Talk เอิงเอย
เวลาผ่านมาจนถึงวันที่ฉันต้องไปเรียนต่อที่อังกฤษในฐานะนักศึกษาทุน มันคือครั้งแรกที่เด็กผู้หญิงบ้านจน ๆ อย่างฉันจะได้นั่งเครื่องบินทำเอาตื่นเต้นจนแทบนอนไม่หลับ “โอมดูแลยายดี ๆ ด้วยนะ พี่จะโทรมาหาเรื่อย ๆ” ฉันบอกน้องชายของตัวเอง ตอนนี้โอมเรียนอยู่ม.ปลาย “ครับ ผมจะดูแลยายเองพี่ไม่ต้องห่วง” น้องชายฉันเป็นคนที่ว่าง่ายไม่ดื้อไม่ซน “ยายหนูต้องไปแล้วนะคะอีกนานเลยกว่าจะได้กลับมาที่ไทย หนูสัญญานะคะว่าถ้าเรียนจบแล้วหนูจะทำงานเก็บเงินให้ได้เยอะ ๆ แล้วเราไปอยู่บ้านหลังใหม่กันนะยาย” “เดินทางปลอดภัยนะหลาน ตั้งใจเรียน ยายรอใบปริญญาของหลานอยู่ที่บ้านนะ” ยายยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของฉัน ทำเอาเกือบจะร้องไห้เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนโตฉันไม่เคยห่างจากยายไปไหนเลย แต่วันนี้ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปในที่ที่แสนไกล “หนูจะตั้งใจเรียนเอาใบปริญญามาให้ยายนะคะ” ฉันกอดยายกับน้องชายแน่น ที่เลือกสอบชิงทุนก็เพราะว่าอยากให้ตัวเองได้มีทางเลือกในชีวิต การเรียนจบต่างประเทศอาจจะเปิดโอกาสในด้านทำงานได้มากกว่าหลังจากที่ร่ำลายายกับน้องชายแล้วฉันก็เดินออกมาจากบ้านเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่สนามบิน ชะเอมกับมีนมารอที่สนามบินก่อนแล้ว
“ยัยเอยทางนี้” มีนยกมือขึ้นโบกไปมาให้ฉันที่กำลังเดินลากกระเป๋าอยู่แบบเลิ่กลักได้มองเห็น พอเห็นเพื่อนก็รีบไปหาทันที “ทำไมแกมาช้าจัง” ชะเอมถาม “บอกลายายกับน้องอยู่นะสิ เศร้าจัง บางทีฉันก็รู้สึกว่าอยากจะทิ้งโอกาสนี้แล้วกลับมาเรียนที่ไทยคอยดูแลยาย” “แกจะบ้าเหรอ! ทั้งที่ตัวเองตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อสอบชิงทุนไปเป็นนักศึกษาแรกเปลี่ยนที่ต่างประเทศแท้ ๆ ไหนบอกว่าอยากมีชีวิตดี ๆ ไง” “นั่นสิ! ขายังไม่ทันจะก้าวขึ้นเครื่องบินเลยท้อซะแล้ว นี่! ไม่กลัวหรือไงว่าจะเจอไอ้โรคจิตนั่นสักวัน แกลืมไปแล้วเหรอ” พอได้ยินมีนพูด ขนทั้งตัวของฉันมันก็ลุกซู่ เรื่องราวที่ฉันถูกลักพาตัวไปเมื่อเดือนก่อนมันทำให้ฉันใช้ชีวิตอย่างวาดระแวง แถมพักหลังมานี้มีใครก็ไม่รู้ชอบเดินผ่านไปมาหน้าบ้าน แถมยังมาด้อม ๆ มอง ๆ น่ากลัวมากเลย “แกพูดแบบนี้ฉันกลัวนะ” “ไปกัน ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว” ชะเอมมองดูนาฬิกาแล้วพูดขึ้น “ดะ เดี๋ยว ขะ ขาฉันสั่น” ฉันจับแขนเพื่อนทั้งสองเอาไว้ ขามันสั่นอยู่จริง ๆ “เราสามคนก็ไม่มีใครเคยขึ้นเครื่องบินกันสักคนแกอย่ากลัวเลย ประสบการณ์ชีวิต ไปค่ะ” ชะเอมกับมีนพากันฉุดลากฉัน บอกเลยว่าตอนขึ้นมาบนเครื่องบินฉันอยากจะขอยานอนหลับจากพนักงานมากินมาก อยากหลับยาว ๆ ไปจนถึงที่อังกฤษเลย ตอนนี้มันแทบกลั้นหายใจ หัวใจเต้นรัว ๆใช้เวลาอยู่บนเครื่องเป็นวัน ๆ กว่าจะบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงอังกฤษ ในที่สุดเราสามคนก็มาถึงสักที
