บุญคุณ มันก็เป็นตอนนั้นเองที่เธอติดฉูฉู่ และเมื่อเสิ่นหยินอู้ไปขอให้ผู้คนช่วยเหลือเธอตามสถานที่ต่างๆในเวลาต่อมา เธอก็พบว่าการโทรมาของเจียงฉูฉู่ในตอนนั้นมาได้ทันท่วงทีมากเพียงใด ทรัพย์สินของตระกูลเสิ่นทั้งหมดโดนยึดไป เหลือแค่เพียงบ้านหลังนั้นเท่านั้น ต่อมา เมื่อเธอเริ่มตั้งตัวได้ ความตั้งใจของเสิ่นหยินอู้คือเธอต้องการขายบ้านหลังนั้นและเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง แต่พ่อของเธอไม่เห็นด้วยและบอกเธอด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมว่า “บ้านหลังนั้นจะจัดการยังไงก็แล้วแต่ลูก ในเมื่อแต่ก่อนพ่อสามารถทำธุรกิจได้สำเร็จโดยเริ่มจากการที่ไม่มีอะไรเลย ในอนาคตจะต้องทำได้อย่างแน่นอน ลูกเอาบ้านหลังนั้นไปจำนองให้กับคนพวกนั้นได้เลย และวันหลังก็เลี้ยงข้าวฉูฉู่เป็นการตอบแทนด้วย แล้วถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือจากลูก ก็รีบตอบแทนบุญคุณของเธอให้เร็วที่สุด” "พ่อ……" บุญคุณที่ติดฉูฉู่อยู่ จะไปตอบแทนได้ง่ายๆแบบนั้นได้ที่ไหนกัน? คุณพ่อเสิ่นลูบหัวลูกสาวของตนด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น “ถึงพ่อจะไม่มีอะไรเลย แต่พ่อก็จะไม่ยอมให้นั่วนั่วของพ่อต้องก้มหัวให้กับศัตรูหัวใจของลูก ไม่ต้องห่วงนะ พ่อต้องกลับมาอีกครั
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเธอยุ่งอยู่กับงาน คุณย่าฉินจึงอนุญาตให้เธอและฉินเย่ไปเยี่ยมเยียนเฉพาะในวันอาทิตย์เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ไปเยี่ยมในเวลาอื่น ไม่เช่นนั้นคุณย่าจะโกรธ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่จะไปเยี่ยมเยียนคุณย่าในทุกวันอาทิตย์ เมื่อคืนเขาเมาขนาดนั้น และยังไปด้วยกันกับเจียงฉูฉู่ ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะ... ในเวลานี้คนขับก็ถามขึ้นมาพอดีว่า "จะโทรหาคุณผู้ชายไหมครับ?" ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เรียกสติกลับคืนมา และพูดโดยไม่รู้ตัวว่า "ไม่ต้องหรอก เขาไม่ว่าง" คนขับ"......" “วันนี้ฉันจะไปเองแล้วกัน” คนขับทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเงียบๆ แล้วก็ขับต่อไป หลังจากอยู่ในตระกูลฉินมาเป็นเวลานาน เขาก็มองออกว่าช่วงนี้บรรยากาศภายในบ้านนั้นค่อนข้างผิดปกติ และเขาก็เคยได้ยินข่าวลือมาบ้างแล้ว เมื่อเห็นท่าทางของเสิ่นหยินอู้ในตอนนี้ เขาก็รู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมากแต่เขาก็เป็นแค่คนขับรถเท่านั้น เรื่องแบบนี้ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขาที่จะต้องไปกังวลกับมันแต่อย่างใด - ณ โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในหนานเฉิง ทันทีที่เสิ่นหยินอู้มาถึง พยาบาลต้อนรับก็ทัก
เมื่อพูดถึงฉินเย่อ ในหัวของเสิ่นหยินอู้ก็กลับมานึกถึงฉากที่เธอเห็นนอกร้านเหล้าเมื่อคืนนี้ แล้วเขาหละ? แน่นอนว่าเขาคงถูกเจียงฉูฉู่พาตัวกลับไปแล้วแหละ สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่เขาทำเมื่อคืนนี้ การที่เขาไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าคุณนายจนถึงตอนนี้ เสิ่นหยินอู้นั้นรู้อยู่แก่ใจ เธออารมณ์เสียมาก แต่เธอไม่สามารถปล่อยให้มันเกิดขึ้นต่อหน้าคุณนายฉินได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่แก้ตัวให้ฉินเย่ด้วยเสียงเบาๆซึ่งจะไม่ง่ายที่จะถูกจับได้ในภายหลัง “เมื่อคืนเขานอนดึกมาก วันนี้ก็เลยตื่นไม่ไหวค่ะ” หลังจากพูดเช่นนั้น ทันใดนั้นเสิ่นหยินอู้ก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง เขานอนดึกมากจริงๆ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำอะไรในช่วงนั้น เมื่อคุณนายฉินได้ยินเช่นนั้น เธอก็แสดงท่าทางที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาในทันที "อายุขนาดนี้แล้วยังนอนดึกอยู่อีก" เสิ่นหยินอู้ยิ้มและไม่พูดอะไร คุณนายฉินมองดูท่าทางอารมณ์ดีของเธอแล้วถอนหายใจ "คงมีแค่หนูคนเดียวที่สามารถทนนิสัยแบบนี้ของเขาได้" “ไม่หรอกค่ะ” เสิ่นหยินอู้พูดด้วยเสียงต่ำ เธอไม่ต้องการที่จะพูดเกี่ยวกับหัวข้อนี้อีกต่อไป เธอจึงบอกให
