ประโยคนี้ จริงๆแล้วเจียงฉูฉู่ๆพนันกับมัน เนื่องจากพฤติกรรมของฉินเย่ในช่วงนี้แปลกมาก หากเธอไม่ได้ใช้บุญคุณที่เสิ่นหยินอู้ติดเธอไว้เพื่อควบคุมเธอ เธอคงสงสัยว่า เสิ่นหยินอู้จะบอกฉินเย่เกี่ยวกับเรื่องการตั้งครรภ์ของเธอไปแล้ว สิ่งที่น่าตลกคือ แม้ว่าเสิ่นหยินอู้จะเป็นศัตรูหัวใจของเธอ แต่ในด้านการรักษาคำพูด เจียงฉูฉู่ก็ยังคงเชื่อในตัวเธอ ไม่เช่นนั้น...เธอคงไม่พยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้เสิ่นหยินอู้เป็นหนี้บุญคุณเธอ! อย่างที่คิด หลังจากที่เธอพูดคำพูดนั้น อารมณ์ของทุกคนก็เพิ่มสูงขึ้นไปอีก “สถานะอะไร?” ทุกคนหัวเราะ "ฉูฉู่ เธอคงไม่ได้หมายความว่าตอนนี้เย่อยู่ในสถานะที่มีภรรยาอยู่แล้วใช่ไหม?" “พระเจ้า พวกเขาแต่งงานปลอมๆหนิ ใครไม่รู้บ้างว่าเธอเป็นหนึ่งเดียวในใจของเย่ล่ะ” “ใช่แล้ว และฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้ก็เป็นเพื่อนวัยเด็กกัน ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาตั้งแต่เด็กๆ ระหว่างทั้งสองคนจะรักกันได้ยังไง?” ทุกคนพูดคุยกันเอง จากนั้นฉินเย่ก็ขมวดคิ้วและมองไปที่เสิ่นหยินอู้โดยไม่รู้ตัว เสิ่นหยินอู้ยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นมาและจิบมันเบาๆด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย เธอจิบมันและพบว่าน้ำผลไม้มีรสชาติที่ไ
“ซูเชี่ยว…” เจียงฉูฉู่ดึงเพื่อนที่อยู่ข้างเธอแล้วพูดด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีว่า "หยุดพูดได้แล้ว" “ฉูฉู่ เธอดึงฉันไว้ทำไมล่ะ? ฉันแค่กำลังพูดกับเธออย่างเป็นกันเอง คุณหนูเสิ่นคงไม่ได้ใจแคบขนาดนั้นใช่ไหม?” ในขณะที่เธอกำลังพูด เสิ่นหยินอู้ก็หยิบแก้วไวน์แดงที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา มือของเธอที่ถือแก้วทรงสูงนั้นแกว่งไปมาเบาๆ และของเหลวสีแดงก็เปล่งประกายแวววับอย่างมีเสน่ห์ภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่าง การกระทำนี้ทำให้ใบหน้าของซูเชี่ยวเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เธอคิดจะทำอะไร?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันหน้าไปมองเธอ สายตาเธอมีความประหลาดใจแฝงอยู่เล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เธอก็นึกอะไรบางอย่างได้และหัวเราะออกมาดังๆ "ทำไมล่ะ? คุณคิดว่าฉันจะสาดใส่คุณเหรอ? ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้ใจแคบ และจะไม่ทำให้ไวน์แดงต้องสัมผัสกับใบหน้าของคุณหรอก ” แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เธอพูดจาเหน็บแนมจนทำให้ใบหน้าของซูเชี่ยวดูแย่มาก เธอต้องการจะระเบิดอารมณ์ และก็ถูกฉูฉู่ที่อยู่ข้างๆจับไว้ จากนั้นฉูฉู่ก็ส่งสายตาไปให้เธอ ในที่สุด ซูเชี่ยวก็สงบลง แต่เธอกลับเบะปากอย่างไม่พอใจ ภายในดวงตา
