เมื่อเทียบกับโม่ไป๋ที่ยังคงมีความรู้สึกเป็นเด็กอยู่เมื่อห้าปีที่แล้ว เขาในตอนนี้ดูโตขึ้นอย่างมั่นคงและสง่างาม ซึ่งทำให้ผู้คนแทบจะละสายตาไปจากเขาไม่ได้เลย “โม่ไป๋” ทุกคนยืนมาขึ้นเพื่อทักทายเขา โม่ไป๋ยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้าให้ทุกคน สายตาของเขามองสำรวจไปรอบๆสถานที่ เขาไม่เห็นคนที่เขาต้องการจะเจอ ดังนั้นเขาจึงหยุดคิด คืนนี้ยัยเด็กน้อยคงจะไม่ได้ไม่มาสินะ? ไม่น่าใช่ ฉินเย่ยังไม่ปรากฏตัว และด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของเธอ เธอก็คงจะมากับฉินเย่ ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ ที่ด้านหลังเขาก็มีเสียงที่นุ่มนวลดังขึ้น "ขอถามหน่อย……" "ฉูฉู่!" ก่อนที่เสียงของผู้หญิงคนนั้นจะพูดจบ คนในห้องก็ตะโกนเรียกชื่อของเจียงฉูฉู่ขึ้นมา ฉูฉู่ก็เข้าใจได้ว่าห้องนี้เป็นสถานที่ที่เธอกำลังหาอยู่ โม่ไป๋หันกลับไป เขากวาดสายตาไปมองเจียงฉูฉู่ที่แต่งตัวเซ็กซี่ และก้มหัวพยักหน้าให้เธอ ภายในดวงตาของเจียงฉูฉู่เปล่งประกายอย่างน่าทึ่ง ใบหน้าที่คุ้นเคยของชายตรงหน้าเธอทำให้เธอจำได้อย่างรวดเร็วว่าบุคคลนี้เป็นใคร “โม่ไป๋??” หลังจากคำถามที่มีความตกใจเล็กน้อยของเธอ โม่ไป๋พยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยและยกมือขึ้นเพื่อดัน
จนกระทั่งมีคนในห้องถามว่า "ฉินเย่จะมางานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของโม่ไป๋ไหม?" “ต้องมาอยู่แล้วล่ะ ตอนนั้นพวกเขาเป็นถึงเพื่อนสนิทกัน” “ทำไมจนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาเลยล่ะ?” ใช่สิ ทำไมจนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาเลยล่ะ? เจียงฉูฉู่มองไปที่โทรศัพท์ของเธอโดยไม่รู้ตัว เธอส่งข้อความไปหาฉินเย่ก่อนออกมา โดยถามว่าเขาถึงไหนแล้ว ใครจะรู้ว่าเขาจะยังไม่ตอบเธอ ดังนั้นเจียงฉูฉู่จึงเดาว่าเขาอาจจะกำลังขับรถอยู่ ดังนั้นจึงไม่สะดวกที่จะตอบข้อความ แต่เธอก็มาถึงแล้ว และเวลาผ่านไปนานมากแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มา แล้วก็ไม่ได้ตอบกลับข้อความของเธอ เจียงฉูฉู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเพื่อนของเธอเห็นเธอถือโทรศัพท์ ในแววตาของเธอก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา จากนั้นก็พูดต่อหน้าทุกคนว่า "ฉูฉู่ ทำไมเธอไม่โทรไปถามฉินเย่ล่ะ? ถ้าเธอโทรไป เขารับสายแน่นอนอยู่แล้ว" หลังจากได้ เจียงฉูฉู่ก็มองไปที่เพื่อนคนที่พูดโดยไม่รู้ตัว เพื่อนคนนั้นขยิบตาให้เธอเป็นการส่งสัญญาณให้เธอโทร อันที่จริง ฉูฉู่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร พวกเธอแค่อยากช่วยฉูฉู่พิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างฉูฉู่กับฉินเย่ต่อหน้าทุกคน แต่...