เขามีรูปร่างที่สูงและผอม มีใบหน้าอันหล่อเหลา แต่ดวงตาของเขากลับเยือกเย็น เมื่อพวกเขาปะทะกัน เสิ่นหยินอู้ก็หยุดฝีเท้าของเธอลงเฉิน “ฉินเย่?” คุณนายฉินรู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเธอเห็นฉินเย่มาที่นี่ "คุณย่า" ฉินเย่เรียกคุณนายฉินด้วยเสียงต่ำทุ้ม เสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย ให้ความรู้สึกที่น่าดึงดูดใจทางเพศ เสิ่นหยินอู้หัวเราะเบาๆ เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ดูเหมือนว่าฉินเย่จับสังเกตในสิ่งที่เธอทำได้ เขาจึงลากสายตาขึ้นมามองที่เธออย่างจริงจัง “แกเป็นอะไรไป? เสิ่นหยินอู้บอกว่าแกนอนดึก ก็เลยตื่นไม่ไหว ฉันคิดว่าวันนี้แกจะไม่มาแล้วด้วยซ้ำ” ฉินเย่ไม่คิดว่าเสิ่นหยินอู้จะแก้ตัวให้กับตัวเองเช่นนั้น เขาเม้มริมฝีปากบางของเขา แล้วพูดกับคุณนายฉินด้วยน้ำเสียงประจบประแจงว่า "อย่าพูดว่านอนดึกเลยครับ ต่อให้นอนเช้า ผมก็ต้องมาเยี่ยมคุณย่าอยู่แล้ว" “พูดไปเรื่อย” คุณนายฉินตำหนิเขาโดยแสร้งทำเป็นไม่ชอบ แต่เธอก็ไม่สามารถกลั้นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจบนใบหน้าของเธอได้ จากนั้นฉินเย่ก็เดินไปหาเสิ่นหยินอู้แล้วพูดว่า "ผมเข็นเอง" เมื่อเขาเข้าใกล้ เสิ่นหยินอู้ไ
เมื่อเห็นข้อความนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวและมองไปที่ฉินเย่ เธอสบตากับดวงตาที่มืดมนและลึกลับของเขา เขามองเธอโดยไม่กะพริบตา เสิ่นหยินอู้มองดูเขาครู่หนึ่ง แล้วจึงเม้มริมฝีปากแล้วหันศีรษะไปโดยไม่สนใจเขา ฉินเย่ "....." มือถือของเธอสั่นอีกครั้ง และเสิ่นหยินอู้ก็หยิบมันขึ้นมาดู "มานี่" ไม่ เธอไม่ต้องการ “เมื่อคุณย่าผ่าตัดเสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นเธออยากจะทำอะไรก็ทำ ทำตัวดีๆหน่อยสิ ให้ความร่วมมือกับผม คุณไม่ได้บอกเองหรอกเหรอว่าเราอยู่ในความสัมพันธ์แบบเอื้อผลประโยชน์ต่อกัน?” หลังจากเห็นประโยคสุดท้าย ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกตัว ก็ถูก พวกเขามีความสัมพันธ์แบบเอื้อผลประโยชน์ต่อกันมาตั้งแต่แรก ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาทั้งคู่เห็นพ้องต้องกัน แล้วทำไมตอนนี้เธอถึงทำแบบนี้? เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆก้าวไปหาฉินเย่อย่างช้าๆ แม้ว่าเธอจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ทุกย่างก้าวที่ก้าวเข้าไปหาฉินเย่นั้นดูยากลำบากมาก ในที่สุด เมื่อเธอเคลื่อนไปอยู่ข้างเขา สีหน้าของฉินเย่ก็บึ้งตึงขึ้นมา เขามองไปที่หญิงสาวตรงหน้าและไม
