“เจ้าช่างบังอาจนัก! ถึงกับกล้าต่อรองเรื่องร้ายแรงที่เจ้ากระทำอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะเจ้าโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าคนอย่างไม่กระพริบตา คุณหนูหม่าแทนที่จะได้เป็นฮูหยินน้อยของจวนข้า แต่กลับถูกเจ้าลงมือฆ่าเสียก่อน พอข้าจะมีฮูหยินน้อยคนใหม่ได้เพียงไม่กี่วัน เจ้าก็ยังจะลงมืออีกครั้ง เช่นนี้แล้ว เจ้ายังจะแก้ตัวสิ่งใดอีก หากปล่อยเจ้าเอาไว้ต่อไป ความยุติธรรมของตระกูลหม่าที่ต้องสูญเสียคุณหนูใหญ่ไปใครจะรับผิดชอบเล่า อีกทั้งเรื่องนี้ข้ากราบทูลต่อฝ่าบาทแล้ว โทษของเจ้าคือประหารไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่สตรีอื่นอีกต่อไป ทหาร! นำตัวนางไปขังก่อนจะประหารในอีกสามวันข้างหน้า”
“ขอรับ!! ท่านเสนาบดี” ทหารสองคนรีบเข้ามาพาตัวเสิ่นหลิงที่ตกใจกับโทษของนางจนสลบไปจากร่างกายที่อ่อนเพลียหลังคลอดลูก
แม่ทัพหม่า ฮูหยินหม่าและหม่าเหว่ยเมื่อเห็นว่าเสนาบดีหวังตัดสินให้ความเป็นธรรมกับหม่าหลันแล้ว พวกเขาจึงขอตัวกลับจวนและรอวันที่เสิ่นหลิงจะถูกนำตัวไปประหารตามการตัดสินคดีก่อนหน้านี้
หลังตัดสินคดีเสร็จ เสนาบดีหวังเดินทางกลับจวนเพื่อคุยกับฮูหยินใหญ่เรื่องการเลี้ยงดูเด็กที่เพิ่งเกิดในวันนี้ทันที
“ฮูหยินใหญ่ เรื่องการเลี้ยงดูเด็กคนนี้ ข้าคงต้องรบกวนเจ้าแล้วนะ ข้าไม่ไว้ใจใครนอกจากเจ้าจริง ๆ”
“ขอบคุณท่านพี่ที่มอบเขาให้ข้าเลี้ยงดูเจ้าค่ะ ข้ารับรองว่าจะสั่งสอนเขาให้เป็นเด็กดีไม่เหมือนกับแม่ของเขาเด็ดขาด ส่วนเรื่องแม่นมนั้น ข้าก็เตรียมคนเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ ขอท่านพี่โปรดวางใจ”
“ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยแบ่งเบาภาระของข้า อีกสามวันเสิ่นหลิงจะถูกประหารแล้ว เจ้าจะต้องแจ้งไปยังครอบครัวนางหรือไม่ฮูหยิน”
“นั่นไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ ในเมื่อครอบครัวนางขายนางมาให้ข้าตั้งแต่เด็ก”
“แล้วฮัวโต๋เล่าไปอยู่ที่ใด นี่เขาไม่คิดจะมาดูดำดูดีบุตรชายสักหน่อยหรือ”
“เฮ้อ เขาจะไปอยู่ที่ใดได้เจ้าคะ นอกจากเรือนอนุคนใหม่ที่เขาไปหามาจากที่ใดก็ไม่รู้ตั้งแต่ฮูหยินน้อยของเขาตั้งครรภ์ ฮัวโต๋ก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ที่เรือนอนุคนใหม่มาตลอดเลยเจ้าค่ะ ข้าเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไร”
“เช่นนั้นก็แล้วแต่ลูกเถอะ เขาไม่มาวุ่นวายกับเด็กคนนี้ก็ดีแล้ว ส่วนหน้าที่การงานของเขานั้นก็คงต้องปล่อยให้เขารับผิดชอบเอาเอง ข้าไม่อยากยุ่งมากนัก”
“แต่… ท่านพี่เจ้าคะ ลูกทำงานมาหลายปี ยังเป็นเพียงขุนนางขั้น 6 เท่านั้น ท่านพี่ไม่คิดจะช่วยลูกสักหน่อยหรือเจ้าคะ”
“เรื่องนี้ข้าไม่สามารถช่วยเขาได้จริง ๆ หน่วยงานของเขาเคร่งครัดมาก หากเขายังคงทำงานเช้าชามเย็นชามเช่นนี้ อีก 10 ปี เขาก็ไม่มีทางเจริญก้าวหน้าเหมือนน้องชายของเขาหรอกนะ เอาล่ะ ข้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ข้าไปพักผ่อนก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันวันหลังก็แล้วกันนะฮูหยิน”
“เจ้าค่ะ ท่านพี่เดินดี ๆ นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจะให้บ่าวนำซุปไก่ดำไปให้เจ้าค่ะ”
เสนาบดีหวังพยักหน้ารับคำก่อนจะหันหลังเดินออกจากเรือนของฮูหยินใหญ่ไป เขาเหนื่อยล้ากับเรื่องบุตรชายคนโตมากจริง ๆ ครั้นจะให้เขาบีบบังคับลูกให้ตั้งใจทำงาน เขาก็เคยทำมาหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ได้ผล เขาจึงไม่สนใจลูกชายคนโตที่ไม่เอาไหนสักเท่าไหร่ อย่างไรเขาก็มีหวังจุนเหยาที่ดูมีอนาคตมากกว่าอยู่อีกทั้งคน เขาจึงไม่เดือดร้อนหากบุตรชายคนโตทำตัวเช่นนี้
สามวันต่อมา
เสนาบดีหวัง แม่ทัพหม่าและครอบครัว รวมทั้งเหล่าขุนนางหลายคนที่มาดูการประหารเสิ่นหลิงตามรับสั่งของฝ่าบาทว่าไม่ให้ขุนนางคนใดมีอนุที่โหดร้ายเช่นนี้เป็นเยี่ยงอย่างต่างนั่งประจำตำแหน่งที่คนของศาลอาญาจัดไว้ให้
ไม่นานนัก ทหารก็นำตัวเสิ่นหลิงที่ตอนนี้ซูบผอมจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมจากการตรอมใจ เสื้อผ้าที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนจนเหมือนขอทานคนหนึ่ง อีกทั้งผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงจนมองไม่เห็นหน้าตาของนางว่าเป็นอย่างไร หลังจากมัดนางเข้ากับหลักประหารเรียบร้อยแล้ว เสนาบดีหวังก็อ่านความผิดของนางให้ชาวเมืองที่มารอดูรวมทั้งคนอื่น ๆ รับฟังด้วยเสียงอันดัง ก่อนที่เขาจะโยนป้ายประหารลงบนพื้น
ปัง!!! ประหาร!