และถ้ามีความรู้สึกให้แก่กันจริงๆก็คบกันไปนานแล้ว ดังนั้นเมื่อพวกเขาปรากฏตัวพร้อมกันโดยแต่งตัวแบบนี้ นั่นทำให้ทุกคนต้องถอนหายใจเล็กน้อย และพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเจียงฉูฉู่ที่อยู่ตรงนั้น ในตอนนี้เจียงฉูฉู่รู้สึกรับไม่ได้อยู่ภายในใจ เนื่องจากสองคนนี้แต่งตัวแบบนี้ จึงดูเหมือนว่าเธอกำลังโดนพวกเขาต่อยหน้าเข้าให้ ความตื่นตระหนกในใจของเธอแผ่ขยายออกไป สิ่งต่างๆเริ่มอยู่เหนือการควบคุมของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอจะทำอะไรได้ในเมื่อมีผู้คนมากมายอยู่ตรงนั้น เธอก็ไม่สามารถทำให้ตัวเองต้องเสียหน้าได้ เมื่อคิดถึงถึงตรงนี้ เจียงฉูฉู่ก็ยืนขึ้นและเดินไปหาเสิ่นหยินอู้ และควงแขนของเธออย่างอบอุ่น “ไม่เป็นไร มาช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก มาถึงที่นี่อย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว เธอนั่งด้วยกันกับฉันสิ” เสิ่นหยินอู้ได้เห็นธาตุแท้ของเธอ และรู้ว่าเธอชอบแสดงละครต่อหน้าทุกคน ดังนั้นเมื่อเธอควงแขนของหยินอู้ หยินอู้ก็หรี่ตาลงและก็ไม่ปฏิเสธ หยินอู้เดินตามเธอไปและนั่งข้างๆเธอ ทุกคนประหลาดใจ สายตามองไปยังใบหน้าของทั้งสองคนครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ฉินเย่นั่งลงข้างๆโม่ไป๋โดยธอัตโนมัติ "มาแล้ว"
ประโยคนี้ จริงๆแล้วเจียงฉูฉู่ๆพนันกับมัน เนื่องจากพฤติกรรมของฉินเย่ในช่วงนี้แปลกมาก หากเธอไม่ได้ใช้บุญคุณที่เสิ่นหยินอู้ติดเธอไว้เพื่อควบคุมเธอ เธอคงสงสัยว่า เสิ่นหยินอู้จะบอกฉินเย่เกี่ยวกับเรื่องการตั้งครรภ์ของเธอไปแล้ว สิ่งที่น่าตลกคือ แม้ว่าเสิ่นหยินอู้จะเป็นศัตรูหัวใจของเธอ แต่ในด้านการรักษาคำพูด เจียงฉูฉู่ก็ยังคงเชื่อในตัวเธอ ไม่เช่นนั้น...เธอคงไม่พยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้เสิ่นหยินอู้เป็นหนี้บุญคุณเธอ! อย่างที่คิด หลังจากที่เธอพูดคำพูดนั้น อารมณ์ของทุกคนก็เพิ่มสูงขึ้นไปอีก “สถานะอะไร?” ทุกคนหัวเราะ "ฉูฉู่ เธอคงไม่ได้หมายความว่าตอนนี้เย่อยู่ในสถานะที่มีภรรยาอยู่แล้วใช่ไหม?" “พระเจ้า พวกเขาแต่งงานปลอมๆหนิ ใครไม่รู้บ้างว่าเธอเป็นหนึ่งเดียวในใจของเย่ล่ะ” “ใช่แล้ว และฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้ก็เป็นเพื่อนวัยเด็กกัน ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาตั้งแต่เด็กๆ ระหว่างทั้งสองคนจะรักกันได้ยังไง?” ทุกคนพูดคุยกันเอง จากนั้นฉินเย่ก็ขมวดคิ้วและมองไปที่เสิ่นหยินอู้โดยไม่รู้ตัว เสิ่นหยินอู้ยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นมาและจิบมันเบาๆด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย เธอจิบมันและพบว่าน้ำผลไม้มีรสชาติที่ไ