เรื่องภาษาฉันกับเพื่อนพูดได้อยู่แล้วเราไม่ได้กังวลอะไร มาถึงเราก็มารอคนที่จะมารับไปที่พัก รอไม่นานก็มีผู้ชายใส่ชุดสูทเดินมาพร้อมกับช่อดอกไม้ “สวัสดีครับผมคือตัวแทนของคุณธนดลมารับพวกคุณไปที่พัก เราจัดเตรียมโรงแรมไว้สำหรับพวกคุณสามคนเรียบร้อยแล้ว” ฉันกับเพื่อนพากันเบิกตากว้าง ให้เราพักอยู่ที่โรงแรมเลยเหรอ ทั้งที่เราเป็นแค่นักศึกษาแลกเปลี่ยนเองแท้ ๆ “ของคุณเอิงเอยครับ” ดอกไม้ช่อนั้นถูกยื่นมาตรงหน้าของฉัน ไม่ใช่แค่ฉันที่ตกใจชะเอมกับมีนก็ตกใจไม่แพ้กัน “ขะ ของเอยเหรอคะ” ฉันรับกุหลาบช่อนั้นมาด้วยความงุนงง ก่อนจะมองเห็นการ์ดเลยหยิบขึ้นมาอ่าน ในการ์ดเขียนแค่คำสั้น ๆ ว่า ยินดีต้อนรับ คงจะเป็นของที่จัดเตรียมไว้สำหรับนักศึกษาแลกเปลี่ยน “ผมจะพาคุณสามคนไปที่โรงแรม ส่วนคุณเอิงเอยเย็นนี้ต้องไปเจอคุณเพลิงนะครับ” “คะ ?” ฉันขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจ ใครคือเพลิงแล้วทำไมฉันต้องไปเจอเขาด้วย “ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกครับสบายใจได้ คุณเพลิงคือลูกชายของคุณธนดลที่มอบทุนการศึกษาให้คุณ” “ละ แล้วทำไมเอยถึงได้ไปเจอเขาแค่คนเดียวล่ะคะ” “นายไม่ชอบเจอคนเยอะ ๆ เลยนัดให้ไปเจอทีละคนครับ แค่พูดคุยทำความรู้จัก” “อ๋อค่ะ” ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ฉันก็แสร้งพยักหน้าเหมือนเข้าใจ เพราะเขาเป็นเจ้าของทุน เป็นคนให้ชีวิตใหม่ฉันถึงไม่สามารถขัดอะไรได้โรงแรมตัวโรงแรมที่ว่าใหญ่โตแล้ว ภายในห้องนั้นมันทำให้ฉันกับเพื่อนว้าวยิ่งกว่า ห้องมันกว้างมาก ๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เหมือนพวกฉันเป็นคนสำคัญเขาถึงได้จัดเตรียมห้องให้ดีขนาดนี้ “ตลอดการศึกษาที่นี่พวกคุณสามคนจะได้พักอยู่โรงแรมนี้ เป็นโรงแรมในเครือของคุณธนดลเจ้าของทุนครับ” “ค่ะ” ฉันกับเพื่อนพยักหน้าตอบพร้อม ๆ กัน “ผมจัดเตรียมห้องไว้สามห้องเพื่อให้ความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายนะครับ ฟรีตลอดจนจบการศึกษา” มันอึ้งยิ่งกว่าเมื่อรู้ว่าเราได้อยู่กันคนละห้องแถมยังฟรีแบบห้องระดับพรีเมียม การได้ทุนมาเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่นี่มันวิเศษมากจริง ๆ ผู้ชายคนนี้พาฉันกับมีนมาดูห้องต่อ ส่วนชะเอมได้อยู่ห้องแรกที่เราไปดู เขาพาเราขึ้นลิฟต์มาอีกชั้น นั่นคือห้องของมีน แอบสงสัยเหมือนกันว่าทำไมไม่ให้อยู่ชั้นเดียวกันแต่ก็ไม่กล้าถามพอพามีนเข้าห้องแล้วเขาก็พาฉันไปดูห้องต่อ แล้วก็ต้องแปลกใจอีกเมื่อห้องของฉันมันคือห้องชั้นบนสุดของโรงแรม ซึ่งเพื่อน ๆ ได้อยู่กันที่ชั้นยี่สิบ แต่ฉันได้ขึ้นมาอยู่ถึงชั้นที่ห้าสิบ แถมพอมาดูในห้องมันกว้างและหรูหรามากกว่าห้องของเพื่อนฉันซะอีก “ทะ ทำไมเอยถึงได้มาอยู
“กินสิ” คุณเพลิงยกมือขึ้นมาบอกให้ฉันกินอาหารบนโต๊ะ “คุณ… เพลิง ไม่กินเหรอคะ”“ฉันไม่หิว อยากดูเธอกินมากกว่า” มันรู้สึกแปลก ๆ เวลาที่เขาพูด สายตาแบบนั้นทำให้รู้สึกกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก ฉันไม่สามารถขัดใจอะไรได้จึงหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารเข้าปากช้า ๆ ด้วยความรู้สึกประหม่า กินได้นิดเดียวก็อิ่มเพราะถูกจ้องมองตลอดเวลา เป็นใครก็คงไม่กล้ากิน แถมคนที่จ้องมองยังหล่อมากขนาดนั้น ทำเอาฉันเกร็งจนไม่รู้จะเกร็งยังไง อยากกลับโรงแรมแล้วสิ “อิ่มแล้ว ?” คุณเพลิงถาม “อ… อิ่มแล้วค่ะ” “ได้ข่าวว่าเธอสอบได้คะแนนสูงที่สุด คงจะเรียนเก่งใช่เล่น” เขาคงเห็นท่าทางเกร็ง ๆ ของฉันเลยอยากให้ผ่อนคลาย“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ เอยชอบอ่านมากกว่า ชอบหาความรู้ในเรื่องที่ไม่รู้ค่ะ” “ฉันอยากรู้เรื่องหนึ่งเธอพอจะอธิบายให้ฟังได้ไหม พอดีฉันไม่ค่อยเข้าใจ ?”“เรื่องอะไรเหรอคะถ้าเอยรู้เอยจะอธิบายให้ ^_^” มันเริ่มผ่อนคลายขึ้นมาบ้างแล้วแหละพอได้พูดคุยแบบนี้ “ฉันไม่เข้าใจเรื่อง… เพศศึกษา” “…” ระ เรื่องเพศศึกษางั้นเหรอ เมื่อเจอคำถามแบบนี้ทำให้ฉันไปไม่เป็นเลย “ฉันอยากรู้ว่าการหลั่งนอกมันมีโอกาสท้องหรือเปล่า หรือต้องสวมถุงยางอนามัยทุกค