เพชฌฆาตไม่รีรอ เขาใช้ดาบฟันคอนางเพียงครั้งเดียว หัวของนางก็หลุดออกจากบ่าทันที เลือดจำนวนมากพุ่งออกมา เป็นอันจบสิ้นชีวิตในชาตินี้ของเสิ่นหลิงผู้โหดเหี้ยม ชาวเมืองต่างพากันหวาดกลัวแต่ก็อดไม่ได้ที่อยากดูจุดจบของนาง
แม่ทัพหม่ากับครอบครัวเมื่อเห็นว่าคนร้ายได้รับโทษทัณฑ์ที่เหมาะสมแล้ว พวกเขาก็ได้แต่อธิษฐานในใจว่าให้วิญญาณของหม่าหลันไปสู่ภพภูมิที่ดี พวกเขาได้แก้แค้นแทนนางแล้วในชาตินี้
กว่าที่หวังจุนเหยาจะกลับมาจากตรวจการตามเมืองต่าง ๆ เขาก็รู้เรื่องทั้งหมดจากท่านแม่ที่เล่าให้ฟังอย่างออกรสเพราะไม่ได้พบหน้าบุตรชายนับปีแล้ว
“พูดไปก็น่าสงสารบุตรสาวแม่ทัพหม่านัก แม่เองยังไม่คิดว่าเสิ่นหลิงจะโหดร้ายได้ปานนี้เลยจริง ๆ เห็นนางหน้าตาซื่อ ๆ คอยแต่เอาใจฮูหยินใหญ่มาตลอดหลายปี ไม่นึกว่านางจะทำเช่นนี้ได้”
“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจนะขอรับ ท่านแม่ก็ระวังตัวเอาไว้บ้าง ข้าไม่ค่อยได้อยู่จวน หากใครรังแกท่านแม่เข้าจะทำเช่นไรเล่าขอรับ”
“ไฮ้! เรื่องนี้เจ้าอย่ากังวลไปเลย พ่อของเจ้าไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายแม่ได้ง่าย ๆ หรอก ในเมื่อเจ้าเป็นถึงขุนนางขั้นสามในวัยเพียงเท่านี้ เขายังต้องพึ่งพาเจ้าอีกมาก”
“ถ้าท่านพ่อทำได้เช่นนี้ข้าก็วางใจขอรับ แล้วพี่ใหญ่ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่าขอรับ”
“เฮอะ! ฮัวโต๋จะเป็นอย่างไร นอกจากวัน ๆ หาแต่อนุเข้าจวนเป็นว่าเล่น พอคนนึงตั้งครรภ์ เขาก็จะหาอนุคนใหม่เข้ามาแทน จนตอนนี้เรือนหลังแทบจะไม่มีที่ให้อนุเขาอยู่กันแล้ว ไม่รู้เหตุใดพ่อของเจ้าจึงไม่คิดจะห้ามปรามเขาบ้าง สงสารก็แต่ฮูหยินใหญ่ที่ต้องคอยเลี้ยงดูเด็กที่เกิดจากเสิ่นหลิงในยามชราเช่นนี้”
“น่าแปลกที่ท่านพ่อไม่คิดจะช่วยพี่ใหญ่ในเรื่องการงานของเขานะขอรับ”
“แม่ได้ยินมาว่า ท่านพ่อของเจ้าเคยบอกเขาหลายครั้งแล้ว แต่เขายังคงทำตัวเช่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ทำให้ท่านพ่อของเจ้าเลิกสนใจเขาแล้วว่างานของเขาจะก้าวหน้าหรือไม่น่ะสิ”
“เช่นนั้นก็นับว่าพี่ใหญ่ทำเกินไปนะขอรับ เขารับราชการก่อนข้าเสียหลายปี แต่กลับยังอยู่เพียงตำแหน่งขุนนางขั้น 6 เช่นเดิม แบบนี้ท่านพ่อไม่เสียหน้าแย่หรือ”
“ทำอย่างไรได้เล่า เขาไม่มีหัวคิดเหมือนเจ้านี่นา วัน ๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับอนุ ลูกที่เกิดจากฮูหยินน้อยและอนุคนอื่น ๆ ที่กำลังท้อง เขาก็ไม่คิดจะสนใจแม้สักนิด ยิ่งเรื่องงานก็ไปบ้างไม่ไปบ้างอยู่เช่นนี้ แล้วเจ้าคิดว่าเขาจะมีอนาคตที่ดีได้อย่างไร ว่าแต่เจ้าเถอะ พบคนที่เหมาะสมจะเป็นฮูหยินหรือยัง แม่อยากมีหลานแล้วนะ”
“ข้ายังไม่พบคนที่เหมาะสมเลยขอรับท่านแม่ หากไม่มีจริง ๆ ข้าคงอยู่เป็นโสดเช่นนี้ไปตลอดท่าจะดีกว่า”
“เพ้ย!!! นั่นจะได้อย่างไร หากเจ้าไม่มีทายาทให้พ่อของเจ้าล่ะก็ จวนนี้ใครจะดูแลต่อกันเล่า ข้าได้ยินว่าพ่อของเจ้าหวังให้เจ้าสืบทอดจวนแทนคุณชายใหญ่นะ”
“โธ่ แล้วท่านแม่จะให้ข้าทำเช่นไรเล่าขอรับ การงานข้าต้องเดินทางแทบทั้งปี ข้าจะเอาเวลาที่ใดมาดูแลฮูหยินเล่าขอรับ”
“เรื่องนั้นแม่ดูแลแทนเจ้าเอง ขอเพียงเจ้าหาใครสักคนมาแต่งงานให้ได้เสียก่อน”
