คุณเพลิงอุ้มฉันขึ้นแล้วพาเดินมายังห้อง ๆ หนึ่ง แถมยังใช้สายตาอำมหิตข่มขู่ตลอดเวลาจนกระทั่งวางฉันลงที่เตียง“เห็นผู้ชายแล้วเป็นลมแบบนี้เรียกว่าอ่อย ?” เขาถามด้วยท่าทางที่หาเรื่อง“คิดแบบนั้นเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นเอยก็ไม่มีคำแก้ตัวค่ะ” ฉันเลือกตอบไปอย่างไร้ข้อโต้เถียง กี่ครั้ง ๆ ก็ถูกกล่าวหาตลอดทั้งที่ยังไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับใครเลยสักคน“ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าเธอตั้งใจอ่อยเพื่อนฉันจริง ๆ”“เอยไม่ได้เถียงอะไรเลยนะคะจะให้พูดว่ายอมรับคงไม่ได้” ตอนนี้อยากนอนพักผ่อนจะแย่ เมื่อกี้ฉันวูบไปคุณเพลิงไม่สังเกตเลยเหรอ เขาอยากแต่จะหาเรื่องกันหรือไง“นี่ไงเธอกำลังเถียง!!”“คุณเพลิงเป็นอะไรคะ จะหงุดหงิดขนาดนี้ทำไม” ฉันจ้องใบหน้าคมคายเพื่อรอคำตอบแต่คนที่ถูกถามกลับเงียบ“จำไว้นอกจากฉันเธอห้ามอ่อยใคร”“เอยไม่เคยอ่อยใครแม้กระทั่งคุณเพลิง” ครั้งนี้ฉันเถียงกลับทำไมต้องใช้คำว่าอ่อยทั้งที่ฉันทำไม่เป็น ตั้งแต่เล็กจนโตเคยอ่อยผู้ชายที่ไหนกัน“หึ! พอฉันให้ความสำคัญเธอก็กล้าดี”“คุณเพลิงให้ความสำคัญกับเอยเหรอคะ ?”“ดูไม่ออก ?” คุณเพลิงตอบกลับมาอย่างหัวเสีย “อย่าคิดว่าฉันสนใจแล้วจะพูดยังไงก็ได้!”“เอยไม่รู้สึกถึงความสำคัญท
ขนทั้งตัวมันลุกซู่เมื่อคุณเพลิงใช้สายตาอำมหิตคู่นั้นจ้องมอง“… อย่ามองเอยแบบนั้นสิคะ”“มันโทรมาหาเธอได้ยังไง ?” เขากดเสียงต่ำถามด้วยท่าทางที่น่ากลัว“ม… มีนเป็นคนให้เบอร์เอยไป เอยไม่ได้เป็นคนเอาให้ด้วยตัวเองนะคะ” อุตส่าห์โกรธที่ถูกขังจนไม่ได้กินข้าวแต่ดันมาเจอสถานการณ์แบบนี้“เพื่อนเธอนี่ส่อรู้จริง ๆ เลยนะ คงต้องสั่งสอนให้เข็ด”“คุณเพลิงจะทำอะไรเพื่อนเอยคะ”“สั่งสอนให้รู้ว่าไม่ควรมายุ่ง”“แต่เพื่อนเอยไม่รู้เรื่องอะไรจะทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ ถ้าจะทำก็มาทำเอยสิ” ฉันลุกขึ้นยืนแล้วมองคุณเพลิงด้วยสายตาที่ท้าทายคุณเพลิงกำโทรศัพท์ในมือแน่นเขาวางมันกระแทกลงบนโต๊ะแรง ๆ จนฉันตกใจสะดุ้ง รีบมองดูว่าหน้าจอแตกหรือเปล่า พอเห็นสภาพที่ปกติก็ค่อยโล่งอกหน่อย“ฉันเคยเตือนอะไรไว้หวังว่าเธอจะจำได้”“ค่ะ”สิ้นสุดคำตอบคุณเพลิงก็เดินออกไปจากตรงนี้ ฉันได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ โล่งอกที่ไม่มีอะไรที่รุนแรงเกิดขึ้น แต่ยังไงก็ต้องเตือนให้มีนระวังตัวไว้บ้างหลังจากกินอาหารเสร็จฉันก็เดินกลับมาที่ห้องเห็นคุณเพลิงกำลังนอนเล่นมือถืออยู่ พอเห็นเขาอยู่ในห้องนี้ฉันก็เลยถอยเพื่อจะไปนอนที่ห้องอื่น แต่ถอยได้แค่ไม่กี่ก้าวก็ถูกเส
