คุณนายฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า "ต้องผ่าตัดล่วงหน้าเหรอ?""อืม"หลังจากนั้นคุณนายฉินก็หยุดพูดเสิ่นหยินอู้เฝ้าดูจากด้านข้าง เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "คุณย่าคะ แม้ว่าการผ่าตัดจะดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วกระบวนการนี้ไม่น่ากลัวขนาดนั้น ถึงตอนนั้นคุณย่าแค่ต้องนอนพักสักพักก็เท่านั้นเอง เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะรู้สึกว่าอาการป่วยหายดีแล้วค่ะ”ในตอนที่เธอพูด น้ำเสียงของเธอก็ค่อนข้างเร็วและขี้เล่นเล็กน้อยฉินเย่อดไม่ได้ที่จะมองเธอเธอไม่ได้ดูมีจิตใจที่ดีแบบนี้มานานแล้วอาจเป็นเพราะอารมณ์ของเธอที่แสดงออกมาทำให้คุณนายฉินสบายใจยิ่งขึ้น คุณนายฉินจึงหัวเราะอีกครั้ง "หนูนี่รู้วิธีที่ทำให้ฉันมีความสุขสินะ"“เปล่าเลยค่ะคุณย่า ทุกอย่างที่หนูพูดเป็นเรื่องจริง ถ้าคุณยายไม่เชื่อ พรุ่งนี้ลองไปถามคุณหมอดูได้เลยค่ะ” “โอเคจ้า โอเค ฉันรู้ว่าหนูเป็นห่วง ย่าไม่กลัวหรอก”เมื่อออกจากโรงพยาบาลก็เป็นเวลาแปดโมงแล้วเดิมทีเสิ่นหยินอู้ต้องการใช้เวลากับคุณยายมากกว่านี้ แต่คุณนายฉินต้องพักผ่อน ดังนั้นทั้งสองจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปเมื่อออกจากห้องผู้ป่วย ทั้งสองมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูกและเบื่อ
คนขับรถ"......"เจ้านายของเขายังไม่ได้ขึ้นรถเลยคนขับมองไปที่ฉินเย่ซึ่งยืนอยู่นอกหน้าต่างรถด้วยสีหน้าเศร้าหมอง และถามด้วยเสียงเบาๆว่า "คุณผู้หญิงครับ คุณผู้ชายเขา... "“เขามีเรื่องต้องทำ ถ้าเขาไม่อยากขึ้นรถก็ไปกันเถอะ”คนขับไม่กล้าพูดต่อ แต่เขาก็ไม่กล้าขับรถออกไปเช่นกัน แม้ว่าฉินเย่จะเป็นเจ้านายของเขา แต่เขาก็เข้าใจว่าคนที่นั่งอยู่ด้านหลังก็คือภรรยาของฉินเย่ คุณผู้ชายของเขามักจะพูดจาไพเราะนุ่มนวลและใจดีมาก และส่วนใหญ่ก็เป็นเสิ่นหยินอู้ที่เป็นคนตัดสินใจในเรื่องต่างๆเขาไม่เคยล่วงเกินเธอวินาทีต่อมา จู่ๆประตูรถก็ถูกเปิดออกโดยไม่มีการบอกก่อนล่วงหน้า และฉินเย่ก็ย่อตัวลงและขึ้นมานั่งบ่นรถเสิ่นหยินอู้มองเขาฉินเย่ไขว้ขาแล้วมองคนขับรถตรงหน้าอย่างเย็นชา "ออกรถ"เสียงของเขาเย็นชาและเต็มไปด้วยความเยือกเย็น คนขับไม่กล้าจอดอีกต่อไป เขาขับรถออกไปอย่างเร่งรีบในรถเกิดบรรยากาศแปลกๆขึ้น เดิมทีเสิ่นหยินอู้คิดว่าเขาจะไม่ขึ้นรถอีกเพราะสิ่งที่เธอพูดไว้กับเขา แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเขา...แต่เธอกลับขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจ เพราะยังไงเขาก็เป็นคนพูดเอง ถ้าจะตบหน้า ก็เท่ากับว่าเขาตบหน้าตัวเองเป็นเขาเอง
ใช่แล้ว ข้อมูลที่เธอได้รับเปลี่ยนไปจริงๆ นี่แสดงให้เห็นว่าลางสังหรณ์ของเธอนั้นถูกต้องเฉินหยินอู้ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หยิบข้อมูลกลับมา แล้วก็พับเก็บไปหลังจากเก็บเสร็จแล้ว เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ และพูดกับฉินเย่ "ที่จริงแล้ว ฉันรู้สึกว่าคุณย่ากลัวการผ่าตัด ช่วงบ่ายเมื่อกี้ คุณไม่ควรบอกคุณย่าว่าจะต้องผ่าตัดล่วงหน้าเลย"เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็สะดุ้ง"งั้นหรอ?""อืม"เขามองเธอ และเห็นสีหน้าที่จริงจังของเธอ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่เธอพูดในโรงพยายบาลก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องซี้ซั้วเธอบอกว่าที่เธอเป็นห่วงคุณย่าของเขานั้นไม่ใช่เพราะตัวเขาประโยคนี้ไม่ได้พูดด้วยความโกรธและน้อยใจเธอถือคุณย่าของเขาเป็นคุณย่าของเธอจริงๆเมื่อคิดเช่นนั่น ฉินเย่ก็เปิดริมฝีปากของเขาออก แล้วพูดว่า "อืม ผมเข้าใจแล้ว ผมจะปลอบคุณย่าทีหลัง"เนื่องจากปัญหาของคุณย่าถูกหยิบยกขึ้นมา ความสงบสุขระหว่างทั้งสองก็เกิดขึ้นเล็กน้อยแต่หลังจากหัวข้อเกี่ยวข้องกับคุณย่าจบลง ทั้งสองก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งคนขับที่ขับอยู่ข้างหน้ารู้สึกประหลาดใจอย่างมากตอนที่ขึ้นรถมา บรรยากาศตึงเครียดมากขนาดนั้นแท้