“เฮ้อ เช่นนั้นข้าว่าเรื่องนี้ให้ท่านพ่อหาบุตรีขุนนางดี ๆ สักคนมาแต่งก็น่าจะได้แล้วขอรับ ข้าแต่งกับใครก็ได้ทั้งนั้นถ้าแค่เพื่อสืบทอดตระกูล”
“หากเจ้ากล่าวเช่นนี้ แม่จะให้พ่อของเจ้าหาบุตรีขุนนางดี ๆ สักคนให้ก็แล้วกัน”“ขอรับ ตามใจท่านแม่กับท่านพ่อจะจัดการ ตอนนี้ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนขอรับ”“อืม ๆ เจ้ารีบไปเถอะ แม่ก็ลืมไปว่าเจ้าเพิ่งกลับมาถึง”หวังจุนเหยาลุกขึ้นคำนับมารดาก่อนจะเดินกลับเรือนที่อยู่ติดกันไปอย่างไม่ช้าไม่เร็ว เขาได้แต่คิดเสียดายที่ไม่เคยพบกับบุตรีแม่ทัพหม่ามาก่อน เคยได้ยินเพียงข่าวว่านางมักถูกรังแกในงานเลี้ยงบ่อย ๆ ผู้ชายเช่นเขาจึงรู้สึกอยากปกป้องนางขึ้นมาเสียเฉย ๆ แต่นางกลับถูกฆ่าในงานแต่งงานกับพี่ชายเขาเสียก่อนเสนาบดีหวังหลังทราบจากฮูหยินรองว่าบุตรชายคนรองอยากให้เขาหาสตรีดีๆ มาเป็นสะใภ้ให้สักคนหนึ่ง เสนาบดีหวังจึงรีบจัดการให้ก่อนที่บุตรชายเขาจะต้องเดินทางออกไปตรวจราชการอีกในปีหน้าทันที ซึ่งสตรีที่ได้รับเกียรติให้แต่งกับหวังจุนเหยาเป็นถึงบุตรีเสนาบดีกรมโยธาที่หลงรักเขามานานแล้วหวังจุนเหยาที่ทำหน้าที่เจ้าบ่าวไม่ได้สนใจว่าใครคือฮูหยินของเขาแม้แต่น้อย เขาเพียงแต่ต้องการให้นางคลอดบุตรชายให้สักคนเท่านั้น ส่วนฮูหยินรองและอนุที่ท่านพ่อต้องการให้เขาแต่งเข้ามา หวังจุนเหยารีบปฏิเสธทันที เขาไม่อยากให้เรือนหลังของเขาต้อง
สายวันต่อมา หวังจุนเหยาลุกขึ้นมาแต่งตัวเพื่อที่จะเข้าบริษัท วันนี้เขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปที่ รพ.ของเขา เมื่อคืนเขาถึงได้มีความสุขกับผู้หญิงที่กำลังหลับอยู่อย่างไม่สนใจเวลาสักเท่าไหร่ กระทั่งเห็นว่าหากไม่ปลุกเธอคงไม่ตื่นง่าย ๆ เขาที่ต้องการรีบจ่ายค่าตัวให้เธอแล้วรีบไปจึงได้ปลุกเธอขึ้นมาไป๋เหลียนที่ถูกเรียกและผลักเบา ๆ สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน เธอรีบเอาผ้าห่มปกปิดหน้าอกหน้าใจและเรือนร่างที่ยังเปลือยเปล่าเอาไว้แล้วเงยหน้าถามชายหน้าตาดีที่เธอเพิ่งเห็นชัด ๆ ในตอนนี้“คุณปลุกฉัน มีอะไรหรือคะ”“ค่าตัวเธอที่ฉันจะต้องจ่ายให้ เธอต้องการเท่าไหร่”“เอ่อ… ห้าพันค่ะ” ไป๋เหลียนก้มหน้าบอกเสียงเบาหวังจุนเหยาได้ยินว่าเป็นเงินห้าล้านถึงกับนึกในใจว่าแค่เสียความบริสุทธิ์ให้เขา ผู้หญิงคนนี้เรียกเงินถึงห้าล้านหยวนเลยทีเดียว แต่เงินแค่นี้ไม่ทำให้เขารู้สึกอะไรอยู่แล้ว ในเมื่อเขาเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลหวังที่ร่ำรวย“อ่ะ เธอใส่ยอดเงินเอาเองแล้วกดโอนได้เลย”หวังจุนเหยายื่นโทรศัพท์ที่เขาพิมพ์เลขบัญชีของเธอที่บอกก่อนหน้านี้ให้เธอกดตัวเลขเอาเอง โดยไม่สนใจว่าเธอจะให้เขาเสียเงินไปเท่าไหร่