#โรงแรมคุณเพลิงขับรถมาที่โรงแรมของเขาทั้งที่แขนยังมีเลือดไหลอยู่ เขาไม่ยอมไปโรงพยาบาลแต่กลับมาที่ห้อง“อึก~ ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลคะ” ฉันสะอื้นร้องไห้ตั้งแต่เจอเหตุการณ์สะเทือนขวัญจนกลับมาที่ห้องก็ยังไม่หยุดร้อง“เอยบอกให้ไปโรงพยาบาลไง อึก~”“แผลแค่นี้จะเสียเวลาไปโรงพยาบาลทำไม”“อึก~”“กล่องปฐมพยาบาลอยู่ตรงนั้นไปหยิบมาสิ” คุณเพลิงชี้ไปตรงที่มีกล่องปฐมพยาบาลวางอยู่ก่อนที่เขาจะนั่งลงบนโซฟาแล้วถอดเสื้อออกเมื่อได้กล่องปฐมพยาบาลมาแล้วฉันก็รีบเอามาวางไว้ตรงหน้าของคุณเพลิงแล้วถาม “จะทำแผลเองเหรอคะ อึก~”“เธอทำแผลเป็นหรือเปล่า ?” เขาดูใจเย็นลงมาก ใจเย็นเหมือนไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย“ท… ทำเป็นค่ะ อึก~”“ทำแผลให้ฉันสิ”“อึก~” ฉันสะอื้นพร้อมกับเปิดกล่องปฐมพยาบาลแล้วหยิบน้ำยาล้างแผลออกมายิ่งมองเห็นแผลที่ไหล่ข้างซ้ายมันก็ยิ่งทำให้ฉันร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม เขาคงทำเหมือนไม่เจ็บเพื่อให้ฉันสบายใจแน่ ๆ“ทำไมไม่ยอมไปโรงพยาบาล อึก~ ไปหาหมอดีกว่านะคะ” ฉันลองพูดโน้มน้าวอีกครั้งเผื่อคุณเพลิงจะยอมเชื่อฟัง“หยุดร้องไห้สักที ฉันแค่โดนยิงไม่ได้ตาย”“อ… เอยกลัว อึก~” มือไม้มันยังไม่หายสั่นเลยตอนนี้“โอ้ย ซี๊ด~” คุณ
ฉันสตันไปเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าเริ่มแดงเถือกราวกับลูกตำลึง“อ… เอยทำแผลต่อให้นะคะ” ฉันนั่งลงเตรียมจะทำแผลต่อแต่ถูกคุณเพลิงรั้งแขนเอาไว้“ไม่อยากทำอย่างอื่นก่อน ?”“อย่าแกล้งเอยสิคะ” ขณะที่พูดฉันไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองคุณเพลิงเพราะมันเขินจนทำตัวไม่ถูก“แล้วถ้าทำแผลเสร็จ… ทำอะไรต่อ ?”“ต… ตามใจคุณเพลิงเลยค่ะ” ฉันตอบไปอย่างเขินอาย“ถ้าอย่างนั้นก็รีบทำแผลให้เสร็จ…” คุณเพลิงเว้นคำพูดก่อนจะก้มลงมากระซิบบอกที่ข้างหู “จะได้รีบทำอย่างอื่นต่อ”ทั้งที่มีอะไรกันมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ทำไมฉันถึงยังรู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจมันแทบจะหลุดออกมาเต้นข้างนอก ในขณะที่ทำแผลสายตาของคุณเพลิงก็เอาแต่มองฉันตลอดเวลา มันยิ่งทำให้เขินไปกันใหญ่“เสร็จแล้วเดี๋ยวเอยเอากล่อง… อ๊ะ~” วงแขนแกร่งตวัดมาโอบเอวฉันแล้วยกขึ้นมาวางบนตักอีกครั้ง คุณเพลิงทำเหมือนตัวฉันนั้นมันเบามาก ๆ“ฉันรอเธอทำแผลให้นานมากเลยนะรู้ไหม”“นานตรงไหนคะ เอยทำแค่แป๊บเดียวเอง” ฉันใช้เวลาทำไม่ถึงชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ จะบอกว่ารอนานได้ยังไงใบหน้าคมคายก้มลงมาใช้ปลายจมูกโด่งชนกับปลายจมูกของฉัน ลมหายใจร้อนผ่าวกระทบมาโดนที่ใบหน้าตอนนี้ฉันไม่สับสนอะไรอีกเพราะรู้ใ