เสิ่นหยินอู้ล้างมือของเธอซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยสีหน้าที่เย็นชา เธอคิดว่าถ้าเธอพบกับเจียงฉูฉู่เพียงลำพัง เธอจะไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ และเธอก็จะไม่คิดถึงเรื่องของเจียงฉูฉู่มากนัก แต่เมื่อใดก็ตามที่เธอนึกถึงเขากับเจียงฉูฉู่ที่อยู่ด้วยกันเมื่อคืนนี้ เธอก็รู้สึกขยะแขยงเป็นอย่างมาก ความรู้สึกขยะแขยงเช่นนี้เป็นความรังเกียจที่อยู่ในจิตใจ อากาศค่อนข้างเย็นอยู่แล้ว แต่หลังจากที่เธอล้างมือไปหลายครั้ง ความอบอุ่นที่มือของเธอก็หายไปอีกครั้ง ทำให้มือของเธอนั้นเย็นจนแทบจะเป็นน้ำแข็ง เสิ่นหยินอู้เช็ดมือของเธอ จากนั้นก็หันหลังกลับและเดินออกไปข้างนอก ทันใดนั้นเธอก็หยุด และมองไปที่ฉินเย่ซึ่งกำลังยืนพิงอยู่ที่ประตู เขาพิงอยู่ตรงนั้น จ้องมองไปที่พื้นพร้อมกับลดสายตาลงเล็กน้อย ทุกส่วนบนใบหน้าของด้านข้างของเขาดูหล่อเหลาจนยากที่จะหาที่ติ และยังสามารถเห็นขนตายาวของเขาได้อีกด้วย เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองดูเธอ สายตาที่ขุ่นมัวของเขามองไปที่มือของเธอ เสิ่นหยินอู้ล้างมือหลายครั้งจนมือของเธอแดง คำเยาะเย้ยแวบขึ้นมาในดวงตาของฉินเย่ จากนั้นริมฝีปากบางของเขา
เสิ่นหยินอู้ปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว "เปล่า" แล้วเธอก็ถามอีกครั้งว่า "คุณไปฟังใครพูดมา?" เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็หรี่ตาที่เฉี่ยวคมของเขาลง "เปล่าเหรอ? แล้วทำไมคุณยังสนใจว่าผมฟังใครพูดมาอยู่เลยหละ?" "โอ้" เสิ่นหยินอู้พูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า "อยากรู้จังว่าใครกันที่เป็นคนแพร่ข่าวได้เร็วขนาดนี้ กู้เหยียนซี จี้ชิงเป่ยเหรอ? ถูกต้อง ชิงเป่ยโทรหาฉันแล้วบอกว่าคุณเมา ให้ฉันไปรับคุณ ฉันยังไม่ทันจะปฏิเสธเขาก็วางสายไปแล้ว” ฉินเย่ขมวดคิ้วและมองดูเธอพูดอย่างใจเย็น “เดิมที ฉันอยากให้พ่อบ้านไปรับคุณ แต่มันดึกมากแล้วและพ่อบ้านก็อายุมากแล้ว มันไม่ดีนักที่จะปลุกเขา ฉันคิดว่าในเมื่อเหยียนซีกับชิงเป่ยอยู่ที่นั่นทั้งคู่ พวกเขาจะต้องดูแลคุณได้อยู่แล้ว ดังนั้น ต่อให้คุณจะเมาก็คงไม่เป็นไร” "แล้วไงต่อ?" สิ่งที่เธอพูดฟังดูสมเหตุสมผล และดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติด้วย “หลังจากที่ฉันคิดแบบนั้นแล้วฉันก็ไปนอนไง” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้พูดจบ เธอก็จ้องเขา "แล้วใครบอกคุณว่าฉันออกไปหาคุณ? ฝากไปขอบคุณเขาด้วยแล้วกันที่สร้างภาพดีๆแบบนี้ให้ฉัน" ฉินเย่ "..." เสิ่นหยินอู้ยังคงพูดต่อไป
เสิ่นหยินอู้ก้มลงไปดูข้อมูลที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ อาหารการกินและการนอนหลับในแต่ละวันล้วนถูกบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์อย่างชัดเจน เนื่องจากมีผู้ป่วยจำนวนมากในโรงพยาบาล จึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าหน้าที่พยาบาลจะจดจำพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตของทุกคนได้โดยละเอียด ดังนั้นเพื่อให้แยกข้อมูลได้ดีขึ้น โรงพยาบาลจึงบันทึกสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในคอม เสิ่นหยินอู้มองดูอย่างตั้งอกตั้งใจ และเธอพบว่ามันแบบที่พยาบาลพูดจริงๆ การเปลี่ยนแปลงนั้นเล็กน้อยมาก มากจนแทบจะไม่อยู่ในความสนใจของพยาบาลเลยแม้แต่น้อย โดยทั่วไป ข้อมูลจะมีขอบเขตอยู่ หากไม่เกินขอบเขตตามที่ตั้งไว้ ก็ยังถือว่าเป็นปกติอยู่ เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปากของเธอและรู้สึกหนักใจเล็กน้อย บางทีเธออาจจะคิดมากเกินไป? เธอรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของคุณยายดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่อารมณ์ที่ดีนัก “คุณหญิงฉิน ฉันเข้าใจว่าคุณเป็นห่วงคุณนายฉินมาก แต่...อาจเป็นเพราะคุณกังวลมากไปจนทำให้คุณฟุ้งซ่าน” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้เถียงเธอ และถึงกับเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ จากนั้นจึงพูดว่า "อืม อาจเป็นเพราะฉันเป็นห่วงจนฟุ้
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