แต่เมื่อมองจากอีกมุมหนึ่ง ฉูฉู่ก็คือคนที่เขาชอบ และเขาก็จริงใจกับเธอมากตอนนี้เสิ่นหยินอู้เข้าใจแล้ว แต่จากมุมมองของเธอเอง เธอก็ยังคงไม่เห็นด้วยแต่ไม่มีวิธีที่จะตกลงกัน ยังไงช่วงนี้ก็คงยังต้องแกล้งทำเป็นปกติไปก่อนเสิ่นหยินอู้ออกมาหลังจากอาบน้ำ แล้วก็เห็นฉินเย่นอนอยู่บนโซฟาในห้องนอนเขาอาจจะเหนื่อยจึงถอดเสื้อคลุมออกแล้วนอนหลับตาอยู่ตรงนั้นเมื่อได้ยินเสียง เขาก็ลืมตาขึ้นและมองไปทางเสิ่นหยินอู้เสิ่นหยินอู้มองไปที่เขา แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าหยินอู้กำลังจ้องมองเขาอยู่ ดวงตาของพวกเขาจึงสบกันโดยไม่คาดคิด และเธอก็มองออกไปทางอื่นด้วยความประหม่าในทันทีฉินเย่ไม่สนใจ และถามด้วยน้ำเสียงที่สบายๆว่า"อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ?"จากนั้นเสิ่นหยินอู้ก็ตอบกลับอย่างทื่อๆว่า"อืม"“งั้นผมไปอาบน้ำนะ”หลังจากพูดเช่นนั้น ฉินเย่ก็ลุกขึ้นและเข้าไปในห้องน้ำเมื่อเขาออกมาอีกครั้ง มันก็ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมงฉินเย่เช็ดผมที่เปียกชื้นด้วยผ้าแห้งแล้วเดินออกมา ทันใดนั้น เขาก็หยุดและมองไปที่เสิ่นหยินอู้ซึ่งนอนหลับอยู่ข้างเตียงมีหมอนอยู่ข้างหลังเธอและมีหนังสืออยู่ในมือ โคมไฟเปิดอยู่ และเธอก็ฟุบไปอย่างเงียบๆโดย
"อืม สงบศึก"เสิ่นหยินอู้พยักหน้าเบาๆ "เรากลับมาทำตัวเหมือนแต่ก่อนกันเถอะ โอเคไหม?"เหมือนแต่ก่อน?ฉินเย่ดีใจกับคำพูดของเธอ และเขาก็พูดติดอ่างเล็กน้อย“คะ คุณหมายความว่า...”เสิ่นหยินอู้เหลือบมองเขา จากนั้นลดสายตาลงและพูดอย่างจริงจัง "ฉันคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังระหว่างทางกลับมา อารมณ์ของคุณย่าดูเหมือนจะมั่นคงมากแล้ว และการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหา แต่ท้ายที่สุดแล้ว การผ่าตัดจะดำเนินการในอีกครึ่งเดือนต่อจากนี้ ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องเถียงกันในเวลานี้ ฉันกลัวว่าคุณย่าจะสังเกตเห็นและจะส่งผลต่อเธอ”เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็รู้สึกเหมือนเขาได้เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา“คุณหมายถึง……”“คุณไม่เข้าใจที่ฉันหมายถึงเหรอ? ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ดังนั้นเราต้องร่วมมือกัน หลังจากครึ่งเดือนนี้ คุณอยากจะทำอะไรก็ได้ แล้วแต่ที่คุณต้องการ ไม่มีใคร หรืออะไรสามารถรั้งคุณได้ "เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นมันชัดเจนมาก“คุณเป็นคนฉลาดและคุณควรจะเข้าใจสิ่งในที่ฉันพูด”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็กระตุกมุมปากของเขา ใช่ เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?กล่าวอีกนัยห
