เขาเอ่ยทวงรางวัลแววตากรุ้มกริ่ม อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอิงดาวมองสบตาเขาด้วยความรักทั้งหมดที่มี หล่อนประคองแก้มทั้งสองข้างของเขาไว้ในมือนุ่ม จากนั้นก็เขย่งเท้า แตะริมฝีปากนุ่มลงบนริมฝีปากของอาจารย์หนุ่มเสี้ยววินาทีนั้นฝ่ามือใหญ่ข้างที่เหลือของเขาโอบรอบเอวหญิงคนรัก วงแขนแกร่งรั้งร่างบางให้เข้าประชิดแผงอกกว้าง ใช้ปลายลิ้นอุ่นค่อย ๆ ไล้ไปตามริมฝีปากหวานของเธอ เหมือนกับว่าเขาได้ค้นพบสิ่งที่หัวใจค้นหามาเนิ่นนาน ยิ่งลิ้มลองยิ่งลุ่มหลงเธอมากขึ้น เมื่อกลีบปากบางเผยอออก เขาก็แทรกปลายลิ้นอุ่นซ่านเข้าไปในโพรงปากหวานอิงดาวรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงทั้งเขาและเธอ ลมหายใจติดขัด ยิ่งเขาจุมพิตดูดดื่มโหยหามากเท่าไหร่ แขนขาของเธอยิ่งอ่อนแรงมากขึ้นเท่านั้น เหมือนรอบกายเต็มไปด้วยสีขาวโพลนพร้อมกับมีแสงเปล่งประกายระยิบระยับ นี่ใช่หรือไม่ที่เขาเรียกว่า อัญมณีหิมะของคู่รักรถยุโรปสีเงินวาววิ่งบนถนนสายที่มุ่งหน้าสู่รีสอร์ตชื่อดังที่มี หาดทรายส่วนตัว ตะวันอ่อนแสงลงมากแล้วเขาจึงปิดแอร์ และลดกระจกลงเพื่อรับลมธรรมชาติด้านนอก อิงดาวเอาคางเกยกับขอบประตูรถมองทิวทัศน์ข้างทางที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เธออยากจะเก็บทุกภา
“อะไรกัน ยัยมีนา เรียกฉันเสียดัง ตกใจหมด”คนถูกเรียกส่งสายตาค้อนขวับให้เพื่อนสาว แต่กระนั้นใบหน้าสวย ๆ ของเธอก็มิอาจลดความงามลงได้เลยนอกความงามภายนอกแล้ว ความงามที่จิตใจภายในของเธอยังแผ่รัศมีความชุ่มเย็นมาเผื่อแผ่บรรดาเพื่อนร่วมงานที่อยู่ใกล้ ๆ“ก็ฉันเรียกเธอตั้งสามสี่หนแล้ว แต่เธอเอาแต่จ้องทีวีนี่นา ข่าวในทีวีมีอะไรน่าสนใจเหรอ”แพทย์หญิงมีนา เพื่อนที่เรียนหมอรุ่นเดียวกันกับเรวดีถามขึ้น พลางเงยหน้ามองทีวีที่ปรากฏภาพสีขาวดำ แต่ภาพข่าวได้เปลี่ยนไปสู่ช่วงโฆษณาสินค้าแล้ว“สงครามที่ซีกโลกตะวันตกกำลังจะลุกรามมาที่เอเชีย เกรงว่าญี่ปุ่นจะบุกมาที่ไทยด้วย”เรวดีบอกเพื่อนสาวด้วยสีหน้ากังวลใจ เธอเป็นลูกสาวของท่านรองเลขานุการกองทัพบก หรือ พันเอกเกรียงไกร สถิตรักษาชาติ ทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นกว่าใคร เพราะครอบครัวของเธอเป็นประดุจรั้วป้องกันภัยของชาติในยามสงคราม“คงไม่หรอก”มีนาปฏิเสธไม่ได้เต็มเสียงนัก เธอเป็นลูกสาวร้านโชห่วยท้ายตลาด ทำให้รู้ว่าช่วงนี้ข้าวของแพงขึ้น และประชาชนเริ่มกักตุนสินค้ามากขึ้น อาจจะเป็นเพราะว่าทุกคนต่างตื่นกลัวกับข่าวสงครามเธอรีบสลัดความกังวลทิ้งไป เพราะคืนนี้ทั้งคืนเธอต้อ
