“จุ๊ๆ ที่จริงรูปร่างหน้าตานังหนูนี่ก็ไม่เลวนะ คงพอจะให้เสี่ยแก้เซ็งได้ซักระยะ ฮ่าๆ” คำนั้นทำเอาหัวอกพ่อแม่ร้าวรานแทบปริแตก “ไปกันเถอะสาวน้อย เดี๋ยวพวกพี่จะพาไปสวนสนุกของเสี่ยนะจ๊ะ รับรองว่าหนูต้องชอบ”“ไม่ไป ไม่ไป ไม่...”“ลูกแป้ง! ไม่นะ อย่าเอาลูกฉันไป เอาลูกฉันคืนมา...” ร่างอวบของหญิงกลางคนโผเข้าหาลูกสาวอย่างลืมกลัว ก่อนถูกหนึ่งในสมุนเสี่ยอำพลง้างมือตบจนล้มคว่ำเลือดกบปาก ท่ามกลางความตะลึงของคนเป็นสามีและลูกสาว นายปิยะรีบยกมือไหว้ขอร้อง“อย่าทำเมียผมเลย ได้โปรด ผมไหว้ละ อย่า...โอ้ย!” คนห้ามร้องลั่นเมื่อถูกหวดเข้าที่ชายโครงจนจุกลงไปนอนกองที่พื้น ก่อนที่กลุ่มคนพวกนั้นจะหันมารุมเตะต่อยซ้อมเขาจนสะบักสะบอมหมดสภาพไม่ต่างจากเมียรัก“พอๆ...เดี๋ยวพวกมันตายซะก่อน” สมุนหัวโจกร้องห้าม ก่อนที่สองผัวเมียจะน่วมไปกว่านี้ “เอาล่ะ ถ้าพวกมึงสองคนอยากได้ลูกคืนก็ไปเอาตัวนังนั่นมาให้เสี่ยซะ ไม่งั้นก็รอรับ...หึหึ ไม่ต้องสาธยายก็คงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับของเล่นของเสี่ยบ้าง เด็กๆ รุ่นๆ เนื้ออ่อนๆ แบบนี้เสี่ยชอบนักล่ะ รายล่าสุดเพิ่งถูกหามศพไปทิ้งที่บ่อไอ้เข้เมื่อเช้า สภาพยับเยินดูไม่ได้เลย ภาวนาให้ลูกพวกมึง
หญิงสาวสะดุ้งหน้าถอดสี แต่แวบเดียวเธอก็ประคองสีหน้าให้เป็นปกติเพื่อไม่ให้มารดาผิดสังเกตจนต้องเป็นห่วง ยิ่งตอนนี้สุขภาพของอีกฝ่ายยังไม่เต็มร้อยด้วย“มะ...ไม่มีนี่คะ จ๋าไม่ได้เป็นอะไร แค่เหนื่อยๆ เรื่องงานเท่านั้น แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ จ๋าสบายมากค่ะ” รุจารินพยายามฝืนยิ้มร่าเริงให้มารดากลบเกลื่อนเรื่องไม่สบายใจทั้งมวลที่ก่อกวนหัวใจอยู่ในเวลานี้“จ้า คนเก่ง แม่รู้ว่าลูกสาวแม่น่ะเก่ง แต่ถ้ามีเรื่องอะไรที่จ๋าอยากระบายหรืออยากปรึกษา อยากเล่าให้แม่ฟัง แม่อยู่ข้างๆ พร้อมรับฟังลูกทุกเรื่องเสมอนะจ๊ะ”คนฟังแอบหลุบตาลงนิดๆ ในใจครุ่นคิดหนัก ที่ผ่านมาเธอไม่เคยมีความลับกับแม่ แต่หากแม่รู้เข้าว่าเธอไปเจออะไรมา จะเป็นเช่นไร ยิ่งได้รู้ว่าคนที่เธอพาเธอไปพบเรื่องเลวร้ายคือใคร แม่จะรับได้ไหม หากแม่รู้ว่าเธอถูกพ่อหลอกเอาตัวไปสังเวยไอ้เสี่ยนั่นจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แม่จะว่ายังไงนะ“แม่คะ คือว่าที่จริงจ๋ามีเรื่อง...” ยังไม่ทันเอ่ย จู่ๆ ก็มีเสียงกดออดหน้าบ้านดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน“ใครมาดึกๆ ดื่นๆ กันเนี่ย”“แม่นั่งเถอะค่ะ เดี๋ยวจ๋าจะออกไปดูให้เองว่าใครมา” ว่าแล้วร่างเพรียวก็ผลุนผลันออกไปทันที“ลูกจ๋า! อยู่น
“ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ออกไปให้พ้นบ้านแม่ของฉันเดี๋ยวนี้ แล้วไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีก อ้อ! แล้วก็ฝากกลับไปบอกไอ้เสี่ยสารเลวนั่นด้วยว่าให้มันไปลงนรกซะ ถามจริงๆ เถอะ คุณไม่ละอายใจบ้างเลยหรือไงที่ทำกับลูกตัวเองแบบนี้ หมามันยังรักลูกของมัน แต่สิ่งที่คุณทำกับฉันมันเลวร้ายยิ่งกว่า...”“ยัยจ๋า!” ชายกลางคนอารมณ์ขึ้นที่ถูกลูกสาวยกตัวไปเปรียบกับหมา “มันจะมากเกินไปแล้วนะ ลืมแล้วเหรอว่าฉันยังเป็นพ่อแก”“ไม่ลืมค่ะ แต่ไม่อยากจำให้เปลืองสมองต่างหาก”ดวงตาคู่งามวาวโรจน์ ฟางเส้นสุดท้ายในใจขาดผึง“ฉันไม่เคยลืมว่าตัวเองเป็นใคร และคุณเป็นใคร ถ้าหากคุณยังมีสำนึกของความเป็นพ่อคนจริงก็คงไม่ส่งลูกของตัวเองไปลงนรกเหมือนที่กำลังทำอยู่นี่หรอก โชคดีที่ฉันรอดมาได้ แต่นี่อะไร แทนที่จะสำนึกผิดบ้าง กลับจะมาทำผิดซ้ำซาก ถามจริงเถอะ เอาอะไรคิดว่าฉันจะยอมกลับไปตกนรกนั่นอีกครั้งเพื่อคนใจร้ายอย่างคุณและคนที่ทำร้ายแม่ของฉันมีความสุขบนความทุกข์ของพวกเราอีกครั้ง ฝันไปเถอะ”คนฟังแอบสะอึก หน้าชาราวกับถูกตบซักร้อยครั้ง“พ่อ...พ่อผิดไปแล้วที่ทำแบบนั้น พ่อยอมรับผิดทุกอย่าง พ่อไม่ขอให้ลูกให้อภัยในความเลวของพ่อก็ได้ แต่กับ...
“ฟังผมก่อนนะ คุณกับลูกจ๋ากำลังเข้าใจผิด”“แม่คะ เข้าบ้านก่อนเถอะนะคะ ทางนี้หนูจัดการเอง” รุจารินเห็นท่าเรื่องจะไปกันใหญ่จึงรีบกันมารดาออกด้วยความเป็นห่วง แม่เธอเพิ่งฟื้นไข้ ไม่ควรต้องมารับรู้เรื่องบ้าๆ นี่“แม่ไม่ไปไหนทั้งนั้น ใครหน้าไหนก็อย่าหวังจะมาทำร้ายลูกได้ แม่ไม่ยอม ตายเป็นตาย...” นายปิยะเหงื่อแตกซิกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาจริง “อย่ามายุ่งกับลูกฉันอีก ไม่งั้นอย่าหาว่าไม่เตือน”“ดาริน ฟังพี่ก่อน พี่ไม่ได้มาหาเรื่อง พี่แค่...” “จะไปอ้อนวอนพวกมันทำไมอีก พี่ก็แค่รีบพังประตูไปลากคอนักจ๋าออกมาเลยก็สิ้นเรื่อง” นางปราณีอดใจไม่ไหวสอดปากเข้ามาอย่างใจร้อน ตามประสาคนเห็นแก่ตัวเขย่าประตูรั้วไม้อย่างบ้าคลั่ง แต่ติดที่กุญแจที่ล็อกจากด้านใน จึงเปิดไม่ออก นางจึงหันไปตะคอกใส่สามีให้เข้ามาช่วย นายปิยะไม่มีทางเลือก จึงเข้ามาช่วยเมียรักกระแทกประตูอีกแรง ทั้งยังอาละวาดขว้างปาก้อนหิน หรืออะไรต่อมิอะไรที่เก็บได้เข้ามาในบ้านตามแรงอารมณ์โมโหรุจารินเห็นท่าไม่ดี เธอจึงรีบเข้ามากันมารดาไว้ พร้อมเหลียวซ้ายแลขวาหาอาวุธเผื่อต้องใช้ป้องกันตัว เธอไม่ต้องการทำร้ายใคร แต่หากจำเป็นขึ้นมาก็ต้องทำ พลางหางตาเหลือบเห
“แม่เพิ่งฟื้นไข้ เอาไว้ให้แข็งแรงขึ้นอีกนิด...” ยังไม่ทันเอ่ยจบ มือผอมบางก็เอื้อมมากุมมือเธอไว้แน่น“ในสายตาหนู แม่อ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอลูก” หญิงสาวฟังแล้วสะอึกในคอตีบตันจนพูดไม่ออก หากแม่ของเธออ่อนแอ ชีวิตของเธอคงไม่มีวันนี้ได้ คงตายไปนานแล้วตั้งแต่ถูกคนใจร้ายพวกนั้นเฉดหัวออกจากบ้าน ทุกสิ่งที่เธอมีวันนี้ หากบอกว่าเป็นเพราะความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวและหนึ่งสมองสองมือของผู้หญิงตรงหน้าก็ไม่ผิดเลยสักนิด“แม่คะ”“จำไว้นะลูก ถ้าเป็นเรื่องของหนู แม่แข็งแรงพอเสมอ”รุจารินนิ่งอึ้งไป เมื่อเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวของมารดาบ่งบอกถึงความรักและเป็นห่วงมากล้น หญิงสาวก็ต้องยอมใจอ่อน“ก็ได้ค่ะ งั้นเราเข้าบ้านก่อนดีไหมคะ แล้วหนูจะเล่าให้แม่ฟังเอง”///เช้าวันถัดมารุจารินมาถึงที่ทำงานไวกว่าเวลาเข้างานเกือบหนึ่งชั่วโมง ปกติเธอก็มาไวอยู่แล้วเพื่อจะได้มาจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมตามหน้าที่ผู้ช่วยเลขาของท่านประธานใหญ่ที่ต้องคอยซัพพอร์ตการทำงานของวรรณิภาผู้เป็นเลขาซึ่งมีงานล้นมือร่างระหงขยับจัดนู่นเตรียมนี่อย่างคล่องแคล่วเหมือนทุกวันที่ผ่านมา ทว่าแม้ดวงตามองแฟ้มเอกสารที่กำลังจัดตรงหน้า แต่ในสมองนั้นกลับวนเวียนคิดไปถึ
“น้องจ๋า...” วรรณิภามองเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องอย่างแปลกใจ ก่อนเรียกซ้ำพร้อมกับแตะที่ต้นแขนเบาๆ ทำให้หญิงสาวถึงกับสะดุ้ง“คะ! อ้อ...พี่หวาน”“เป็นอะไรไปจ๊ะ ใจลอยแต่เช้าเลย”“คิดอะไรเพลินๆ น่ะค่ะ” รุจารินยิ้มกลบเกลื่อนความกังวล“จ๋าเตรียมเอกสารที่ท่านประธานต้องนำไปเข้าประชุมกับลูกค้าเช้านี้ให้แล้วนะคะ ทุกอย่างวางอยู่บนโต๊ะพี่หวาน ลองตรวจดูอีกครั้งนะคะเผื่อว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องไป”วรรณิภาส่งยิ้มให้ ก่อนลงมือตรวจตราความเรียบร้อยของเอกสารด้วยตัวเองอีกครั้ง โดยมีผู้ช่วยเลขายืนสังเกตการณ์ไม่ห่าง จนกระทั่งมีเสียงเปิดประตูเข้ามา ทั้งสองจึงเงยหน้าขึ้น“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านประธาน เอ่อ...ท่านรองฯ”ชื่อตำแหน่งหลังทำให้รุจารินสะดุ้งเยือก ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ เมื่อมองเห็นบุรุษเจ้าของเรือนร่างสูงสมาร์ทที่เดินตามหลังเจ้านายใหญ่ของเธอ และพบว่าดวงตาคมกริบคู่นั้นมองมาที่เธอเช่นกัน แต่เพียงแค่แวบเดียวตาคู่นั้นก็หันไปมองทางอื่นโดยไม่มีใครทันสังเกต“อรุณสวัสดิ์ครับคุณหวาน แต่กรุณาเรียกชื่อผมดีกว่า เรียกตำแหน่งนั่นทีไรผมไม่ชินเลยซักที”“ค่ะคุณภูเบศ” วรรณิภาส่งยิ้มให้ลูกชายของเจ้านายอย่างชื่นชม ในท่าทีเป็นกันเอง
“นั่น! สูทคุณ...”“ตายจริง เสื้อท่านรองเลอะกาแฟหมดแล้ว” วรรณิภาที่ตามหลังมาออกปากอย่างตกใจ “เดี๋ยวต้องเข้าประชุมกับลูกค้าด้วย”คำนั้นทำให้รุจารินรู้สึกตกเป็นจำเลยทันใด เพราะสำหรับคนระดับผู้บริหารแล้ว ภาพลักษณ์ย่อมเป็นสิ่งสำคัญมาก“อืม...ก็นั่นสิ” คนพูดตีหน้าดุขรึมครุ่นคิด ทำเอาหญิงสาวอดใจสั่นไม่ได้“จ๋า...เอ่อ ดิฉันขอโทษนะคะท่าน”หรือเขาจะไม่พอใจ...