หลังจากลุกขึ้น เสิ่นหยินอู้ก็อาบน้ำตามปกติ และเมื่อเธอเห็นฉินเย่กำลังแต่งตัว เธอก็เข้ามาผูกเน็คไทให้เขาใต้ตาของฉินเย่มีรอยคล้ำอย่างเห็นได้ชัด เมื่อคืนนี้คนข้างๆเขานั้นหลับสบาย แต่ตัวเขาเองกลับนอนไม่หลับทั้งคืนจนกระทั่งฟ้าสว่าง เขาถึงจะรู้สึกง่วงเล็กน้อยหลังจากนอนหลับได้สักพัก เขาก็ได้ยินเสียงลุกของคนข้างๆฉินเย่ยังนอนหลับไม่สนิท ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นเพราะอาการนอนไม่หลับ บวกกับปฏิกิริยาของเธอทำให้เขาไม่มีความสุข และเขาไม่มีที่ที่จะแสดงความไม่พอใจออกมาได้ ฉินเย่จึงแสดงท่าทีที่หยาบคายเล็กน้อยเมื่อเขาผูกเนคไท และยิ่งหมดความอดทนมากขึ้นเขาไม่คิดว่าเธอจะมาผูกเน็คไทให้เขาในเวลานี้"ฉันผูกให้"เธอพูดเบา ๆหลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ลดสายตาลงและจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตาเสิ่นหยินอู้จงใจหลีกเลี่ยงสายตาที่จ้องเขม็งของเขา และพูดเบาๆ "คุณก้มลงหน่อย ไม่งั้นฉันจะผูกไม่ถึง"ฉินเย่เม้มมุมปากของเขา เขาไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขากลับไม่ก้มลงไปเสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะจ้องไปที่เขาฉินเย่เม้มริมฝีปาก "ในที่สุดก็กล้าสบตาผมแล้วหรอ?"เสิ่นหยินอู้ "..."เกิดอะไรขึ้นกับเขาอีก? เมื่อคืนเรายังค
ในวันนั้น ฉินเย่สามารถพูดได้เลยว่า มันเป็นการทานอาหารเช้าด้วยใบหน้าที่ขุ่นเคืองมากเนื่องจากเขาหันหลังให้กับพวกคนรับใช้ พวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้ พวกเขาเห็นเพียงแค่คนสองคนที่พูดคุยกันอย่างใกล้ชิดจากด้านหลัง จึงคิดว่าพวกเขากลับมาคืนดีกันอีกครั้งแล้วเนื่องจากช่วงนี้เสิ่นหยินอู้มีวันลาพักร้อนประจำปี เธอจึงไม่ได้ไปที่บริษัทและไปโรงพยาบาลทุกวันเพื่อติดตามอาการของคุณนายฉินเป็นเวลาหลายวันแล้วที่คุณนายฉินมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเสิ่นหยินอู้นั้นมีอารมณ์ที่สงบมากในช่วงนี้สิ่งต่างๆ ดูเหมือนจะเป็นไปตามที่เธอคิดไว้ ครึ่งเดือนนี้ เวลาสามสี่วันก็ผ่านไปได้อย่างรวดเร็วบางครั้งเมื่อเธออยู่คนเดียวเงียบๆ เธอก็จะลูบท้องของเธอเบาๆทัศนคติของเธอก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆเมื่อเธอรู้ว่าเธอท้องเป็นครั้งแรก เธอยังคงสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับลูกของเธอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกได้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเด็กในท้องของเธอเป็นหนึ่งเดียวและมีหัวใจดวงเดียวกันกับเธอ และเธอก็ทุ่มเทให้กับเด็กในท้อง และก็รู้สึกรักมากขึ้นเรื่อยๆแม้แต่ในกรณีที่ เธอมีเรื่องที่ไม่สามารถพูดก
เสิ่นหยินอู้ไม่ได้คิดอะไรมาก เธอแค่กระตุกมุมปากแล้วพูด "ไม่หละ ขอบคุณ" การปฏิเสธของเธอทำให้ชายคนนั้นตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นเจียงฉูฉู่ก็พูดว่า "โจวจ้ง ขอนมร้อนให้เธอสักแก้วก็พอ" ชายที่ชื่อโจวจ้งพยักหน้าตอบ"โอเค ฉันจะไปทำ พวกเธอคุยกันไปเถอะ" ก่อนที่เขาจะเดินออกไป โจวจ้งอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเสิ่นหยินอู้อีกครั้งเจียงฉูฉู่เห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นในสายตาของเธอทั้งหมด หลังจากที่โจวจ้งเดินออกไป เธอก็ยิ้มให้เสิ่นหยินอู้ และพูดว่า "เธอมาแล้ว งั้นก็นั่งลงเถอะ"เสิ่นหยินอู้เหลือบมองเธอแล้วนั่งลงตรงหน้าของเจียงฉูฉู่เจียงฉูฉู่มองดูชุดที่เธอสวมอยู่ และพูดเบา ๆ ขณะที่มองดูนั้นว่า "โจวจ้งเป็นเพื่อนที่ฉันเจอที่ต่างประเทศ เขาเป็นคนใจกว้าง หลังจากที่เขากลับมาที่จีน เขาก็เปิดร้านกาแฟแห่งนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความทะเยอทะยานที่สูงมากก็ตาม แต่เขาก็ใช้ชีวิตแบบสบายๆ อีกอย่าง เขาจริงจังกับความสัมพันธ์และอ่อนโยนกับแฟนสาวมาก”เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เจียงฉูฉู่ก็หยุดไปชั่วคราวและเอ่ยปากออกมาอย่างรอบคอบ "ถ้าเธอหย่ากับเย่แล้วเธอไม่มีที่จะไป ก็พิจารณาเขาได้นะ" -จู่ๆเสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นมาแล