“เชิญครับ”เสียงทุ้มดังขึ้น พร้อมกับประตูรถเปิดออก หญิงสาวจึงรู้ตัวว่ามาถึงที่ร้านอาหารไทยริมแม่น้ำแล้ว“ขอบคุณค่ะ”เรวดีวางมือนุ่มลงเป็นฝ่ามือแกร่งอันอบอุ่นของเขา ใช้ยึดเป็นหลักลุกขึ้น จากนั้นก็ถือโอกาสคล้องแขนเขา เดินเคียงกันเข้าไปในร้านอาหารธราดลพาเธอไปนั่งยังโต๊ะที่อยู่ริมระเบียง ติดกับริมแม่น้ำ บัดนี้ดวงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม มองเห็นดาวดวงเล็ก ๆ เริ่มปรากฏขึ้นมาให้เห็นบ้างแล้ว“วันนี้ วันพิเศษอะไรกันคะเนี่ย”เรวดีเอ่ยถามขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้ ที่นายทหารหนุ่มเลื่อนออกให้ เขามักจะดูแลปกป้องเธอราวกับเจ้าหญิง และเธอเองก็ยินดีที่จะให้เขาดูแลเอาใจใส่เช่นนี้ กลางโต๊ะประดับด้วยเชิงเทียนดอกกุหลาบสีชมพู เข้ากันกับผ้าปูโต๊ะลูกไม้สีขาว และโต๊ะที่ถูกประดับตกแต่งอย่างประณีตเป็นพิเศษ“วันเกิดวดีไงครับ จำไม่ได้หรือ”เสียงทุ้มตอบ ขณะที่ทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ทุกกิริยาและคำพูดของเขาล้วนเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ตอนนี้เพิ่งจะหกโมงเย็น ยังไม่มีแขกโต๊ะอื่น จึงทำให้บรรยากาศเงียบสงบและค่อนข้างที่จะเป็นส่วนตัว“ตายจริง วดีลืมจริง ๆ ด้วย”เรวดีปิดปากหัวเราะ ทั้งงานในโร
เสียงล้อรถเสียดสีไปกับถนน ชายหนุ่มหักพวงมาลัยรถเพื่อหลบร่างคนที่ล้มกลิ้งไปอีกทางเมื่อรถหยุดแล้ว ธราดลรีบเปิดประตูรถวิ่งไปดูคนที่ตัดหน้ารถเขาด้วยความเป็นห่วง เขาเข้าไปเขย่าร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่กลางถนน“คุณครับ คุณครับได้รับบาดเจ็บไหมครับ”พลั๊วะ !ร่างนั้นเงยหน้าขึ้นพร้อมปล่อยหมัดหนัก ๆ เข้าไปเสยคางของธราดลเต็มแรงชายหนุ่มไม่ทันระวังตัวจึงล้มลงไป“อาจารย์ธาวิน !”อิงดาวกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ยังไม่ทันที่ธราดลจะลุกขึ้นได้ ร่างบึกบึนกำยำของชายอีกคนก็วิ่งเข้ามาเตะเขาที่สีข้างเต็มแรงตุบ !“อึก” ร่างของธราดลทรุดลงไปอีกครั้ง เขาทั้งเจ็บ และจุกจนต้องงอตัว หากสู้กันซึ่งหน้า ๆ เขาไม่มีทางถูกทำร้ายง่าย ๆ แบบนี้แน่ ชายหนุ่มกัดฟัน พลิกตัวหลบเท้าอีกข้างของชายร่างใหญ่อีกคนที่วิ่งเข้ามาสมทบ เมื่อยืนขึ้นได้เขาก็เตะเท้าออกไป จนพวกมันถอยห่างออกไปหลายก้าว เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากของเขา ชายฉกรรจ์ที่ลอบทำร้ายเขาพวกนั้น ล้วนใช้ผ้าดำปิดหน้า เหลือให้เห็นแค่ตา“ฉันเป็นทหาร รู้ไหมว่าทำร้ายข้าราชการมีความผิด”ธราดลตั้งการ์ดคุมเชิง ตอนนี้หนึ่งต่อสาม ยังไงเขาก็เสียเปรียบ จึงต้องขู่พวกมันไปเพื่อประวิงเวลารอ