ฉันเอาแต่มองหน้าคุณเพลิง จ้องอย่างไม่รู้สึกกลัวเพราะอยากจะรู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่พอถูกจ้องเขาก็หลบสายตาของฉัน“ฉันชื่อมินนะ ดีใจจังที่ได้เจอคนไทยด้วยกัน” เธอเอ่ยทักทายเหมือนจะเป็นมิตร แต่สายตาคู่นั้นมันไม่ได้อยากเป็นมิตรแบบคำพูดเลย“เธอชื่ออะไรเหรอ ?”ฉันทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงที่ถูกถาม ตอนนี้ยังคงจ้องมองคุณเพลิงอยู่“ให้เธอออกไปข้างนอกก่อนได้ไหมคะ เอยอยากคุยกับคุณเพลิงแค่สองคน”“อย่าทำตัวมีปัญหา” คุณเพลิงกดเสียงต่ำบอก“ได้ไหมคะ” ฉันถามย้ำอีกครั้งอย่างจริงจัง คุณเพลิงพ่นลมหายใจออกมาหนัก ๆ ก่อนจะหันไปบอกผู้หญิงคนนั้น “ออกไปรอข้างนอกก่อน”เมื่อเธอเห็นว่าคุณเพลิงยอมทำตามคำพูดของฉันเธอก็แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา ก่อนจะเดินออกไปจากห้องในตอนนี้ภายในห้องเหลือเพียงแค่ฉันกับคุณเพลิงสองคน“มีอะไรจะพูดก็รีบพูด”ฉันลุกขึ้นจากโซฟาเดินไปหยุดตรงหน้าคุณเพลิง ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากได้ยินจากปากผู้ชายคนนี้“เอยขอถามอะไรสักอย่างได้ไหมคะ” ฉันพยายามข่มน้ำเสียงที่สั่นเครือของตัวเองเอาไว้“อืม”“… ที่ผ่านมาคุณเพลิงได้รู้สึกอะไรกับเอยหรือเปล่าคะ ที่ทำดีด้วย ที่พูดให้หวั่นไหว ปกป้องเอยจากก
ฉันเลือกกลับมาที่โรงแรมแทนเพราะถ้าไปที่ห้องของคุณเพลิงเขาต้องสั่งให้ลูกน้องคอยจับตาดูฉันเอาไว้แน่ ๆ“อ้าวเอยไหนว่าย้ายที่อยู่แล้วไง” มีนถามเมื่อเห็นฉันเดินเข้ามาในโรงแรม“ฉันอยากไปคลับพวกแกไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม”“คลับ นี่แกพูดเล่นหรือเปล่าเอย” มีนถามอย่างไม่เชื่อ เป็นจังหวะเดียวกันที่ชะเอมเดินมาพอดี“เอยแกมาได้ยังไง ?” ชะเอมเดินมาหาฉันพร้อมกับคำถาม“เอมแกช่วยฉันฟังดี ๆ อีกครั้งหน่อย” มีนพูดกับชะเอมจบก็ถามฉันต่อ “เมื่อกี้แกว่าไงนะเอย”“ฉันอยากไปคลับ อยากไปดื่ม” ครั้งนี้ไม่ใช่แค่มีนที่อึ้งชะเอมก็ตาค้างหลังจากได้ยินสิ่งที่ฉันพูด“อารมณ์ไหนของแกเนี่ยเอย”“ฉันอยากไปจริง ๆ พาไปหน่อยนะ”“ก็ดีนะแกตั้งแต่มายังไม่เคยไปคลับเลยสักครั้ง อยากรู้จังว่าคลับที่ต่างประเทศเป็นยังไง” มีนว่า ส่วนชะเอมก็ขยับหน้ามาใกล้ ๆ แล้วกระซิบถาม “ทะเลาะกับคุณเพลิงเหรอ”ฉันเงียบไม่ตอบอะไร หากให้พูดตอนนี้คงยาวแน่ ๆโชคดีที่เพื่อนของฉันยอมพาไป มีนบอกว่าจะชวนจัสมินกับจัสตินไปด้วยแต่พอโทรไปชวนสองคนนั้นก็ไม่ว่างติดธุระกับครอบครัว“ฉันขอยืมชุดแกใส่ได้ไหมมีน” ฉันเชื่อว่ามีนต้องเตรียมชุดมาแน่ ๆ ในกลุ่มมีมีนนี่แหละที่แต่งต
คุณเพลิงจ้องฉันด้วยสายตาที่อำมหิต เขาโกรธมาก ๆ จนเลือดขึ้นหน้า“อย่าใช้คำพูดที่ทำให้ฉันหงุดหงิดแบบนี้อีก” พูดจับมือที่บีบปลายคางฉันก็ค่อย ๆ คลายออก“มาอยู่กับเอยแบบนี้ได้ยังไงคะ ผู้หญิงคนใหม่ของคุณเพลิงไม่น้อยใจเอาเหรอ”“ฉันแค่แวะมาจัดการเธอ”“แล้วก็จะกลับไปอีกเหรอคะ”“อืม”“โกรธที่เอยไปดื่มใช่ไหมคะ”“ฉันไม่ชอบ ทีหลังอย่าทำอีก”“ถ้าไม่อยากให้เอยทำอีกคุณเพลิงก็อยู่กับเอยสิคะ นอนกับเอยทุกคืนได้หรือเปล่า” ฉันอาจจะกำลังงี่เง่ากับเขาอยู่ ไม่รู้จะทำวิธีไหนที่จะรั้งเขาเอาไว้ได้ ไม่อยากให้เขาต้องไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่น“ฉันไม่ใช่ของของเธอ” แค่คำตอบนี้ก็ทำเอารู้สึกจุกเป็นบ้า“…” น้ำตามันคลอเบ้าก่อนจะค่อย ๆ ไหลอาบแก้ม เจ็บปวดกับคำพูดนี้จัง“หวังว่าเธอจะไม่ทำอะไรที่ฉันไม่ชอบอีก” พูดจบคุณเพลิงก็เดินไปที่ประตูห้องไม่รู้ว่าอะไรมันสั่ง ร่างกายของฉันทำตามความรู้สึก รู้ตัวอีกทีตอนนี้ฉันก็กำลังสวมกอดเขาจากทางด้านหลัง“อย่าไปเลยนะคะ นอนกับเอยได้ไหม” ฉันร้องขออ้อนวอนอย่างไร้ค่า ถ้าเขาไปคงนอนไม่หลับแน่ ๆ“ปล่อย” คุณเพลิงบอกแล้วพยายามแกะมือที่ฉันสวมกอดตัวเองออก แต่ฉันไม่ยอม“เอย อึก~ เอยไม่อยากนอนคนเดียว น
วันต่อมาหลังจากที่จัสตินชวนไปแคมป์ปิ้งชะเอมกับมีนก็รีบลาหยุดกับโรงแรมล่วงหน้าเพราะกลัวจะไม่ได้หยุด ส่วนฉันไม่ต้องลาหยุดกับใครทั้งนั้นวันนี้หลังจากกลับมาจากมหาวิทยาลัยฉันกับเพื่อนก็รีบมาเตรียมสถานที่จัดงานเลี้ยงที่โรงแรม งานคงจะใหญ่กว่ารอบที่แล้วเพราะมีพนักงานโรงแรมหลายคนมาช่วยจัดเตรียม“เอยเขาจะมีงานอะไรแกรู้หรือเปล่า” มีนถามฉัน“ไม่รู้”“เอ้า! แกเป็นคนสนิทคุณเพลิงนะจะไม่รู้ได้ยังไงเอย”“แล้วฉันต้องรู้ทุกเรื่องเลยหรือไง แกนี่” ฉันทำเป็นหงุดหงิดกลบเกลื่อนเพราะน้อยใจที่ตัวเองไม่รู้ หากเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงจะรู้อย่างที่มีนว่า“รีบ ๆ ทำเลยแกสองคนห่วงแต่คุยกัน อีกชั่วโมงกว่า ๆ งานจะเริ่มแล้วนะ” ชะเอมเดินมาบอกฉันกับมีน“ค่า ท่านประธาน” ฉันกับมีนพูดพร้อมกันทำให้ชะเอมรีบยกนิ้วขึ้นมาแตะปากเป็นสัญญาณบอกให้หยุดพูด“พูดดังเกินไปแล้วนะ ใครแถวนี้มาได้ยินจะเอาไปนินทาว่าฉันมักใหญ่ใฝ่สูง”“ฮัลโหลชะเอม เราคุยภาษาไทยกันนะแกลืมไปหรือเปล่า ใครจะฟังรู้เรื่อง”“เออแฮะ! ฉันลืมไปสนิทเลย”“รีบ ๆ ทำสิ ไหนบอกห้ามคุยไง แกชวนคนอื่นคุยนะชะเอม” ฉันดุเพื่อน“นี่สิประธานบริษัทตัวจริง”ฉันได้แต่ส่ายหน้าไปมาให้เพื่อนก่
เวลาล่วงเลยผ่านไป ตอนนี้ฉันคลอดลูกชายที่น่ารักน่าชังออกมาแล้ว พี่เพลิงตั้งชื่อให้ลูกชายของเราว่า ดีแลนด์ ซึ่งชื่อก็ไม่ได้คล้องจองกับพ่อแม่แต่อย่างใด เป็นความชอบของคุณพ่อล้วน ๆ ตอนนี้น้องดีแลนด์อายุได้สองเดือนแล้ว ค่อนข้างเลี้ยงง่ายไม่งอแงเลยห้าเดือนแล้วที่ฉันไม่ได้กลับไทยแล้วคงต้องรอลูกโตกว่านี้ถึงจะพาขึ้นเครื่องบินได้ โชคดีหน่อยที่ได้คุยกับยายผ่านการวิดีโอคอลแบบเห็นหน้า ไม่อย่างนั้นคงต้องคิดถึงมากแน่ ๆวันนี้เพื่อนของฉันนัดเอาไว้ว่าจะมาเล่นกับหลาน เดี๋ยวคงจะมากันแล้ว มาอยู่ที่นี่ไม่เหงาเลยเพราะมีเพื่อน ๆ คอยแวะเวียนมาเล่นด้วยที่บ้านตอนนี้ฉันกับพี่เพลิงแต่งงานกันแล้ว เราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย“ดีแลนด์หลับไปแล้วเหรอ” พี่เพลิงเพิ่งกลับมาจากบริษัท ตั้งแต่คลอดดีแลนด์ออกมาเขาก็กลับบ้านเร็วทุกวัน“เพิ่งหลับไปเมื่อกี้เองค่ะ พี่เพลิงเหนื่อยไหมคะ” นี่คือคำถามที่ฉันมักจะถามพี่เพลิงทุกวันหลังจากเขากลับมาจากบริษัท“แค่เห็นหน้าภรรยาสุดสวยฉันก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” ไม่พูดเปล่าพี่เพลิงยังใช้มือหยิกแก้มฉันเบา ๆ ด้วย“นั่งลงสิคะเดี๋ยวเอยนวดให้”“เปลี่ยนจากนวดเป็นนาบแทนได้ไหม” พี่เพลิงถามเส
เพียงไม่ถึงห้านาทีทั้งครอบครัวของพี่เพลิงก็รู้ข่าวเรื่องที่ฉันท้อง เพราะเขาโทรไปบอก ทุกคนต่างดีใจกันยกใหญ่“แม่กับพ่อบอกว่าจะให้เราแต่งงานกันให้เร็วที่สุด”“เราเพิ่งหมั้นกันเองนะคะ ลูกคลอดแล้วค่อยแต่งก็ได้”“ไม่ได้ ต้องรีบแต่งถูกแล้ว”พี่เพลิงที่นั่งอยู่บนเตียงดึงฉันที่ยืนอยู่มาสวมกอด เขาใช้ฝ่ามือหนาลูบที่ท้องเบา ๆ“เธอท้องแล้วต้องย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศกับฉันนะรู้ไหม”“เอยยังอยากอยู่กับยายอยู่เลยนะคะ”“ถ้าอยู่ที่นี่ฉันจะดูแลเธอยังไง”“ให้เอยอยู่ที่นี่จนคลอด…”“ฉันไม่มีทางปล่อยให้เมียที่ท้องอยู่ไกลขนาดนี้แน่”“ไม่เอาแบบนี้สิคะพี่เพลิง”“เธอนั่นแหละอย่าดื้อ ตอนนี้กำลังจะเป็นแม่คนแล้วยังดื้ออยู่ได้”ฉันทำหน้าบึ้งเมื่อถูกดุ ก่อนจะคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตอบ นั่นหมายความว่าฉันยอมไปอยู่ต่างประเทศกับพี่เพลิง“แต่ต้องสัญญานะคะว่าจะพาเอยกลับมาหายายที่ไทยทุกเดือน”“สัญญาครับ ไม่ต้องห่วงฉันจะจ้างแม่บ้านเพิ่มให้คอยดูแลและจะจ้างพยาบาลพิเศษมาคอยดูแลสุขภาพยายของเธอ”“แบบนี้ทำให้เอยโล่งใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ^_^”“ไปห้างกัน” พี่เพลิงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหลังจากพูดจบและตอนนี้เราก็อยู่กันที่ห้างสร
วันต่อมาตั้งใจว่าเมื่อคืนจะเผด็จศึกเด็กดื้ออย่างพี่เพลิงสักหน่อย แต่ว่าฉันนั้นอ้วกก็เลยได้นอนพักไปโดยไม่ทำอะไรเช้านี้ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะถูกรบกวนโดยฝ่ามือใหญ่ที่เอาแต่ลูบคลำไปทั่วทั้งตัว“เช้าแล้วนะ” เสียงแหบพร่ากระซิบบอกข้างหูฉันเบา ๆ“อื้อ พี่เพลิงอย่าเพิ่งกวนเอยสิคะ” ฉันตอบไปอย่างรำคาญ การถูกรบกวนเวลานอนเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดที่สุดเลยก็ว่าได้“วันนี้เธอมีเรียนนะ”“เพราะฉะนั้นพี่เพลิงก็ต้องปล่อยให้เอยนอนไงคะ” ฉันเถียงกลับโดยที่ยังไม่ได้ลืมตาขึ้น“ปกติเธอไม่ใช่คนขี้เซานะ วันนี้ทำไมถึงปลุกยากจัง”“เอยขอนอนต่ออีกหน่อยนะคะ”หลังจากพูดจบร่างกายที่อ่อนเพลียของฉันก็เตรียมพร้อมจะจำศีล แต่ทว่า!! กางเกงชุดนอนตัวบางดันถูกถอดออกไปจากเรียวขา“พี่เพลิง” ครั้งนี้ฉันลืมตาขึ้นมองพี่เพลิงตาดุ ใจคอเขาจะกวนแบบนี้ไปถึงไหนกัน“นอนไปสิ ฉันไม่ได้บังคับให้เธอตื่น” คนพูดหน้าทะเล้น ไม่พอแถมยังถอดกางเกงของตัวเองออกอีกด้วย“อื้อออไม่เอา เอยอยากนอน” ฉันเอามือปิดตรงนั้นของตัวเองเอาไว้ไม่ให้พี่เพลิงเอาแก่นกายสอดใส่เข้ามาได้“ถ้าอยากนอนก็นอนอยู่นิ่ง ๆ จะบิดไปมาทำไม”“พี่เพลิงเจ้าเล่ห์ที่สุดเลย” ฉันทำหน้าบึ้ง