หลังจากคิดอยู่คนเดียวมาได้หนึ่งสัปดาห์ ไป๋เหลียนไม่รู้เลยว่าตอนนี้เรื่องที่เธอกำลังท้องนั้นตอนนี้ถูกพูดคุยกันอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลหวังอย่างมีความสุข ขณะที่เธอกำลังพักผ่อนที่หอพักในมหาวิทยาลัย เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของเธอก็ดังขึ้นตู๊ด...ตู๊ด...ตู๊ด…ไป๋เหลียนมองชื่อในโทรศัพท์ที่เป็นคนโทรมา พอเห็นว่าเป็นแม่ของเธอโทรมาในตอนนี้ เธอได้แต่คิดว่าสงสัยเงินพวกเขาจะหมดอีก ถึงได้โทรมาหาเธอในช่วงวันหยุดแบบนี้ หลังจากคิดสักพัก เธอจึงกดรับสายอย่างเสียไม่ได้[ สวัสดีค่ะแม่ ][ แกไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่เลย รีบไสหัวกลับมาบ้านเดี๋ยวนี้ อย่าคิดว่าหายหัวไปหลายเดือนแล้วโอนแค่เงินมา ฉันจะปล่อยแกไปง่าย ๆ นะ กลับมาคุยกันให้รู้เรื่อง ][ เรื่องอะไรอีกล่ะคะแม่ วันนี้หนูยังต้องไปทำงานช่วงบ่ายอีกนะคะ ][ แกไม่ต้องมาถามฉัน รีบกลับมาเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้นฉันจะไปลากแกมาเอง ][ ตกลงค่ะแม่ เดี๋ยวหนูกลับบ้านเอง ][ ฮึ รีบมาเร็ว ๆ เข้า แค่นี้แหละ ]ตู๊ด.ตู๊ด.ไป๋เหลียนได้แต่มองโทรศัพท์พร้อมขมวดคิ้วมุ่นอย่างยุ่งยากใจ เธอเดาไม่ถูกว่าทำไมแม่ถึงต้องรีบให้เธอกลับบ้านแบบนี้ หลังจากถอนหายใจอยู่ไม่นานนัก ไป๋เหลียนก็เ
ชาวบ้านที่มามุงดูได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พอได้ยินเรื่องที่สองแม่ลูกพูดกันแล้ว พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่าเด็กผู้หญิงที่นอนอยู่และกำลังถูกตีเป็นลูกสาวที่ท้องก่อนแต่งนั่นเอง ชาวบ้านต่างไม่มีใครนึกสงสารไป๋เหลียนเลยแม้แต่น้อย พวกเขาคิดว่าสมควรแล้วที่ลูกสาวไม่รักดีจะถูกสั่งสอนเสียบ้างหลิวต้าเฉียงกับไป๋เฉิงไม่คิดจะเข้าไปห้ามไป๋จินเลยแม้แต่น้อย พวกเขาโมโหมากจริง ๆ ที่รู้ว่าไป๋เหลียนกำลังท้องลูกของใครอยู่ก็ไม่รู้ไป๋เหลียนพยายามอ้อนวอนไป๋จินทั้งน้ำตา แต่ไป๋จินกลับไม่สนใจ เธอเอาแต่ตีไป๋เหลียนจนตอนนี้หัวและหลังเต็มไปด้วยเลือดจากแผลแตกขนาดใหญ่ ไป๋เหลียนตอนนี้ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงพอที่จะต่อต้านแม่ของเธอ เธอได้แต่ปกป้องท้องน้อยของตัวเองเอาไว้เท่านั้น ถึงแม้ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอจะเจ็บร้าวไปหมดก็ตามที แต่เด็กคนนี้คือลูกของเธอ เธอจะปกป้องเขาให้ถึงที่สุด ตอนนี้ไป๋เหลียนไม่กล้าคาดหวังว่าพ่อของลูกเธอจะมาช่วยเธอจริง ๆ เพราะถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะมาถึงเสียที เธอแทบจะทนความเจ็บปวดไม่ไหวอยู่แล้ว
หวังจุนเหยาที่พาไป๋เหลียนมายัง รพ.หวัง ในเครือที่อยู่ใกล้ที่สุด เขาส่งไป๋เหลียนเข้าห้องฉุกเฉินไปเรียบร้อยแล้ว เหล่าแพทย์ระดมกำลังกันมาช่วยเหลือว่าที่นายหญิงน้อยของพวกเขากันยกใหญ่กว่าสามชั่วโมงที่หมอจะออกมารายงานอาการของไป๋เหลียนให้กับหวังจุนเหยาทราบ เขาได้แต่นั่งไม่ติดเก้าอี้ตั้งแต่ส่งตัวเธอเข้าห้องฉุกเฉินไปก่อนหน้านี้“เรียนคุณชาย อาการของนายหญิงน้อยหนักมากจริง ๆ ครับ พวกเราทำได้เพียงเชื่อมต่อกระดูกที่หักบางส่วนและรักษาแผลภายนอกภายในได้เท่านั้น ตอนนี้ต้องขึ้นอยู่กับสวรรค์แล้วว่านายหญิงน้อยจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ครับ”หวังจุนเหยาฟังแล้วถึงกับทรุดลงนั่งกับเก้าอี้หน้าห้องอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขาไม่คิดว่าเพราะความเข้าใจผิดของเขา จะทำให้ภรรยาตัวน้อยกับลูกเขาต้องอาการหนักมากถึงขนาดนี้“คุณแน่ใจนะว่ารักษาเธอกับลูกผมเต็มที่แล้ว”“พวกเราทำเต็มที่แล้วจริง ๆ ครับคุณชาย ยังโชคดีที่เด็กรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์
