มันช่างชัดเจนนักว่านี่คือสายตาของใคร แต่เสิ่นหยินอู้ไม่สนใจ เธอถือแก้วแล้วก้มศีรษะลงเพื่อจิบมัน แน่นอนว่ามันมีรสชาติเหมือนกันกับแก้วที่เธอดื่มก่อนหน้านี้ เมื่ออยู่ใกล้มากพอ โม่ไป๋ก็สามารถมองเห็นริมฝีปากสีเชอร์รี่ของเธอที่กำลังจิบเบาๆอยู่ที่ปากแก้ว สีที่ริมฝีปากของเธอแตกต่างจากปากแก้ว เมื่อมองไปเรื่อยๆก็ทำให้เขารู้สึกปากแห้งเล็กน้อย โม่ไป๋ยกมือขึ้นไปดันแว่นตาเล็กน้อย และบังคับให้ตัวเองลากสายตาไปทางอื่น และถามเบาๆว่า "เธอไม่สนใจแล้วหรอ?" หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปชั่วคราว โม่ไป๋ยิ้มเล็กน้อยและลดเสียงของเขาลง “ผมหมายความว่า ทุกคนพูดแบบนั้นหมด เธอไม่สนใจเลยเหรอ?” ที่จริงแล้วไม่มีอะไรแตกต่างระหว่างสองคำถามก่อนและหลัง ต้องไม่ต้องสน ถึงจะไม่สนใจคำพูดของคนพวกนั้นได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดเช่นนั้น มุมปากของเธอก็โค้งงอขึ้น “ก็มันคือเรื่องจริง” พวกเขาทั้งสองแต่งงานปลอมๆกัน แล้วมันมีอะไรที่พูดออกมาไม่ได้ล่ะ? สนใจไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด ดวงตาของโม่ไป๋ที่ซ่อนอยู่หลังแว่นมืดลงเล็กน้อย และมันก็มีความกังวลแฝงอยู่ เสิ่นหยินอู้ที่เป็นเช่นนี้ทำให้เขาถึงก
จี้ชิงเป่ยหยิบแก้วเหล้าของตัวเองขึ้นมา เขายิ้มแล้วนั่งลงและชนแก้วกับเธอ “ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวซี้ซั้ว หลังจากกลับไป เย่จะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดอย่างแน่นอน” สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ ก็คือการบอกเธอว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฉินเย่ที่เป็นคนปล่อยข่าว เสิ่นหยินอู้ชนแก้วกับเขาและพยักหน้าอย่างสุภาพ “ขอบคุณที่ช่วยออกหน้าแทนฉัน” จี้ชิงเป่ยยิ้ม "ไม่มีอะไรต้องขอบคุณ ฉินเย่กับผมเป็นเพื่อนรักกัน และคุณก็เป็นภรรยาของเขา มันเป็นเรื่องที่ควรจะทำอยู่แล้ว" เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ สายตาของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไป บางทีจี้ชิงเป่ยอาจไม่ได้พูดแทนเขาเลยสักนิด แต่เขาคงแค่ไม่รู้เรื่องการแต่งงานปลอมๆของเธอกับฉินเย่ แต่ในเวลานี้ จี้ชิงเป่ยพูดขึ้นมาอีกครั้ง "บางทีคุณก็ควรให้เวลาเขามากกว่านี้อีกนิด" เสิ่นหยินอู้ตกตะลึงและมองไปที่จี้ชิงเป่ย จี้ชิงเป่ยจงใจลดเสียงลงให้ต่ำมากๆ “ตอนที่ความรักของเขายังไม่ก่อตัวขึ้น ฉูฉู่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ความรู้สึกบางอย่างก็เลยสับสนได้ง่ายมาก” เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจสิ่งที่จี้ชิงเป่ยต้องการจะสื่อ "ถูกไหม?" เธอยิ้มจางๆ อารมณ์ของเธอดูเหมือนจะไม่ได้