“ซูเชี่ยว…” เจียงฉูฉู่ดึงเพื่อนที่อยู่ข้างเธอแล้วพูดด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีว่า "หยุดพูดได้แล้ว" “ฉูฉู่ เธอดึงฉันไว้ทำไมล่ะ? ฉันแค่กำลังพูดกับเธออย่างเป็นกันเอง คุณหนูเสิ่นคงไม่ได้ใจแคบขนาดนั้นใช่ไหม?” ในขณะที่เธอกำลังพูด เสิ่นหยินอู้ก็หยิบแก้วไวน์แดงที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา มือของเธอที่ถือแก้วทรงสูงนั้นแกว่งไปมาเบาๆ และของเหลวสีแดงก็เปล่งประกายแวววับอย่างมีเสน่ห์ภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่าง การกระทำนี้ทำให้ใบหน้าของซูเชี่ยวเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เธอคิดจะทำอะไร?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันหน้าไปมองเธอ สายตาเธอมีความประหลาดใจแฝงอยู่เล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เธอก็นึกอะไรบางอย่างได้และหัวเราะออกมาดังๆ "ทำไมล่ะ? คุณคิดว่าฉันจะสาดใส่คุณเหรอ? ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้ใจแคบ และจะไม่ทำให้ไวน์แดงต้องสัมผัสกับใบหน้าของคุณหรอก ” แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เธอพูดจาเหน็บแนมจนทำให้ใบหน้าของซูเชี่ยวดูแย่มาก เธอต้องการจะระเบิดอารมณ์ และก็ถูกฉูฉู่ที่อยู่ข้างๆจับไว้ จากนั้นฉูฉู่ก็ส่งสายตาไปให้เธอ ในที่สุด ซูเชี่ยวก็สงบลง แต่เธอกลับเบะปากอย่างไม่พอใจ ภายในดวงตา
ภายในห้องกลับเข้าสู่ความเงียบสงัด พวกคนที่ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นว่ากำลังจะมีโชว์เกิดขึ้น พวกเขาต่างก็เงียบกริบเหมือนกับไก่ ในอากาศดูเหมือนว่าจะปกครุมไปด้วยออร่าที่เย็นยะเยือก ฉินเย่นั่งอยู่ตรงนั้น เขามองไปยังหญิงสาวผมสีเหลืองด้วยดวงตาที่เย็นชา สายตาของเขาดุร้ายรุนแรงราวกับดาบที่คมกริบ ความเย่อหยิ่งที่ทะนงตนของหญิงสาวก็ลดลงไปในทันที เธอก็หดตหัวหดคอและไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา เพราะเมื่อครู่นี้เธอไปสบตากับฉินเย่โดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาคู่นั้นของเขาดูเหมือนกับจะฆ่าเธอให้ตาย เธอหดตัวอยู่ที่ด้านหลังเจียงฉูฉู่ ในตอนนี้ เจียงฉูฉู่ไม่สามารถรักษารอยยิ้มบนหน้าไว้ได้อีกต่อไป เธอมองไปที่ซูเชี่ยวซึ่งแอบอยู่ข้างหลังเธอ และทำได้เพียงขอร้องฉินเย่ “เย่ อย่าโกรธเลยนะ ซูเชี่ยวเป็นคนพูดจาโผงผาง แต่ที่จริงเธอก็ไม่ได้คิดทำร้ายอะไร ซูเชี่ยว รีบขอโทษเสิ่นหยินอู้สิ” ภายในดวงตาของซูเชี่ยวมีความไม่พอใจแวบขึ้นมา ฆ่าเธอให้ตายยังจะดีเสียกว่าให้เธอมาขอโทษเสิ่นหยินอู้ แต่เมื่อนึกถึงสายตาที่น่าสะพรึงกลัวคู่นั้นของฉินเย่ เธอจึงทำได้เพียงมองไปที่เสิ่นหยินอู้ และกัดฟันแล้วพูดว่า "ฉันขอโทษ"
