เสิ่นหยินอู้วักน้ำเย็นขึ้นมาล้างหน้า อารมณ์ของเธอถึงได้สงบลงมามือของเธอถูกท้าวไว้ที่อ่างล้างมือ เธอมองไปที่ตัวเองในกระจก ในสมองยังเอาแต่คิดถึงคำพูดที่จี้ชิงเป่ยพูดกับเธอ ใจเย็นแล้วรู้สึกมันด้วยใจงั้นหรอ? ให้รู้สึกอะไร?เสิ่นหยินอู้ไม่ค่อยเข้าใจ แต่คำพูดของจี้ชิงเป่ยก็ได้เข้าไปสะกิดใจของเธอ บวกกับในห้องโถงมีคนมากมายชวนสับสน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านั้นเธอรู้สึกว่าสิ่งที่จี้ชิงเป่ยพูดนั้นไร้สาระ ความคิดของจี้ชิงเป่ยดันไม่ตรงกับฉินเย่ ถ้าหากเธอไม่ได้เข้าใจผิดไป จี้ชิงเป่ยอยากที่จะจับคู่เธอกับฉินเย่งั้นหรอ? ทำไมล่ะ?ถ้าหากอยากที่จะจับคู่จริงๆล่ะก็ ก็ควรที่จะเป็นฉูฉู่มากกว่าไม่ใช่หรอ? แต่ก็ช่างมันเถอะ ขี้เกียจจะคิดถึงมันแล้ว เสิ่นหยินอู้ดึงกระดาษออกมาเช็ดมือของเธอให้แห้ง จากนั้นเดินออกไปด้านนอก“ฉูฉู่ อย่ารู้สึกเสียใจไปเลยนะ วันนี้ที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ มันเป็นความผิดของฉัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าฉันพูดพล่อยๆออกไป คุณผู้ชายฉินก็คงไม่ทำกับเธอแบบนี้” เสียงที่คุ้นเคยทำให้เสิ่นหยินอู้ชะงักฝีเท้าตัวเองลง เธอหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนั้น ยืนมองผู้คนที่ยืนอยู่ที่หน้าห้องน้
เพื่อนพวกนั้นของเจียงฉูฉู่รวมถึงเจียงฉูฉู่เองต่างก็ตกตะลึง ทุกคนต่างคิดแค่ว่าคงจะด่ากันไปมา แต่คิดไม่ถึงว่าเจียงฉูฉู่จะใช้กำลังจริงๆคนที่จะทำความรู้จักและสร้างความสัมพันธ์กับเจียงฉูฉู่ได้ ครอบครัวจะต้องมีพื้นฐานที่ดีมากทีเดียว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดีเท่าตระกูลเจียง แต่ก็ล้วนแต่เป็นบุคคลที่น่านับถือในสังคม พวกเธอที่เป็นทายาทของตระกูล กลับกล้าที่จะทำให้ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียงงั้นหรอ?โดยพื้นฐานแล้วการด่ากัน รวมถึงการใช้ความรุนแรงตบตีกัน พวกเธอไม่เคยคิดจะทำเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงไม่ถึงเลยว่าซูเชี่ยวจะหุนหันพลันแล่นแบบนี้เจียงฉูฉู่ตกใจเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใจจริงเธอก็อยากที่จะสั่งสอนเสิ่นหยินอู้และเธอก็เกลียดเสิ่นหยินอู้มากทีเดียวแต่ว่า......การที่ลงมือตบตีแบบนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉินเย่มีแต่แย่ลง ดังนั้นการกระทำแบบนี้ไม่เคยอยู่ในแผนของเธอมาก่อนเลย ดังนั้นเมื่อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเธอกลับอยากเข้าไปห้าม แต่หลังจากก้าวไปข้างหน้าเพียงครึ่งก้าวเธอก็หยุด แบบนี้ไม่ถูกสิ เธอจะเข้าไปห้ามทำไมล่ะ? ในสถานการณ์แบบนี้ตอนที่พวกเธอกำลังตบตีใช้ความรุนแรง ถ้าหากเธอเข้าไปท