“เรียบร้อยแล้วครับ”เขาพยายามตอบคำถามให้สั้นที่สุด เพื่อที่จะได้โกหกแม่ให้น้อยที่สุด ดวงตาของมารดาสำรวจเนื้อตัวของลูกชาย นางเนียรเป็นช่างตัดเสื้อมาก่อน ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ความละเอียด และความแม่นยำของสายตา ดังนั้น คราบเลือดบนเสื้อจุดเล็ก ๆ ก็ไม่อาจหลุดรอดไปจากดวงตาที่เริ่มมีฝ้าขึ้นจาง ๆ ของนางไปได้มือเหยี่ยวย่นสั่นน้อย ๆ เมื่อเอื้อมไปจับหมวกทหารให้เปิดสิ่งที่ปกปิดเอาไว้ออก แต่บุตรชายกลับยึดหมวกเอาไว้แน่น จนนางต้องเค้นเสียงสั่ง“ตาดล ปล่อยหมวก”“แม่ครับ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่บังเอิญว่าลูกน้องมันเมาแล้วอาละวาด ผมจึงถูกลูกหลงเท่านั้นเอง”ธราดลยอมปล่อยหมวก ฝืนความเจ็บปวดเอาไว้ แล้วปั้นยิ้มขึ้นให้เหมือนกับคำพูดของตน ว่าไม่มีอะไรที่ต้องเป็นกังวล“แกเป็นลูกแม่ แกคิดว่าจะโกหกแม่ได้เหรอ ! นี่แกแอบไปหาลูกสาวผู้พันอีกแล้วใช่ไหม ถึงถูกทำร้ายมาแบบนี้ !”เสียงสั่นเครือของแม่ตวาดออกมาด้วยความโกรธจัด โกรธที่ลูกชายไม่เชื่อฟัง โกรธที่เขารักผู้หญิงคนนั้นมากกว่าชีวิตตนเอง ยิ่งเห็นบาดแผลบนตัวของลูกชาย ใจนางยิ่งปวดร้าว“แม่ครับ”ธราดลอับจนคำพูด เขารู้สึกเสียใจที่ทำให้แม่โมโห“ครั้งที่แล้วถูกซ้อม ครั้ง
“แล้วพ่อจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าลูกสาวของพ่อจะไม่แอบเอามันมาสวมอีก ลูกก็รู้ เราเป็นหญิงไทย และยังเป็นลูกท่านรองเลขานุการกองทัพบก การที่สวมแหวนไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายก่อนเข้าพิธีแต่งงาน พ่อว่ามันไม่งามนะ”“ก็ได้ค่ะ”เรวดีถอดแหวนให้พ่ออย่างอิดออด พ่ออธิบายยืดยาวขนาดนี้ ท่านคงเห็นว่าไม่เหมาะสมจริง ๆ จึงไม่อยากให้เธอสวม“อืม ดีมากลูกรัก พ่ออยากให้รู้ว่าสิ่งที่พ่อกระทำทั้งหมดก็เพราะหวังดีกับลูกเสมอ ลูกเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อ”เสียงบิดาเต็มไปด้วยความห่วงใย ลูกสาวจึงยิ้มให้พ่อก่อนกล่าวว่า“ลูกทราบค่ะ”จากนั้น ภาพตรงหน้าของอิงดาวก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้ อิงดาวพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในทางเดินที่เชื่อมต่อระหว่างตึกกับลานจอดรถ ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งกำลังเดินออกมา จากตัวอาคารผู้ป่วยนอก ของโรงพยาบาลวังหลังผู้หญิง คือ เรวดี อิงดาวจำตนเองในอดีตชาติได้ดี แต่ผู้ชายที่เดินเคียงข้างเธอกลับไม่ใช่ธราดลชายหนุ่มผู้นี้ รูปร่างสูงบาง ผิวขาว ใบหน้าอ่อนโยนมีแว่นตาสวมเป็นกรอบให้กับดวงตาเรียวชั้นเดียว สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีดำรีดเรียบกริบจนเห็นคมเหลี่ยมปรากฏขึ้นชัดเจน “ขอบคุณนะครับ ลำบากคุณเรวดีแล้วท