ฉันยิ้มหวานก่อนจะแย่งแก้วไวน์จากมือพี่เพลิงมาดื่มทั้งที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธ แต่เพราะอยากมีความกล้าให้มากกว่านี้จึงต้องดื่มมัน“ขมจังค่ะ” ฉันยกมือขึ้นมาเช็ดปากหลังจากกระดกไวน์ไปหมดแก้ว“เขาให้จิบ ๆ ไม่ใช่ยกหมดแก้ว” พี่เพลิงบอกอย่างเอ็นดูในความไม่รู้ของฉัน“เอยไม่เคยดื่มนี่คะ”“แล้วจะดื่มทำไม”“ก็… ถ้าเมาเอยคงจะทำให้พี่เพลิงพอใจ” พูดจบฉันก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ก่อนจะพูดต่อ “เอยหมายถึงเรื่องบนเตียง”คนที่ได้ฟังประโยคนั้นเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะหยิบไวน์มาเทใส่แก้วแล้วดื่มฝ่ามือหนายกขึ้นมาประคองใบหน้าของฉันเอาไว้ก่อนจะกดจูบลงมาบนริมฝีปาก ไวน์ที่พี่เพลิงดื่มไปเมื่อครู่ถูกป้อนมาใส่ในปากของฉัน ก่อนที่จะผละริมฝีปากออก“อยากดื่มอีกไหม ?” พี่เพลิงถามเสียงหวาน“แค่นี้เอยก็เริ่มมึนหัวแล้วค่ะ”“พร้อมจัดการเด็กดื้อหรือยัง ?”“พ… พร้อมแล้วค่ะ”ฉันตอบอย่างเขินอาย สิ้นสุดคำตอบพี่เพลิงก็อุ้มร่างของฉันขึ้นแล้วเดินเข้ามาในห้องวางลงบนเตียงอย่างเบามือ จากนั้นก็คร่อมบนตัวของฉันเอาไว้“เอยต้องอยู่ด้านบนสิคะ” พูดจบฉันก็พลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบนแทน“ฉันชอบที่เธอเร่าร้อนแบบนี้” พี่เพลิงบอกเสียงกระเส่า แววตาของเขามัน
หลังจากคุยเรื่องหมั้นเรียบร้อยแล้ววันนี้ทางครอบครัวพี่เพลิงได้พาครอบครัวฉันออกมากินข้าวนอกบ้าน ปกติยายไม่ชอบออกนอกบ้านเท่าไหร่แต่ครั้งนี้ยายยอมออกมากินข้าวด้วย“คุณยายครับ ผมซื้อบ้านเอาไว้หลังหนึ่งอยากจะให้ยายไปอยู่ที่นั่น ส่วนบ้านหลังนี้ผมจะลื้อแล้วสร้างหลังใหม่ให้ ยายโอเคหรือเปล่าครับ”“ถ้าพ่อหนุ่มคิดว่าดียายเองก็ไม่ขัด เพราะยายก็ไม่รู้จะอยู่ได้กี่ปี”“อย่าคิดแบบนั้นสิจ๊ะยาย ยายต้องอยู่รอดูลูกของหนูก่อนนะ”“ถ้างั้นก็รีบ ๆ มีซะสิ รีบ ๆ ปั๊มมันวันนี้เลย” คำตอบที่เร่งรีบของยายทำเอาฉันเบิกตากว้างเพราะตกใจ“ย… ยาย หนูยังเรียนไม่จบเลยนะคะ”“จริง ๆ รีบ ๆ มีหลานก็ดีนะหนูเอย พ่อกับแม่ก็อยากจะอุ้มหลายเร็ว ๆ” แม่ของพี่เพลิงพูดเสริมขึ้น ทุกคนเหมือนจะยินดีไม่ติดขัดอะไร คงมีแค่ฉันที่ค้าน“งั้นผมจะรีบปั๊มให้นะครับ” แบบนี้ก็เข้าทางพี่เพลิงเลยนะสิ เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยเชียว“เอยว่าเรียนจบแล้วค่อยคิดเรื่องมีลูกดีกว่าค่ะ ^_^”“ถ้าหนูเอยต้องการแบบนั้นเราก็ไม่ขัดจ้ะ แต่เรียนจบแล้วต้องรีบมีเลยนะ”แม่ของพี่เพลิงบอกด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้มีคนเดียวที่หน้าหงิกงอก็คือพี่เพลิงวันต่อมาวันนี้ทางบ้านฉันต้องย้ายออกไ