เมื่อหน้าผากของเจียงฉูฉู่กำลังจะชนเข้ากับขั้นบันได เธอถึงได้รู้สึกตัวว่าเธอโชคไม่ดีเข้าแล้ว จริงๆแล้วแค่อยากจะแกล้งล้มลงไปเฉยๆ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องเสียโฉมแบบนี้ในช่วงเวลาวิกฤติ เจียงฉูฉู่ทำได้แค่เพียงใช้มือยกขึ้นมาปกป้องใบหน้าของตัวเอง แต่เธอล้มลงไปอย่างแรงทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นได้ยินเสียงที่เธอล้มลง “ฉูฉู่!” เพื่อนๆของเจียงฉูฉู่ตะโกนออกมาด้วยความตกใจและรีบเข้ามามุงทันที ในตอนนี้ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงก็มาที่จุดเกิดเหตุ เสิ่นหยินอู้ยืนอยู่กับที่ มือของเธอก็ยังรักษาตำแหน่งเดิมอยู่เช่นกัน เธอมองไปที่ฝ่ามือและหรี่ตาลงเล็กน้อย ทั้งทั้งที่เธอไม่ได้โดนตัวเจียงฉูฉู่แท้ๆ แล้วเจียงฉูฉู่ล้มลงไปได้ยังไง? เท้าพลิกหรอ? ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นๆดังขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้น?” ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็นึกอะไรบางอย่างได้ ฉินเย่กับโม่ไป๋เดินเข้ามา เขามองไปที่ผมที่โดนกระชากจนยุ่งของเสิ่นหยินอู้ แววตาของเขาเปลี่ยนไปทันที เขาเดินไปจับไหล่ของเสิ่นหยินอู้ จับตัวเธอให้ตรง “เจียงฉูฉู่ทำร้ายเธอหรอ?” เสิ่นหยินอู้ตกใจกับสิ่งที่ฉินเย่ทำ เธอมองดูฉินเย่ด้วยความประหลาดใจ คนที่เขามาหาเป็
คนที่เป็นคนผลักก็คงเป็นเจียงฉูฉู่?ถ้าคนผลักคือเสิ่นหยินอู้จริงๆล่ะก็ แบบนี้ก็หนักเกินไปรึป่าว……ทุกคนยังคงมองเสิ่นหยินอู้ เสิ่นหยินอู้ยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าไม่แยแส เธอมองฉินเย่ที่อุ้มเจียงฉูฉู่ขึ้นมาจากพื้น พูดกับเขาด้วยสีหน้าเย็นชา “ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น พาเธอไปทำแผลที่โรงพยาบาลก่อน”เขาอุ้มเจียงฉูฉู่ แล้วเดินกระทบไหล่เสิ่นหยินอู้ออกไปพวกเพื่อนของเจียงฉูฉู่ก็ตามออกไปด้วย ตอนที่เดินผ่านเสิ่นหยินอู้ ซูเชี่ยวมองเธอด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง“ แล้วมาดูกันว่าเธอจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง” เมื่อเธอพูดเสร็จก็เดินออกไปคนที่มาจากห้องโถงตอนนี้ต่างรุ้สึกกระอักกระอ่วนและมองหน้ากันไปมาวันนี้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับโม่ไป๋กลับมา แต่ไม่มีใครคาดคิดว่างานเลี้ยงจะกลายเป็นแบบนี้ ทุกคนทำได้แค่ขอโทษโม่ไป๋สุภาพบุรุษอย่างโม่ไป๋บอกกับทุกคนว่าไม่เป็นไร ให้ทุกคนกลับไปก่อนโอกาสหน้าค่อยมารวมตัวกันใหม่เมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้ก็ไม่มีใครอยากที่จะอยู่ต่อ ต่างก็แยกย้ายกันกลับไป เมื่อคนทะยอยออกไป เสิ่นหยินอู้ก็เตรียมจะเดินออกไปเหมือนกันโม่ไป๋ยื่นมือออกไปหยุดเธอเอาไว้ “ผมไปส่งเธอเอง” เสิ่นหยินอู้ดันมือข
เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป โจวชวงชวงเห็นว่าเธอไม่ได้ตอบอะไรจึงถอนหายใจออกมา“ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากทำร้ายเจียงฉูฉู่เพราะยัยนั่นเคยช่วยเธอ ดังนั้นเธอเลยถูกจำกัดให้อยู่แค่ตรงนี้ แต่เธอลองคิดดูสิ ยัยนั่นมีแรงจูงใจที่จะทำร้ายเธอนะ เอาตรงๆถึงเจียงฉูฉู่จะช่วยเธอไว้ แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่ตอบแทนบุญคุณนี่ ในอนาคตเราค่อยหาโอกาสทดแทนก็ได้ แต่พูดก็พูดเถอะถึงยัยนั่นเคยช่วยเธอไว้ก็ไม่ได้แปลว่าตอนนี้นางจะไม่ทำร้ายเธอนี่”“อืม ฉันเข้าใจแล้ว” เสิ่นหยินอู้พยักหน้า โจวชวงชวงสังเกตเห็นว่าเธอยังคงอารมณ์ไม่ดีอยู่เลยแนะนำไปว่า “ถ้าไม่อย่างนั้นคืนนี้เธอมาหาฉันไหม? เรามาคุยกันดีมั้ย? คุยกันทั้งคืนไปเลย พรุ่งนี้ฉันลาหยุดก็ยังได้”“ไม่ต้องหรอก” เสิ่นหยินอู้ส่ายหัวเบาๆ “คุณย่ารออยู่ที่บ้าน ฉันไม่กลับไปไม่ได้” เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตาสว่างมากขึ้น ก่อนหน้านี้หลังจากที่ฟังฟังคำพูดของจี้ชิงเป่ยทำให้เธอยังรู้สึกมีความหวังอยู่บ้าง แต่ตอนนี้แม้แต่ความหวังเล็กๆนั่นก็พังทลายลงแล้วควรโทษใครหรอ?โทษตัวเองนี่แหละ ไร้สาระจริงๆที่หวังอะไรลมๆแล้งๆ“โอเค งั้นเธอรีบกลับเถอะ อย่ามัวแต่นั่งอยู่
ดังนั้นกับคนที่มาทีหลัง เธอจึงรู้สึกกับเขาแค่พี่น้องเท่านั้น “เหม่ออะไรอยู่?” โม่ไป๋เร่งเร้าเธอ “ลุกขึ้นได้แล้ว ไม่หนาวหรือไง?” เสิ่นหยินอู้ที่สติพึ่งกลับมาเม้มปากคิดแล้วตอบกลับไปว่า “ลืมเรื่องมื้อดึกไปเถอะ ฉันยังไม่หิว แล้วก็……” “งานเลี้ยงต้อนรับก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เธอไม่คิดว่าผมน่าสงสารหรอ? ไปกินมื้อดึกกับผมเป็นการชดเชยไม่ได้รึไง?” เมื่อเขาพูดออกมาแบบนั้น มันก็ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกผิดเล็กน้อย จริงๆแล้วงานคืนนี้จัดขึ้นก็เพื่อต้อนรับการกลับมาของเขา แต่สุดท้ายเพราะว่าเรื่องของเธอกับเจียงฉูฉู่ ทำให้ทุกคนต้องแยกย้ายกันกลับไป ถึงแม้ว่าเรื่องนี้เธอจะไม่ได้เป็นคนเริ่มก็ตาม แต่เธอก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเหมือนกัน หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้าตอบตกลง “งั้นก็ได้” โม่ไป๋ยกยิ้มเล็กๆที่มุมปาก “เธออยากกินอะไร?” ยี่สิบนาทีต่อมา ทั้งสองคนนั่งอยู่ในร้านโจ๊กทะเลแห่งหนึ่ง เวลานี้คนมากินมื้อดึกยังไม่เยอะ ดังนั้นในร้านจึงแทบไม่มีคน เสิ่นหยินอู้เลือกนั่งที่ที่นั่งริมหน้าต่าง เมื่อมองกลับไปเธอยังเห็นโม่ไป๋ยืนอยู่ ท่าทางเหมือนไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เสิ่นหยินอู้ก็เบื่อนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของโม่ไป๋ แล้วถามขึ้นมาว่า “นายตั้งใจจะกลับมาทำธุรกิจที่นี่หรอ?”