ฉันดีใจจนลืมเอ่ยถามไปว่างานอะไร แต่งานที่ลูกชายเจ้าของทุนหาให้คงจะดีไม่น้อย ไม่ว่างานอะไรมันก็คงจะดีกว่าที่ฉันกับเพื่อนต้องหากันเองเพราะนี่ไม่ใช่ประเทศไทยการหางานสักงานหนึ่งมาทำขณะที่เรียนไปด้วยจึงเป็นเรื่องที่ยาก ถ้าฉันไปบอกเพื่อนว่าคุณเพลิงลูกชายเจ้าของทุนการศึกษาใจดีหางานให้เราทำสองคนนั้นต้องดีใจมากแน่ ๆ เลย“ดูท่าเธอคงจะดีใจมากที่ได้งาน”“ใช่ค่ะ เอยไม่คิดว่าจะได้งานเร็วขนาดนี้ ^_^”“เธอถนัดงานแบบไหน ?” คุณเพลิงถามเสียงเย็น ทุกครั้งที่เขาพูดมันทำให้ฉันขนลุกซู่ไปทั้งตัว“เอยทำได้หมดทุกงานเลยค่ะ เพื่อนเอยก็เหมือนกัน”“แต่งานนี้ฉันสนใจแค่เธอ”“…” คำพูดนั้นทำให้ฉันเงียบไป ถ้าเกิดเพื่อนรู้ว่าฉันได้งานแค่คนเดียวจะพากันงอนหรือเปล่านะ แบบนี้มันเหมือนว่าฉันกำลังเห็นแก่ตัวอยู่ยังไงก็ไม่รู้“อยากให้เพื่อนได้งาน ?”“ชะ… ใช่ค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะฝากเพื่อนเธอเข้าทำงานที่โรงแรม ส่วนเธอมาทำงานกับฉัน”“หะ… ให้เอยทำงานกับคุณเพลิงเหรอคะ”“อืม”“งานอะไรเหรอคะ” ฉันถามออกไปอย่างประหม่า ด้วยท่าทางที่สุขุมแบบนั้นเริ่มทำให้รู้สึกเกร็งอีกครั้งแล้วละสิิคุณเพลิงลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินมาหาฉัน เขาหยุดที่หลัง
วันต่อมา ฉันมาเล่นที่ห้องชะเอมเพราะอยู่คนเดียวมันเหงา มีนก็มาที่ห้องเอมด้วยเหมือนกัน“ทำไมลูกชายเจ้าของทุนไม่เห็นจะเรียกฉันกับยัยมีนไปแบบแกเลยล่ะ” ชะเอมถามอย่างแปลกใจ มีนก็พูดเสริม “นั่นสิ ฉันอยากจะเห็นจริง ๆ นะว่า หน้าตาลูกชายเจ้าของทุนเป็นยังไง”ทั้งเอมและมีนต่างมองมาที่ฉันพร้อม ๆ กัน“แกสองคนมองหน้าฉันแบบนั้นทำไม”“ลูกชายเจ้าของทุนหล่อไหมยัยเอย”พอถูกถามแบบนี้สมองของฉันมันก็จินตนาการไปถึงใบหน้าคมคายที่ได้เจอเมื่อวาน ถ้าใช้คำว่าหล่อคงจะน้อยเกินไป ต้องใช้คำว่าหล่อมาก ๆๆๆปกติฉันไม่สนใจผู้ชายแต่สำหรับเขาคนนั้นมันเหมือนมีเวทมนต์มาสะกดจิตยังไงก็ไม่รู้“คิดอะไรอยู่ยัยเอย รีบตอบมาสิ” มีนถามย้ำ ทำให้ฉันมีสติอีกครั้ง“อื้อ เขาหล่อมาก ๆ เลย”“งุ้ย ฉันอยากเห็นจัง” ชะเอมรีบพูด“ท่าจะหล่อจริงเพราะปกติฉันไม่เคยเห็นยัยเอยชมใครว่าหล่อเลย”“แล้วทำไมเขาถึงเรียกแกไปพบคนเดียว แถมวันนั่นก็ส่งกุหลาบมาให้แก” ชะเอมถามด้วยความสงสัย“คุณเพลิงบอกว่าถ้าว่างจะเรียกพวกแกสองคนไป ช่วงนี้เขาน่าจะยุ่ง ๆ ส่วนเรื่องกุหลาบฉันว่าเขาส่งให้เราสามคนนั่นแหละ เป็นการต้อนรับ”“อื้อ ฉันลืมไปเลย คุณเพลิงจะฝากแกสองคนเข้าทำงานท