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่หล่อเหลา ราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงใช้แรงดึงมือของเธอออกมาเท่านั้น ทันใดนั้นสายตาของฉินเย่ก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้: "..." ขณะที่เธอพยายามจะเอามือออกมา เผยจ้าวเหิงก็พูดขึ้นว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่น เราต้องรีบไปสนามบิน ขอตัวก่อนนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เผยจ้าวเหิงก็ถือโอกาสนี้จับมือของโจวชวงชวงและพาเธอออกไป "เฮ้เฮ้..." โจวชวงชวงคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูงเธอออกไปเช่นนี้ หลังจากตอบสนองได้แล้ว เธอก็ตะโกนบอกเสิ่นหยินอู้: "หยินอู้ งั้นไว้เจอกันที่จีนนะ ฉันจะไปหาเธอหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว"เสิ่นหยินอู้โบกมือให้เธอ “โอเค ไว้เจอกันที่จีนนะ” โจวชวงชวงถูกเผยจ้าวเหิงพาออกไป เหลือเพียงฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้เท่านั้นที่อยู่ ณ ตรงนั้น หลังจากเงียบไปหลายวินาที เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาว่า: "พวกเขาไปกันแล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยมือล่ะ?" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ก้มศีรษะลงไปมองมือที่ทั้งสองจับกันอยู่ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างน่ามอง “แล้วทำไมต้องปล่อยมือด้ว
ในเวลานี้หญิงสาวทั้งสองดูเศร้ามาก ดังนั้นฉินเย่จึงยืนเงียบๆอยู่ที่ประตูและไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ หนึ่งนาที... สองนาที... จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างเหลืออดเล็กน้อย ต้องกอดกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอคงไม่ได้คิดจะแย่งหยินอู้ไปจากเขาจริงๆใช่ไหม? "อะแฮ่ม" เสียงกระแอมที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันดึงให้ทั้งสองกลับมาจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสิ่นหยินอู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่ทำเสียงนั้นออกมาคือฉินเย่ เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่พวกเธอ ท่าทางราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ โจวชวงชวงรีบคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว "ประธานฉิน" "อืม" ฉินเย่ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไป "พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่?" แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่โจวชวงชวงก็รู้สึกได้ถึงความหึงหวงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่อย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังคงตอบเขาด้วยความจริงใจ: "ไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่จะไปแล้ว ก็เลยมาบอกลาเธอ" ในตอนนี้ ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจะไปแล้วเหรอ?” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งได้เจอหยินอู้เมื่อคืนนี้ แต่วันนี