“อืม สักครึ่งเดือนก็น่าจะลงตัวแล้วล่ะ”เสิ่นหยินอู้จึงตอบกลับไป “งั้นก็อวยพรล่วงหน้าเลยแล้วกัน ขอให้นายประสบความสำเร็จนะ แต่หลังจากนี้งานของฉันน่าจะยุ่งมาก คงจะไม่มีเวลาว่างเลย”เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ โม่ไป๋ก็ยังไม่เข้าใจว่าภายในคำพูดของเสิ่นหยินอู้นั้นคือการพยายามหลีกเลี่ยงและปฏิเสธเขาหรือไม่?แต่เขาในตอนนี้ไม่ได้เป็นคนหุนหันพลันแล่นเหมือนตอนวัยรุ่นอีกแล้ว ตอนนี้เขาโตเป็นผู้ใหญ่และรู้ดีว่าบางเรื่องก็ไม่สามารถเร่งรีบได้ หลังจากผ่านไปหลายปี เขาก็เตรียมตัวมาอย่างดี เรียนรู้ที่จะค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบร้อน และไม่ยอมแพ้เพียงเพราะคำปฏิเสธของเธอ “ไม่เป็นไร งั้นก็รอเธอว่างเมื่อไรค่อยมาเจอกันก็ได้ แค่เธออย่าลืมเพื่อนเก่าอย่างผมเพียงเพราะผ่านไปหลายปีแล้วแค่นั้นก็พอ”คำตอบที่ได้ทำให้เสิ่นหยินอู้สับสนเล็กน้อย เธอเข้าใจผิดงั้นหรอ ในไม่ช้า เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้สักหน่อย โม่ไป๋ไปต่างประเทศตั้งห้าปี อาจจะเป็นไปได้ว
แต่กว่าที่เขาจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเสิ่น ฉินเย่ก็จัดการปัญหาทั้งหมดแทนเขาเรียบร้อยแล้วเนื่องจากตอนนั้นน้องสาวที่หวังดีเกินไปของเขาบอกว่ากลัวว่าเรื่องนี้จะกระทบกับการเรียนต่อของตัวเขาเอง ดังนั้นจึงไปบอกสายของเขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจนกระทั่งเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พอถามไปก็พบว่ามันเกิดเรื่องใหญ่แบบนั้นขึ้น จริงๆแล้ว ยัยน้องสาวตัวป่วนชอบฉินเย่ ทำให้เขาช้ากว่าคนอื่นไปหนึ่งก้าว นอกจากนี้ยังคิดไม่ถึงว่าในการช่วยเหลือเธอเขาก็ช้าไปหนึ่งก้าวเหมือนกัน ““เอาเป็นว่าถ้าหลังจากนี้มีอะไรให้ช่วยก็บอกฉันนะ” ครั้งนี้ เขาจะไม่เป็นเหมือนแต่ก่อน เขาจะไม่ยอมแพ้อีกแล้ว รถจอดนิ่งอยู่ที่หน้าประตูบ้าน เสิ่นหยินอู้ปลดเข็มขัดนิรภัยออก “ขอบคุณที่มาส่งฉันถึงบ้าน งั้นฉันไปก่อนนะ ขับรถกลับดีๆล่ะ”โม่ไป๋พยักหน้ารับ “โอเค เธอรีบไปพักผ่อนเถอะ” เขามองไปที่ผู้โดยสารที่ตอนนี้ลงจากรถไปแล้วเดินไปที่ประตูใหญ่ เธอหันกลับมาแล้วโบกมือเพื่อบอกเขาว่าให้ไปได้แล้ว เขายิ้มพร้อมกับพยักหน้ามองดูเธอเข้าบ้านไปทันทีที่ร่างบางหายไปจากสายตา รอยยิ้มของเขาก็หายไป โทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เขาปรายตา
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