ภายในห้องกลับเข้าสู่ความเงียบสงัด พวกคนที่ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นว่ากำลังจะมีโชว์เกิดขึ้น พวกเขาต่างก็เงียบกริบเหมือนกับไก่ ในอากาศดูเหมือนว่าจะปกครุมไปด้วยออร่าที่เย็นยะเยือก ฉินเย่นั่งอยู่ตรงนั้น เขามองไปยังหญิงสาวผมสีเหลืองด้วยดวงตาที่เย็นชา สายตาของเขาดุร้ายรุนแรงราวกับดาบที่คมกริบ ความเย่อหยิ่งที่ทะนงตนของหญิงสาวก็ลดลงไปในทันที เธอก็หดตหัวหดคอและไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เพราะเมื่อครู่นี้เธอไปสบตากับฉินเย่โดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาคู่นั้นของเขาดูเหมือนกับจะฆ่าเธอให้ตาย เธอหดตัวอยู่ที่ด้านหลังเจียงฉูฉู่ ในตอนนี้ เจียงฉูฉู่ไม่สามารถรักษารอยยิ้มบนหน้าไว้ได้อีกต่อไป เธอมองไปที่ซูเชี่ยวซึ่งแอบอยู่ข้างหลังเธอ และทำได้เพียงขอร้องฉินเย่ “เย่ อย่าโกรธเลยนะ ซูเชี่ยวเป็นคนพูดจาโผงผาง แต่ที่จริงเธอก็ไม่ได้คิดทำร้ายอะไร ซูเชี่ยว รีบขอโทษเสิ่นหยินอู้สิ” ภายในดวงตาของซูเชี่ยวมีความไม่พอใจแวบขึ้นมา ฆ่าเธอให้ตายยังจะดีเสียกว่าให้เธอมาขอโทษเสิ่นหยินอู้ แต่เมื่อนึกถึงสายตาที่น่าสะพรึงกลัวคู่นั้นของฉินเย่ เธอจึงทำได้เพียงมองไปที่เสิ่นหยินอู้ และกัดฟันแล้วพูดว่า "ฉันขอโทษ"
ซูเชี่ยวจับชายเสื้อของเจียงฉูฉู่แน่น เธอเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ "ฉูฉู่....." ที่จริงแล้ว ที่เธอกล้าที่จะหยิ่งทะนงเช่นนี้ ทั้งหมดก็เพราะว่าฉูฉู่มีตำแหน่งที่สำคัญอันยากที่จะสั่นคลอนอยู่ในใจของฉินเย่ ตราบใดที่ฉูฉู่ขอร้องเขา ฉินเย่ก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ใครจะรู้ว่าวันนี้จะกลับตาลปัตร “ฉูฉู่ ช่วยฉันด้วย” ซูเชี่ยวดึงชายเสื้อของเจียงฉูฉู่ และขอร้องเธอด้วยเสียงเบาๆ ภายในใจของฉูฉู่ยุ่งเหยิงไปหมด เธอต้องการช่วยซูเชี่ยวเพราะซูเชี่ยวต้องการพิสูจน์ตำแหน่งของเธอในหัวใจของฉินเย่ต่อหน้าทุกคน แต่ตอนนี้ฉินเย่แน่วแน่มาก มากจนไม่แม้แต่จะมองตาเธออีกต่อไป จี้ชิงเป่ยซึ่งนั่งเงียบๆอยู่ข้างๆมาโดยตลอด ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะพูดเบา ๆ “ฉูฉู่ ไม่ต้องพยายามโน้มน้าวเขาแล้ว ตอนนี้เขาโกรธจนควันขึ้นหัวแล้ว มันไม่มีประโยชน์” เมื่อได้ยิน เจียงฉูฉู่ก็ตอบสนองในทันทีและมองไปที่ฉินเย่ เขาลดสายตาต่ำลง ขนตาสีดำยาวของเขาซ่อนอารมณ์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในดวงตาของเขาไว้ แต่ก็ไม่สามารถซ่อนความโกรธที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่างกายของเขาได้ เขากำลังโกรธอยู่ เจียงฉูฉู่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าหากเธอขอร้องแทนซูเชี่ยวอีกครั้งในเวลา
