ไม่แปลกใจเลยที่เธอตื่นขึ้นมาในรถของฉินเย่"พี่หยินอู้ พี่ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าประธานฉินนั้นกังวลแค่ไหนในตอนที่ฉันไปบอกประธานฉินว่าพี่หมดสติไป"เมื่อหลินโยวโยวพูดเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่เข้าใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ คือกำลังพยายามทำให้ตัวเองพอใจอยู่หรือเปล่า?เธอจึงพิจารณาและตอบไปว่า: "จริงเหรอ? กังวลขนาดไหนเหรอ?"หลินโยวโยวยิ้มเล็กน้อยอย่างเขินอาย“ถึงอย่างไรฉันก็อยู่ที่ฉินกรุ๊ปมาหลายปีแล้ว นอกจากเมื่อวาน ฉันก็ไม่เคยเห็นประธานฉินแสดงสีหน้าเช่นนี้มาก่อนเลยค่ะ ในเวลานั้นข้าง ๆ เขามีเจ้าหน้าที่ระดับสูงกำลังรายงานเรื่องงานต่อเขาอยู่ พอได้ยินว่าพี่หมดสติไปแล้ว แม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงก็ยังเพิกเฉยใส่ และเขาก็วิ่งเข้ามาอุ้มพี่ขึ้นรถไปโดยตรงด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลมากเลยค่ะ”พอพูดมาถึงในตอนท้ายของประโยค หลินโยวโยวก็กระพริบตาแล้วพูดว่า: "ประธานฉินต้องใส่ใจพี่มากแน่นอนค่ะ""ใช่เหรอ?"เสิ่นหยินอู้มองดูเธอแล้วพูดว่า: "เมื่อวานเธอเห็นผู้หญิงคนอื่นข้างกายเขาหรือเปล่า?"ประโยคเดียว ก็ทำให้ความคิดของหลินโยวโยวที่จะต่อสู้กับCPของสำนักงานก็มอดดับลงไปอย่างสิ้นเชิงเธอยืนอยู่ตรงจุดเดิมเป็นเวลานาน โดย
“ว้าว ถ้าคุณว่าแบบนั้น ฉันคิดว่ามันก็เป็นไปได้นะ”“ก็ใช่ไง ผู้หญิงรวยๆที่ไหนจะทำงานเป็นเลขาในบริษัทหละ?”“แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมถึงต้องอยากแต่งงานปลอมๆหละ”“ คิดว่าคงต้องมีเหตุผลแหละ ฉันได้ยินมาว่าเลขาเสิ่นและประธานฉินโตมาด้วยกัน ในตอนที่ตระกูลเสิ่นล้มละลาย ประธานฉินก็คบหาอยู่กับเธอ เขาคงอยากจะช่วยเหลือเธอ พอมันเป็นยังงี้ ตอนนี้ก็เลยไม่มีใครกล้าที่จะรังแกเลขาเสิ่นแล้ว”“แบบนี้นี่เอง ประธานฉินของเราเป็นคนดีจริงๆ”“ฉันยังเคยได้ยินมาว่า ประธานฉินของเรารอเจียงฉูฉู่คนนั้นที่เดินทางไปต่างประเทศอยู่ตลอดเลยแหละ ช่างเป็นผู้ชายที่ซื่อสัตย์และรักเดียวใจเดียวจริงๆ ก็สมกับเป็นประธานฉินของเราแหละน้า”ขณะที่คนเหล่านั้นกำลังคุยกัน เสิ่นหยุนอู้ก็ยืนฟังอยู่ข้างหลังโดยไม่ขยับไปไหน สีหน้าของเธอสงบราวกับว่าคนที่กำลังถูกนินทาอยู่นั้นไม่ใช่ตัวเธอจนกระทั่งรถของเจียงหนิงฉวนมาจอดอยู่ตรงหน้าทุกคน จากนั้นหน้าต่างรถก็ถูกลดระดับลง ทำให้เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเจียงหนิงฉวน "ขึ้นมาบนรถเถอะ"เสิ่นหยินอู้ขึ้นไปบนรถของเจียงหนิงฉวนต่อหน้าต่อตาทุกคนหลังจากที่รถขับออกไปไกลแล้ว คนเหล่านั้นที่เพิ่งคุย
เจียงหนิงฉวนไม่ได้พูดประโยคถัดไป แต่น้ำเสียงของเขาได้แสดงอารมณ์ของเขาออกมาอย่างชัดเจนเขารู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากเสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงรู้สึกขอบคุณที่เขาไม่รู้เรื่องการตั้งครรภ์ของเธอ ไม่เช่นนั้นน้ำเสียงของเขาคงจะแย่ยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก อาจเป็นเพราะความเงียบของเธอ ดังนั้นเจียงหนิงฉวนจึงไม่ได้พูดอะไรอีกและพาเธอไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง หลังจากสั่งอาหารแล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า "รอพี่ที่นี่สักพัก พี่จะออกไปข้างนอกสักสิบนาที" “โอเค” เสิ่นหยินอู้พยักหน้า ไม่มีแรงมากพอที่จะอยากรู้ว่าเขาต้องการจะไปทำอะไร