สามวันต่อมาคืนนั้นหม่าหลันใช้พลังปราณรักษาร่างกายของไป๋เหลียนจนหายดี ตอนนี้เธอสามารถลืมตาขึ้นมาได้แล้ว ระหว่างที่รักษาตัวอยู่ หม่าหลันได้ยินทุกอย่างที่หวังจุนเหยาพูดคุย เธอจึงรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนดีมากจริง ๆ ถึงแม้ไป๋เหลียนจะตั้งท้องลูกของเขาก็จริงอยู่ แต่นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุ ขนาดไป๋เหลียนเองยังไม่เคยคิดว่าหวังจุนเหยาจะต้องมารับผิดชอบตัวเธอกับลูก หม่าหลันที่อยู่ในร่างกลับคิดว่าเขาเป็นสามีที่ดี สมกับที่ตอนนี้เธออยู่ในร่างไป๋เหลียนและลูกในท้องของเธอก็แข็งแรงดี ตอนนี้หม่าหลันเริ่มเคยชินกับคำพูดคำจาในภพภูมินี้แล้วหลังจากซ้อมมาหลายวันในขณะที่ยังไม่ฟื้นตื่นขึ้นมา ในเมื่อตอนนี้ร่างกายไป๋เหลียนหายดีแล้ว หม่าหลันก็อยากออเซาะสามีสุดหล่อสักหน่อยให้กระชุ่มกระชวย ไหน ๆ เธอก็ได้มายังภพนี้โดยไม่รู้สาเหตุแล้ว เธอก็จะใช้ชีวิตใหม่ให้มีความสุข และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมทำตัวอ่อนแอเหมือนในชาติก่อนให้คนอื่นรังแกอีกเป็นแน่ รวมทั้งพวกที่เคยรังแกไป๋เหลียนในความทรงจำ หม่าหลันจะเอาคืนพวกมันให้เจ็บแสบเลยทีเดียว
หลังกินอาหารเช้าค่อนไปทางเที่ยงเสร็จ หวังจุนเหยาก็อุ้มภรรยาตัวน้อยที่ตัวเบาหวิวทั้งที่กำลังท้องไปนอนบนเตียงเพื่อให้เธอนอนพักผ่อนต่อ“ต่อไปคุณต้องกินให้เยอะ ๆ หน่อยนะไป๋เหลียน ตอนนี้คุณไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ ลูกของเราต้องให้คุณดูแลแล้ว” หวังจุนเหยาหอมแก้มไป๋เหลียนอย่างอดไม่ได้“ฉันก็พยายามกินเยอะแล้วนะคะ แต่มันกินได้แค่นี้นี่คะ คุณก็อย่าดุนักเลย ฉันกับลูกสบายดีแน่นอน คุณไม่ต้องกังวล”ไป๋เหลียนรีบอธิบายว่าเธอกินเต็มที่แล้วจริง ๆ นี่ต้องโทษร่างเดิมที่กินน้อยเสียจนหม่าหลันต้องพยายามยัดอาหารเข้าไปให้มากกว่าปกติที่ร่างเดิมเคยกิน ทำให้เธอแทบจะอาเจียนออกมาเพราะกินมากเกินไป“ตกลง ๆ ผมไม่ดุคุณแล้ว คุณนอนพักผ่อนก่อนนะ ผมขอตัวไปทำงานสักหน่อย”“ค่ะ สามี คุณก็หาเวลาพักบ้างนะคะ ฉันเป็นห่วง”จุ๊บ!!!“ขอบคุณครับ ภรรยา ที่เป็นห่วง คุณร
หวังจุนเหยาเข็นรถที่มีไป๋เหลียนนั่งอยู่ไปยังโต๊ะอาหารพร้อมรอยยิ้มบางที่หวังซูหุยไม่เคยเห็นหลานชายอารมณ์ดีแบบนี้มานานมากแล้ว เธออดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองคนดูเหมาะสมกันมากจริง ๆ“มา ๆ มาให้ย่าดูหน่อยสิว่าหลานสะใภ้ย่าน่ารักแค่ไหน” หวังซูหุยยิ้มให้ไป๋เหลียนอย่างเมตตา“สวัสดีค่ะ คุณย่า ขอบคุณที่มาเยี่ยมหนูนะคะ” ไป๋เหลียนรักษามารยาทกับญาติผู้ใหญ่ของสามีเป็นอย่างดี ยิ่งทำให้หวังซูหุยเอ็นดูไป๋เหลียนไม่น้อย“นี่เป็นซุปบำรุงร่างกายที่ย่าให้คนใช้ส่วนผสมที่ดีที่สุดปรุงขึ้นมาเชียวนะ จุนเหยา ป้อนหลานสะใภ้ย่าดี ๆ”“อ้าว แล้วคุณย่าไม่ทานด้วยกันเหรอครับ”“ย่ายังไม่หิวน่ะ อีกสักพักย่าก็จะกลับไปกินข้าวที่บ้านแล้ว พวกหลานจะได้พักผ่อนให้ดี ๆ เอาไว้ย่าจะเตรียมของไว้รอหลานสะใภ้กลับไปอยู่ที่บ้านด้วยกันนะ”ไป๋เหลียนได้แต่งุนงงว่าเธอจะต้องไปอยู่บ้านไ