มันช่างชัดเจนนักว่านี่คือสายตาของใคร แต่เสิ่นหยินอู้ไม่สนใจ เธอถือแก้วแล้วก้มศีรษะลงเพื่อจิบมัน แน่นอนว่ามันมีรสชาติเหมือนกันกับแก้วที่เธอดื่มก่อนหน้านี้ เมื่ออยู่ใกล้มากพอ โม่ไป๋ก็สามารถมองเห็นริมฝีปากสีเชอร์รี่ของเธอที่กำลังจิบเบาๆอยู่ที่ปากแก้ว สีที่ริมฝีปากของเธอแตกต่างจากปากแก้ว เมื่อมองไปเรื่อยๆก็ทำให้เขารู้สึกปากแห้งเล็กน้อย โม่ไป๋ยกมือขึ้นไปดันแว่นตาเล็กน้อย และบังคับให้ตัวเองลากสายตาไปทางอื่น และถามเบาๆว่า "เธอไม่สนใจแล้วหรอ?" หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปชั่วคราว โม่ไป๋ยิ้มเล็กน้อยและลดเสียงของเขาลง “ผมหมายความว่า ทุกคนพูดแบบนั้นหมด เธอไม่สนใจเลยเหรอ?” ที่จริงแล้วไม่มีอะไรแตกต่างระหว่างสองคำถามก่อนและหลัง ต้องไม่ต้องสน ถึงจะไม่สนใจคำพูดของคนพวกนั้นได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดเช่นนั้น มุมปากของเธอก็โค้งงอขึ้น “ก็มันคือเรื่องจริง” พวกเขาทั้งสองแต่งงานปลอมๆกัน แล้วมันมีอะไรที่พูดออกมาไม่ได้ล่ะ? สนใจไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด ดวงตาของโม่ไป๋ที่ซ่อนอยู่หลังแว่นมืดลงเล็กน้อย และมันก็มีความกังวลแฝงอยู่ เสิ่นหยินอู้ที่เป็นเช่นนี้ทำให้เขาถึงก
จี้ชิงเป่ยหยิบแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นมา เขายิ้มแล้วนั่งลงและชนแก้วกับเธอ “ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวซี้ซั้ว หลังจากกลับไป เย่จะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดอย่างแน่นอน” สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ ก็คือการบอกเธอว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฉินเย่ที่เป็นคนปล่อยข่าว เสิ่นหยินอู้ชนแก้วกับเขาและพยักหน้าอย่างสุภาพ “ขอบคุณที่ช่วยออกหน้าแทนฉัน” จี้ชิงเป่ยยิ้ม "ไม่มีอะไรต้องขอบคุณ ฉินเย่กับผมเป็นเพื่อนรักกัน และคุณก็เป็นภรรยาของเขา มันเป็นเรื่องที่ควรจะทำอยู่แล้ว" เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ สายตาของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไป บางทีจี้ชิงเป่ยอาจไม่ได้พูดแทนเขาเลยสักนิด แต่เขาคงแค่ไม่รู้เรื่องการแต่งงานปลอมๆของเธอกับฉินเย่ แต่ในเวลานี้ จี้ชิงเป่ยพูดขึ้นมาอีกครั้ง "บางทีคุณก็ควรให้เวลาเขามากกว่านี้อีกนิด" เสิ่นหยินอู้ตกตะลึงและมองไปที่จี้ชิงเป่ย จี้ชิงเป่ยจงใจลดเสียงลงให้ต่ำมากๆ “ตอนที่ความรักของเขายังไม่ก่อตัวขึ้น ฉูฉู่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ความรู้สึกบางอย่างก็เลยสับสนได้ง่ายมาก” เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจสิ่งที่จี้ชิงเป่ยต้องการจะสื่อ "ถูกไหม?" เธอยิ้มจางๆ อารมณ์ของเธอดูเหมือนจะไม่ได้