พี่ผู้ชายที่มารับเขาไม่ตอบคำถามอะไรเลย พาฉันมาที่ตึกแห่งหนึ่ง มันใหญ่โตมโหฬาร หรูหรามาก ๆ คาดว่าที่นี่น่าจะเป็นคอนโด มาถึงเขาก็พาฉันขึ้นลิฟต์แล้วกดไปที่ชั้นบนสุด“ที่นี่เป็นคอนโดของเครือคุณธนดลครับ มีคอนโดสิบแห่งในอังกฤษ คอนโดนี้เป็นคอนโดที่พรีเมียมที่สุดในเครือ”คุณธนดลคือคนที่มอบทุนการศึกษาให้ฉันกับเพื่อน เป็นพ่อของคุณเพลิง ฟังแล้วมันก็รู้สึกขนลุกให้กับความรวยของเขา ชาตินี้ทั้งชาติฉันก็คงไม่มีโอกาสได้สัมผัสความรวยแบบนี้“ตามผมมาครับ” เมื่อลิฟต์เปิดออกเขาก็หันมาบอกก่อนจะเดินนำ ฉันเองก็รีบเดินตามพี่เขาพามาหยุดที่หน้าห้อง ๆ หนึ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออก“มาถึงแล้วครับนาย”ฉันได้แต่ยืนตัวสั่นเทาเพราะความตื่นเต้นกับการมาทำงานในที่สุดหรูแบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผ่านมาเคยทำแต่งานเสิร์ฟในร้านอาหาร ล้างจานอะไรพวกนี้ ไม่เคยทำในที่หรู ๆ แบบนี้เลย“คุณเอยเปิดประตูเข้าไปได้เลยครับ” พี่ผู้ชายคนที่มาส่งพูดขึ้นแล้วทำเหมือนจะเดินจากไปฉันจึงเรียกเอาไว้ “ไม่เข้าไปด้วยกันเหรอคะ”“ผมมีหน้าที่แค่มาส่งคุณเอยครับ”“อะ… อ๋อค่ะ ๆ” ฉันพยักหน้าตอบแล้วพี่เขาก็เดินไปที่ลิฟต์ส่วนตัวฉันเองก็ยืนจ
“แต่เอยยังไม่ได้รับเงินจากคุณเพลิงเลยนะคะ เพราะฉะนั้นเอยสามารถยกเลิกสัญญาได้” ฉันพยายามพูดทุกอย่างด้วยเหตุผล ถึงแม้จะรู้สึกกลัวผู้ชายตรงหน้าเอามาก ๆ“เธอไม่รับแต่ยายเธอรับไปแล้ว เห็นว่าน้องชายเธอค้างค่าเทอมไว้ป่านนี้คงเอาเงินนั้นไปจ่ายค่าเทอมแล้ว”“คะ… คุณเพลิงเอาเงินให้ยายเอยได้ยังไงคะ รู้ที่อยู่ของเอยได้ยังไง” มันเริ่มกลัวมากขึ้นเมื่อได้ยินแบบนั้น“ฉันรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอ”“หลอกเอยอยู่ใช่ไหมคะ เอยขอร้องอย่าทำอะไรเอยเลยนะคะ เอยจะช่วยทำงานทุกอย่าง ไม่เอาเงินเลยสักบาทก็ได้แต่คุณเพลิงช่วยยกเลิกสัญญานั่นได้ไหม” ฉันลองขอร้องดูเผื่อผู้ชายตรงหน้าจะเห็นใจ แต่สายตาของเขามันบ่งบอกว่าต่อให้พูดไปก็เท่านั้น“ถ้าไม่เชื่อเธอก็โทรไปถามยาย เมื่อวานหลังจากที่เซ็นเอกสารฉันให้ลูกน้องที่ไทยจัดการเอาเงินส่วนหนึ่งไปให้ยายเธอ”“…” ฉันเม้มปากแน่น อยากจะโทรไปถามยายแต่ก็กลัวคำตอบ“เห็นว่าน้องชายเธอค้างค่าเทอมอยู่ฉันอุตส่าห์ใจดีช่วย คำขอบคุณสักคำก็ไม่มีเธอนี่ใจดำซะจริง ๆ”“… เอยไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น หนึ่งล้านสำหรับเอยมันเยอะมาก ๆ” ฉันบอกไปอย่างหมดหนทาง ไม่อยากให้คุณเพลิงใจร้ายทั้งที่ก่อนหน้านี้ฉันอุตส่า
ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทาแล้วกดโทรไปหายาย แต่คนที่รับสายคือโอมน้องชายของฉัน(ฮัลโหลพี่เอย)“ยายล่ะโอม พี่ขอคุยกับยายหน่อย”(ยายกำลังจ่ายค่าเทอมให้ผมอยู่ พี่เอยมีอะไรหรือเปล่า)“บอกยายว่าอย่าเพิ่งจ่ายเงินนะ” ฉันรีบค้านขึ้นทันที(ยายจ่ายไปแล้วพี่เอยมีอะไรหรือเปล่า ถ้าผมไม่รีบจ่ายอาจจะโดนไล่ออกเพราะค้างคาเทอมมาหลายเดือนแล้ว)“ยายบอกหรือเปล่าว่าได้เงินมาจากไหน”(ทำไมพี่เอยถามเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้ล่ะครับ ยายบอกว่าเงินก้อนนี้เจ้านายพี่เอยฝากคนเอามาให้ เป็นเงินล่วงหน้าที่หัวหน้างานจ่ายให้ก่อน)ฉันค่อย ๆ เอาโทรศัพท์ลงจากหูแล้วกดตัดสายมันเหมือนโลกใบนี้กำลังแคบลงเรื่อย ๆ ฉันไม่โทษที่ยายเอาเงินไปใช้ เพราะยายคิดว่าเป็นเงินจากการทำงานของฉัน ครั้งล่าสุดที่คุยโทรศัพท์ด้วยกันฉันเป็นคนบอกยายเองว่าได้งานแล้วและเจ้านายใจดีมาก ๆอีกอย่างค่าเทอมของโอมฉันก็ผลัดมาหลายเดือนเพราะยังหาเงินไปจ่ายไม่ได้ ยายคงกลัวว่าทางโรงเรียนจะไล่โอมออกจึงรีบนำเงินไปจ่าย“โทรหายายแล้วเธอสบายใจขึ้นหรือยัง ?” คุณเพลิงที่เงียบฟังฉันคุยโทรศัพท์เอ่ยถามขึ้นมา สายตาที่ร้ายกาจคู่นั้นจับจ้องมองฉันอยู่ตลอดเวลา“…” เข