เสิ่นหยินอู้วักน้ำเย็นขึ้นมาล้างหน้า อารมณ์ของเธอถึงได้สงบลงมามือของเธอถูกท้าวไว้ที่อ่างล้างมือ เธอมองไปที่ตัวเองในกระจก ในสมองยังเอาแต่คิดถึงคำพูดที่จี้ชิงเป่ยพูดกับเธอ ใจเย็นแล้วรู้สึกมันด้วยใจงั้นหรอ? ให้รู้สึกอะไร?เสิ่นหยินอู้ไม่ค่อยเข้าใจ แต่คำพูดของจี้ชิงเป่ยก็ได้เข้าไปสะกิดใจของเธอ บวกกับในห้องโถงมีคนมากมายชวนสับสน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านั้นเธอรู้สึกว่าสิ่งที่จี้ชิงเป่ยพูดนั้นไร้สาระ ความคิดของจี้ชิงเป่ยดันไม่ตรงกับฉินเย่ ถ้าหากเธอไม่ได้เข้าใจผิดไป จี้ชิงเป่ยอยากที่จะจับคู่เธอกับฉินเย่งั้นหรอ? ทำไมล่ะ?ถ้าหากอยากที่จะจับคู่จริงๆล่ะก็ ก็ควรที่จะเป็นฉูฉู่มากกว่าไม่ใช่หรอ? แต่ก็ช่างมันเถอะ ขี้เกียจจะคิดถึงมันแล้ว เสิ่นหยินอู้ดึงกระดาษออกมาเช็ดมือของเธอให้แห้ง จากนั้นเดินออกไปด้านนอก“ฉูฉู่ อย่ารู้สึกเสียใจไปเลยนะ วันนี้ที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ มันเป็นความผิดของฉัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าฉันพูดพล่อยๆออกไป คุณผู้ชายฉินก็คงไม่ทำกับเธอแบบนี้” เสียงที่คุ้นเคยทำให้เสิ่นหยินอู้ชะงักฝีเท้าตัวเองลง เธอหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนั้น ยืนมองผู้คนที่ยืนอยู่ที่หน้าห้องน้
เพื่อนพวกนั้นของเจียงฉูฉู่รวมถึงเจียงฉูฉู่เองต่างก็ตกตะลึง ทุกคนต่างคิดแค่ว่าคงจะด่ากันไปมา แต่คิดไม่ถึงว่าเจียงฉูฉู่จะใช้กำลังจริงๆคนที่จะทำความรู้จักและสร้างความสัมพันธ์กับเจียงฉูฉู่ได้ ครอบครัวจะต้องมีพื้นฐานที่ดีมากทีเดียว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดีเท่าตระกูลเจียง แต่ก็ล้วนแต่เป็นบุคคลที่น่านับถือในสังคม พวกเธอที่เป็นทายาทของตระกูล กลับกล้าที่จะทำให้ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียงงั้นหรอ?โดยพื้นฐานแล้วการด่ากัน รวมถึงการใช้ความรุนแรงตบตีกัน พวกเธอไม่เคยคิดจะทำเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงไม่ถึงเลยว่าซูเชี่ยวจะหุนหันพลันแล่นแบบนี้เจียงฉูฉู่ตกใจเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใจจริงเธอก็อยากที่จะสั่งสอนเสิ่นหยินอู้และเธอก็เกลียดเสิ่นหยินอู้มากทีเดียวแต่ว่า......การที่ลงมือตบตีแบบนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉินเย่มีแต่แย่ลง ดังนั้นการกระทำแบบนี้ไม่เคยอยู่ในแผนของเธอมาก่อนเลย ดังนั้นเมื่อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเธอกลับอยากเข้าไปห้าม แต่หลังจากก้าวไปข้างหน้าเพียงครึ่งก้าวเธอก็หยุด แบบนี้ไม่ถูกสิ เธอจะเข้าไปห้ามทำไมล่ะ? ในสถานการณ์แบบนี้ตอนที่พวกเธอกำลังตบตีใช้ความรุนแรง ถ้าหากเธอเข้าไปท