เธอยังไม่ผ่านโปรเลย หากเขาคิดจะเอาเรื่องขึ้นมา โทษฐานที่ทำลายภาพลักษณ์สุภาพบุรุษสุดเนี้ยบของเขาจนป่นปี้จะว่ายังไง เรื่องอาจดูเล็กน้อย แต่เบื้องลึกเบื้องหลังระหว่างเธอและเขาก็มีประเด็นกันอยู่หญิงสาวคิดยังไม่ตก จู่ๆ ผู้เสียหายก็ขยับพร้อมถอดเสื้อสูทที่เลอะคราบกาแฟออกหน้าตาเฉย ก่อนยื่นมันมาให้เธอเสียนี่“ฝากคุณเอาไปไว้ที่ออฟฟิศผมที แล้วช่วยหยิบเสื้อตัวใหม่มาเปลี่ยนให้ด้วย”“แล้วฉันต้องไปเอาเสื้อคุณที่ไหนคะ”“เอาคำถามคุณไปกวนใจคนอื่นเถอะ ผมต้องรีบไปประชุมแล้ว เดี๋ยวคุณรีบเอาลงไปให้ผมที่จอดรถด้านล่างแล้วกัน”“ได้ค่ะท่าน” รุจารินต้องรับคำอย่างไม่มีทางเลือก“คุณหวานครับ งั้นฝากเรียนท่านประธานด้วยว่าเดี๋ยวผมจะออกไปก่อน แล้วค่อยไปพบกันที่ออฟฟิศลูกค้
“เปลี่ยนจากคำขอโทษเป็นอย่างอื่นได้ไหม”“เปลี่ยนเป็นอะไรล่ะคะ”“ถอดเสื้อออกสิ...” รุจารินเบิกตาค้างเผลอยกมือขึ้นกอดอกอย่างหวงตัว“นี่คุณจะบ้าเหรอ นี่มันที่ทำงานนะ ไม่ใช่...”“คุณต่างหากที่บ้า ผมหมายถึงเสื้อผมต่างหาก มันเลอะลิปสติกคุณเนี่ยไม่เห็นหรือไง รีบถอดออกซะสิ หรือจะให้ผมไปพบลูกค้าในสภาพนี้ มีหวังเขาได้เข้าใจว่าผู้บริหารบริษัทนี้หื่นก่อนมาประชุม”“ทีหลังคุณก็พูดให้เคลียร์ๆ หน่อยสิคะ”คนฟังแอบขมุบขมิบปากบ่น รู้สึกขายหน้าไม่มีชิ้นดีที่เผลอเข้าใจผิดไปไกล ก่อนผงะเมื่ออีกฝ่ายยื่นหน้ามาใกล้อีกครั้งก่อนเอ่ยประโยคที่ทำให้เธอแทบจะอยากมุดดินหนีเสียเดี๋ยวนั้น“ก็ใครจะไปคิดว่าคุณจะคิดลึกแบบนั้น”“ฉันไม่ได้คิด!”“ถ้าไม่ได้คิดก็ลงมือทำได้แล้ว” ดวงตาดุเข้มที่จ้องมองมาคู่นั้นทำให้เธอไม่มีทางเลือก เมื่อทำผิดก็ต้องรับผิดชอบ หาไม่คนตรงหน้าคงโยนข้อหาให้เธอไม่รู้จบมือเรียวงามค่อยๆ ยื่นไปที่เนคไทของเขา ก่อนปลดมันออก และต้องใช้สมาธิขั้นสูงในการปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตแต่ละเม็ดโดยที่ไม่ให้มือสั่น จนอีกฝ่ายจับได้ว่าเธอกำลังประหม่าที่ต้องแก้ผ้าให้เขาเหมือนที่ครั้งหนึ่งเธอเคยทำมาแล้วอย่างอุกอาจ จนกระทั่งกระดุมเ
“เห็นไหม ยานั่นไม่ขมแล้ว”“คะ...คุณจูบฉันอีกแล้วนะคนฉวยโอกาส”“ผมป้อนยาคุณต่างหาก โอ๊ย!” ชายหนุ่มแสร้งร้องโอดโอยเมื่อถูกคนป่วยทุบอกปั๊กๆ ฐานขโมยจูบทีเผลอ“ทำแบบนี้ทำไม ถ้าแม่ฉันมาเห็นเข้าจะว่ายังไง”“ก็ไม่ว่าอะไร หรือคุณอยากให้ผมว่าอะไรล่ะ”“นี่คุณ อย่ามาเล่นลิ้นแบบนี้นะคะ ฉันไม่ชอบ”“แล้วคุณชอบแบบไหนล่ะ ผมจะได้จัดให้ตามที่คุณชอบ” สายตาวาวชวนหวามของคนพูดทำให้หญิงสาวชาวาบไปทั้งร่าง เมื่อสบสายตายั่วเย้าคู่นั้น หัวใจก็เริ่มไม่เป็นของเธออีกครั้ง“ผมพูดจริงนะ หรือถ้าคุณโอเค จะให้ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่คุณฟังแล้วรับผิดชอบคุณก็ยังได้”“รับผิดชอบ? คุณจะรับผิดชอบฉันในฐานะอะไรล่ะคะ”“นั่นแล้วแต่คุณเลย อยากได้แบบไหนก็บอกมา”อยากได้แบบไหนเหรอ...หญิงสาวฉุกคิด นั่นสิ ที่แท้แล้วเธออยากคบเขาแบบไหนกันแน่นะ คนรักก็ไม่น่าใช่ คนรู้ใจก็ไม่เชิง หรือจะแบบคู่นอนก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ จู่ๆ สมองก็ดันมีผู้หญิงอีกคนโผล่แทรกเข้ามากวนใจให้สมองชะงัก“แต่คุณมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ลืมแล้วหรือไงคะ”“ผมไม่ได้ลืม คุณต่างหากที่ลืม ผมบอกแล้วว่ากำลังจะหาทางขอยกเลิกการหมั้น” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ “ผมไม่ได้ล้อคุณเล่น แต่ผมคิดมานานแล้