รุ่งเช้าวันต่อมา ไป๋เหลียนตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น เธอเดินลมปราณปรับร่างกายที่เหนื่อยล้าจากกิจกรรมเข้าจังหวะเมื่อคืนกับสามีคนดีจึงไม่มีผลกระทบกับร่างกายที่กำลังตั้งครรภ์ของเธอ แตกต่างจากหวังจุนเหยาที่ถูกภรรยาเคี่ยวกรำมาเสียครึ่งค่อนคืน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ตื่นขึ้นมาจากความเหนื่อยล้าเลยไป๋เหลียนกลัวว่าคุณย่าจะรอทานอาหารเช้า เธอรีบเข้าห้องน้ำอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมไปเรียนในวันนี้ ก่อนจะออกมาปลุกสามีขี้เซาที่ไม่ยอมลุกขึ้นมาอาบน้ำเสียทีอย่างหมั่นไส้“สามี~ ตื่นได้แล้วค่ะ คุณย่ารอทานข้าวเช้าอยู่นะคะ ฉันมีเรียนตอนเช้าด้วยวันนี้”“อืม… ภรรยา ผมยังง่วงอยู่เลย ขอจูบหวาน ๆ สักทีก่อนได้ไหมครับ หืม…”เพี๊ยะ!!! โอ้ย!!“ฮือ… ภรรยาใจร้าย ปลุกกันดี ๆ ก็ได้นี่นา จุ๊บ” หวังจุนเหยายังแอบจุ๊บแก้มไป๋เหลียนก่อนจะรีบลุกจากที่นอนไปอาบน้ำตามคำสั่งภรรยาไป๋เหลียนได
หลังจากกินอาหารเย็นกันเสร็จแล้ว ไป๋เหลียนก็ง่วงนอนอีกแล้ว อาจเพราะเธอใช้พลังปราณมากเกินไปในวันนี้ ทำให้ง่วงเร็วกว่าปกติ หวังจุนเหยาที่ยังมีงานกองอยู่ไม่น้อยได้แต่พาไป๋เหลียนเข้าไปนอนพักในห้องด้านใน ก่อนที่เขาจะออกมานั่งทำงานจนลืมเวลา“เอ่อ… เจ้านายครับ ตอนนี้สี่ทุ่มแล้วนะครับ เจ้านายไม่พานายหญิงน้อยกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนเหรอครับ เหลืองานอีกนิดหน่อย พรุ่งนี้เจ้านายค่อยมาทำต่อก็ได้นะครับ” หลินซินรีบเตือนหวังจุนเหยาที่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่จนลืมเวลา“ห๊ะ! สี่ทุ่มแล้วเหรอ?” หวังจุนเหยาเงยหน้าขึ้นมองหลินซินอย่างต้องการคำตอบ“ใช่ครับ เจ้านาย” หลินซินตอบอย่างระอา“เฮ้อ… ขอบใจที่เตือนฉันนะ ฉันลืมไปว่าไป๋เหลียนนอนรออยู่ในห้อง”หวังจุนเหยารีบเก็บเอกสารส่งให้หลินซินก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้เดินกลับเข้าไปในห้องด้านในเพื่อปลุกภรรยาตัวน้อย“อื้อ&h
“เย่ปิง โทรบอกหลินซินให้พาคนมาจัดการเธอซะ อย่าให้ฉันเห็นหน้าเธอที่ร้านนี้อีก เรื่องอื่นฉันจะคุยกับสามีเอง”เสียงเย็นชาของไป๋เหลียนทำเอาเย่ปิงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาทั้งที่มือยังสั่นอยู่ด้วยความหวาดกลัว เขาพูดเสียงสั่นตามคำสั่งของไป๋เหลียนโดยไม่รู้ตัว กระทั่งไป๋เหลียนเดินผ่านเขาไปแล้วเข้าไปนั่งบนรถด้านหลังที่ตอนนี้เหอเปียวเป็นคนเดินไปปิดประตูแทนเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ กว่าที่เขาจะตั้งสติได้ ก็ตอนที่ได้ยินเสียงแตรที่เหอเปียวกดเรียกหลังจากเขาวางสายจากหลินซินแล้วนั่นเองไป๋เหลียนไม่สนใจว่าเย่ปิงตอนนี้จะรู้สึกอย่างไรกับเธอ ถ้าเธอยังเห็นยัยผู้จัดการนี่อีกครั้งที่ร้านนี้ล่ะก็ เธอจะอาละวาดจนร้านสามีพังไปเลย คอยดูสิ! คิดจะมายุ่งกับสามีเธอเหรอ? ชาติหน้าตอนบ่าย ๆ เถอะ!!!ด้วยรังสีอำมหิตที่ไป๋เหลียนเผลอปล่อยออกมา ทำเอาเย่ปิงกับเหอเปียวเหงื่อแตกเต็มแผ่นหลังด้วยความหวาดกลัวไปหมด กว่าที่พวกเขาจะหายหวาดกลัวก็เป็นตอนที่ขับรถเข้าไปยังตึกบริษัทแล้วนั่นแหละ เพราะไป๋เหลียนเริ่มมีรอยยิ้มบ