หมอพงศ์ยื่นมือออกไป เพื่อเช็กแฮนด์ตามธรรมเนียมฝรั่ง แม้ว่าเขาจะอายุน้อยกว่าธราดล แต่เขาก็ไม่ยอมยกมือไหว้ตามธรรมเนียมประเพณีไทย เพราะผู้ชายตรงหน้าคือกระดูกชิ้นใหญ่ที่ขวางคอเขา !“ครับ”ธราดลเชิดอกขึ้น เอามือสองข้างล้วงกระเป๋าด้วยท่าทีสบาย ๆ ก่อนเอ่ยเหมือนการสั่งสอนผู้ที่เด็กกว่าว่า“พอดีผมเป็นคนไทย และรักวัฒนธรรมอันดีงามของไทยมากกว่าวัฒนธรรมฝรั่งมังค่า จึงไม่ค่อยถนัดการจับมือทักทาย หวังว่าคุณหมอคงจะไม่ถือสานะครับ”“อ่อ”หมอพงศ์เลิกคิ้วขึ้น ยิ้มกวน ๆ ให้นายทหารก่อนเอ่ยขึ้นว่า“ต้องขออภัยผู้กองเช่นกัน บังเอิญว่าผมเรียนอยู่ที่อเมริกานานจึงติดนิสัยมาจากฝั่งนู้นมากหน่อย”เขากล่าวคล้ายจะอวดว่าเป็นนักเรียนนอก“เอ่อ... เดี๋ยววดีต้องรีบมาเข้าเวรต่อ วดีกับคุณหมอพงศ์ขอตัวก่อนนะคะพี่ดล”เรวดีรีบพูดขึ้น เมื่อรู้สึกว่าเกิดสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสองหนุ่ม“ครับ ขอตัวนะครับ”หมอพงศ์โค้งศีรษะลงเล็กน้อยให้กับธราดลเพื่อลาตามมารยาท เรวดีส่งสายตาลำบากใจให้ธราดล ก่อนรีบเดินตามชายหนุ่มอีกคนไปธราดลยืนมองทั้งคู่เดินไปที่รถซิมคาป้ายแดงจากประเทศฝรั่งเศสราคาเฉียดหลักล้าน เขารู้สึกว่าหญิงคนรักกำลังจะเดินห่างออกไ
แม้แต่ชีวิตของธราดลเองยังเอาไม่รอด แล้วชายหนุ่มจะปกป้องดูแลลูกสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวของเขาได้อย่างไร มีแค่ยศยังไม่พอ ต้องมีอำนาจและทรัพย์สินมากพอจึงจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้“อย่าเอ่ยถึงความรักโง่ ๆ ของมึงให้กูได้ยินอีก เพราะความรักของแกมันปกป้องชีวิตลูกสาวกูไม่ได้ !”ธราดลได้แต่ปรือตาขึ้นมอง ปากขยับคล้ายจะเถียงแต่กลับไม่เสียงเปล่งออกมา ในใจของเขาต่อต้านคำพูดนั้นอย่างรุนแรง ความรักที่เขามีต่อเรวดีมันมากพอที่เขาจะสละชีวิตเพื่อปกป้องเธออย่างดีที่สุด เพราะหากขาดเรวดีไป เขาก็คงจะขาดใจเหมือนกัน“เหอะ ! ดูจากแววตาของมึงแล้ว มึงคงจะยังไม่เข้าใจที่กูบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน กูจะส่งมึงไปที่ชายแดน บางทีลูกปืนกับลูกระเบิดแถวนั้น อาจจะช่วยให้มึงคิดขึ้นมาได้ว่า ระหว่างความรักโง่ ๆ กับชีวิตของแม่ แก่ ๆ ของมึง อะไรสำคัญกว่ากัน !”พันเอกเกรียงไกรกล่าวชัดเจน เน้นทีละคำ เขาปล่อยปืนลงธราดลได้ยินคำว่า - แม่ – ความห่วงใยในตัวมารดาแล่นเข้าสู่หัวใจ จนรู้สึกใจหายวาบ ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างอยากลำบาก เผยอปากเอ่ยอย่างอยากลำบากว่า“ยะ อย่าทำอะไรแม่ผม”“หึ ! ระหว่างที่กูส่งมึงไปอยู่ชายแดน กูสัญญาว่าแม่มึงจะปลอดภัย
ความจริงที่ซ่อนไว้ 8ฉันอาจจะเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ Unlucky in love , Unlucky in gameเมื่อถึงรอบการประเมินเพื่อเลื่อนตำแหน่งจากพนักงานมหาวิทยาลัยระดับฝึกหัดเป็นระดับปฏิบัติการหากผ่านจะมีฐานเงินเดือนที่สูงขึ้น และมีความก้าวหน้าในสายงานอาชีพมากขึ้นปรากฏว่าฉันถูกประเมินว่า “ไม่ผ่าน” ซึ่งหัวหน้าสำนักงาน (พี่ณี) และท่านรองฯ ให้เหตุผลกับฉันว่า...เพราะเธอไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ (คงจะเป็นเมื่อครั้งที่ฉันรั้นจะจัดอบรมนอกมหาวิทยาลัย) มาสาย และบ่นลงเฟสบุ๊คเหตุผลแต่ละข้อที่กล่าวมา ทำให้ฉันหัวเราะทั้งน้ำตาการเลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนไม่ได้ดูที่ผลงานหรืองานที่พัฒนาขึ้น แต่วัดกันที่เหตุผลส่วนบุคคลของคนบางกลุ่ม จนบางครั้ง ฉันรู้สึกหมดแรงกับการทำงานตั้งใจทำงานเพื่ออะไร พัฒนางานไปเพื่ออะไรทำงานให้เสร็จเรียบร้อยเพื่ออะไรเพราะทำไปเงินเดือนก็ไม่ขึ้น ตำแหน่งก็ไม่ได้ สู้เอาแรงกายแรงใจไปนั่งเลียแข้งเลียขาเจ้านายดีกว่าไหมสุดท้าย....ฉันก็ต้องยอมรับกับผลการประเมินที่ไม่เป็นธรรมแต่จะให้เปลี่ยนตนเองเป็นคนเลียแข้งเลียขา หรือเช้าชามเย็นชามก็ไม่ไหวเพราะสิ่งที่ฉันยึดมั่นอยูในใจเสมอมา คือค่าของคนอยู
ความบังเอิญครั้งที่ 4วันนั้น ฉันจัดประชุมคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์กว่าการประชุมจะสิ้นสุดลง ก็กินเวลาจวนเจียนจะบ่ายข้าวเที่ยงยังไม่ตกถึงท้อง น้ำย่อยในกระเพาะมันร่ำร้องให้ฉันพาตนเองไปทานข้าวที่โรงอาหารกลางเมื่อกินข้าวเสร็จก็ลุกขึ้นเพื่อเอาจานไปวางไว้ที่อ่างสำหรับเตรียมล้างนึกไม่ถึงเลยว่าจะเจออาจารย์ A กำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่ด้านหลังเขานั่งหันหลังให้ฉันแม้หัวใจมันร่ำร้องอยากจะเข้าไปทักแต่สถานะที่เป็นอยู่ทำให้ฉันต้องข่มใจ แล้วเดินผ่านอาจารย์ไปฉันเดินออกจากโรงอาหารไปด้วยหัวใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะขึ้นสำนักงาน จึงแวะที่ร้านกาแฟก่อนระหว่างที่นั่งรอกาแฟนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ A จะมาที่ร้านกาแฟเหมือนกันอาจารย์ A เปิดประตูเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉย มองฉันแค่แวบเดียวแล้วมองผ่านเลย เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันฉันกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอในเมื่อเขาไม่อยากรู้จัก เราก็จะไม่ทักเขาให้ต้องระคายเคืองใจเมื่อได้กาแฟแล้ว ฉันก็รีบเดินออกจากร้านทันทีและสิ่งที่ทำให้ฉันตัดใจไม่ได้สักที คือผลจากแผนการที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้นที่ฉันเที่ยวไปประกาศปาว ๆ ว่างานอะไรที่เกี่ยวข้องก
ความจริงที่ซ่อนไว้ 7ยิ่งคุยกัน.....ระยะห่างระหว่างเรายิ่งสั้นลงเรื่อย ๆไม่รู้ทำไม...ทุกครั้งที่จบการสนทนาในแชทบล็อกเราต้องนั่งอมยิ้มคนเดียวแล้วในหัวก็จะมีเรื่องของเขาวนเวียนอยู่ในหัวทันทีที่เริ่มรู้สึกรัก ฉันก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดอกหักทันทีที่รัก เพราะรู้ดีแก่ใจว่า รักครั้งนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ฉันตั้งใจขุดหลุมล่อหลอกอาจารย์ให้ตกลงไปเพื่อใช้อาจารย์เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นหัวหน้ากลับกลายเป็นฉันที่ตกลงไปในหลุมเสียเองจนอยากที่จะปีนขึ้นไปในขณะที่ฉันเริ่มรู้ตัวว่าหลงรักอาจารย์จนยากจะตัดใจอาจารย์ก็เริ่มรู้ตัวว่าถูกฉันตามจีบการสนทนากันในแชทจึงเริ่มน้อยลง อาจารย์ A ถามคำตอบคำจนฉันเริ่มรู้ถึงการรักษาระยะห่างของเขาฉันจึงพยายามตัดใจจากเขา เพราะเข้าใจดีว่า ผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่มีทางมองผู้หญิงระดับต่ำกว่าแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา การศึกษา หรือฐานะดังนั้น ฉันจึงห้ามใจไม่ทักแชทไปอีก และหักดิบโดยการเลิกเป็นเพื่อนกับเขาทาง F******k เพื่อที่จะไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเขาอีกแต่ดูเหมือนฟ้าจะยังคงสนุกกับการทรมานหัวใจของฉันยิ่งอยากตัดใจ ก็ยิ่งให้ฉันต้องบังเอิญ
จนกระทั่งรถวิ่งผ่านสวนป่าข้างหนองน้ำ...“ ด้านซ้ายมือ... จะเห็นเครื่องออกกำลังกาย... สำหรับออกกำลังกายตอนเย็นๆ รอบหนองน้ำเป็นทางวิ่ง เขาเรียกกันว่า.... หนอง... หนอง....”อาจารย์ A หันมาสบตาฉันเพื่อขอความช่วยเหลือ...“หนองอิเจมค่ะ”ฉันตอบทันทีอย่างรู้งาน“ทำไมถึงชื่อ หนองอิเจมหรือครับ”วิทยากรสงสัย.......และแล้วอาจารย์ A ก็ได้รับอีก 1 หน้าที่ นั่นคือ นักเล่าประวัติศาสตร์หนองอิเจมของมหาวิทยาลัยจนกระทั่งในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้าตึกสำนักงานอธิการบดีที่รถอาจารย์ A จอดไว้เครื่องมือแก้แค้นหัวหน้ากำลังจะลงจากรถแล้ว !ฉันเหลือบมองกระเป๋าอาจารย์ A ที่วางอยู่บนเบาะข้าง ๆสวรรค์ช่างเข้าข้างนัก !ฉันจึงถือกระเป๋าใบนั้นขึ้นมา ในขณะที่อาจารย์ A กำลังไหว้ลาวิทยากร แล้วเปิดประตูลงจากรถ“อาจารย์คะ กระเป๋าค่ะ !”ฉันตะโกนเรียกอาจารย์ พร้อมกับชูกระเป๋าให้ดู“อ๋อ... ขอบคุณครับ”ฉันยื่นกระเป๋าให้.....มือหนึ่งจับด้านข้าง.... อีกมือสอดไว้ใต้กระเป๋าอย่างจงใจ...อาจารย์ A ยื่นมือมารับกระเป๋า...มือนุ่มๆ ยาวเรียวของเขาประกบกับมือเล็ก ๆ ที่ฉันจงใจสอดไว้ใต้กระเป๋าหนังใบโต...Yes !เป็นไปตามแผน !... ฉันลิงโลดในใจ
ความจริงที่ซ่อนไว้ 5และแล้ววันอบรมก็มาถึง !ฉันต้องดีดตัวเองลุกจากที่นอนตั้งแต่ไก่โห่ !แล้วแจ้นไปรับวิทยากรที่สนามบิน !….ส่วนอีกทีมหนึ่งฝากให้น้องนก กับพี่เกด คอยต้อนและรับเหล่าอาจารย์ ที่เข้าร่วมอบรมให้ขึ้นรถบัส แล้วไปสมทบกันที่ รีสอร์ต The best orchid….เริ่มต้นการอบรม เป็นไปอย่างสวยงาม ผู้เข้าร่วมอบรมต่างประทับใจวิทยากรกันยกใหญ่...ทึ่งกับความคิดที่ไม่เหมือนใครทึ่งกับแนวทางการก้าวสู่ “ตำแหน่งศาสตราจารย์” ที่อายุยังน้อยและทึ่งกับฉันที่สามารถขุดค้นศาสตราจารย์ท่านนี้มาได้น้อง ๆ พี่ทีมงานที่มาช่วยจัดอบรมต่างรู้กันดีว่า ฉันกำลังวางแผนจีบอาจารย์ A เพื่อแก้แค้นหัวหน้า ดังนั้น ทุกคนต่างสนับสนุนช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น ช่วยถ่ายรูปอาจารย์ A เอาไว้แทบจะทุกช็อตในระหว่างที่นั่งอบรมกันในห้องประชุมนั้นอาจารย์ A ขอน้ำดื่มเพิ่ม พี่เกดก็มาสะกิดฉันให้ยกน้ำดื่มไปเสิร์ฟอาจารย์แม้กระทั่งตอนพักเที่ยง....