอนนั้นสื่อหลายที่รีบไปที่นั่นเพราะคิดว่าจะได้เห็นงานหมั้นที่ยิ่งใหญ่ ใครจะรู้ว่าหนึ่งในตัวละครหลักจะหายไป ผมได้ยินมาว่าวันนั้นเจียงฉูฉู่อับอายมากเพราะเธอเป็นคนเดียวที่มาในพิธีหมั้น เธอหน้าแตกยับเยินจนหมอไม่รับเย็บ ตระกูลเจียงก็หน้าแตกไปตามๆกันเพราะเธอ แต่ว่าหลังจากนั้นพวกสื่อก็ถ่ายรูปอะไรมาไม่ได้อีก ถึงจะถ่ายมาได้ แต่มันก็ถูกลบทิ้งจนหมด” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย “เป็นไปได้ไหมว่ามันเป็นแค่การบังหน้า แต่จริงๆแล้วมันไม่มีพิธีหมั้นอะไรเลย?” เสิ่นหยินยังไม่เชื่อว่าฉินเย่จะไม่ไป ท้ายที่สุดในตอนนั้นเขาก็แต่งงานปลอมๆกับเธอ รวมถึงที่เขาไม่ต้องการลูกด้วย มันไม่ใช่เพราะคนในใจของเขาคือเจียงฉูฉู่หรอ? เป็นไปได้อย่างไรกันที่เจียงฉูฉู่ถึงกับบังคับให้เขาไปง
สรุปก็คือ ถ้าเขาต้องการแย่งเด็กๆไป เธอก็จะไม่มีทางตกลงเด็ดขาด - ในตอนใกล้เวลาเลิกงาน เสิ่นหยินอู้ได้รับข้อความหนึ่ง ข้อความนี้ส่งมาจากลุงเย่มู่ที่เป็นเพื่อนของเธอใน WeChat “วันนี้ผมไม่มีเรื่องสำคัญที่ต้องทำที่บริษัท ก็เลยเลิกงานก่อนแล้วก็ไปโรงเรียน ผมรับลูกๆกลับบ้านมาแล้ว คุณเลิกงานแล้วก็มาที่นี่ได้เลยนะ” เมื่อเห็นข้อความ เสิ่นหยินอู้ก็ลุกขึ้นยืนทันที ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเหลือจะเชื่อแต่แล้วเธอก็ได้สติและตอบกลับทันทีว่า: "ฉันไม่เห็นด้วย" ฉินเย่: "ไม่เห็นด้วยยังไง?" เสิ่นหยินอู้: "ฉันไม่เห็นด้วยกับการที่คุณพาลูกๆของฉันไปที่บ้าน กรุณาเคารพความต้องการของฉันด้วย" อีกฝ่ายเงียบไปนานแล้วจึงตอบเธอ: "หยินอู้ ต้องให้ผมเตือนคุณไหม? เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนก็เป็นลูกของผมเหมือนกัน" เสิ่นหยินอู้: "คุณไม่จำเป็นต้องเตือนฉัน ฉันเลี้ยงดูพวกเขามาจนโต ฉันรู้ดีว่าลูกๆเป็นลูกของใคร ยังไงพวกเขาไม่ใช่ลูกของคุณอยู่แล้ว" ฉินเย่: "จริงเหรอ? งั้นให้ผมพาพวกเขาไปตรวจดีเอ็นเอไหม?" เสิ่นหยินอู้: "..." เสิ่นหยินอู้: "สรุปนะ กรุณาอย่าพาลูกของฉันไปไหนอีก" หลังจากส่งข้อความไปแล้ว เป็นเว
หลังจากที่ฉินเย่พาเด็กๆกลับถึงบ้าน เขาได้เชิญเชฟมาทำอาหารอร่อยๆให้พวกเขาเป็นพิเศษ และยังให้คนไปซื้อของเล่นอีกมากมายมาด้วย เนื่องจากยังไม่รู้ความชอบที่เฉพาะเจาะจงของเด็กสองคนนี้ และเขาไม่เคยซื้อของเล่นมาก่อน เขาจึงให้คนไปซื้อของเล่นมาเป็นกองๆ ซึ่งรวมไปถึงของเล่นต่างๆสำหรับทั้งเด็กผู้หญิงและทั้งเด็กผู้ชายด้วย เด็กน้อยทั้งสองไม่เคยเห็นของเล่นเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเมื่อเห็นมัน พวกเขาจึงตกตะลึงกันทั้งคู่ พวกเขาทั้งสองหันไปหาฉินเย่พร้อมกัน และเสิ่นเหมิงเหมิงก็ถามเบาๆ: "ลุงเย่มู่ ทั้งหมดนี้ให้เหมิงเหมิงกับพี่ชายหรอคะ?" "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ถ้าอยากเป็นพ่อของพวกหนู ลุงก็ต้องทำตัวดีๆให้มากๆ นี่แค่เริ่มต้น เข้าไปดูสิว่ามีอันที่ชอบไหม?" หลังจากพูดจบ มือใหญ่ๆของเขาก็วางลงไปบนแผ่นหลังของเด็กทั้งสองคนแล้วผลักพวกเขาเบาๆให้เข้าไป เด็กน้อยทั้งสองเข้าไปในห้องแล้วมองหน้ากัน จากนั้นเหมิงเหมิงก็ถามเสิ่นซือเหนียนเบาๆ “พี่ชาย ของพวกนี้เราดูได้ไหม?” เสิ่นซือเหนียนดูออกว่าจริงๆแล้วเหมิงเหมิงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แล้ว ที่จริงก็ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวเมื่อเห็นห้องท
หลังจากแน่ใจแล้ว เสิ่นเหมิงเหมิงก็ส่งเสียงออกมาด้วยความดีใจและไปรื้อเครื่องบินจำลองต่อ หลังจากที่เธอจากไป ฉินเย่ก็มองไปที่เสิ่นซือเหนียนซึ่งยืนอยู่ข้างๆที่แทบไม่พูดอะไรและกำลังพยายามยับยั้งชั่งใจตัวเองอย่างมาก “แล้วเหนียนเหนียนล่ะ?” “อะ อะไรหรอครับ?” เมื่อเขาถูกเรียก ทันใดนั้นเสิ่นซือเหนียนก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา “ความฝันของเหมิงเหมิงคือการเป็นนักบินหญิง แต่เหนียนเหนียนล่ะ?” นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ฉินเย่พูดคุยกับเด็กน้อยอย่างอดทนและเป็นฝ่ายที่ถามเกี่ยวกับความฝันของคนอื่นก่อน ในอดีตเขาไม่อยากฟังสิ่งที่เด็กคนอื่นพูดด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขาอยากจะมีเวลามากขึ้นเพื่อทำความรู้จักกับลูกๆสองคนของเขาที่ไม่เคยรู้จักกันเลยห้าปี และเขายังต้องการรู้จักตัวตนของพวกเขาเพิ่มอีกด้วย เสิ่นซือเหนียนมองไปทางอื่น ไม่หันหน้าไปหาฉินเย่และพูดอย่างอึดอัดว่า: "ผมยังไม่ได้คิดเลย" หลังจากได้ยิน สายตาของฉินเย่ก็เลื่อนลง และจับจ้องไปที่มือเล็กๆของเขาที่จับชายเสื้อของตัวเอง สายตาของเขามีความหมายลึกซึ้ง “ยังไม่ได้คิดหรือคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกลุงเย่มู่เหรอ? ดูเหมือนว่าเหนียนเหนียนจะเริ่มไม่ไว้ใจลุงซะแล้วนะเนี่
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