สิบนาทีต่อมา เจียงหนิงฉวนกลับมาพร้อมกับถุงใบหนึ่ง "เอาไปสิ" "อะไรหนะ?" เจียงหนิงฉวนพูดว่า "ยาไง เธอไม่ได้ป่วยอยู่เหรอ? โตขนาดนี้แล้ว เธอก็ควรจะมียาที่ใช้บ่อยๆเตรียมไว้กับตัวเองบ้างนะ ถ้ารู้สึกไม่สบายจะได้มียากิน" เสิ่นหยินอู้มองดูถุงด้วยความสับสน "แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไร" “ถ้างั้นก็เตรียมไว้สำหรับครั้งต่อไป” "ก็ได้" เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับถุงยาไว้ ในนั้นบรรจุยาสามัญประจำบ้านที่หาได้ทั่วไปเอาไว้ ซึ่งค่อนข้างครอบคลุมพอสมควร “ขอบคุณค่ะพี่หนิ
เจียงหนิงฉวนกลับมาจากความคิดของเขา เขามองดูหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เธอแต่งตัวเรียบง่ายมาก ผมที่ยาวคลุมไหล่ทัดไว้หลังใบหูแบบลวกๆ วันนี้เธอไม่ได้แต่งหน้าด้วยซ้ำ ดังนั้นเธอจึงดูสวยราวกับป่วยเป็นโรค ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสาร เจียงหนิงฉวนเป็นคนที่มีความตระหนักรู้ในตนเอง เขารู้อยู่เสมอว่าเขาไม่ดีเท่าฉินเย่และไม่คู่ควรที่จะไปเปรียบเทียบกับเขา เมื่อตระกูลเสิ่นล้มละลาย เขาไปหาเธอในหลายๆที่ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ไม่ได้มีตำแหน่งและฐานะอะไรมาก เขาจึงไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยเธอได้เลย แม้กระทั่งประธานของบริษัทแห่งหนึ่งยังบอกกับเขาโดยตรง “เจียงหนิงฉวน คุณเก่งและโดดเด่นมาก ผมเห็นถึงศักยภาพและความสามารถของคุณ แต่ตอนนี้ครอบครัวเสิ่นตกต่ำแล้ว คนฉลาดควรรู้ว่าจะต้องตัดสินใจยังไง คุณสามารถมาที่บริษัทของผมได้” ในเวลานั้น หลายคนไม่เพียงแต่ไม่อยากยื่นมือมาช่วย แต่ถึงขนาดต้องการแย่งชิงตัวเขาไปด้วยซ้ำ “ตระกูลเสิ่นจะไม่มีวันลุกขึ้นมาได้อีก แต่ให้จะมีบางคนเต็มใจที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในตอนนี้ ตระกูลเสิ่นก็ไม่มีวันรักษาความรุ่งโรจน์เหมือนดั่งในอดีตเอาไว้ได้” “ดังน
เธอตอบกลับว่า "เดี๋ยวกลับไปตอนเริ่มงาน" หลังจากนั้น ฉินเย่ก็ไม่ตอบกลับ เธอเก็บโทรศัพท์ของเธอลงไปแล้วพูดกับเจียงหนิงฉวนว่า "ฉันรู้ พี่หนิงฉวน" สายตาของเจียงหนิงฉวนมองไปที่โทรศัพท์ของเธอครู่หนึ่งแล้วถามว่า "ข้อความจากเขาเหรอ?" เสิ่นหยินอู้หยุดชั่วคราวและพยักหน้า เจียงหนิงฉวนไม่พูดอะไรได้อีก พวกเขาทั้งสองกินอาหารที่เหลือต่ออย่างเงียบๆและเช็คบิล จากนั้นเจียงหนิงฉวนก็ไปส่งเธอ เมื่อเสิ่นหยุนอู้เข้าไปในลิฟต์ เธอก็พบว่าเจียงหนิงฉวนตามเธอเข้ามา เธอประหลาดใจเล็กน้อย "พี่ก็จะไปเหรอ?" เพราะที่ทำงานที่ทั้งสองคนทำงานอยู่ไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน เจียงหนิงฉวนสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วพูดด้วยสีหน้าสงบ "พี่จะไปหาประธานฉิน มีเรื่องจะรายงานพอดี" หลังจากออกจากลิฟต์แล้ว เจียงหนิงฉวนก็ยกมือขึ้นและมองไปที่เวลาบนนาฬิกาของเขา จากนั้นก็มองไปที่เสิ่นหยินอู้แล้วพูดว่า “เหลืออีกสิบนาทีก่อนที่จะเริ่มทำงาน คงไม่เหมาะที่จะไปหาประธานฉินในตอนนี้” เสิ่นหยินอู้พูดว่า "ถ้างั้นก็ไปอยู่ที่ห้องทำงานของฉันสักพัก" "ได้" เมื่อไปที่ห้องทำงานของเสิ่นหยินอู้ ไม่จำเป
เมื่อถูกเขามองด้วยสายตาเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ก็สูญเสียความเป็นตัวเองไปเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เธอออกไปตอนเที่ยง เขาไม่ได้มาที่บริษัทด้วยกันกับเจียงฉูฉู่หรือ? ทำไมเจียงฉูฉุ่ถึงไม่อยู่ในห้องทำงานของเขา? ขณะที่เธอกำลังคิด เจียงหนิงฉวนก็ถามอะไรบางอย่างกับเธอ เสิ่นหยินอู้จึงเรียกสติกลับคืนมาได้และตอบสนองอย่างรวดเร็ว เมื่อรายงานสิ้นสุดลง เจียงหนิงฉวนก็เตรียมที่จะออกไป ฉินเย่พยักหน้าอย่างไม่แยแส ทันทีที่เจียงหนิงฉวนเดินออกไป สายตาของฉินเย่ก็มองไปที่เสิ่นหยินอู้โดยไม่ปกปิดใดๆ ก่อนหน้านี้เธอยืนอยู่ข้างหลังเจียงหนิงฉวน และยังให้เขาบังเธอไว้ ในตอนนี้ จะเลี่ยงก็เลี่ยงไม่ได้แล้วจริงๆ ในเวลานี้ จู่เจียงหนิงฉวนที่กำลังจะเดินไปถึงประตูห้องทำงานก็หันกลับมามองที่เสิ่นหยินอู้ "หยินอู้ พรุ่งนี้พี่จะมารับเธอตอนเที่ยงอีกนะ?" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ทำตัวไม่ถูก ฉินเย่ตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น “ประธานฉิน คุณคงไม่ถือสาสินะถ้าผมจะขอคุยกับเลขาเสิ่นสักหน่อย?” เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว เขากำลังจะทำอะไร? แต่ก่อนที่เธอจะได้ตอบสนองอะไ
หรือเขาแค่แกล้งทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น? “ทำไมคุณถึงไม่พูดหละ?” ฉินเย่บีบคางของเธอ เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกถึงความว้าวุ่นใจของเธอ จากนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย “เป็นอะไรไปหละ?” เสิ่นหยินอู้มองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาที่คุ้นเคยตรงหน้า ริมฝีปากสีชมพูของเขาเปิดออก แต่เขากลับลังเลที่จะพูด เธออยากจะพูดและถามอะไรบางอย่างจริงๆ แต่เมื่อคำพูดนั้นกำลังจะออกมา เธอก็ตระหนักได้ว่าเธอนั้นไร้เรี่ยวแรง... เธอไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้สักคำ ถ้าหากเขาก้มหน้าลงและถามเธอว่า "ผมแค่อยากเหลือศักดิ์ศรีไว้ให้คุณ ก็เลยแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เสิ่นหยินอู้ ทำไมคุณถึงไร้เดียงสาขนาดนี้?" ถ้าเขาพูดอย่างนั้น แล้วจะทำยังไงหละ? ตอนนี้ทุกคนก็รู้หมดแล้ว ถ้าเธอจัดการมันอย่างเงียบๆด้วยตัวเอง มันก็คงจะดีกว่า “ไม่มีอะไร” เสิ่นหยินอู้ส่ายหัว ดวงตาของฉินเย่หม่นลงเล็กน้อย มันเป็นแบบนี้อีกแล้ว เขารู้สึกว่าช่วงนี้เธออารมณ์แปรปรวนอยู่บ่อยๆ จู่ๆเธอก็ดูห่างเหินกับเขามาก ไม่ยอมพูดอะไรเลยแม้แต่น้อย เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ความรู้สึกเสน่หาที่พวยพุ่งออกมาก่อนหน้านี้ก็หายไปอย่างสิ้นเชิงใน ฉินเย่ป
คำพูดของเธอทำให้โจวชวงชวงสงบลงเล็กน้อย พวกเธอเป็นเพื่อนสนิทกันมาหลายปีแล้ว และชวงชวงก็รู้จักเสิ่นหยินอู้เป็นอย่างดี เธอรู้ดีว่าหยินอู้เป็นคนที่รู้ว่าอะไรควรและไม่ควรมาโดยตลอด ผลลัพธ์เช่นนี้เธอคงจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วแต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังรู้สึกเจ็บใจแทนเพื่อนสนิทของเธอ เธอกัดริมฝีปากล่างแล้วถามว่า "แต่...เธอเต็มใจจริงๆเหรอ?" เสิ่นหยินอู้ตอบอย่างใจเย็น "ถึงไม่เต็มใจแล้วทำจะอะไรได้หละ?" เธอไม่เต็มใจจริงๆ และพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงดูแล้ว อย่างไรก็ตาม ความจริงกลับตบเธอและบอกเธอว่าคิดไปเอง “พรุ่งนี้เธอว่างรึเปล่า สนใจไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนฉันไหม?” เสิ่นหยินอู้หยุดไปชั่วคราวและหัวเราะเบาๆว่า “ฉันไม่อยากไปคนเดียว” โจวชวงชวงพยักหน้า "โถ่ ฉันเป็นเพื่อนสนิทที่สุดเพียงคนเดียวของเธอนะ ต่อให้ไม่ว่าง ก็ต้องว่างให้ได้แหละถูกไหม? เธอไม่จำเป็นต้องถามฉันด้วยซ้ำ แค่บอกให้ฉันไปกับเธอก็พอแล้ว " เสิ่นหยินอู้ยิ้มและพูดว่า "กินข้าวเถอะ กินเสร็จจะได้กลับไปพักผ่อนไวๆ" การแสดงออกของเธอนั้นสงบมากและไม่มีท่าทีว่าจะไม่มีความสุขเลยสักนิด โจวชวงชวงมองเสิ่นหยินอู้