เมื่อหน้าผากของเจียงฉูฉู่กำลังจะชนเข้ากับขั้นบันได เธอถึงได้รู้สึกตัวว่าเธอโชคไม่ดีเข้าแล้ว จริงๆแล้วแค่อยากจะแกล้งล้มลงไปเฉยๆ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องเสียโฉมแบบนี้ในช่วงเวลาวิกฤติ เจียงฉูฉู่ทำได้แค่เพียงใช้มือยกขึ้นมาปกป้องใบหน้าของตัวเอง แต่เธอล้มลงไปอย่างแรงทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นได้ยินเสียงที่เธอล้มลง “ฉูฉู่!” เพื่อนๆของเจียงฉูฉู่ตะโกนออกมาด้วยความตกใจและรีบเข้ามามุงทันที ในตอนนี้ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงก็มาที่จุดเกิดเหตุ เสิ่นหยินอู้ยืนอยู่กับที่ มือของเธอก็ยังรักษาตำแหน่งเดิมอยู่เช่นกัน เธอมองไปที่ฝ่ามือและหรี่ตาลงเล็กน้อย ทั้งทั้งที่เธอไม่ได้โดนตัวเจียงฉูฉู่แท้ๆ แล้วเจียงฉูฉู่ล้มลงไปได้ยังไง? เท้าพลิกหรอ? ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นๆดังขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้น?” ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็นึกอะไรบางอย่างได้ ฉินเย่กับโม่ไป๋เดินเข้ามา เขามองไปที่ผมที่โดนกระชากจนยุ่งของเสิ่นหยินอู้ แววตาของเขาเปลี่ยนไปทันที เขาเดินไปจับไหล่ของเสิ่นหยินอู้ จับตัวเธอให้ตรง “เจียงฉูฉู่ทำร้ายเธอหรอ?” เสิ่นหยินอู้ตกใจกับสิ่งที่ฉินเย่ทำ เธอมองดูฉินเย่ด้วยความประหลาดใจ คนที่เขามาหาเป็
คนที่เป็นคนผลักก็คงเป็นเจียงฉูฉู่?ถ้าคนผลักคือเสิ่นหยินอู้จริงๆล่ะก็ แบบนี้ก็หนักเกินไปรึป่าว……ทุกคนยังคงมองเสิ่นหยินอู้ เสิ่นหยินอู้ยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าไม่แยแส เธอมองฉินเย่ที่อุ้มเจียงฉูฉู่ขึ้นมาจากพื้น พูดกับเขาด้วยสีหน้าเย็นชา “ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น พาเธอไปทำแผลที่โรงพยาบาลก่อน”เขาอุ้มเจียงฉูฉู่ แล้วเดินกระทบไหล่เสิ่นหยินอู้ออกไปพวกเพื่อนของเจียงฉูฉู่ก็ตามออกไปด้วย ตอนที่เดินผ่านเสิ่นหยินอู้ ซูเชี่ยวมองเธอด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง“ แล้วมาดูกันว่าเธอจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง” เมื่อเธอพูดเสร็จก็เดินออกไปคนที่มาจากห้องโถงตอนนี้ต่างรุ้สึกกระอักกระอ่วนและมองหน้ากันไปมาวันนี้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับโม่ไป๋กลับมา แต่ไม่มีใครคาดคิดว่างานเลี้ยงจะกลายเป็นแบบนี้ ทุกคนทำได้แค่ขอโทษโม่ไป๋สุภาพบุรุษอย่างโม่ไป๋บอกกับทุกคนว่าไม่เป็นไร ให้ทุกคนกลับไปก่อนโอกาสหน้าค่อยมารวมตัวกันใหม่เมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้ก็ไม่มีใครอยากที่จะอยู่ต่อ ต่างก็แยกย้ายกันกลับไป เมื่อคนทะยอยออกไป เสิ่นหยินอู้ก็เตรียมจะเดินออกไปเหมือนกันโม่ไป๋ยื่นมือออกไปหยุดเธอเอาไว้ “ผมไปส่งเธอเอง” เสิ่นหยินอู้ดันมือข
เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป โจวชวงชวงเห็นว่าเธอไม่ได้ตอบอะไรจึงถอนหายใจออกมา“ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากทำร้ายเจียงฉูฉู่เพราะยัยนั่นเคยช่วยเธอ ดังนั้นเธอเลยถูกจำกัดให้อยู่แค่ตรงนี้ แต่เธอลองคิดดูสิ ยัยนั่นมีแรงจูงใจที่จะทำร้ายเธอนะ เอาตรงๆถึงเจียงฉูฉู่จะช่วยเธอไว้ แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่ตอบแทนบุญคุณนี่ ในอนาคตเราค่อยหาโอกาสทดแทนก็ได้ แต่พูดก็พูดเถอะถึงยัยนั่นเคยช่วยเธอไว้ก็ไม่ได้แปลว่าตอนนี้นางจะไม่ทำร้ายเธอนี่”“อืม ฉันเข้าใจแล้ว” เสิ่นหยินอู้พยักหน้า โจวชวงชวงสังเกตเห็นว่าเธอยังคงอารมณ์ไม่ดีอยู่เลยแนะนำไปว่า “ถ้าไม่อย่างนั้นคืนนี้เธอมาหาฉันไหม? เรามาคุยกันดีมั้ย? คุยกันทั้งคืนไปเลย พรุ่งนี้ฉันลาหยุดก็ยังได้”“ไม่ต้องหรอก” เสิ่นหยินอู้ส่ายหัวเบาๆ “คุณย่ารออยู่ที่บ้าน ฉันไม่กลับไปไม่ได้” เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตาสว่างมากขึ้น ก่อนหน้านี้หลังจากที่ฟังฟังคำพูดของจี้ชิงเป่ยทำให้เธอยังรู้สึกมีความหวังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้แม้แต่ความหวังเล็กๆนั่นก็พังทลายลงแล้วควรโทษใครหรอ?โทษตัวเองนี่แหละ ไร้สาระจริงๆที่หวังอะไรลมๆแล้งๆ“โอเค งั้นเธอรีบกลับเถอะ อย่ามัวแต่นั่งอยู่
ดังนั้นกับคนที่มาทีหลัง เธอจึงรู้สึกกับเขาแค่พี่น้องเท่านั้น “เหม่ออะไรอยู่?” โม่ไป๋เร่งเร้าเธอ “ลุกขึ้นได้แล้ว ไม่หนาวหรือไง?” เสิ่นหยินอู้ที่สติพึ่งกลับมาเม้มปากคิดแล้วตอบกลับไปว่า “ลืมเรื่องมื้อดึกไปเถอะ ฉันยังไม่หิว แล้วก็……” “งานเลี้ยงต้อนรับก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เธอไม่คิดว่าผมน่าสงสารหรอ? ไปกินมื้อดึกกับผมเป็นการชดเชยไม่ได้รึไง?” เมื่อเขาพูดออกมาแบบนั้น มันก็ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกผิดเล็กน้อย จริงๆแล้วงานคืนนี้จัดขึ้นก็เพื่อต้อนรับการกลับมาของเขา แต่สุดท้ายเพราะว่าเรื่องของเธอกับเจียงฉูฉู่ ทำให้ทุกคนต้องแยกย้ายกันกลับไป ถึงแม้ว่าเรื่องนี้เธอจะไม่ได้เป็นคนเริ่มก็ตาม แต่เธอก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเหมือนกัน หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้าตอบตกลง “งั้นก็ได้” โม่ไป๋ยกยิ้มเล็กๆที่มุมปาก “เธออยากกินอะไร?” ยี่สิบนาทีต่อมา ทั้งสองคนนั่งอยู่ในร้านโจ๊กทะเลแห่งหนึ่ง เวลานี้คนมากินมื้อดึกยังไม่เยอะ ดังนั้นในร้านจึงแทบไม่มีคน เสิ่นหยินอู้เลือกนั่งที่ที่นั่งริมหน้าต่าง เมื่อมองกลับไปเธอยังเห็นโม่ไป๋ยืนอยู่ ท่าทางเหมือนไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน