เมื่อพูดถึงฉินเย่อ ในหัวของเสิ่นหยินอู้ก็กลับมานึกถึงฉากที่เธอเห็นนอกร้านเหล้าเมื่อคืนนี้ แล้วเขาหละ? แน่นอนว่าเขาคงถูกเจียงฉูฉู่พาตัวกลับไปแล้วแหละ สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่เขาทำเมื่อคืนนี้ การที่เขาไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าคุณนายจนถึงตอนนี้ เสิ่นหยินอู้นั้นรู้อยู่แก่ใจ เธออารมณ์เสียมาก แต่เธอไม่สามารถปล่อยให้มันเกิดขึ้นต่อหน้าคุณนายฉินได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่แก้ตัวให้ฉินเย่ด้วยเสียงเบาๆซึ่งจะไม่ง่ายที่จะถูกจับได้ในภายหลัง “เมื่อคืนเขานอนดึกมาก วันนี้ก็เลยตื่นไม่ไหวค่ะ” หลังจากพูดเช่นนั้น ทันใดนั้นเสิ่นหยินอู้ก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง เขานอนดึกมากจริงๆ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำอะไรในช่วงนั้น เมื่อคุณนายฉินได้ยินเช่นนั้น เธอก็แสดงท่าทางที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาในทันที "อายุขนาดนี้แล้วยังนอนดึกอยู่อีก" เสิ่นหยินอู้ยิ้มและไม่พูดอะไร คุณนายฉินมองดูท่าทางอารมณ์ดีของเธอแล้วถอนหายใจ "คงมีแค่หนูคนเดียวที่สามารถทนนิสัยแบบนี้ของเขาได้" “ไม่หรอกค่ะ” เสิ่นหยินอู้พูดด้วยเสียงต่ำ เธอไม่ต้องการที่จะพูดเกี่ยวกับหัวข้อนี้อีกต่อไป เธอจึงบอกให
เขามีรูปร่างที่สูงและผอม มีใบหน้าอันหล่อเหลา แต่ดวงตาของเขากลับเยือกเย็น เมื่อพวกเขาปะทะกัน เสิ่นหยินอู้ก็หยุดฝีเท้าของเธอลงเฉิน “ฉินเย่?” คุณนายฉินรู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเธอเห็นฉินเย่มาที่นี่ "คุณย่า" ฉินเย่เรียกคุณนายฉินด้วยเสียงต่ำทุ้ม เสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย ให้ความรู้สึกที่น่าดึงดูดใจทางเพศ เสิ่นหยินอู้หัวเราะเบาๆ เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ดูเหมือนว่าฉินเย่จับสังเกตในสิ่งที่เธอทำได้ เขาจึงลากสายตาขึ้นมามองที่เธออย่างจริงจัง “แกเป็นอะไรไป? เสิ่นหยินอู้บอกว่าแกนอนดึก ก็เลยตื่นไม่ไหว ฉันคิดว่าวันนี้แกจะไม่มาแล้วด้วยซ้ำ” ฉินเย่ไม่คิดว่าเสิ่นหยินอู้จะแก้ตัวให้กับตัวเองเช่นนั้น เขาเม้มริมฝีปากบางของเขา แล้วพูดกับคุณนายฉินด้วยน้ำเสียงประจบประแจงว่า "อย่าพูดว่านอนดึกเลยครับ ต่อให้นอนเช้า ผมก็ต้องมาเยี่ยมคุณย่าอยู่แล้ว" “พูดไปเรื่อย” คุณนายฉินตำหนิเขาโดยแสร้งทำเป็นไม่ชอบ แต่เธอก็ไม่สามารถกลั้นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจบนใบหน้าของเธอได้ จากนั้นฉินเย่ก็เดินไปหาเสิ่นหยินอู้แล้วพูดว่า "ผมเข็นเอง" เมื่อเขาเข้าใกล้ เสิ่นหยินอู้ไ
เมื่อเห็นข้อความนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวและมองไปที่ฉินเย่ เธอสบตากับดวงตาที่มืดมนและลึกลับของเขา เขามองเธอโดยไม่กะพริบตา เสิ่นหยินอู้มองดูเขาครู่หนึ่ง แล้วจึงเม้มริมฝีปากแล้วหันศีรษะไปโดยไม่สนใจเขา ฉินเย่ "....." มือถือของเธอสั่นอีกครั้ง และเสิ่นหยินอู้ก็หยิบมันขึ้นมาดู "มานี่" ไม่ เธอไม่ต้องการ “เมื่อคุณย่าผ่าตัดเสร็จแล้ว ถึงตอนนั้นเธออยากจะทำอะไรก็ทำ ทำตัวดีๆหน่อยสิ ให้ความร่วมมือกับผม คุณไม่ได้บอกเองหรอกเหรอว่าเราอยู่ในความสัมพันธ์แบบเอื้อผลประโยชน์ต่อกัน?” หลังจากเห็นประโยคสุดท้าย ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกตัว ก็ถูก พวกเขามีความสัมพันธ์แบบเอื้อผลประโยชน์ต่อกันมาตั้งแต่แรก ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาทั้งคู่เห็นพ้องต้องกัน แล้วทำไมตอนนี้เธอถึงทำแบบนี้? เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆก้าวไปหาฉินเย่อย่างช้าๆ แม้ว่าเธอจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ทุกย่างก้าวที่ก้าวเข้าไปหาฉินเย่นั้นดูยากลำบากมาก ในที่สุด เมื่อเธอเคลื่อนไปอยู่ข้างเขา สีหน้าของฉินเย่ก็บึ้งตึงขึ้นมา เขามองไปที่หญิงสาวตรงหน้าและไม
เสิ่นหยินอู้ล้างมือของเธอซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยสีหน้าที่เย็นชา เธอคิดว่าถ้าเธอพบกับเจียงฉูฉู่เพียงลำพัง เธอจะไม่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ และเธอก็จะไม่คิดถึงเรื่องของเจียงฉูฉู่มากนัก แต่เมื่อใดก็ตามที่เธอนึกถึงเขากับเจียงฉูฉู่ที่อยู่ด้วยกันเมื่อคืนนี้ เธอก็รู้สึกขยะแขยงเป็นอย่างมาก ความรู้สึกขยะแขยงเช่นนี้เป็นความรังเกียจที่อยู่ในจิตใจ อากาศค่อนข้างเย็นอยู่แล้ว แต่หลังจากที่เธอล้างมือไปหลายครั้ง ความอบอุ่นที่มือของเธอก็หายไปอีกครั้ง ทำให้มือของเธอนั้นเย็นจนแทบจะเป็นน้ำแข็ง เสิ่นหยินอู้เช็ดมือของเธอ จากนั้นก็หันหลังกลับและเดินออกไปข้างนอก ทันใดนั้นเธอก็หยุด และมองไปที่ฉินเย่ซึ่งกำลังยืนพิงอยู่ที่ประตู เขาพิงอยู่ตรงนั้น จ้องมองไปที่พื้นพร้อมกับลดสายตาลงเล็กน้อย ทุกส่วนบนใบหน้าของด้านข้างของเขาดูหล่อเหลาจนยากที่จะหาที่ติ และยังสามารถเห็นขนตายาวของเขาได้อีกด้วย เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองดูเธอ สายตาที่ขุ่นมัวของเขามองไปที่มือของเธอ เสิ่นหยินอู้ล้างมือหลายครั้งจนมือของเธอแดง คำเยาะเย้ยแวบขึ้นมาในดวงตาของฉินเย่ จากนั้นริมฝีปากบางของเขา