ผู้จัดการร้านหันไปพบกับเย่ปิงเดินมาพร้อมไป๋เหลียนพอดี เธอขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่แน่ใจว่าทำไมบอดี้การ์ดของท่านประธานถึงได้มากับผู้หญิงแปลกหน้าได้“เย่ปิง คุณพาใครมาที่ร้านน่ะ ถ้าท่านประธานรู้เข้าว่าคุณพาผู้หญิงมากินฟรี คุณก็รู้ว่าจะถูกลงโทษยังไง” เสี่ยวชิงเหอมองไป๋เหลียนอย่างไม่พอใจนัก เธอคิดว่าไป๋เหลียนเป็นแฟนของเย่ปิงและเขาอาจพาเธอมาอวดว่าสามารถเข้าร้านอาหารระดับนี้ได้ไป๋เหลียนที่ได้ยินเข้าก็เปลี่ยนสีหน้าจากอ่อนโยนเป็นเย็นชาในทันที เธอมองหญิงสาวที่เย่ปิงบอกว่าเป็นผู้จัดการร้านตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะปล่อยพลังปราณกดดันจนเสี่ยวชิงเหอเหงื่อตก“คุณพูดบ้าอะไรของคุณกัน! นี่ภรรยาท่านประธาน ผมพามาซื้ออาหารชุดไปให้ท่านประธานก่อนเข้าบริษัท คุณรีบขอโทษนายหญิงน้อยเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่อย่างนั้นตำแหน่งของคุณอาจถูกเปลี่ยนมือได้” เย่ปิงตวาดว่าอย่างอดไม่ได้ เขาพอจะรู้อยู่ว่าผู้หญิงคนนี้ใฝ่สูงขนาดไหน เพียงแต่ท่านประธานไม่เคยชายตามองเธอเท่านั้น พวกเขาจึงไม่ได้ลงมืออะไร
เหอเปียวจอดรถเสร็จก็รีบวิ่งตามเย่ปิงไปดูแลไป๋เหลียนอยู่ห่าง ๆ ตามคำสั่ง พวกเขาเห็นนักศึกษาหลายคนมองมาที่กลุ่มของไป๋เหลียน เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้พวกเธอ พวกเขาทำเพียงซุบซิบกันเบา ๆ เท่านั้น“นี่ ไป๋เหลียน ตกลงว่าเรื่องเธอกับอาจารย์พิเศษเป็นยังไงกันแน่น่ะ”“อืม… ก็ไม่มีอะไร เขาเป็นสามีฉันเองอ่ะ พวกเธออย่าบอกใครนะ” ไป๋เหลียนกระซิบบอกเพื่อน เธอไม่อยากปิดบังเรื่องนี้กับเพื่อนสนิท ไม่อย่างนั้นคงวุ่นวายไปมากกว่าที่เป็นอยู่“ห๊ะ!!!” จางเหยากับหลี่ซินอุทานอย่างตกใจ ก่อนทั้งสองจะรีบปิดปากแล้วพยักหน้ารับคำไป๋เหลียน พวกเธอกลัวว่าจะเผลอพูดเสียงดังจนคนอื่นได้ยินเข้าไป๋เหลียนหัวเราะเบา ๆ กับอาการตกอกตกใจของเพื่อนทั้งสอง เธอไม่คิดว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้พวกเธอแสดงอาการออกมาขนาดนี้“ฮึ่ย! เธอยังจะหัวเราะพวกเราอีกนะไป๋เหลียน เรื่องนี้มันน่าตกใจจริง ๆ นี่นา”
หวังจุนเหยากับไป๋เหลียนใช้เวลาอีกกว่าหนึ่งชั่วโมงจึงได้ลุกจากโต๊ะเพื่อที่จะได้เดินทางกลับบ้าน หลังจากไป๋เหลียนต้องเข้าห้องน้ำถึงสามรอบแล้วกลับมานั่งกินอีกจนของบนโต๊ะทั้งหมดหมดเกลี้ยงอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่พวกเขากินกันแค่สองคนเท่านั้น แต่จำนวนจานที่วางซ้อนกันนั้นไม่ต่างจากคน 4-5 คนมานั่งกินกันแม้แต่น้อยจ้าวเฟยกับพวกเองก็อิ่มกันได้สักพักแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ ในเมื่อผู้จัดการห้างและผู้จัดการร้านต่างเดินออกมาส่งเจ้านายกับนายหญิงน้อยด้วยกัน“สามี~ วันหลังเราชวนคุณย่ามากินด้วยกันนะคะ” ไป๋เหลียนเงยหน้าขึ้นขณะที่แขนยังคงเกาะเกี่ยวแขนหวังจุนเหยาเอาไว้เพื่อเดินไปขึ้นลิฟท์ผู้บริหารที่อยู่ไม่ไกล“ตกลงครับ ไว้วันหลังเรามากันอีกนะ ที่นี่ไม่ไกลจากบ้านนัก” หวังจุนเหยาก้มมองคนตัวเล็กข้าง ๆ ที่ยังอุตส่าห์นึกถึงคุณย่าของเขาพร้อมรอยยิ้มบางบอดี้การ์ดที่ได้ยินเสียงเจ้านายนุ่มละมุนอย่างที่ไม่เคยฟังมาก่อนได้แต่ทำหน้าเหวอกันเป็