ฉันกัดริมฝีปากแน่นจนห้อเลือดเมื่อไร้หนทางหนีและไม่สามารถหาเหตุผลมาเป็นข้อยกเว้นที่ตัวเองทำพลาดไม่อ่านเอกสารได้สีหน้าคุณเพลิงดูจะมีความสุขที่ในตอนนี้เขาถือไพ่อยู่เหนือกว่าฉันทุกทาง“เอยขอทำใจก่อน…”“ฉันไม่มีเวลาให้เธอมากขนาดนั้น”“แต่มันคือครั้งแรกของเอย ตอนนี้เอยยังไม่พร้อม”ลมหายใจร้อนผ่าวถูกพ่นออกมาก่อนที่คุณเพลิงจะพันเชือกเสื้อคลุมเอาไว้เหมือนเดิม “เธอจะทำอะไร ?”“เอยอยากดูทีวีค่ะ”“อืม ไปสิ”ฉันค่อย ๆ ขยับขาคลานลงจากเตียงอย่างระแวง กลัวว่าจะถูกกระชากอีกพอออกมาข้างนอกห้องนอนเห็นว่าคุณเพลิงไม่ตามออกมาฉันจึงรีบวิ่งไปที่ประตูก่อนจะเอื้อมไปจับลูกบิด แต่ทว่าทำยังไงมันก็เปิดไม่ออก“ทีวีอยู่ตรงนั้น ที่เธอจับอยู่เรียกว่าประตู”เฮือก!! ร่างของฉันสะดุ้งโหย่งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเข้มเอ่ยขึ้นมาด้านหลัง ก่อนจะค่อย ๆ เอามือออกจากลูกบิดช้า ๆ“อ… เอยอยากจะเข้าห้องน้ำ ไม่ใช่ประตูนี้เหรอคะ”“คิดว่าฉันโง่ ?”ฉันกัดริมฝีปากแน่นอีกครั้งอยากจะเอาหัวกระแทกกับผนังห้องแรง ๆ สักทีที่เผลออ้างอะไรแบบนั้นออกไปทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่านั่นไม่ใช่ประตูห้องน้ำ“จะเดินไปดูทีวีดี ๆ หรือจะให้ฉันลากเธอไป”“…” พอได้ยินค
เวลาล่วงเลยผ่านไป ตอนนี้ฉันคลอดลูกชายที่น่ารักน่าชังออกมาแล้ว พี่เพลิงตั้งชื่อให้ลูกชายของเราว่า ดีแลนด์ ซึ่งชื่อก็ไม่ได้คล้องจองกับพ่อแม่แต่อย่างใด เป็นความชอบของคุณพ่อล้วน ๆ ตอนนี้น้องดีแลนด์อายุได้สองเดือนแล้ว ค่อนข้างเลี้ยงง่ายไม่งอแงเลยห้าเดือนแล้วที่ฉันไม่ได้กลับไทยแล้วคงต้องรอลูกโตกว่านี้ถึงจะพาขึ้นเครื่องบินได้ โชคดีหน่อยที่ได้คุยกับยายผ่านการวิดีโอคอลแบบเห็นหน้า ไม่อย่างนั้นคงต้องคิดถึงมากแน่ ๆวันนี้เพื่อนของฉันนัดเอาไว้ว่าจะมาเล่นกับหลาน เดี๋ยวคงจะมากันแล้ว มาอยู่ที่นี่ไม่เหงาเลยเพราะมีเพื่อน ๆ คอยแวะเวียนมาเล่นด้วยที่บ้านตอนนี้ฉันกับพี่เพลิงแต่งงานกันแล้ว เราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย“ดีแลนด์หลับไปแล้วเหรอ” พี่เพลิงเพิ่งกลับมาจากบริษัท ตั้งแต่คลอดดีแลนด์ออกมาเขาก็กลับบ้านเร็วทุกวัน“เพิ่งหลับไปเมื่อกี้เองค่ะ พี่เพลิงเหนื่อยไหมคะ” นี่คือคำถามที่ฉันมักจะถามพี่เพลิงทุกวันหลังจากเขากลับมาจากบริษัท“แค่เห็นหน้าภรรยาสุดสวยฉันก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” ไม่พูดเปล่าพี่เพลิงยังใช้มือหยิกแก้มฉันเบา ๆ ด้วย“นั่งลงสิคะเดี๋ยวเอยนวดให้”“เปลี่ยนจากนวดเป็นนาบแทนได้ไหม” พี่เพลิงถามเ
เพียงไม่ถึงห้านาทีทั้งครอบครัวของพี่เพลิงก็รู้ข่าวเรื่องที่ฉันท้อง เพราะเขาโทรไปบอก ทุกคนต่างดีใจกันยกใหญ่“แม่กับพ่อบอกว่าจะให้เราแต่งงานกันให้เร็วที่สุด”“เราเพิ่งหมั้นกันเองนะคะ ลูกคลอดแล้วค่อยแต่งก็ได้”“ไม่ได้ ต้องรีบแต่งถูกแล้ว”พี่เพลิงที่นั่งอยู่บนเตียงดึงฉันที่ยืนอยู่มาสวมกอด เขาใช้ฝ่ามือหนาลูบที่ท้องเบา ๆ“เธอท้องแล้วต้องย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศกับฉันนะรู้ไหม”“เอยยังอยากอยู่กับยายอยู่เลยนะคะ”“ถ้าอยู่ที่นี่ฉันจะดูแลเธอยังไง”“ให้เอยอยู่ที่นี่จนคลอด…”“ฉันไม่มีทางปล่อยให้เมียที่ท้องอยู่ไกลขนาดนี้แน่”“ไม่เอาแบบนี้สิคะพี่เพลิง”“เธอนั่นแหละอย่าดื้อ ตอนนี้กำลังจะเป็นแม่คนแล้วยังดื้ออยู่ได้”ฉันทำหน้าบึ้งเมื่อถูกดุ ก่อนจะคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตอบ นั่นหมายความว่าฉันยอมไปอยู่ต่างประเทศกับพี่เพลิง“แต่ต้องสัญญานะคะว่าจะพาเอยกลับมาหายายที่ไทยทุกเดือน”“สัญญาครับ ไม่ต้องห่วงฉันจะจ้างแม่บ้านเพิ่มให้คอยดูแลและจะจ้างพยาบาลพิเศษมาคอยดูแลสุขภาพยายของเธอ”“แบบนี้ทำให้เอยโล่งใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ^_^”“ไปห้างกัน” พี่เพลิงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหลังจากพูดจบและตอนนี้เราก็อยู่กันที่ห้างสร
วันต่อมาตั้งใจว่าเมื่อคืนจะเผด็จศึกเด็กดื้ออย่างพี่เพลิงสักหน่อย แต่ว่าฉันนั้นอ้วกก็เลยได้นอนพักไปโดยไม่ทำอะไรเช้านี้ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะถูกรบกวนโดยฝ่ามือใหญ่ที่เอาแต่ลูบคลำไปทั่วทั้งตัว“เช้าแล้วนะ” เสียงแหบพร่ากระซิบบอกข้างหูฉันเบา ๆ“อื้อ พี่เพลิงอย่าเพิ่งกวนเอยสิคะ” ฉันตอบไปอย่างรำคาญ การถูกรบกวนเวลานอนเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดที่สุดเลยก็ว่าได้“วันนี้เธอมีเรียนนะ”“เพราะฉะนั้นพี่เพลิงก็ต้องปล่อยให้เอยนอนไงคะ” ฉันเถียงกลับโดยที่ยังไม่ได้ลืมตาขึ้น“ปกติเธอไม่ใช่คนขี้เซานะ วันนี้ทำไมถึงปลุกยากจัง”“เอยขอนอนต่ออีกหน่อยนะคะ”หลังจากพูดจบร่างกายที่อ่อนเพลียของฉันก็เตรียมพร้อมจะจำศีล แต่ทว่า!! กางเกงชุดนอนตัวบางดันถูกถอดออกไปจากเรียวขา“พี่เพลิง” ครั้งนี้ฉันลืมตาขึ้นมองพี่เพลิงตาดุ ใจคอเขาจะกวนแบบนี้ไปถึงไหนกัน“นอนไปสิ ฉันไม่ได้บังคับให้เธอตื่น” คนพูดหน้าทะเล้น ไม่พอแถมยังถอดกางเกงของตัวเองออกอีกด้วย“อื้อออไม่เอา เอยอยากนอน” ฉันเอามือปิดตรงนั้นของตัวเองเอาไว้ไม่ให้พี่เพลิงเอาแก่นกายสอดใส่เข้ามาได้“ถ้าอยากนอนก็นอนอยู่นิ่ง ๆ จะบิดไปมาทำไม”“พี่เพลิงเจ้าเล่ห์ที่สุดเลย” ฉันทำหน้าบึ้ง
ฉันยิ้มหวานก่อนจะแย่งแก้วไวน์จากมือพี่เพลิงมาดื่มทั้งที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธ แต่เพราะอยากมีความกล้าให้มากกว่านี้จึงต้องดื่มมัน“ขมจังค่ะ” ฉันยกมือขึ้นมาเช็ดปากหลังจากกระดกไวน์ไปหมดแก้ว“เขาให้จิบ ๆ ไม่ใช่ยกหมดแก้ว” พี่เพลิงบอกอย่างเอ็นดูในความไม่รู้ของฉัน“เอยไม่เคยดื่มนี่คะ”“แล้วจะดื่มทำไม”“ก็… ถ้าเมาเอยคงจะทำให้พี่เพลิงพอใจ” พูดจบฉันก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ก่อนจะพูดต่อ “เอยหมายถึงเรื่องบนเตียง”คนที่ได้ฟังประโยคนั้นเผยรอยยิ้มออกมา ก่อนจะหยิบไวน์มาเทใส่แก้วแล้วดื่มฝ่ามือหนายกขึ้นมาประคองใบหน้าของฉันเอาไว้ก่อนจะกดจูบลงมาบนริมฝีปาก ไวน์ที่พี่เพลิงดื่มไปเมื่อครู่ถูกป้อนมาใส่ในปากของฉัน ก่อนที่จะผละริมฝีปากออก“อยากดื่มอีกไหม ?” พี่เพลิงถามเสียงหวาน“แค่นี้เอยก็เริ่มมึนหัวแล้วค่ะ”“พร้อมจัดการเด็กดื้อหรือยัง ?”“พ… พร้อมแล้วค่ะ”ฉันตอบอย่างเขินอาย สิ้นสุดคำตอบพี่เพลิงก็อุ้มร่างของฉันขึ้นแล้วเดินเข้ามาในห้องวางลงบนเตียงอย่างเบามือ จากนั้นก็คร่อมบนตัวของฉันเอาไว้“เอยต้องอยู่ด้านบนสิคะ” พูดจบฉันก็พลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบนแทน“ฉันชอบที่เธอเร่าร้อนแบบนี้” พี่เพลิงบอกเสียงกระเส่า แววตาของเขามัน