วันเวลาผ่านมาจนถึงวันที่พี่เพลิงต้องบินกลับต่างประเทศ#สนามบินพอต้องห่างกันใจฉันมันก็หวิว ๆ ถึงแม้จะรู้ดีว่าอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าพี่เพลิงก็จะกลับมา เขาจะมาขอหมั้นฉันอย่างเป็นทางการ“ไปถึงที่นู้นแล้วรีบโทรมาหาเอยนะคะ” “ไม่ชอบเลยที่ต้องห่างกันแบบนี้ แถมเธอยังชอบทำหน้าเศร้า” พี่เพลิงยกมือขึ้นมาลูบศีรษะฉันเบา ๆ“งั้นเอยจะยิ้มนะคะ” พูดจบฉันก็ฉีกยิ้มกว้าง แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูจะฝืน ๆ หน่อย ต้องห่างจากคนรักคงทำใจยิ้มอย่างดีใจไม่ได้หรอก“ฉันจะรีบเคลียร์งานแล้วกลับมาหาเธอ”“ต้องบินมาพร้อมคุณพ่อกับคุณแม่สิคะ ห้ามบินมาก่อนนะอีกแค่อาทิตย์เดียวเอง”“เวลาอาทิตย์เดียวสำหรับฉันมันนานมากจริง ๆ” พี่เพลิงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะดึงฉันมาสวมกอดทุกการกระทำของเราทั้งคู่ตกอยู่ในสายตาของคุณธนดล ท่านมองเราทั้งคู่แล้วก็ยิ้มไม่ได้พูดแทรกปล่อยให้เราสองคนล่ำลากันอย่างเต็มที่หลังจากส่งพี่เพลิงขึ้นเครื่องแล้วฉันก็ต้องนั่งรถไปเรียนต่อ พยายามบอกกับตัวเองให้อดทนเข้าไว้อาทิตย์หน้าก็จะได้เจอกันแล้ว#ตอนเย็น“แฟนพี่เอยหนีกลับแล้วเหรอครับ ไม่มีคนคอยยืนเฝ้าที่บ้านเลย หรือว่าพี่เอยถูกทิ้ง” โอมน้องชายของฉันไม่ค่อยรู้เรื่องอ
ฉันได้แต่ยืนเงียบไม่กล้าสบตาพ่อของพี่เพลิง ท่านคงไม่อยากได้ฉันเป็นลูกสะใภ้แน่ ๆ“ยายของเธออยู่ข้างในบ้านใช่ไหม”“ช… ใช่ค่ะ”หลังจากคำตอบคุณธนดลก็เดินปรี่เข้าไปข้างในบ้าน ตอนนี้หน้าฉันเสียแล้ว ถ้าท่านพูดอะไรไม่ดีกับยายต้องเสียความรู้สึกมากแน่ ๆ“เอยว่าเราคงไปกันไม่รอดแล้วค่ะ” ฉันหันมาบอกพี่เพลิงที่กำลังยืนนิ่งอยู่“ทำไมเธอถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมา”“พ่อของพี่เพลิงทำเหมือนไม่ชอบเอยแบบนั้น เราจะคบกันต่อได้ยังไง”“ฉันว่าเธอคิกมากไปนะเอิงเอย” ดูพี่เพลิงบอกสิ มาว่าฉันคิดมากได้ยังไงทั้งที่เห็น ๆ กันอยู่“คิดมากเหรอคะ ฟังจากน้ำเสียงพี่เพลิงก็น่าจะรู้” ฉันบอกเสียงสั่นก่อนหน้านี้ที่ทำก็แค่อยากดัดนิสัยไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันจบจริง ๆ พอมาเจอแบบนี้ทำให้ใจหวิว เหมือนเราต้องเลิกกันในวันนี้อย่างไงอย่างงั้น“มานี่ ไปฟังพ่อพูด” พี่อพลิงจับมือฉันจะพาเดินเข้าไปในบ้าน แต่ฉันสะบัดมือออก ถ้าเข้าไปฟังแล้วได้ยินอะไรอย่างที่คิดคงรับไม่ได้แน่ ๆ“ไม่ค่ะ เอยไม่ไป”“เธอนี่มันดื้อได้ใครนะ” พี่เพลิงขมวดคิ้วเข้มใส่ก่อนที่เขาจะคว้ามาจับมือฉันอีกครั้ง แล้วพาเดินเข้ามาในบ้านโดยที่ฉันร้องค้านอยู่“ไม่ค่ะ เอยบอกแล้วไงว่าไม