“นั่นคุณหัวเราะอะไรคะ แล้วมาบ้านฉันทำไมกันแน่”“ก็บอกแล้วว่ามาเยี่ยมไข้”“ไม่จริง มาจับผิดมากกว่า”“ก็แล้วคุณทำผิดอะไรไหมล่ะ” ภูเบศแกล้งเอ่ยหน้านิ่ง แต่ดวงตาพราว “ผมจะได้จับ...”“มะ...ไม่ เอ่อ...นี่คุณ!” “คุณอยู่กับแม่ที่นี่แค่สองคนเหรอ” เห็นอีกฝ่ายอึกอัก หน้าแดงเรื่อสมใจ เขาจึงยอมเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้เธอเก้อเขินมากไปกว่านี้ พลางมองไปรอบกาย“ห้องสะอาดน่าอยู่ดีนะ แต่แคบไปหน่อย”“เรื่องของฉัน” คนป่วยสะบัดเสียงใส่อย่างไม่สบอารมณ์ “คุณรีบกินรีบกลับไปดีกว่าค่ะ ที่นี่ทั้งเล็กและแคบมาก ไม่เหมาะจะต้อนรับคนมีระดับอย่างคุณหรอกค่ะ”“ทำไมหนีมาไม่ยอมรอผมก่อน” นั่นไง นอกจากจะเป็นแมวแล้วยังเป็นฝ่ายสืบสวนอีกด้วย“ทำไมต้องรอคะ ตัวเราสองคนไม่ได้ติดกันเสียหน่อย” ภูเบศมองใบหน้าหวานที่อิดโรย ขอบตาบวมช้ำ แต่ยังอุตส่าห์มีแรงรวนเขาอย่างมันเขี้ยว“คุณแน่ใจหรือว่าเราไม่เคยตัวติดกัน ผมว่าเราสองคนน่ะยิ่งกว่าเคยตัวติดกันอีกนะ”“คนบ้า อย่ามาทะลึ่งที่บ้านฉันนะ” คนป่วยแหวเสียงเขียว ใบหน้าร้อนผ่าว“อย่าเพิ่งชวนทะเลาะเลยน่า ผมหิวแล้วกินข้าวกันเถอะ หรือว่าอยากให้ผมป้อนก็ได้นะ คุณไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ” แขกไม่ได้รับเ
“พอดีผมได้ยินว่าวันนี้คุณจ๋าเธอลางานไม่สบายเลยแวะมาเยี่ยม อ้อ...รอสักครู่นะครับ” ฝ่ายนั้นผลุนผลันไปที่รถและกลับมาอีกครั้งพร้อมกระเช้าผลไม้ในมือ“ของเยี่ยมไข้ครับ”“อ้าว งั้นเหรอคะ แล้วทำไมไม่เชิญเจ้านายลูกขึ้นไปข้างบนล่ะจ๊ะ”“คือพอดีจ๋าเห็นว่าท่านจะกลับแล้วน่ะค่ะแม่ ก็เลยไม่ได้เชิญ” คนป่วยเอ่ยหน้าตาเฉย “อะไรกันคะ เพิ่งมาจะรีบกลับแล้วเหรอคะ ทานอะไรมาหรือยัง ดิฉันตั้งโต๊ะอาหารเช้าไว้แล้ว ถ้าท่านไม่รังเกียจ...”โอ๊ะ เรียกผมธรรมดาดีกว่าครับ อย่าเรียกทงท่านเลย ผมไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างหรอกครับ” เขาเอ่ยพลางปรายตามองใครบางคนที่กำลังเบ้ปากกับนกกับไม้อย่างมันเขี้ยว“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณภูเบศ”“เรียกผมเบสเถอะครับ”“ค่ะ หากคุณเบสไม่รังเกียจอาหารบ้านๆ ก็ขอเชิญ”“แม่คะ...” รุจารินร้องลั่น“ไม่รังเกียจหรอกครับ ถ้าคุณแม่ไม่ว่างั้นผมก็ขออนุญาตฝากท้องสักมื้อ” รุจารินอ้าปากค้าง หันไปมองคนพูดอย่างไม่เชื่อหู“ด้วยความยินดีค่ะ ไปลูก เชิญค่ะคุณ”“แม่คะ แต่ว่า...”“ขอบคุณครับคุณแม่”โอ๊ย...เธออยากจะบ้าตาย ทำไมเรื่องมันกลับกลายเป็นอย่างนี้ไปได้นะกลิ่นหอมๆ ของอาหารรสเด็ดลอยมาแตะจมูกตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในห้อ
คนถูกถามไม่ขำ รุจารินจ้องหน้าเจ้านายตัวแสบตาเขียวปัด ในใจคุกรุ่นจนแทบจะหักคออีกฝ่ายได้ แต่เธอต้องพยายามข่มอารมณ์ไว้เพราะเกรงใจพลกฤษณ์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยต้องพลอยมาผจญกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง“นี่ค่ะขนมของพี่พล”“อ่ะ...อ๋อ ครับ” พลกฤษณ์ที่โดนคู่ต่อสู้น็อกยังไม่หายงงยื่นมือไปรับถุงใส่กล่องขนม แต่อารามรีบร้อนปนตกประหม่าทำให้เผลอจับโดนมือคนส่งถุงเข้าอย่างจังหมับ!“อ๊ะ! พี่ขอโทษครับน้องจ๋า”คิ้วเข้มๆ ของใครบางคนกระตุกทันพลัน ตาดุกร้าวจ้องมือฝ่ายนั้นเขม็ง“ไม่เป็นไรค่ะ” รุจารินส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเข้าใจ โดยไม่ทันเห็นสายตาพิฆาตที่จ้องอยู่ ผิดกับพลกฤษณ์ที่เห็นสายตาคู่นั้นอย่างจัง“นี่ค่าขนมครับ งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ”“ค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะที่ช่วยอุดหนุน ฝากความคิดถึงให้น้าดวงด้วยนะคะ ถ้ามีโอกาสจ๋ากับแม่จะแวะไปเยี่ยมที่บ้านนะคะ”หญิงสาวเอ่ยด้วยไมตรี โดยทำเป็นไม่สนใจใครบางคนที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับข้างๆ“ไหนคุณบอกว่าไม่สบายไงครับที่รัก ออกมาตากลมนานๆ แบบนี้เดี๋ยวก็ไข้กลับกันพอดี” คำนั้นทำให้คนเป็นส่วนเกินแอบถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะครับ”คนตัวร้ายรวบเอาหญิงสาวม
รถเก๋งคันหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าหลบมุมที่อะพาร์ตเมนต์กลางเก่ากลางใหม่แห่งนั้นได้สักพักใหญ่แล้ว แต่ทว่าคนขับยังคงนั่งแช่ในรถ ดวงตาคมเข้มมองไปที่ด้านหน้าประตูทางเข้า แม้จะมีที่อยู่จากเอกสารเรซูเม่พนักงานในมือก็เถอะ แต่การจะสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปมันก็ดูจะแปลกๆ ไปหรือเปล่ายัยนั่นไม่สบายมากไหมนะ จะว่าไปเมื่อเช้าหน้าเธอก็ดูซีดๆ อยู่เหมือนกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ที่จริงเขาก็แค่อยากเห็นกับตาแค่นั้นว่าเธอไม่เป็นอะไรมากจะได้สบายใจ หรือถ้าเป็นมากก็จะได้ช่วยเหลือขณะที่ชายหนุ่มครุ่นคิด ตามองตรงไปที่ประตูทางเข้ารอคอย แล้วทันใดนั้นเองสายตาเขาก็เห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนเดินออกมา คิ้วเข้มหนาเลิกขึ้นนิดๆ คิดว่าตัวเองตาฝาดไป หากเมื่อเพ่งสายตามองชัดๆ ก็ยิ่งแน่ใจว่าใช่อย่างนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าป่วยการเมือง ยัยนั่นตั้งใจหลบหน้าเขาชัดๆ มันน่า...อยากรู้นักว่าถ้าเจอหน้ากันเธอจะแก้ตัวยังไง“ทางนี้ครับน้องจ๋า”ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามที่คิด จู่ๆ ก็มีเสียงใครบางคนดังขึ้นเสียก่อนภูเบศปรายตามองไปทางต้นเสียงที่ดังมาจากรถที่จอดเยื้องๆ เขาไปไม่ไกลนัก ก็ได้เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งโบกมือส่งยิ้มหวานให้เลขาสาวของเขาลูกตาเป็นปร