หลังจากคุยเรื่องหมั้นเรียบร้อยแล้ววันนี้ทางครอบครัวพี่เพลิงได้พาครอบครัวฉันออกมากินข้าวนอกบ้าน ปกติยายไม่ชอบออกนอกบ้านเท่าไหร่แต่ครั้งนี้ยายยอมออกมากินข้าวด้วย“คุณยายครับ ผมซื้อบ้านเอาไว้หลังหนึ่งอยากจะให้ยายไปอยู่ที่นั่น ส่วนบ้านหลังนี้ผมจะลื้อแล้วสร้างหลังใหม่ให้ ยายโอเคหรือเปล่าครับ”“ถ้าพ่อหนุ่มคิดว่าดียายเองก็ไม่ขัด เพราะยายก็ไม่รู้จะอยู่ได้กี่ปี”“อย่าคิดแบบนั้นสิจ๊ะยาย ยายต้องอยู่รอดูลูกของหนูก่อนนะ”“ถ้างั้นก็รีบ ๆ มีซะสิ รีบ ๆ ปั๊มมันวันนี้เลย” คำตอบที่เร่งรีบของยายทำเอาฉันเบิกตากว้างเพราะตกใจ“ย… ยาย หนูยังเรียนไม่จบเลยนะคะ”“จริง ๆ รีบ ๆ มีหลานก็ดีนะหนูเอย พ่อกับแม่ก็อยากจะอุ้มหลายเร็ว ๆ” แม่ของพี่เพลิงพูดเสริมขึ้น ทุกคนเหมือนจะยินดีไม่ติดขัดอะไร คงมีแค่ฉันที่ค้าน“งั้นผมจะรีบปั๊มให้นะครับ” แบบนี้ก็เข้าทางพี่เพลิงเลยนะสิ เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยเชียว“เอยว่าเรียนจบแล้วค่อยคิดเรื่องมีลูกดีกว่าค่ะ ^_^”“ถ้าหนูเอยต้องการแบบนั้นเราก็ไม่ขัดจ้ะ แต่เรียนจบแล้วต้องรีบมีเลยนะ”แม่ของพี่เพลิงบอกด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้มีคนเดียวที่หน้าหงิกงอก็คือพี่เพลิงวันต่อมาวันนี้ทางบ้านฉันต้องย้ายออกไ
วันเวลาผ่านมาจนถึงวันที่พี่เพลิงต้องบินกลับต่างประเทศ#สนามบินพอต้องห่างกันใจฉันมันก็หวิว ๆ ถึงแม้จะรู้ดีว่าอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าพี่เพลิงก็จะกลับมา เขาจะมาขอหมั้นฉันอย่างเป็นทางการ“ไปถึงที่นู้นแล้วรีบโทรมาหาเอยนะคะ” “ไม่ชอบเลยที่ต้องห่างกันแบบนี้ แถมเธอยังชอบทำหน้าเศร้า” พี่เพลิงยกมือขึ้นมาลูบศีรษะฉันเบา ๆ“งั้นเอยจะยิ้มนะคะ” พูดจบฉันก็ฉีกยิ้มกว้าง แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูจะฝืน ๆ หน่อย ต้องห่างจากคนรักคงทำใจยิ้มอย่างดีใจไม่ได้หรอก“ฉันจะรีบเคลียร์งานแล้วกลับมาหาเธอ”“ต้องบินมาพร้อมคุณพ่อกับคุณแม่สิคะ ห้ามบินมาก่อนนะอีกแค่อาทิตย์เดียวเอง”“เวลาอาทิตย์เดียวสำหรับฉันมันนานมากจริง ๆ” พี่เพลิงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะดึงฉันมาสวมกอดทุกการกระทำของเราทั้งคู่ตกอยู่ในสายตาของคุณธนดล ท่านมองเราทั้งคู่แล้วก็ยิ้มไม่ได้พูดแทรกปล่อยให้เราสองคนล่ำลากันอย่างเต็มที่หลังจากส่งพี่เพลิงขึ้นเครื่องแล้วฉันก็ต้องนั่งรถไปเรียนต่อ พยายามบอกกับตัวเองให้อดทนเข้าไว้อาทิตย์หน้าก็จะได้เจอกันแล้ว#ตอนเย็น“แฟนพี่เอยหนีกลับแล้วเหรอครับ ไม่มีคนคอยยืนเฝ้าที่บ้านเลย หรือว่าพี่เอยถูกทิ้ง” โอมน้องชายของฉันไม่ค่อยรู้เรื่องอ
ฉันได้แต่ยืนเงียบไม่กล้าสบตาพ่อของพี่เพลิง ท่านคงไม่อยากได้ฉันเป็นลูกสะใภ้แน่ ๆ“ยายของเธออยู่ข้างในบ้านใช่ไหม”“ช… ใช่ค่ะ”หลังจากคำตอบคุณธนดลก็เดินปรี่เข้าไปข้างในบ้าน ตอนนี้หน้าฉันเสียแล้ว ถ้าท่านพูดอะไรไม่ดีกับยายต้องเสียความรู้สึกมากแน่ ๆ“เอยว่าเราคงไปกันไม่รอดแล้วค่ะ” ฉันหันมาบอกพี่เพลิงที่กำลังยืนนิ่งอยู่“ทำไมเธอถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมา”“พ่อของพี่เพลิงทำเหมือนไม่ชอบเอยแบบนั้น เราจะคบกันต่อได้ยังไง”“ฉันว่าเธอคิกมากไปนะเอิงเอย” ดูพี่เพลิงบอกสิ มาว่าฉันคิดมากได้ยังไงทั้งที่เห็น ๆ กันอยู่“คิดมากเหรอคะ ฟังจากน้ำเสียงพี่เพลิงก็น่าจะรู้” ฉันบอกเสียงสั่นก่อนหน้านี้ที่ทำก็แค่อยากดัดนิสัยไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันจบจริง ๆ พอมาเจอแบบนี้ทำให้ใจหวิว เหมือนเราต้องเลิกกันในวันนี้อย่างไงอย่างงั้น“มานี่ ไปฟังพ่อพูด” พี่อพลิงจับมือฉันจะพาเดินเข้าไปในบ้าน แต่ฉันสะบัดมือออก ถ้าเข้าไปฟังแล้วได้ยินอะไรอย่างที่คิดคงรับไม่ได้แน่ ๆ“ไม่ค่ะ เอยไม่ไป”“เธอนี่มันดื้อได้ใครนะ” พี่เพลิงขมวดคิ้วเข้มใส่ก่อนที่เขาจะคว้ามาจับมือฉันอีกครั้ง แล้วพาเดินเข้ามาในบ้านโดยที่ฉันร้องค้านอยู่“ไม่ค่ะ เอยบอกแล้วไงว่าไม
ฉันผลักตัวพี่เพลิงออกทำให้ตรงนั้นของเราหลุดออกจากกันทันที“ผลักทำไม” คนที่ถูกดันออกถามราวกับตัวเองไม่มีความผิด“เอยจะกลับแล้วค่ะ กรุณาใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วย” ฉันบอกเสียงเรียบก่อนจะชิงลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าก่อนพี่เพลิงนั่งทำหน้ามุ่ยสำนึกผิด เขาไม่พูดอะไรได้แต่หยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่เงียบ ๆ#บ้านตลอดทางเราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยจนกระทั่งถึงบ้าน ฉันหันมามองพี่เพลิงแล้วทำหน้าไม่พอใจใส่“คืนนี้เอยขอนอนคนเดียวนะคะ”“ล… แล้วฉันล่ะ เธอจะให้ฉันนอนที่ไหน” ใบหน้าคมคายเริ่มซีดเผือดเมื่อฉันบอกว่าจะนอนคนเดียว“พี่เพลิงหาที่นอนได้อยู่แล้วค่ะ แต่ถ้ามันหาไม่ได้จริง ๆ ก็นอนในรถไปเลย”“ขอโทษแล้วทำไมถึงยังโกรธอยู่อีก”“ขอโทษแล้วเอยต้องหายโกรธด้วยเหรอคะ”พูดจบฉันก็เปิดประตูลงจากรถทิ้งให้พี่เพลิงอยู่แบบนั้น เขาก็ไม่กล้าตามมานะ คงรู้ว่าฉันเอาจริงและตัวเองก็ผิดจริง ๆเข้ามาในห้องฉันก็ยังไม่นอน การทะเลาะกันมันทำให้ยากที่จะนอนหลับ ฉันคอยแอบย่องเดินมาส่องดูว่ารถของพี่เพลิงยังจอดอยู่หรือเปล่า จนแล้วจนเล่ารถก็ยังจอดอยู่ หมายความว่าเขานอนในรถจริง ๆ #วันต่อมาฉันไม่เจอพี่เพลิงรถก็ไม่อยู่ แต่เพราะต้องรีบไปเรียนบวกกั
ทั้งที่มีอะไรกันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนแต่ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าครั้งนี้มันต่างออกไป สีหน้าท่าทางที่หน้ากลัวของพี่เพลิงทำให้ฉันสั่นไปทั้งตัว“เรากลับบ้านกันดีกว่านะคะ” ฉันพยายามขอร้อง“บอกแล้วไงว่าเธอต้องโดนอบรมสั่งสอน”“เอยไม่ผิดอะไรสักหน่อย”“คนผิดมักไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง” พี่เพลิงตอบเสียงเย็น ก่อนจะพูดต่อ “อ่า เจอแล้ว”สิ้นสุดคำพูดเสียงไฟเลี้ยวรถก็ดังขึ้น ฉันมองไปตรงหน้าคือม่านรูด พอมีรถขับเข้าก็จะมีคนคอยส่องไฟเรียกให้ตามไป รถของพี่เพลิงขับมาจอดที่ในม่านรูด“พี่เพลิงเอยไม่ชอบที่แบบนี้”“ลงรถ” แทนที่จะฟังกันแต่เขากลับกระชากเสียงใส่ฉันพี่เพลิงลงไปจากรถก่อน ตอนนี้พนักงานกำลังเปิดห้องให้ ส่วนฉันก็ยังนั่งอยู่ในรถไม่ยอมลงจนกระทั่งพนักงานม่านรูดคนนั้นเดินหายไป พี่เพลิงเปิดประตูทางฝั่งที่ฉันนั่งแล้วดึงให้ลงมาจากรถเขาดูจะโกรธเอามาก ๆ“อ… เอยเจ็บนะคะ”“เจ็บก็ดีจะได้จำ” เขาบอกเสียงแข็งแล้วลากฉันเข้ามาในห้อง ก่อนจะเดินไปล็อกประตูให้เรียบร้อย“เป็นบ้าไปแล้วเหรอคะ” ฉันถามเสียงสั่น“เพราะเธอที่ทำให้ฉันเป็นบ้า”“พี่เพลิงพาเอยกลับบ้านนะคะ เรากลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่านะ” ฉันขอร้องอีกครั้งแต่อีกค