ฉันผลักตัวพี่เพลิงออกทำให้ตรงนั้นของเราหลุดออกจากกันทันที“ผลักทำไม” คนที่ถูกดันออกถามราวกับตัวเองไม่มีความผิด“เอยจะกลับแล้วค่ะ กรุณาใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วย” ฉันบอกเสียงเรียบก่อนจะชิงลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าก่อนพี่เพลิงนั่งทำหน้ามุ่ยสำนึกผิด เขาไม่พูดอะไรได้แต่หยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่เงียบ ๆ#บ้านตลอดทางเราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยจนกระทั่งถึงบ้าน ฉันหันมามองพี่เพลิงแล้วทำหน้าไม่พอใจใส่“คืนนี้เอยขอนอนคนเดียวนะคะ”“ล… แล้วฉันล่ะ เธอจะให้ฉันนอนที่ไหน” ใบหน้าคมคายเริ่มซีดเผือดเมื่อฉันบอกว่าจะนอนคนเดียว“พี่เพลิงหาที่นอนได้อยู่แล้วค่ะ แต่ถ้ามันหาไม่ได้จริง ๆ ก็นอนในรถไปเลย”“ขอโทษแล้วทำไมถึงยังโกรธอยู่อีก”“ขอโทษแล้วเอยต้องหายโกรธด้วยเหรอคะ”พูดจบฉันก็เปิดประตูลงจากรถทิ้งให้พี่เพลิงอยู่แบบนั้น เขาก็ไม่กล้าตามมานะ คงรู้ว่าฉันเอาจริงและตัวเองก็ผิดจริง ๆเข้ามาในห้องฉันก็ยังไม่นอน การทะเลาะกันมันทำให้ยากที่จะนอนหลับ ฉันคอยแอบย่องเดินมาส่องดูว่ารถของพี่เพลิงยังจอดอยู่หรือเปล่า จนแล้วจนเล่ารถก็ยังจอดอยู่ หมายความว่าเขานอนในรถจริง ๆ #วันต่อมาฉันไม่เจอพี่เพลิงรถก็ไม่อยู่ แต่เพราะต้องรีบไปเรียนบวกกั
ทั้งที่มีอะไรกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแต่ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าครั้งนี้มันต่างออกไป สีหน้าท่าทางที่หน้ากลัวของพี่เพลิงทำให้ฉันสั่นไปทั้งตัว“เรากลับบ้านกันดีกว่านะคะ” ฉันพยายามขอร้อง“บอกแล้วไงว่าเธอต้องโดนอบรมสั่งสอน”“เอยไม่ผิดอะไรสักหน่อย”“คนผิดมักไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง” พี่เพลิงตอบเสียงเย็น ก่อนจะพูดต่อ “อ่า เจอแล้ว”สิ้นสุดคำพูดเสียงไฟเลี้ยวรถก็ดังขึ้น ฉันมองไปตรงหน้าคือม่านรูด พอมีรถขับเข้าก็จะมีคนคอยส่องไฟเรียกให้ตามไป รถของพี่เพลิงขับมาจอดที่ในม่านรูด“พี่เพลิงเอยไม่ชอบที่แบบนี้”“ลงรถ” แทนที่จะฟังกันแต่เขากลับกระชากเสียงใส่ฉันพี่เพลิงลงไปจากรถก่อน ตอนนี้พนักงานกำลังเปิดห้องให้ ส่วนฉันก็ยังนั่งอยู่ในรถไม่ยอมลงจนกระทั่งพนักงานม่านรูดคนนั้นเดินหายไป พี่เพลิงเปิดประตูทางฝั่งที่ฉันนั่งแล้วดึงให้ลงมาจากรถเขาดูจะโกรธเอามาก ๆ“อ… เอยเจ็บนะคะ”“เจ็บก็ดีจะได้จำ” เขาบอกเสียงแข็งแล้วลากฉันเข้ามาในห้อง ก่อนจะเดินไปล็อกประตูให้เรียบร้อย“เป็นบ้าไปแล้วเหรอคะ” ฉันถามเสียงสั่น“เพราะเธอที่ทำให้ฉันเป็นบ้า”“พี่เพลิงพาเอยกลับบ้านนะคะ เรากลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่านะ” ฉันขอร้องอีกครั้งแต่อีกค