หลังจากกินกันไปได้สักพักใหญ่ หวังจุนเหยาก็เห็นจ้าวเฟยพาพวกเข้ามาในร้านอีกห้าคน เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนที่จ้าวเฟยจะเดินมารายงานเขา“เจ้านาย พวกเรามารับเจ้านายกับนายหญิงน้อยกลับบ้านครับ เลขาหลินโทรบอกว่ามีคนรบกวนเจ้านาย พวกเราเลยรีบมาครับ”“อืม… พวกนายนั่งกินรอกันไปก่อน ฉันกับนายหญิงน้อยยังอยากนั่งกินต่ออีก”“ครับ เจ้านาย” จ้าวเฟยเดินไปที่โต๊ะว่างไม่ไกล ก่อนจะสั่งอาหารมาย่างกินที่โต๊ะกับพวก เขาอยู่กับเจ้านายมานาน จึงรู้ดีว่าน่าจะอีกพักใหญ่เลยกว่าที่เจ้านายจะกลับบ้านกลุ่มไป่หลิงที่ถูกลากตัวออกจากห้างท่ามกลางผู้คนที่มาเที่ยวห้างต่างอับอายไม่น้อย เธอกัดฟันสะบัดแขนออกจากการจับตัวของ รปภ. ทันทีที่ออกมาจากประตูห้างสรรพสินค้า“ปล่อยฉันได้แล้ว ไอ้บ้า!!! คอยดูนะ ฉันจะให้พ่อฉันล้มห้างสรรพสินค้านี้เสีย ฉันอยากจะดูสิว่าผู้ชายคนนั้นจะคุกเข่าขอร้องให้ฉันช่วยไหม พวกเรา กลับ!!!”
ใช่ว่าจะมีเพียงไป๋เหลียนเท่านั้นที่ชื่นชมหวังจุนเหยา แต่โต๊ะของสาวไฮโซที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันนักก็ชื่นชมเขาจนอยากแย่งมาเพราะคิดว่าหวังจุนเหยาต้องชอบคนรวยอย่างเธอมากกว่า“ไป่หลิง เธอแน่ใจเหรอว่าจะเข้าไปขอเบอร์เขาจริง ๆ น่ะ เมื่อกี้เธอไม่เห็นเหรอว่าผู้จัดการร้านสั่งให้พนักงานดูแลเขาอย่างดี” ม่านถิงถามเพื่อนอย่างไม่อยากมีเรื่อง“อะไรกันม่านถิง นี่เธอไม่อยากให้ไป่หลิงมีแฟนหล่อ ๆ รวย ๆ อย่างผู้ชายคนนั้นหรือยังไงกันน่ะ” ซือฉีมองเหยียดม่านถิงที่กลัวไม่เข้าท่า“นั่นสิม่านถิง ฉันว่าไป่หลิงเหมาะกับผู้ชายคนนั้นมากกว่ายัยหน้าจืดนั่นนะ” จินเหยียนสนับสนุนเพื่อนอีกแรงหนึ่ง“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น แค่ไม่อยากให้มีเรื่องอีกเท่านั้นเอง เรายังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นใคร ถ้าเขาเป็นคนที่เราไม่ควรมีเรื่องด้วยจะทำยังไงล่ะ” ม่านถิงพูดอย่างจนใจ“เฮอะ! เธอนี่ขี้กลัวไม่เข้าท่านะม่านถิง ไป่หลิงเป็นถึงลูกสาว
รปภ. ดวงซวยที่เพิ่งเคยเห็นท่านประธานเป็นครั้งแรกถึงกับเหงื่อแตกแทบจะล้มลงไปกับพื้นอย่างตกใจ เขาได้แต่คิดว่าตัวเองช่างโง่เง่านักที่หาเรื่องท่านประธาน งานดี ๆ แบบนี้ยิ่งหายากอยู่ด้วย ขณะที่ รปภ. กำลังจะคุกเข่าขอโทษหวังจุนเหยา ไป๋เหลียนเห็นเข้าก็รีบใช้พลังปราณยกตัว รปภ. เอาไว้แล้วโบกมือไล่เขาออกไปให้ไกลจากสายตาสามีเธอ ก่อนที่คุณสามีจะอารมณ์แปรปรวนอีกครั้งรปภ. เห็นสัญญาณมือของภรรยาท่านประธานเข้า เขาจึงรีบวิ่งไปอีกด้านของลานจอดรถแทนทันที เขาไม่รู้หรอกว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น แต่เขาไม่กล้าขัดคำสั่งของภรรยาท่านประธานเด็ดขาด เพราะก่อนหน้านี้ก็เป็นเธอที่ช่วยเกลี้ยกล่อมไม่ให้ท่านประธานไล่เขาออก เขาจึงเชื่อฟังเธอมากกว่าผู้จัดการเหลยเสียอีกเหลยจ้านเห็นตัวปัญหาวิ่งหนีไปแล้วก็ได้แต่ทอดถอนหายใจ ก่อนจะผายมือเชิญหวังจุนเหยากับไป๋เหลียนให้เดินตามเขาไปยังร้านเนื้อย่างที่เขาเพิ่งโทรบอกผู้จัดการร้านก่อนหน้านี้ทันที“ทีหลังรับคนใหม่เข้ามาก็หัดเอารูปคนสำคัญในบริษัทให้พวกเขาดูก่อน ไม่ใช่ให้มาทำงาน