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่หล่อเหลา ราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงใช้แรงดึงมือของเธอออกมาเท่านั้น ทันใดนั้นสายตาของฉินเย่ก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้: "..." ขณะที่เธอพยายามจะเอามือออกมา เผยจ้าวเหิงก็พูดขึ้นว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่น เราต้องรีบไปสนามบิน ขอตัวก่อนนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เผยจ้าวเหิงก็ถือโอกาสนี้จับมือของโจวชวงชวงและพาเธอออกไป "เฮ้เฮ้..." โจวชวงชวงคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูงเธอออกไปเช่นนี้ หลังจากตอบสนองได้แล้ว เธอก็ตะโกนบอกเสิ่นหยินอู้: "หยินอู้ งั้นไว้เจอกันที่จีนนะ ฉันจะไปหาเธอหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว"เสิ่นหยินอู้โบกมือให้เธอ “โอเค ไว้เจอกันที่จีนนะ” โจวชวงชวงถูกเผยจ้าวเหิงพาออกไป เหลือเพียงฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้เท่านั้นที่อยู่ ณ ตรงนั้น หลังจากเงียบไปหลายวินาที เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาว่า: "พวกเขาไปกันแล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยมือล่ะ?" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ก้มศีรษะลงไปมองมือที่ทั้งสองจับกันอยู่ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างน่ามอง “แล้วทำไมต้องปล่อยมือด้ว
ในเวลานี้หญิงสาวทั้งสองดูเศร้ามาก ดังนั้นฉินเย่จึงยืนเงียบๆอยู่ที่ประตูและไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ หนึ่งนาที... สองนาที... จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างเหลืออดเล็กน้อย ต้องกอดกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอคงไม่ได้คิดจะแย่งหยินอู้ไปจากเขาจริงๆใช่ไหม? "อะแฮ่ม" เสียงกระแอมที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันดึงให้ทั้งสองกลับมาจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสิ่นหยินอู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่ทำเสียงนั้นออกมาคือฉินเย่ เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่พวกเธอ ท่าทางราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ โจวชวงชวงรีบคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว "ประธานฉิน" "อืม" ฉินเย่ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไป "พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่?" แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่โจวชวงชวงก็รู้สึกได้ถึงความหึงหวงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่อย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังคงตอบเขาด้วยความจริงใจ: "ไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่จะไปแล้ว ก็เลยมาบอกลาเธอ" ในตอนนี้ ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจะไปแล้วเหรอ?” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งได้เจอหยินอู้เมื่อคืนนี้ แต่วันนี