ฉันแอบชำเลืองมองไปที่โต๊ะอาหารที่กลุ่มอาจารย์คณะวิศวะฯ นั่งอยู่ เมื่อเห็นว่า กลุ่มอาจารย์กำลังลุกออกจากโต๊ะฉันจึงรวบช้อน รีบกลืนข้าวที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดให้ลงคอ แล้วตามด้วยน้ำ“หนู
ความจริงที่ซ่อนไว้ 41 สัปดาห์ผ่านไป !อาจารย์ท่านอื่นๆ สมัครมาเกือบจะเต็มจำนวนที่เปิดรับแล้วอาจารย์ A ยังไม่ตอบรับมาเลย >เอาไงดี ๆ -ฉันกระวนกระวายในใจ“พี่เกด !” (นามสมมุติ)ฉันร้องเสียงหลง... ทันทีที่เห็นพี่เกดเดินเข้ามาในออฟฟิศ....ยังเช้าตรู่ ทั้งออฟฟิศมีแค่ฉันกับพี่เกด ดังนั้น ฉันจึงโหวกเหวกได้ตามใจ“แวะ ๆ แวะ โต๊ะหนูก่อน”ฉันลากพี่เกดมาที่โต๊ะ“พี่เกด หนูจะเชิญอาจารย์ A ไปอบรมกับหนูแบบเนียน ๆ”“หือ....”พี่เกดลากเสียง ตาวาว เพราะไม่มีใคร ไม่รู้จักความฮอต ของอาจารย์ผู้นั้น“หนูอยากจะทำความรู้จักกับอาจารย์ A ค่ะ”ฉันรีบบอกความต้องการของตนเองไปอย่างตรงไปตรงมา เพราะตอนนี้ความอยากแก้แค้น และเอาคืน มันมีมากกว่าความรู้สึกกระดากอาย“เอาจริง”“จริงแท้ แน่นอน”“เปลี่ยนเป้าหมายใหม่เถอะ ! เขาเป็นถึงตัวท๊อปของคณะวิศวะเลยนะ ! เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์เลยนะคะ”พี่เกดพูดพร้อมกับจะขยับตัวลุกขึ้น แต่คนมือไวคว้าหมับ รั้งไว้“ไม่เปลี่ยนใจค่ะ ! ให้หนูลองดูสักตั้งนะคะ”วินาทีนี้ ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนความตั้งใจของฉันได้ !สุดที่รักของหัวหน้าใช่ไหม ! คอยดู ! แล้วฉันจะสอยลงมาอยู่ในกำมือ
แต่กลับเชื่อเพียงลมปากของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็น “หัวหน้าสำนักงาน”!ลมปากที่พ่นออกมา...ไม่ใช่สีขาวแน่ๆ...แต่ต้องแต่งเติม......สาดสีเน่าๆ ขนาดไหนหนอ....ถึงสามารถเป่าหูท่านรองฯ ให้คุกรุ่นได้ขนาดนี้ !เมื่อพลิกกี่รอบ ๆ... ก็ไม่เจอสิ่งที่อ้างเอ่ย..ท่านรองฯ จึงหยิบดินสอขึ้นจรดลงบนกระดาษ“งั้นก็ไปแก้... คำถูกคำผิดมา ตรวจทานอีกรอบแล้วกัน”“ค่ะ”ฉันรับคำ พร้อมยื่นมือรับเอกสารคืนอย่างอ่อนแรง“แก้เสร็จ ก็ค่อยเสนอใหม่นะ แล้วคราวหน้า จะทำอะไร ก็ให้เข้ามาปรึกษาก่อน”“ค่ะ”ฉันรับแฟ้มเอกสารโครงการคืน.....เดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน...วางแฟ้ม.... ปิดคอมพิวเตอร์....เดินออกจากสำนักงาน... ด้วยดวงใจที่อ่อนล้า...พร้อมกับเสียงกระซิบบอก........เลิกเถอะ !... พอกันที !........เธอจะทำโครงการดี ๆ ให้คนเขาด่าเล่นทำไมวะ !...เลิกสรรหาผู้ทรงดี ๆ เอาแค่ใครก็ได้......เลิกทำจริง ๆ แล้วเอารายชื่อผีมาเบิกเงินหลวงกิน !...เลิกคิด เลิกทำสิ่งใหม่ ๆ .....แล้วปล่อย.... ให้ทุกสิ่งคงอยู่ในกะลาครอบของมัน !..ตะวันลาลับขอบฟ้า แต่หยาดน้ำตา กลับรื้อขึ้นมาไม่ขาดสายความจริงที่ซ่อนไว้ 3.....เสียงเซ็งแซ่... ของเหล่านกกา....กู
“ถ้าจะจัด... ก็ห้ามเอาคนในสำนักงานไปด้วย”“ค่ะ. เอาไปเฉพาะคนทำงานค่ะ”ฉันตอบ“รายชื่อที่ ใส่มาตัดออกให้หมด แล้วเสนอคนทำงานมาใหม่”หัวหน้าใช้ปากกาขีดฆ่ารายชื่อแนบท้ายหนังสือขออนุมัติจัดอบรมในขณะที่ปากกาในมือขีดเขียนโครงการอบรมของฉันจนยับเยินปากหัวหน้าก็พูดไปว่า“....เอาคนไปทำไมเยอะแยะตั้งห้าหกคน”ฉันเถียงในใจว่า- ก็ออกไปจัดอบรมข้างนอก ต้องมีคนช่วยขนของ. ช่วยดูแลบนรถ. ช่วยลงทะเบียน. ช่วยจัดกิจกรรม. รับวิทยากร. ฯลฯ..- แต่คำที่หลุดออกมาจากปากฉันจริง ๆ มีเพียงคำว่า...“ค่ะ”.“แล้ว เรื่องเที่ยว ตัดออกเลยนะ ! ห้ามไป !”“ค่ะ”ตอบค่ะ.... แต่ในใจอยากสวนกลับเต็มทนว่า- มันไม่ใช่เรื่องเที่ยวนะ ! กรุณาอ่านให้จบ !มันเป็นการท่องโลกกว้าง เพื่อเปิดโลกทัศน์ กระตุกความคิด ในชั่วโมงว่าง ! -หลังจากที่ขีด เขียน ฆ่า กระดาษโครงการของฉัน... จนสาแก่ใจ......หัวหน้าก็ปิดแฟ้ม แล้วเลื่อนซากโครงการที่พรุนไปด้วยปากกาแดงมาตรงหน้า“ไปแก้ไขมา ! แล้วค่อยมาเสนอใหม่ !”“ค่ะ”ฉันรับแฟ้มงานคืน แล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะ....วันนี้คงต้องงดวิ่งบนสนาม....แต่เปลี่ยนมาวิ่งบนแป้นพิมพ์แทน !ต้องแก้งานก่อน !ตอนนี้เหลือเวลา อีก 7
วันหนึ่งสำนักงานวิจัย แจ้งให้อาจารย์ขึ้นมาลงนามในสัญญารับทุนวิจัยที่โต๊ะพี่ณี (หัวหน้าสำนักงาน)และแล้วในตอนบ่าย ขณะที่ฉันกำลังเตรียมเอกสารจัดส่งไปตามคณะต่าง ๆ น้อง ๆ พี่ ๆ ผู้หญิงในสำนักงานเหมือนจะมีอาการนั่งไม่ติด สบตากันไปมา แล้วยิ้มเหมือนมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นฉันจึงหยุดมือจากเอกสารตรงหน้า แล้วตั้งใจมองหาสิ่งที่ทำให้สาว ๆ ทั้งสำนักงานเสียอาการ พี่คนหนึ่งส่งสายตาพยักพเยิดให้ดูหัวหน้าสำนักงานพี่ณีเดินเชิดหน้าคอตั้งเข้ามา พร้อมกับอาจารย์ A ตรงไปยังโต๊ะของตนเพื่อที่จะลงนามในสัญญารับทุน ใบหน้าอวบอ้วนของพี่ณีบานแฉ่งยิ่งกว่ากระด้ง แม้ว่าหัวหน้าสำนักงานจะพยายามเก็บอาการอย่างยิ่ง แต่แววตาของหัวหน้าที่บอกว่าปลื้มอาจารย์ A มาก กลบเท่าไหร่ ก็กลบไม่มิดส่วนอาจารย์ A นั้น ก็นิ่งขรึมไม่มีทีท่าวอกแวกกับสาว ๆ คนไหน หรือพูดจาทักทายกับใครสักคน เขาแค่นั่งลงที่โต๊ะ จรดปากกาลงในเอกสาร จากนั้นก็ลงขึ้นเดินกลับออกไปฉันรู้สึกในใจว่า อาจารย์ A ทั้งหยิ่ง ทั้งขี้เก๊กขนาดนี้ มีอะไรให้ชื่นชอบกันหนักหนา ที่สำคัญสายตาคมกริบ ปากบาง ๆ แบบนั้น ต้องดุมากแน่ ๆ ผู้ชายแบบนี้อันตราย อยู่ห่าง ๆ ไว้ดีที่สุดแต่ดูเหมือนว่า