ซูเชี่ยวจับชายเสื้อของเจียงฉูฉู่แน่น เธอเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ "ฉูฉู่....." ที่จริงแล้ว ที่เธอกล้าที่จะหยิ่งทะนงเช่นนี้ ทั้งหมดก็เพราะว่าฉูฉู่มีตำแหน่งที่สำคัญอันยากที่จะสั่นคลอนอยู่ในใจของฉินเย่ ตราบใดที่ฉูฉู่ขอร้องเขา ฉินเย่ก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ใครจะรู้ว่าวันนี้จะกลับตาลปัตร “ฉูฉู่ ช่วยฉันด้วย” ซูเชี่ยวดึงชายเสื้อของเจียงฉูฉู่ และขอร้องเธอด้วยเสียงเบาๆ ภายในใจของฉูฉู่ยุ่งเหยิงไปหมด เธอต้องการช่วยซูเชี่ยวเพราะซูเชี่ยวต้องการพิสูจน์ตำแหน่งของเธอในหัวใจของฉินเย่ต่อหน้าทุกคน แต่ตอนนี้ฉินเย่แน่วแน่มาก มากจนไม่แม้แต่จะมองตาเธออีกต่อไป จี้ชิงเป่ยซึ่งนั่งเงียบๆอยู่ข้างๆมาโดยตลอด ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะพูดเบา ๆ “ฉูฉู่ ไม่ต้องพยายามโน้มน้าวเขาแล้ว ตอนนี้เขาโกรธจนควันขึ้นหัวแล้ว มันไม่มีประโยชน์” เมื่อได้ยิน เจียงฉูฉู่ก็ตอบสนองในทันทีและมองไปที่ฉินเย่ เขาลดสายตาต่ำลง ขนตาสีดำยาวของเขาซ่อนอารมณ์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในดวงตาของเขาไว้ แต่ก็ไม่สามารถซ่อนความโกรธที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่างกายของเขาได้ เขากำลังโกรธอยู่ เจียงฉูฉู่เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าหากเธอขอร้องแทนซูเชี่ยวอีกครั้งในเวลา
มันช่างชัดเจนนักว่านี่คือสายตาของใคร แต่เสิ่นหยินอู้ไม่สนใจ เธอถือแก้วแล้วก้มศีรษะลงเพื่อจิบมัน แน่นอนว่ามันมีรสชาติเหมือนกันกับแก้วที่เธอดื่มก่อนหน้านี้ เมื่ออยู่ใกล้มากพอ โม่ไป๋ก็สามารถมองเห็นริมฝีปากสีเชอร์รี่ของเธอที่กำลังจิบเบาๆอยู่ที่ปากแก้ว สีที่ริมฝีปากของเธอแตกต่างจากปากแก้ว เมื่อมองไปเรื่อยๆก็ทำให้เขารู้สึกปากแห้งเล็กน้อย โม่ไป๋ยกมือขึ้นไปดันแว่นตาเล็กน้อย และบังคับให้ตัวเองลากสายตาไปทางอื่น และถามเบาๆว่า "เธอไม่สนใจแล้วหรอ?" หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปชั่วคราว โม่ไป๋ยิ้มเล็กน้อยและลดเสียงของเขาลง “ผมหมายความว่า ทุกคนพูดแบบนั้นหมด เธอไม่สนใจเลยเหรอ?” ที่จริงแล้วไม่มีอะไรแตกต่างระหว่างสองคำถามก่อนและหลัง ต้องไม่ต้องสน ถึงจะไม่สนใจคำพูดของคนพวกนั้นได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดเช่นนั้น มุมปากของเธอก็โค้งงอขึ้น “ก็มันคือเรื่องจริง” พวกเขาทั้งสองแต่งงานปลอมๆกัน แล้วมันมีอะไรที่พูดออกมาไม่ได้ล่ะ? สนใจไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด ดวงตาของโม่ไป๋ที่ซ่อนอยู่หลังแว่นมืดลงเล็กน้อย และมันก็มีความกังวลแฝงอยู่ เสิ่นหยินอู้ที่เป็นเช่นนี้ทำให้เขาถึงก
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