เสิ่นหยินอู้วักน้ำเย็นขึ้นมาล้างหน้า อารมณ์ของเธอถึงได้สงบลงมามือของเธอถูกท้าวไว้ที่อ่างล้างมือ เธอมองไปที่ตัวเองในกระจก ในสมองยังเอาแต่คิดถึงคำพูดที่จี้ชิงเป่ยพูดกับเธอ ใจเย็นแล้วรู้สึกมันด้วยใจงั้นหรอ? ให้รู้สึกอะไร?เสิ่นหยินอู้ไม่ค่อยเข้าใจ แต่คำพูดของจี้ชิงเป่ยก็ได้เข้าไปสะกิดใจของเธอ บวกกับในห้องโถงมีคนมากมายชวนสับสน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านั้นเธอรู้สึกว่าสิ่งที่จี้ชิงเป่ยพูดนั้นไร้สาระ ความคิดของจี้ชิงเป่ยดันไม่ตรงกับฉินเย่ ถ้าหากเธอไม่ได้เข้าใจผิดไป จี้ชิงเป่ยอยากที่จะจับคู่เธอกับฉินเย่งั้นหรอ? ทำไมล่ะ?ถ้าหากอยากที่จะจับคู่จริงๆล่ะก็ ก็ควรที่จะเป็นฉูฉู่มากกว่าไม่ใช่หรอ? แต่ก็ช่างมันเถอะ ขี้เกียจจะคิดถึงมันแล้ว เสิ่นหยินอู้ดึงกระดาษออกมาเช็ดมือของเธอให้แห้ง จากนั้นเดินออกไปด้านนอก“ฉูฉู่ อย่ารู้สึกเสียใจไปเลยนะ วันนี้ที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ มันเป็นความผิดของฉัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าฉันพูดพล่อยๆออกไป คุณผู้ชายฉินก็คงไม่ทำกับเธอแบบนี้” เสียงที่คุ้นเคยทำให้เสิ่นหยินอู้ชะงักฝีเท้าตัวเองลง เธอหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนั้น ยืนมองผู้คนที่ยืนอยู่ที่หน้าห้องน้
เพื่อนพวกนั้นของเจียงฉูฉู่รวมถึงเจียงฉูฉู่เองต่างก็ตกตะลึง ทุกคนต่างคิดแค่ว่าคงจะด่ากันไปมา แต่คิดไม่ถึงว่าเจียงฉูฉู่จะใช้กำลังจริงๆคนที่จะทำความรู้จักและสร้างความสัมพันธ์กับเจียงฉูฉู่ได้ ครอบครัวจะต้องมีพื้นฐานที่ดีมากทีเดียว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดีเท่าตระกูลเจียง แต่ก็ล้วนแต่เป็นบุคคลที่น่านับถือในสังคม พวกเธอที่เป็นทายาทของตระกูล กลับกล้าที่จะทำให้ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียงงั้นหรอ?โดยพื้นฐานแล้วการด่ากัน รวมถึงการใช้ความรุนแรงตบตีกัน พวกเธอไม่เคยคิดจะทำเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงไม่ถึงเลยว่าซูเชี่ยวจะหุนหันพลันแล่นแบบนี้เจียงฉูฉู่ตกใจเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใจจริงเธอก็อยากที่จะสั่งสอนเสิ่นหยินอู้และเธอก็เกลียดเสิ่นหยินอู้มากทีเดียวแต่ว่า......การที่ลงมือตบตีแบบนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉินเย่มีแต่แย่ลง ดังนั้นการกระทำแบบนี้ไม่เคยอยู่ในแผนของเธอมาก่อนเลย ดังนั้นเมื่อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเธอกลับอยากเข้าไปห้าม แต่หลังจากก้าวไปข้างหน้าเพียงครึ่งก้าวเธอก็หยุด แบบนี้ไม่ถูกสิ เธอจะเข้าไปห้ามทำไมล่ะ? ในสถานการณ์แบบนี้ตอนที่พวกเธอกำลังตบตีใช้ความรุนแรง ถ้าหากเธอเข้าไปท
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน