“อื้อ~” ตอนนี้ฉันกำลังจะขาดอากาศหายใจเพราะถูกจูบหนัก ๆ เล่นงาน“อื้อ!!” ฉันร้องออกมาเสียงดังเมื่อถูกเขี้ยวฟันงับเข้าที่ริมฝีปากแรง ๆ มันเจ็บจนน้ำตาคลอคุณเพลิงถอนจูบออก เขาค่อย ๆ หยัดตัวขึ้นพร้อมกับปล่อยมือของฉันให้เป็นอิสระ จู่ ๆ บรรยากาศในห้องก็ปกคลุมด้วยความเงียบ“พอใจแล้วใช่ไหมคะที่เห็นเอยเจ็บ” ตอนนี้มันทั้งน้อยใจ ทั้งเสียใจ ทั้งปวดหัว“เอยไปซื้อของไม่ได้นัดเจอกับเขาจริง ๆ ไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงพยายามเข้าหาเอย เอยพยายามเลี่ยงแล้วแต่เขา…”“เพราะมันคิดว่าเธอคือจุดอ่อนของฉัน” น้ำเสียงเรียบ ๆ ของคุณเพลิงพูดแทรกขึ้น ทำให้ฉันเงียบไปครู่ใหญ่เพราะไม่เข้าใจฉันแค่อยากจะพูดย้ำเพื่อให้ผู้ชายตรงหน้าเชื่อว่าฉันไม่ได้นัดเจอกับใคร“จุดอ่อนงั้นเหรอคะ” ฉันทวนคำพูดอีกครั้งไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา ฉันมองไปที่ใบหน้าคมคายตอนนี้คุณเพลิงกำลังขบกามแน่น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความแค้น ฉันสัมผัสได้แบบนั้นจริง ๆ“… เอยไม่เข้าใจ คุณเพลิงช่วยอธิบายได้ไหมคะ”ฉันคงไม่มีสิทธิ์รู้อะไรเลยจริง ๆ ขนาดถามไปยังไม่ได้คำตอบ อุตส่าห์ใจเย็นแล้วแท้ ๆ“ถอดเสื้อผ้าออกฉันจะเช็ดตัวให้” จู่ ๆ คุณเพลิงก็พูดเปลี่ยนเรื่อง“ไม่
ริมฝีปากเริ่มชาหนึบเมื่อถูกจูบเป็นเวลานาน คุณเพลิงสอดลิ้นเข้ามาตวัดลิ้นเกี่ยวพันกับลิ้นของฉัน พยายามจะไม่เปิดปากรับแต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้“อื้อ~”ริมฝีปากหนาถอนจูบออกพร้อมกับสายตาที่จ้องมองอย่างอ้อยอิ่ง“เอยเวียนหัว” ฉันบอกเสียงแหบพร่าก่อนจะใช้มือดันแผงอกแกร่งไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่น้อยนิดคุณเพลิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะลุกขึ้นไป คิดว่าจะหยุดแค่นี้แต่เปล่าเลยเขาแค่ลุกขึ้นไปถอดเสื้อผ้า เมื่อร่างกายเปลือยเปล่าก็คลานเข่าขึ้นมาบนเตียงค่อมร่างฉันไว้แบบเดิม ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ใบหน้าของฉันเบา ๆ“คุณคืนอิสระให้เอยแล้วจะทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ” ฉันพยายามจะลุกขึ้นแต่เปล่าประโยชน์ คุณเพลิงไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากมองดูนิ่ง ๆ“ฉันห้ามตัวเองไม่ได้ ตอนนี้ฉันต้องการเธอ”“แต่เอย…” ยังพูดไม่จบใบหน้าคมคายก็ก้มลงมาใกล้ ๆ นิ้วชี้แตะลงมาบนริมฝีปากของฉันเพื่อบอกว่าห้ามพูด “อย่าปฏิเสธฉัน”“มันไม่ควรเกิดขึ้นอีก อื้อ~” เป็นอีกครั้งที่ฉันถูกคุณเพลิงจูบ เขาค่อย ๆ จูบอย่างนุ่มนวลจนเริ่มเคลิ้มริมฝีปากหนาถอนจูบออกก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาที่ซอกคอ “ฉันจะดูดความร้อนออกให้”จบคำพูดนั้นริมฝีปากหนาก็กดจูบลงมาบนซอกคอหลายต่อหลายจุด แค่
ไหนว่าคืนอิสระให้แล้วไง ทำไมตอนนี้ฉันถึงยังถูกออกคำสั่งแถมยังต้องทำตามอย่างไม่มีทางเลือกอีกต่างหากกริ้ง~ เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้น จึงรีบหยิบมาดูเป็นเบอร์ของชะเอมที่โทรมา“ว่าไงเอม”(แกอยู่ห้องหรือเปล่าฉันไปเคาะเรียกตั้งนานไม่ยอมมาเปิดประตู วันนี้ไม่มาเรียนเหรอสายแล้วนะเอย)“ฉันป่วยน่ะ ฝากลาอาจารย์ด้วยนะแก”(ป่วยเหรอ ฉันยังเห็นแกดี ๆ อยู่เลยทำไมถึงป่วยได้)“คุยกับใคร” ฉันสะดุ้งโหย่งกับเสียงท้วงของคุณเพลิง ไม่รู้ว่าเขาเดินเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้ฉันกำลังถูกสายตาดุร้ายจ้องเขม็ง(นั่นเสียงใครหรอเอย ยะ อย่าบอกนะว่าแกอยู่กับคุณเพลิง) ชะเอมถามด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ เธอต้องคิดไปถึงไหนต่อไหนแน่ ๆ ฉันจะแก้ตัวเรื่องนี้ยังไงดีถึงชะเอมจะรู้ว่าฉันชอบคุณเพลิง แต่เธอไม่รู้ว่าฉันกับเขามีอะไรกัน“ฉันถามว่าคุยกับใคร ?”“คุยกับชะเอมค่ะ เธอโทรมาถามว่าทำไมไม่ไปเรียน”คุณเพลิงไม่ได้เชื่อสิ่งที่ฉันพูด เขาเดินมากระชากโทรศัพท์ไปจากมือของฉันเพื่อเช็กดูให้แน่ใจ การกระทำแบบนี้ทำให้รู้สึกงุนงงไม่น้อย เพราะไม่เข้าใจว่าเขาเป็นอะไร“คิดว่าเอยคุยกับใครเหรอคะ” ฉันถาม ตอนนี้คุณเพลิงตัดสายชะเอมทิ้งไปแล้ว“ได้
คุณเพลิงขมวดคิ้วก่อนจะเดินมาที่เตียงแล้วถามเสียงเย็น “อะไรที่ทำให้เธอคิดว่าเป็นผู้หญิง ?”“คิดเป็นอื่นได้เหรอคะ” มันเกิดความน้อยใจที่เขาหาผู้หญิงคนอื่นมา ถึงจะรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์เลยก็ตามใบหน้าคมคายก้มลงมาใกล้ ๆ ลมหายใจร้อนผ่าวกระทบลงมาบนใบหน้าของฉันก่อนที่คุณเพลิงจะถาม “หึงฉัน ?”ฉันสตันไปครู่หนึ่งเพราะไม่คิดว่าอาการของตัวเองจะออกมากขนาดนี้ “ป… เปล่าค่ะ”“ถ้าไม่หึงแล้วจะอยากรู้ไปทำไม”“เอย เอยไม่อยากรู้แล้วค่ะ” ฉันเอนตัวหนีเล็กน้อยเพราะตอนนี้ใบหน้าของเรามันใกล้กันแค่คืบส่งผลให้หัวใจดวงน้อยเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ“ฉันจะออกไปข้างนอกเย็น ๆ คงจะกลับ”“ไปไหนเหรอคะ คุณเพลิงบอกว่าวันนี้ไม่ได้ไปไหน…” ฉันหยุดพูดแล้วเม้มปากแน่นเมื่อเผลอตัวถามจุ้นจ้านคนที่ถูกถามไม่ตอบอะไร คุณเพลิงเดินออกไปจากห้องทิ้งฉันไว้กับความคิดฟุ้งซ่านผ่านไปนานนับชั่วโมง ถึงแม้จะปวดหัวแค่ไหนฉันก็ไม่สามารถข่มตานอนลงได้เพราะสมองมันเอาแต่คิด คิดว่าคุณเพลิงออกไปไหน เขาไปหาของเล่นชิ้นใหม่หรือเปล่าฉันพยายามควบคุมความรู้สึกของตัวเองคิดถึงคำที่คุณเพลิงเคยพูดไว้ให้มาก ๆ ตอนนี้ฉันมีอิสระและไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแล้ว เขาจะมีผ
ตึกตัก ตึกตัก~ หัวใจดวงน้อยมันเต้นแรงเมื่อได้ฟังคำพูดของคุณเพลิง ฉันพยายามแล้วพยายามห้ามความรู้สึกแต่ไม่เคยทำสำเร็จ“ไอ้ไฟมันพูดถูก” ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นมาสัมผัสที่ใบหน้าของฉันเบา ๆ จากนั้นคุณเพลิงก็พูดต่อ “… เธอคือจุดอ่อนของฉัน”“ทำไมเอยถึงเป็นจุดอ่อน อื้อ~”ยังพูดไม่จบคุณเพลิงก็กดริมฝีปากลงมาบดขยี้ริมฝีปากของฉัน เขาขยี้จูบไม่หนักหน่วงมากแต่ก็ไม่ได้นุ่มนวล ผ่านไปครู่หนึ่งถึงยอมถอนริมฝีปากออก“อยากรู้ไหมว่าทำไม ?”“… ค่ะ”คุณเพลิงมองหน้าฉันครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะหยัดตัวยืนเต็มความสูง วงแขนแกร่งโอบตัวของฉันเข้ามาแนบในอ้อมกอด สร้างความงุนงงให้กับฉันไม่น้อยคุณเพลิงไม่ได้พูดอะไรเลย ตอนนี้ฉันได้ยินแค่เสียงหัวใจของเขาที่มันเต้นแรงไม่แพ้เสียงหัวใจของฉัน“ท… ทำไมเสียงหัวใจของคุณเพลิงถึงได้เต้นแรงขนาดนี้ล่ะคะ”“ลองหาคำตอบเองสิว่าทำไม” พูดจบเขาก็ผละกอดออก แล้วเดินกลับไปนั่งกินข้าวต่อทิ้งความงุนงงไว้ให้ฉันคิดฉันค่อย ๆ หย่อนตัวลงจากโต๊ะอาหารด้วยสีหน้าที่ยังคิดทบทวนกับคำพูดของคุณเพลิงอยู่“ถ้าอิ่มแล้วก็ไปอาบน้ำ หายป่วยแล้วเธอคงอาบน้ำได้ฉันไม่ชอบนอนใกล้ ๆ คนตัวเหม็น”ฉันเบิกตัวกว้างเหมือนถูกหลอกด่ายังไ
หน้าฉันมันแดงเถือกเพราะว่าอายที่เข้าใจผิดแถมยังแสดงท่าทีหึงหวงออกไปให้คุณเพลิงเห็นมากขนาดนั้น“ฉันคงไม่บ้ากามถึงขั้นมีอะไรกับม้า” คุณเพลิงกระตุกยิ้มมุมปากแล้วขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ “แต่ถ้ากับเธอ…”“ห… ห้องน้ำอยู่ตรงไหนคะเอยอยากไปเข้าห้องน้ำ” ฉันรีบพูดขัดขึ้น อายเป็นบ้าเลยตอนนี้“ตรงนั้น เดี๋ยวฉันพาไป”“ไม่เป็นไรค่ะเอยไปเองได้” ฉันรีบเดินหนีออกมาให้เร็วที่สุดคุณเพลิงต้องรู้แน่ ๆ ว่าฉันคิดอะไร ใครบ้างจะไม่คิดเขาเล่นพูดแบบนั้นใครจะไม่คิดว่าเป็นผู้หญิง ในหัวของฉันคิดได้แค่นี้จริง ๆห้องน้ำอยู่ไม่ไกลมาก ที่นี่มีบ้านพักต่างอากาศตั้งอยู่ บ้านไม้สวยมาก ๆ แล้วก็มีคนงานไม่กี่คนหลังจากมาหลบความอับอายในห้องน้ำนานเกือบครึ่งชั่วโมงฉันก็ทำใจแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ พอมองไปที่เดิมที่เดินมาก็ไม่เห็นคุณเพลิงอยู่แล้ว แต่เห็นคนกำลังขี่ม้าอยู่ พอเดินเข้ามาใกล้ ๆ ถึงได้รู้ว่านั่นคือคุณเพลิงฉันมองภาพที่คุณเพลิงกำลังขี่ม้าอย่างหลงไหล เขาดูมีเสน่ห์มาก ๆ จนไม่อาจละสายตาได้ พอคุณเพลิงขี่ม้าอ้อมมาใกล้ ๆ ฉันก็รีบเบนสายตามองทางอื่น“อยากลองขี่ดูไหม ?” คุณเพลิงขี่ม้ามาหยุดตรงหน้าฉันแล้วถาม“เอยขี่ม้าไม่เป็นค่ะ” ฉ
รู้ตัวอีกทีตอนนี้ร่างกายของฉันและคุณเพลิงก็ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าอยู่แล้ว“จะไม่มีคนมาเห็นใช่ไหมคะ” ฉันถามอย่างระแวง เพราะนี่มันกลางบ้านไม่ใช่ในห้องนอน“ไม่มีใครกล้าเข้ามาในบ้านหลังจากนี้ถ้าฉันไม่อนุญาต” ถึงคำตอบจะทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้างแต่ก็ไม่สามารถทำให้หายระแวงได้ตอนนี้ฉันนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีคุณเพลิงนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า เขาใช้นิ้วใหญ่มาแตะสัมผัสจุดอ่อนไหวตรงกลางหว่างขาของฉันทำให้สะท้านไปทั้งตัว“อ๊า~” ฉันครางออกมาเบา ๆ เมื่อถูกนิ้วใหญ่ลากขึ้นลงแหวกกลีบกุหลาบช้า ๆ“อยากรู้ไหมว่าฉันต้องการอะไรมากกว่าร่างกายของเธอ”“อ๊า ยะ อยากรู้ค่ะ”คุณเพลิงยิ้มมุมปากก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วก้มลงมาจูบลงบนหน้าอกข้างซ้ายของฉัน ถามแล้วทำไมถึงไม่บอกมาหลอกให้ฉันอยากรู้งั้นเหรอ“ซี๊ด~” ฉันร้องซี๊ดแล้วกัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ เมื่อนิ้วใหญ่ดันเข้ามาในร่องแคบ“เวลาแบบนี้เธอเซ็กซี่มากขนาดไหนรู้ไหม หื้ม~”“อย่าพูดแกล้งเอยสิคะ”“เธอทำได้ยังไง ทำให้คนที่ไม่มีหัวใจอย่างฉันได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้…”“อ๊า ความรู้สึกแบบ นะ ไหนคะ” ฉันแทบไม่มีสติกับคำพูดของคุณเพลิงเพราะนิ้วใหญ่ที่ขยับเข้าออกร่องแคบเป็นจังหวะ“อื้อ~”ริมฝีปากหน
คุณไฟขมวดคิ้วมองพี่ชายก่อนจะเดินมาหาฉันที่ยืนเหวออยู่“ไปยั่วโมโหอะไรมันเข้าล่ะ”“เอยยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ” ฉันรีบปฏิเสธ“รู้ไหมว่าเธอไม่ควรยุ่งกับมัน ?”“เอยรู้ว่ามันไม่ควร แล้วจะให้หนียังไงคะในเมื่อคุณเพลิงเป็นคนบังคับให้อยู่”พอฉันพูดแบบนั้นคุณไฟก็เงียบไป ฉันจึงเดินหนีมานั่งข้าง ๆ แอลลี่แทน“เป็นไงบ้าง” ฉันถามแอลลี่อย่างเป็นมิตร เธอหันมาแล้วยิ้มเล็กน้อย แต่รอยยิ้มนั้นไม่สามารถปกปิดความเศร้าจากแววตาได้“ก็ดีค่ะ” เธอตอบกลับมาอย่างนอบน้อม“คุณไฟเขา… เขาไม่ได้ทำอะไรที่มันไม่ดีกับเธอใช่ไหม” ฉันถือวิสาสะถามไปแบบนั้นเพราะเห็นท่าทางของเธอแล้วก็อดเห็นใจไม่ได้“เขาไม่ได้ทำอะไร…”“ดีแล้วแหละ ^_^”ฉันชวนแอลลี่คุยต่อในเรื่องอื่น ๆ เพื่อให้เธอคลายความเป็นกังวล เธอเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยพอสมควร เหมือนเป็นลูกผู้ดีอย่างไงอย่างนั้นคุณเพลิงที่ยืนสูบบุหรี่อยู่มองฉันเป็นระยะ ๆ ก่อนที่เขาจะทิ้งมวนบุหรี่ลงแล้วเดินไปหาคุณไฟ“เอยกับคุณเพลิงคบกันนานแล้วเหรอ” แอลลี่ถามทำเอาฉันสะอึกไปคู่หนึ่ง ก่อนจะรีบปฏิเสธ “เอยกับคุณเพลิงไม่ได้เป็นอะไรกัน ห้ามพูดแบบนั้นให้เขาได้ยินนะเดี๋ยวจะถูกดุเอา”“เหรอ คิดว่าคบกันซะอี
เวลาล่วงเลยผ่านไป ตอนนี้ฉันคลอดลูกชายที่น่ารักน่าชังออกมาแล้ว พี่เพลิงตั้งชื่อให้ลูกชายของเราว่า ดีแลนด์ ซึ่งชื่อก็ไม่ได้คล้องจองกับพ่อแม่แต่อย่างใด เป็นความชอบของคุณพ่อล้วน ๆ ตอนนี้น้องดีแลนด์อายุได้สองเดือนแล้ว ค่อนข้างเลี้ยงง่ายไม่งอแงเลยห้าเดือนแล้วที่ฉันไม่ได้กลับไทยแล้วคงต้องรอลูกโตกว่านี้ถึงจะพาขึ้นเครื่องบินได้ โชคดีหน่อยที่ได้คุยกับยายผ่านการวิดีโอคอลแบบเห็นหน้า ไม่อย่างนั้นคงต้องคิดถึงมากแน่ ๆวันนี้เพื่อนของฉันนัดเอาไว้ว่าจะมาเล่นกับหลาน เดี๋ยวคงจะมากันแล้ว มาอยู่ที่นี่ไม่เหงาเลยเพราะมีเพื่อน ๆ คอยแวะเวียนมาเล่นด้วยที่บ้านตอนนี้ฉันกับพี่เพลิงแต่งงานกันแล้ว เราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย“ดีแลนด์หลับไปแล้วเหรอ” พี่เพลิงเพิ่งกลับมาจากบริษัท ตั้งแต่คลอดดีแลนด์ออกมาเขาก็กลับบ้านเร็วทุกวัน“เพิ่งหลับไปเมื่อกี้เองค่ะ พี่เพลิงเหนื่อยไหมคะ” นี่คือคำถามที่ฉันมักจะถามพี่เพลิงทุกวันหลังจากเขากลับมาจากบริษัท“แค่เห็นหน้าภรรยาสุดสวยฉันก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” ไม่พูดเปล่าพี่เพลิงยังใช้มือหยิกแก้มฉันเบา ๆ ด้วย“นั่งลงสิคะเดี๋ยวเอยนวดให้”“เปลี่ยนจากนวดเป็นนาบแทนได้ไหม” พี่เพลิงถามเส
เพียงไม่ถึงห้านาทีทั้งครอบครัวของพี่เพลิงก็รู้ข่าวเรื่องที่ฉันท้อง เพราะเขาโทรไปบอก ทุกคนต่างดีใจกันยกใหญ่“แม่กับพ่อบอกว่าจะให้เราแต่งงานกันให้เร็วที่สุด”“เราเพิ่งหมั้นกันเองนะคะ ลูกคลอดแล้วค่อยแต่งก็ได้”“ไม่ได้ ต้องรีบแต่งถูกแล้ว”พี่เพลิงที่นั่งอยู่บนเตียงดึงฉันที่ยืนอยู่มาสวมกอด เขาใช้ฝ่ามือหนาลูบที่ท้องเบา ๆ“เธอท้องแล้วต้องย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศกับฉันนะรู้ไหม”“เอยยังอยากอยู่กับยายอยู่เลยนะคะ”“ถ้าอยู่ที่นี่ฉันจะดูแลเธอยังไง”“ให้เอยอยู่ที่นี่จนคลอด…”“ฉันไม่มีทางปล่อยให้เมียที่ท้องอยู่ไกลขนาดนี้แน่”“ไม่เอาแบบนี้สิคะพี่เพลิง”“เธอนั่นแหละอย่าดื้อ ตอนนี้กำลังจะเป็นแม่คนแล้วยังดื้ออยู่ได้”ฉันทำหน้าบึ้งเมื่อถูกดุ ก่อนจะคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตอบ นั่นหมายความว่าฉันยอมไปอยู่ต่างประเทศกับพี่เพลิง“แต่ต้องสัญญานะคะว่าจะพาเอยกลับมาหายายที่ไทยทุกเดือน”“สัญญาครับ ไม่ต้องห่วงฉันจะจ้างแม่บ้านเพิ่มให้คอยดูแลและจะจ้างพยาบาลพิเศษมาคอยดูแลสุขภาพยายของเธอ”“แบบนี้ทำให้เอยโล่งใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ^_^”“ไปห้างกัน” พี่เพลิงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหลังจากพูดจบและตอนนี้เราก็อยู่กันที่ห้างสร
วันต่อมาตั้งใจว่าเมื่อคืนจะเผด็จศึกเด็กดื้ออย่างพี่เพลิงสักหน่อย แต่ว่าฉันนั้นอ้วกก็เลยได้นอนพักไปโดยไม่ทำอะไรเช้านี้ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะถูกรบกวนโดยฝ่ามือใหญ่ที่เอาแต่ลูบคลำไปทั่วทั้งตัว“เช้าแล้วนะ” เสียงแหบพร่ากระซิบบอกข้างหูฉันเบา ๆ“อื้อ พี่เพลิงอย่าเพิ่งกวนเอยสิคะ” ฉันตอบไปอย่างรำคาญ การถูกรบกวนเวลานอนเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดที่สุดเลยก็ว่าได้“วันนี้เธอมีเรียนนะ”“เพราะฉะนั้นพี่เพลิงก็ต้องปล่อยให้เอยนอนไงคะ” ฉันเถียงกลับโดยที่ยังไม่ได้ลืมตาขึ้น“ปกติเธอไม่ใช่คนขี้เซานะ วันนี้ทำไมถึงปลุกยากจัง”“เอยขอนอนต่ออีกหน่อยนะคะ”หลังจากพูดจบร่างกายที่อ่อนเพลียของฉันก็เตรียมพร้อมจะจำศีล แต่ทว่า!! กางเกงชุดนอนตัวบางดันถูกถอดออกไปจากเรียวขา“พี่เพลิง” ครั้งนี้ฉันลืมตาขึ้นมองพี่เพลิงตาดุ ใจคอเขาจะกวนแบบนี้ไปถึงไหนกัน“นอนไปสิ ฉันไม่ได้บังคับให้เธอตื่น” คนพูดหน้าทะเล้น ไม่พอแถมยังถอดกางเกงของตัวเองออกอีกด้วย“อื้อออไม่เอา เอยอยากนอน” ฉันเอามือปิดตรงนั้นของตัวเองเอาไว้ไม่ให้พี่เพลิงเอาแก่นกายสอดใส่เข้ามาได้“ถ้าอยากนอนก็นอนอยู่นิ่ง ๆ จะบิดไปมาทำไม”“พี่เพลิงเจ้าเล่ห์ที่สุดเลย” ฉันทำหน้าบึ้ง
ฉันยิ้มหวานก่อนจะแย่งแก้วไวน์จากมือพี่เพลิงมาดื่มทั้งที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธ แต่เพราะอยากมีความกล้าให้มากกว่านี้จึงต้องดื่มมัน“ขมจังค่ะ” ฉันยกมือขึ้นมาเช็ดปากหลังจากกระดกไวน์ไปหมดแก้ว“เขาให้จิบ ๆ ไม่ใช่ยกหมดแก้ว” พี่เพลิงบอกอย่างเอ็นดูในความไม่รู้ของฉัน“เอยไม่เคยดื่มนี่คะ”“แล้วจะดื่มทำไม”“ก็… ถ้าเมาเอยคงจะทำให้พี่เพลิงพอใจ” พูดจบฉันก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ก่อนจะพูดต่อ “เอยหมายถึงเรื่องบนเตียง”คนที่ได้ฟังประโยคนั้นเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะหยิบไวน์มาเทใส่แก้วแล้วดื่มฝ่ามือหนายกขึ้นมาประคองใบหน้าของฉันเอาไว้ก่อนจะกดจูบลงมาบนริมฝีปาก ไวน์ที่พี่เพลิงดื่มไปเมื่อครู่ถูกป้อนมาใส่ในปากของฉัน ก่อนที่จะผละริมฝีปากออก“อยากดื่มอีกไหม ?” พี่เพลิงถามเสียงหวาน“แค่นี้เอยก็เริ่มมึนหัวแล้วค่ะ”“พร้อมจัดการเด็กดื้อหรือยัง ?”“พ… พร้อมแล้วค่ะ”ฉันตอบอย่างเขินอาย สิ้นสุดคำตอบพี่เพลิงก็อุ้มร่างของฉันขึ้นแล้วเดินเข้ามาในห้องวางลงบนเตียงอย่างเบามือ จากนั้นก็คร่อมบนตัวของฉันเอาไว้“เอยต้องอยู่ด้านบนสิคะ” พูดจบฉันก็พลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบนแทน“ฉันชอบที่เธอเร่าร้อนแบบนี้” พี่เพลิงบอกเสียงกระเส่า แววตาของเขามัน
หลังจากคุยเรื่องหมั้นเรียบร้อยแล้ววันนี้ทางครอบครัวพี่เพลิงได้พาครอบครัวฉันออกมากินข้าวนอกบ้าน ปกติยายไม่ชอบออกนอกบ้านเท่าไหร่แต่ครั้งนี้ยายยอมออกมากินข้าวด้วย“คุณยายครับ ผมซื้อบ้านเอาไว้หลังหนึ่งอยากจะให้ยายไปอยู่ที่นั่น ส่วนบ้านหลังนี้ผมจะลื้อแล้วสร้างหลังใหม่ให้ ยายโอเคหรือเปล่าครับ”“ถ้าพ่อหนุ่มคิดว่าดียายเองก็ไม่ขัด เพราะยายก็ไม่รู้จะอยู่ได้กี่ปี”“อย่าคิดแบบนั้นสิจ๊ะยาย ยายต้องอยู่รอดูลูกของหนูก่อนนะ”“ถ้างั้นก็รีบ ๆ มีซะสิ รีบ ๆ ปั๊มมันวันนี้เลย” คำตอบที่เร่งรีบของยายทำเอาฉันเบิกตากว้างเพราะตกใจ“ย… ยาย หนูยังเรียนไม่จบเลยนะคะ”“จริง ๆ รีบ ๆ มีหลานก็ดีนะหนูเอย พ่อกับแม่ก็อยากจะอุ้มหลายเร็ว ๆ” แม่ของพี่เพลิงพูดเสริมขึ้น ทุกคนเหมือนจะยินดีไม่ติดขัดอะไร คงมีแค่ฉันที่ค้าน“งั้นผมจะรีบปั๊มให้นะครับ” แบบนี้ก็เข้าทางพี่เพลิงเลยนะสิ เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยเชียว“เอยว่าเรียนจบแล้วค่อยคิดเรื่องมีลูกดีกว่าค่ะ ^_^”“ถ้าหนูเอยต้องการแบบนั้นเราก็ไม่ขัดจ้ะ แต่เรียนจบแล้วต้องรีบมีเลยนะ”แม่ของพี่เพลิงบอกด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้มีคนเดียวที่หน้าหงิกงอก็คือพี่เพลิงวันต่อมาวันนี้ทางบ้านฉันต้องย้ายออกไ
วันเวลาผ่านมาจนถึงวันที่พี่เพลิงต้องบินกลับต่างประเทศ#สนามบินพอต้องห่างกันใจฉันมันก็หวิว ๆ ถึงแม้จะรู้ดีว่าอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าพี่เพลิงก็จะกลับมา เขาจะมาขอหมั้นฉันอย่างเป็นทางการ“ไปถึงที่นู้นแล้วรีบโทรมาหาเอยนะคะ” “ไม่ชอบเลยที่ต้องห่างกันแบบนี้ แถมเธอยังชอบทำหน้าเศร้า” พี่เพลิงยกมือขึ้นมาลูบศีรษะฉันเบา ๆ“งั้นเอยจะยิ้มนะคะ” พูดจบฉันก็ฉีกยิ้มกว้าง แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูจะฝืน ๆ หน่อย ต้องห่างจากคนรักคงทำใจยิ้มอย่างดีใจไม่ได้หรอก“ฉันจะรีบเคลียร์งานแล้วกลับมาหาเธอ”“ต้องบินมาพร้อมคุณพ่อกับคุณแม่สิคะ ห้ามบินมาก่อนนะอีกแค่อาทิตย์เดียวเอง”“เวลาอาทิตย์เดียวสำหรับฉันมันนานมากจริง ๆ” พี่เพลิงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะดึงฉันมาสวมกอดทุกการกระทำของเราทั้งคู่ตกอยู่ในสายตาของคุณธนดล ท่านมองเราทั้งคู่แล้วก็ยิ้มไม่ได้พูดแทรกปล่อยให้เราสองคนล่ำลากันอย่างเต็มที่หลังจากส่งพี่เพลิงขึ้นเครื่องแล้วฉันก็ต้องนั่งรถไปเรียนต่อ พยายามบอกกับตัวเองให้อดทนเข้าไว้อาทิตย์หน้าก็จะได้เจอกันแล้ว#ตอนเย็น“แฟนพี่เอยหนีกลับแล้วเหรอครับ ไม่มีคนคอยยืนเฝ้าที่บ้านเลย หรือว่าพี่เอยถูกทิ้ง” โอมน้องชายของฉันไม่ค่อยรู้เรื่องอ
ฉันได้แต่ยืนเงียบไม่กล้าสบตาพ่อของพี่เพลิง ท่านคงไม่อยากได้ฉันเป็นลูกสะใภ้แน่ ๆ“ยายของเธออยู่ข้างในบ้านใช่ไหม”“ช… ใช่ค่ะ”หลังจากคำตอบคุณธนดลก็เดินปรี่เข้าไปข้างในบ้าน ตอนนี้หน้าฉันเสียแล้ว ถ้าท่านพูดอะไรไม่ดีกับยายต้องเสียความรู้สึกมากแน่ ๆ“เอยว่าเราคงไปกันไม่รอดแล้วค่ะ” ฉันหันมาบอกพี่เพลิงที่กำลังยืนนิ่งอยู่“ทำไมเธอถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมา”“พ่อของพี่เพลิงทำเหมือนไม่ชอบเอยแบบนั้น เราจะคบกันต่อได้ยังไง”“ฉันว่าเธอคิกมากไปนะเอิงเอย” ดูพี่เพลิงบอกสิ มาว่าฉันคิดมากได้ยังไงทั้งที่เห็น ๆ กันอยู่“คิดมากเหรอคะ ฟังจากน้ำเสียงพี่เพลิงก็น่าจะรู้” ฉันบอกเสียงสั่นก่อนหน้านี้ที่ทำก็แค่อยากดัดนิสัยไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันจบจริง ๆ พอมาเจอแบบนี้ทำให้ใจหวิว เหมือนเราต้องเลิกกันในวันนี้อย่างไงอย่างงั้น“มานี่ ไปฟังพ่อพูด” พี่อพลิงจับมือฉันจะพาเดินเข้าไปในบ้าน แต่ฉันสะบัดมือออก ถ้าเข้าไปฟังแล้วได้ยินอะไรอย่างที่คิดคงรับไม่ได้แน่ ๆ“ไม่ค่ะ เอยไม่ไป”“เธอนี่มันดื้อได้ใครนะ” พี่เพลิงขมวดคิ้วเข้มใส่ก่อนที่เขาจะคว้ามาจับมือฉันอีกครั้ง แล้วพาเดินเข้ามาในบ้านโดยที่ฉันร้องค้านอยู่“ไม่ค่ะ เอยบอกแล้วไงว่าไม
ฉันผลักตัวพี่เพลิงออกทำให้ตรงนั้นของเราหลุดออกจากกันทันที“ผลักทำไม” คนที่ถูกดันออกถามราวกับตัวเองไม่มีความผิด“เอยจะกลับแล้วค่ะ กรุณาใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วย” ฉันบอกเสียงเรียบก่อนจะชิงลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าก่อนพี่เพลิงนั่งทำหน้ามุ่ยสำนึกผิด เขาไม่พูดอะไรได้แต่หยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่เงียบ ๆ#บ้านตลอดทางเราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยจนกระทั่งถึงบ้าน ฉันหันมามองพี่เพลิงแล้วทำหน้าไม่พอใจใส่“คืนนี้เอยขอนอนคนเดียวนะคะ”“ล… แล้วฉันล่ะ เธอจะให้ฉันนอนที่ไหน” ใบหน้าคมคายเริ่มซีดเผือดเมื่อฉันบอกว่าจะนอนคนเดียว“พี่เพลิงหาที่นอนได้อยู่แล้วค่ะ แต่ถ้ามันหาไม่ได้จริง ๆ ก็นอนในรถไปเลย”“ขอโทษแล้วทำไมถึงยังโกรธอยู่อีก”“ขอโทษแล้วเอยต้องหายโกรธด้วยเหรอคะ”พูดจบฉันก็เปิดประตูลงจากรถทิ้งให้พี่เพลิงอยู่แบบนั้น เขาก็ไม่กล้าตามมานะ คงรู้ว่าฉันเอาจริงและตัวเองก็ผิดจริง ๆเข้ามาในห้องฉันก็ยังไม่นอน การทะเลาะกันมันทำให้ยากที่จะนอนหลับ ฉันคอยแอบย่องเดินมาส่องดูว่ารถของพี่เพลิงยังจอดอยู่หรือเปล่า จนแล้วจนเล่ารถก็ยังจอดอยู่ หมายความว่าเขานอนในรถจริง ๆ #วันต่อมาฉันไม่เจอพี่เพลิงรถก็ไม่อยู่ แต่เพราะต้องรีบไปเรียนบวกกั
ทั้งที่มีอะไรกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแต่ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าครั้งนี้มันต่างออกไป สีหน้าท่าทางที่หน้ากลัวของพี่เพลิงทำให้ฉันสั่นไปทั้งตัว“เรากลับบ้านกันดีกว่านะคะ” ฉันพยายามขอร้อง“บอกแล้วไงว่าเธอต้องโดนอบรมสั่งสอน”“เอยไม่ผิดอะไรสักหน่อย”“คนผิดมักไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง” พี่เพลิงตอบเสียงเย็น ก่อนจะพูดต่อ “อ่า เจอแล้ว”สิ้นสุดคำพูดเสียงไฟเลี้ยวรถก็ดังขึ้น ฉันมองไปตรงหน้าคือม่านรูด พอมีรถขับเข้าก็จะมีคนคอยส่องไฟเรียกให้ตามไป รถของพี่เพลิงขับมาจอดที่ในม่านรูด“พี่เพลิงเอยไม่ชอบที่แบบนี้”“ลงรถ” แทนที่จะฟังกันแต่เขากลับกระชากเสียงใส่ฉันพี่เพลิงลงไปจากรถก่อน ตอนนี้พนักงานกำลังเปิดห้องให้ ส่วนฉันก็ยังนั่งอยู่ในรถไม่ยอมลงจนกระทั่งพนักงานม่านรูดคนนั้นเดินหายไป พี่เพลิงเปิดประตูทางฝั่งที่ฉันนั่งแล้วดึงให้ลงมาจากรถเขาดูจะโกรธเอามาก ๆ“อ… เอยเจ็บนะคะ”“เจ็บก็ดีจะได้จำ” เขาบอกเสียงแข็งแล้วลากฉันเข้ามาในห้อง ก่อนจะเดินไปล็อกประตูให้เรียบร้อย“เป็นบ้าไปแล้วเหรอคะ” ฉันถามเสียงสั่น“เพราะเธอที่ทำให้ฉันเป็นบ้า”“พี่เพลิงพาเอยกลับบ้านนะคะ เรากลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่านะ” ฉันขอร้องอีกครั้งแต่อีกค