เสิ่นหยินอู้ปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว "เปล่า" แล้วเธอก็ถามอีกครั้งว่า "คุณไปฟังใครพูดมา?" เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็หรี่ตาที่เฉี่ยวคมของเขาลง "เปล่าเหรอ? แล้วทำไมคุณยังสนใจว่าผมฟังใครพูดมาอยู่เลยหละ?" "โอ้" เสิ่นหยินอู้พูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า "อยากรู้จังว่าใครกันที่เป็นคนแพร่ข่าวได้เร็วขนาดนี้ กู้เหยียนซี จี้ชิงเป่ยเหรอ? ถูกต้อง ชิงเป่ยโทรหาฉันแล้วบอกว่าคุณเมา ให้ฉันไปรับคุณ ฉันยังไม่ทันจะปฏิเสธเขาก็วางสายไปแล้ว” ฉินเย่ขมวดคิ้วและมองดูเธอพูดอย่างใจเย็น “เดิมที ฉันอยากให้พ่อบ้านไปรับคุณ แต่มันดึกมากแล้วและพ่อบ้านก็อายุมากแล้ว มันไม่ดีนักที่จะปลุกเขา ฉันคิดว่าในเมื่อเหยียนซีกับชิงเป่ยอยู่ที่นั่นทั้งคู่ พวกเขาจะต้องดูแลคุณได้อยู่แล้ว ดังนั้น ต่อให้คุณจะเมาก็คงไม่เป็นไร” "แล้วไงต่อ?" สิ่งที่เธอพูดฟังดูสมเหตุสมผล และดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติด้วย “หลังจากที่ฉันคิดแบบนั้นแล้วฉันก็ไปนอนไง” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้พูดจบ เธอก็จ้องเขา "แล้วใครบอกคุณว่าฉันออกไปหาคุณ? ฝากไปขอบคุณเขาด้วยแล้วกันที่สร้างภาพดีๆแบบนี้ให้ฉัน" ฉินเย่ "..." เสิ่นหยินอู้ยังคงพูดต่อไป
เสิ่นหยินอู้ก้มลงไปดูข้อมูลที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ อาหารการกินและการนอนหลับในแต่ละวันล้วนถูกบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์อย่างชัดเจน เนื่องจากมีผู้ป่วยจำนวนมากในโรงพยาบาล จึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าหน้าที่พยาบาลจะจดจำพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตของทุกคนได้โดยละเอียด ดังนั้นเพื่อให้แยกข้อมูลได้ดีขึ้น โรงพยาบาลจึงบันทึกสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในคอม เสิ่นหยินอู้มองดูอย่างตั้งอกตั้งใจ และเธอพบว่ามันแบบที่พยาบาลพูดจริงๆ การเปลี่ยนแปลงนั้นเล็กน้อยมาก มากจนแทบจะไม่อยู่ในความสนใจของพยาบาลเลยแม้แต่น้อย โดยทั่วไป ข้อมูลจะมีขอบเขตอยู่ หากไม่เกินขอบเขตตามที่ตั้งไว้ ก็ยังถือว่าเป็นปกติอยู่ เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปากของเธอและรู้สึกหนักใจเล็กน้อย บางทีเธออาจจะคิดมากเกินไป? เธอรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของคุณยายดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่อารมณ์ที่ดีนัก “คุณหญิงฉิน ฉันเข้าใจว่าคุณเป็นห่วงคุณนายฉินมาก แต่...อาจเป็นเพราะคุณกังวลมากไปจนทำให้คุณฟุ้งซ่าน” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้เถียงเธอ และถึงกับเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ จากนั้นจึงพูดว่า "อืม อาจเป็นเพราะฉันเป็นห่วงจนฟุ้
คุณนายฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า "ต้องผ่าตัดล่วงหน้าเหรอ?""อืม"หลังจากนั้นคุณนายฉินก็หยุดพูดเสิ่นหยินอู้เฝ้าดูจากด้านข้าง เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "คุณย่าคะ แม้ว่าการผ่าตัดจะดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วกระบวนการนี้ไม่น่ากลัวขนาดนั้น ถึงตอนนั้นคุณย่าแค่ต้องนอนพักสักพักก็เท่านั้นเอง เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะรู้สึกว่าอาการป่วยหายดีแล้วค่ะ”ในตอนที่เธอพูด น้ำเสียงของเธอก็ค่อนข้างเร็วและขี้เล่นเล็กน้อยฉินเย่อดไม่ได้ที่จะมองเธอเธอไม่ได้ดูมีจิตใจที่ดีแบบนี้มานานแล้วอาจเป็นเพราะอารมณ์ของเธอที่แสดงออกมาทำให้คุณนายฉินสบายใจยิ่งขึ้น คุณนายฉินจึงหัวเราะอีกครั้ง "หนูนี่รู้วิธีที่ทำให้ฉันมีความสุขสินะ"“เปล่าเลยค่ะคุณย่า ทุกอย่างที่หนูพูดเป็นเรื่องจริง ถ้าคุณยายไม่เชื่อ พรุ่งนี้ลองไปถามคุณหมอดูได้เลยค่ะ” “โอเคจ้า โอเค ฉันรู้ว่าหนูเป็นห่วง ย่าไม่กลัวหรอก”เมื่อออกจากโรงพยาบาลก็เป็นเวลาแปดโมงแล้วเดิมทีเสิ่นหยินอู้ต้องการใช้เวลากับคุณยายมากกว่านี้ แต่คุณนายฉินต้องพักผ่อน ดังนั้นทั้งสองจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปเมื่อออกจากห้องผู้ป่วย ทั้งสองมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูกและเบื่อ
คนขับรถ"......"เจ้านายของเขายังไม่ได้ขึ้นรถเลยคนขับมองไปที่ฉินเย่ซึ่งยืนอยู่นอกหน้าต่างรถด้วยสีหน้าเศร้าหมอง และถามด้วยเสียงเบาๆว่า "คุณผู้หญิงครับ คุณผู้ชายเขา... "“เขามีเรื่องต้องทำ ถ้าเขาไม่อยากขึ้นรถก็ไปกันเถอะ”คนขับไม่กล้าพูดต่อ แต่เขาก็ไม่กล้าขับรถออกไปเช่นกัน แม้ว่าฉินเย่จะเป็นเจ้านายของเขา แต่เขาก็เข้าใจว่าคนที่นั่งอยู่ด้านหลังก็คือภรรยาของฉินเย่ คุณผู้ชายของเขามักจะพูดจาไพเราะนุ่มนวลและใจดีมาก และส่วนใหญ่ก็เป็นเสิ่นหยินอู้ที่เป็นคนตัดสินใจในเรื่องต่างๆเขาไม่เคยล่วงเกินเธอวินาทีต่อมา จู่ๆประตูรถก็ถูกเปิดออกโดยไม่มีการบอกก่อนล่วงหน้า และฉินเย่ก็ย่อตัวลงและขึ้นมานั่งบ่นรถเสิ่นหยินอู้มองเขาฉินเย่ไขว้ขาแล้วมองคนขับรถตรงหน้าอย่างเย็นชา "ออกรถ"เสียงของเขาเย็นชาและเต็มไปด้วยความเยือกเย็น คนขับไม่กล้าจอดอีกต่อไป เขาขับรถออกไปอย่างเร่งรีบในรถเกิดบรรยากาศแปลกๆขึ้น เดิมทีเสิ่นหยินอู้คิดว่าเขาจะไม่ขึ้นรถอีกเพราะสิ่งที่เธอพูดไว้กับเขา แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเขา...แต่เธอกลับขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจ เพราะยังไงเขาก็เป็นคนพูดเอง ถ้าจะตบหน้า ก็เท่ากับว่าเขาตบหน้าตัวเองเป็นเขาเอง