“ไปพักสักหน่อยดีไหมลูก เดี๋ยวที่เหลือแม่ทำต่อเอง”“ใกล้เสร็จแล้วนี่คะแม่ อีกเดี๋ยวก็ถึงเวลาที่ลูกค้าจะมารับขนมแล้วด้วย ทำให้เสร็จก่อนค่อยไปพักทีเดียวดีกว่า” คำตอบกลับมายิ่งทำให้คนเป็นแม่หนักใจ ยิ่งเห็นใบหน้าซีดเซียวของลูกสาวสุดที่รักก็ยิ่งเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะเป็นลมล้มป่วยไปตอนไหน“ยังพอมีเวลาอยู่ งั้นก็ไปล้างหน้าล้างตาแล้วมากินอะไรรองท้องซักหน่อยดีไหมลูก เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปก่อน เหลือไม่เยอะแล้วเดี๋ยวแม่ทำต่อเอง”ถ้าขืนปฏิเสธมารดาของเธอคงเป็นห่วงกังวลไม่เลิกรา ทำให้หญิงสาวจำใจรามือจากขนมที่เพิ่งใส่ลงกล่องเสร็จไปอีกหนึ่ง“ก็ได้ค่ะ งั้นจ๋าขอไปล้างหน้าล้างตาหน่อยละกันนะคะ เดี๋ยวจะได้มาช่วยแพคของต่อ” สีหน้าอิดโรยของลูกสาวทำให้ผู้เป็นมารดาถึงกับตกใจ“ตายจริง ทำไมหน้าตาโทรมเป็นแบบนี้ล่ะลูก”รุจารินลูบใบหน้าตัวเอง พลางฝืนยิ้มกลบเกลื่อน “จ๋าไม่เป็นไรค่ะ”จะไม่โทรมอย่างไรได้ ในเมื่อต้องอดนอนเพราะเขาคนนั้นไม่ยอมให้เธอได้นอนง่ายๆ รุจารินกัดริมฝีปากเมื่อคิดถึงตัวการที่ทำให้เธอไม่ได้นอนทั้งคืน“ไปให้หมอตรวจหน่อยดีกว่านะแม่ว่า”“จ๋าไม่ได้เป็นอะไรเลยจริงๆ ค่ะแม่ แค่เพลียนิดหน่อย นอนพักหน่อยเดี
“เดี๋ยวครับ!” วรรณิภาชะงัก “ผมเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ต้องยกเลิกนัดแล้วนะครับ เท่านี้แหละ ขอบคุณครับ”คนรับคำสั่งถึงกับตาค้างเหวอไปอีกหนกับการเปลี่ยนคำสั่งแบบสายฟ้าแลบของท่านรองประธานหนุ่มรูปงาม วรรณิภาจำใจตอบรับคำสั่ง ในใจภาวนาให้เพื่อนร่วมงานรุ่นน้องหายป่วยไวๆ จะได้มารับมือคุณเจ้านายสุดหล่อตรงหน้าเสียเองพอคล้อยหลังเลขาเฉพาะกิจ ภูเบศก็กระแทกลมหายใจหนักๆ รู้สึกหงุดหงิดกับทุกอย่างรอบตัวขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ หรือจะบอกให้ถูกคือ เขาไม่อยากยอมรับต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องว้าวุ่นใจอยู่ตอนนี้ต่างหากเป็นไข้เนี่ยนะ! เมื่อเช้าก็เห็นอาการยังดีๆ อยู่นี่นา หรือว่าจะช็อกกับเหตุการณ์เมื่อเช้าจนล้มป่วย หรือว่าเพราะเมื่อคืนเขาหักโหมกับเธอมากไปยิ่งคิดใบหน้าหล่อเหลาก็ยิ่งยุ่งเหยิง กองแฟ้มที่รอการเซ็นต์อนุมัติถูกผลักออกไปเบาๆ เพราะเจ้าตัวไม่มีอารมณ์จะอ่านเสียแล้ว จิตใจว้าวุ่นครุ่นคิดสะระตะเขาควรไปเยี่ยมเธอที่บ้านดีไหมนะ ถ้าไปเธอจะหลงคิดว่าตัวเองสำคัญกับเขาเกินกว่าฐานะเจ้านายลูกน้องไหม มันจะกลายเป็นว่าเขาให้ความหวังเธอมากไปหรือเปล่า จริงอยู่ที่ว่าเขาอยากจะถอนหมั้นกับสลิลดา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปักใจลงเอยกับ
เอาเถอะ ไว้เงินเดือนออกเธอจะเอามันมาใช้ให้เขาทุกบาททุกสตางค์ก็แล้วกัน แม้สิ่งที่เสียไปแล้วเธอเอากลับคืนมาไม่ได้ แต่เธอจะหยุดทุกอย่างไว้แค่นี้ เธอไม่ต้องการให้ใครมาตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงหน้าด้านที่แย่งแฟนชาวบ้าน และไม่ต้องการทำร้ายผู้หญิงด้วยกันเหมือนที่ครั้งหนึ่งพ่อเธอเคยทำร้ายจิตใจแม่เด็ดขาดแต่ทำไมนะ...หัวใจถึงรู้สึกทรมานแบบนี้ มันทั้งเจ็บลึกและทรมานเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ เพียงแค่คิดว่าจะไม่ได้อยู่ในอ้อมแขนของเขาคนนั้น ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดครอบครองเป็นเจ้าของเขาได้ แล้วต่อจากนี้ชีวิตเธอจะเป็นเช่นไร เธอจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงดีเธอจะมองหน้าเขาติดได้อีกหรือเมื่อต้องทำงานด้วยกันร่างบางทรุดฮวดกอดเสื้อผ้าที่เขาซื้อให้แน่น ปลดปล่อยน้ำตาไหลริน สีหน้าหม่นหมอง ต่อจากนี้เธอควรทำยังไงดี...“อืม...ไม่เลวนี่ คุณดูดีใช้ได้เลย”ภูเบศมองเรือนร่างระหงในชุดทำงานแบบเพนท์สูทสีน้ำเงินเข้มอย่างพอใจ ด้วยดีไซน์หรูและแบบชุดทรงเข้ารูปทำให้เห็นทรวดทรงองค์เอวของคนใส่ชัดเจนทำให้รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าซ่อนรูปไม่น้อยเลย แต่คงจะดูดีกว่านี้ถ้าเจ้าตัวจะยิ้มเสียบ้าง ไม่ใช่ทำหน้านิ่งเฉยเย็นชาเป็นราชินีหิมะอยู่เช่นนี้ “คุณรอ
ภูเบศส่ายหน้าไปมา มองตามหลังคู่หมั้นที่ปึงปังออกไปราวกับพายุทอร์นาโด ด้วยสีหน้าหนักใจ ถึงแม้จะเตรียมใจล่วงหน้าว่าต้องเจอเหตุการณ์นี้ตั้งแต่ที่คิดจะดึงเลขาสาวมาร่วมแผนปลดอิสรภาพของตนแบบลับๆ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้อยากทำให้ฝ่ายนั้นเดือดร้อนเช่นนี้ เมื่อคิดถึงเลขาสาว เขาก็รีบปิดประตูหน้าบ้านพร้อมล็อกกลอนแน่นหนา เผื่อว่าคู่หมั้นสาวจะย้อนกลับมาอาละวาดอีกหน แล้วเดินปราดไปที่ห้องนอน“เปิดประตูได้แล้ว”เงียบกริบ...ไม่ใช่ว่ายัยนั่นตกใจจนช็อกตายไปแล้วหรอกนะ ชายหนุ่มชักห่วง รีบไปเอากุญแจสำรองมาไขประตูอย่างรวดเร็วห้องว่างเปล่า สายตาคมเข้มเหลียวมองหาร่างอรชรมาสะดุดตาที่ประตูตู้เสื้อผ้าที่เปิดแง้มเล็กน้อย ร่างสูงจึงตรงเข้าไปกระชากมันออกภูเบศใจหายวาบเมื่อได้เห็นสภาพของเลขาสาวที่นั่งกอดเข่าคุดคู้หลบตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกจากรังน่าสงสารจับใจ ใบหน้าสวยหวานซีดเผือดไร้สีเลือดหม่นหมอง พอเงยหน้าเห็นเขาเธอก็สะดุ้งสุดตัว รีบขยับกายหนี แต่เขากลับเป็นฝ่ายดึงร่างเธอเข้ามากอดปลอบขวัญเสียเอง แม้อีกฝ่ายจะดิ้นขลุกขลักจะหนีจากอ้อมกอดนั้นแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือจากเธอ คิดว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้โฮแต่ก็กลับไม่ หากมีเพียงเสีย