“โอเค...งั้นก็ตามใจคุณแล้วกัน ขอบคุณนะที่กรุณาให้กินของดีฟรีๆ ทั้งคืน”รุจารินฟังแล้วสะอึกแต่พยายามทำหูทวนลมกับคำเหน็บแนมแกมประชดอย่างเจ็บแสบนั่น ก่อนที่จะพยุงร่างกายอันชอกช้ำด้วยรอยที่อีกฝ่ายฝากไว้ ตามเก็บเศษซากอาภรณ์ที่ถูกโยนเกลื่อนห้องขึ้นมาสวมใส่ทีละชิ้นๆ โดยที่มีสายตาเข้มๆ มองตามเงียบๆ ในบรรยากาศที่มาคุ แต่ตอนที่เห็นหญิงสาวพยายามจัดการกับกระดุมเสื้อที่ขาดวิ่นอย่างทุลักทุเล เขาก็อดไม่ได้ จึงหันไปคว้าเสื้อสูทของตัวเองที่พื้นยื่นให้“เสื้อคุณมันขาดหมดแล้ว สวมนี่คลุมไว้ดีกว่า” พอเห็นอีกฝ่ายมองอย่างลังเลไม่ยอมรับ เขาจึงกระแทกลมหายใจแรงๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นไปสวมให้เสียเอง “ไม่ต้องห่วง นี่ไม่ใช่ค่าตัวคุณหรอกน่า”หญิงสาวเม้มปากแน่น พยายามเบือนสายตาไปมองทางอื่นที่ไม่ใช่เรือนร่างเปลือยเปล่าที่แสนจะล่ำสันเซ็กซี่ของอีกฝ่าย ถึงจะเคยเห็นมาทุกซอกทุกมุมทั้งคืน แต่นี่มันสว่างแล้ว เธอไม่อยากเสี่ยงเป็นตากุ้งยิง แอบขัดใจคนชอบโชว์ ทำไมเขาไม่อายเธอบ้างนะ“แล้วนี่คุณจะกลับยังไง” คำถามนั้นทำให้หญิงสาวสะดุ้งใจหายวาบ คิดได้ว่าตอนมาเธอมาตัวเปล่าไม่มีกระเป๋าถือติดมือมาด้วย มันคงตกที่ไหนสักแห่งตอนที่ถูกพาตัวไปส
เสียงประตูเปิดปิดเบาๆ ทำให้เจ้าของแผ่นหลังกว้างหันขวับมาด้วยสีหน้าปั้นยาก“ห้า...สี่...สาม...สอง...หนึ่ง...ผู้หญิงบ้า!” เสียงเข้มสบถลอดไรฟันอย่างหัวเสียที่สิ่งที่คาดไม่เป็นไปตามที่คิดไว้เมื่อแม่สาวนิรนามไม่ได้หวนกลับเข้ามาเพื่อขอโอกาสจากเขาอีกครั้งตามที่คิดไว้เขาไม่เคยเจอใครที่หัวดื้อแบบนี้ ทั้งที่เขายื่นข้อเสนอให้ชนิดที่ไม่เคยเสนอให้ผู้หญิงคนไหนมาก่อน แทนที่จะดีใจ แม่ตัวดีนี่กลับปฏิเสธแถมเผ่นหนีไปจริงๆ เสียนี่ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าถ้าท้องจะเลี้ยงลูกเองคนเดียวโดยไม่ให้เขายุ่งเกี่ยวอีก ที่จริงเขาก็ควรจะสบายใจที่อีกฝ่ายไม่ทำตัวเป็นปลิงเกาะเขาหวังรวยทางลัด แต่ทำไมนะใจเจ้ากรรมถึงได้หงุดหงิดงุ่นง่านแบบนี้เขาจะปล่อยเธอไปจริงๆ หรือ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขาติดใจรสสวาทจากเธอขนาดนั้น กลิ่นกายหอมหวานของแม่สาวคนนั้นยังติดจมูกด้วยซ้ำ ใบหน้าสดสวยมีเสน่ห์ที่ปนความรั้นน่าปราบ หากเมื่อกี้เธอเรียกร้องเงินค่าเลี้ยงดูและรับข้อเสนอจากเขา ชายหนุ่มก็พร้อมจะทุ่มไม่อั้นและตอบรับโดยไม่ต่อรองด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ยักทำ ตอนนี้ในหัวเขามีแต่คำถาม...ทำไมๆ...เต็มหัวไปหมดหรือนี่จะเป็นการเล่นตัวเพื่อเรียกร้องค่าตัวเพิ่ม? บาง
มือน้อยยังกำเงินที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ให้ตอบแทนค่าตัวเธอแน่น หากนี่คือเงินจากน้ำพักน้ำแรงที่เธอทำงานหามาอย่างสุจริตหญิงสาวก็คงภาคภูมิใจ แต่มันไม่ใช่! มันคือเงินที่แลกกับความสาว มันคือสิ่งที่บ่งบอกว่าเธอนอนกับผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นจริงๆ ถึงมันจะสุขสมตอนที่เขากอดเธอไว้ในอ้อมแขนแล้วพาล่องลอยไปในห้วงอารมณ์พิศวาส แต่หลังจากนั้นมันคือหนามแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจซ้ำไปซ้ำมา นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมชีวิตเธอต้องมาเจอเรื่องบ้าบอแบบนี้ด้วยนะทุกอย่างเป็นเพราะ...พ่อ...ผู้ชายคนนั้นคือผู้ให้กำเนิดเธอจริงเหรอ ทำไมเขาถึงผลักเธอตกนรกได้ลงคอแบบนั้นยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจจนแทบอยากจะปล่อยโฮออกมาให้สาแก่ใจ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรที่ต้องมาเสียน้ำตาให้คนที่ทำร้ายได้แม้กระทั่งเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเองอย่างเลือดเย็นคนนั้น เธอร้องไห้มามากพอแล้ว และเคยสัญญาว่าจะไม่ร้องอีก แต่ตอนนี้มันเกินจะรับไหวเข้มแข็งไว้สิยายจ๋า! เข้มแข็งไว้ แล้วทุกอย่างก็จะผ่านไปด้วยดี เหมือนทุกครั้งที่เธอเจอปัญหานั่นไงหญิงสาวสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ถึงจะบอกให้ตัวเองเข้มแข็งมากเท่าไหร่แต่ก็อดหวาดหวั่นไม่ได้อยู่ดี“ถึงแล้วครับคุณ” คนขับแท็กซี่หันมาบอกผู้โดยส
‘แต่หมออยากให้พักดูอาการที่โรงพยาบาลให้แน่ใจ’ แววตาคนพูดแลดูเป็นกังวลจนคนฟังจับสังเกตได้‘แน่ใจ? แน่ใจอะไรเหรอคะหมอ’‘คือหมอสงสัยว่าคุณแม่ของคุณอาจจะมีอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบน่ะครับ แต่คงต้องขอตรวจร่างกายอย่างละเอียดก่อน ถึงจะบอกได้ ระหว่างนี้ก็ให้น้ำเกลือและพักดูอาการที่โรงพยาบาลไปก่อน’ร่างระหงนิ่งงันไปตั้งแต่ได้ยินชื่อโรคที่แม่ของเธออาจเป็นอยู่ เธอเคยได้ยินว่าตอนนี้โรคที่ว่านั่นมีทางรักษาได้ แต่ค่าใช้จ่ายก็แพงเอาเรื่องอยู่ ลำพังเงินเก็บที่มีรวมกับเงินเดือนพนักงานที่เพิ่งเริ่มทำงานไม่นานเธอคงไม่อาจจ่ายไหวพอคิดถึงเรื่องเงินก็ยอกแสยงหัวใจ รุจารินหยิบธนบัตรในกระเป๋าเสื้อสูทตัวโคร่งออกมา พร้อมก้มมองฝ่ามือตัวเองที่ตอนนี้มีรอยปากกาติดอยู่ แม้จะตัวเลขบางตัวจะเลือนจางไปบ้าง แต่สมองเธอยังไม่ลบเลือนคำพูดของเจ้าของเงินได้‘จะคิดว่าเป็นค่าสึกหรอก็ได้ หรือจะคิดว่าผมให้ยืมก็ตามใจ หากลำบากใจจะเอาเบอร์โทรผมไว้ก็ได้นะ ถ้ามีเมื่อไหร่ก็เอามาคืน หรือจะไม่คืนก็แล้วแต่คุณแล้วกัน’'ค่าตัว' ที่เธอจำใจรับมา มันอาจจะมีค่าน้อยสำหรับคนให้ แต่กับเธอตอนนี้มันมีค่ามากเหลือเกินเมื่อต้องใช้แลกกับชีวิตของแม่ อ
รุจารินส่ายหน้าเบาๆ “จ๋าเดาไม่ถูกหรอกค่ะพี่หวาน”“จะมีใครเสียอีก ก็ยายนุสบาอดีตผู้ช่วยเลขาท่านรองประธานคนก่อนที่ถูกพักงานเพราะใช้เต้าไต่อยากเป็นสะใภ้เจ้าของบริษัทยังไงล่ะ ตอนนี้คนเขาเมาท์กันสนุกปากทั้งบริษัท...” คนพูดหรี่เสียงลง ตามองซ้ายขวาระมัดระวัง“น้องจ๋ารู้แล้วก็อย่าเอ็ดไปล่ะ เขาว่ากันว่านางพลาดหวังจากคนพี่เลยคิดจะฮุบตำแหน่งสะใภ้เล็กของท่านประธานแทนน่ะสิ”รุจารินฟังแล้วนึกปลง จริงๆ เรื่องที่เพื่อนรุ่นพี่ซึ่งปกติไม่ใช่คนช่างเมาท์เล่าให้ฟังนั้น เธอเองก็ได้ยินมาบ้าง แต่ก็ยังไม่เคยรู้จักคนที่ตกเป็นข่าว เพราะอีกฝ่ายโดนพักงานก่อนที่เธอจะมาเริ่มทำงานเสียอีก“แต่รู้อะไรไหม พี่ว่างานนี้ยากหน่อย เพราะคุณภูเบศน่ะไม่โง่ให้จับง่ายๆ แถมเขาก็มีคู่หมั้นอยู่แล้วด้วย พี่เคยเห็นเธอตามคุณพ่อมาที่บริษัทอยู่ครั้งหนึ่ง รายนั้นทั้งสวยทั้งเพียบพร้อมสมกับท่านรองฯ สุดๆ งานนี้มีหวังยัยนุสบากินแห้วทั้งไร่แน่ๆ”ตลอดเวลารุจารินฟังนิ่งโดยไม่ออกความเห็น ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องการคืออยู่อย่างสงบ ทำงานหาเงินค่ารักษาแม่ก็เท่านั้น เรื่องคนอื่นเธอไม่อยากก้าวก่ายให้วุ่นวายไปมากกว่านี้ แต่ทว่าหญิงสาวหารู้ไม่ว่าสิ่งที่วุ่
ไม่ใช่ฝัน! แต่เป็นเขาจริงๆ ต่างนิดหน่อยที่วันนี้คนตรงหน้าแต่งกายดูเนี้ยบสง่างามกว่าวันนั้นสมกับตำแหน่งใหญ่โตของเขา แล้วจู่ๆท่านรองประธานหนุ่มก็ยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้ามา“ผมถามคุณอยู่นะ” ดวงตาคมกริบคู่นั้นจ้องมองมาอย่างคาดคั้นทำให้เธอนึกอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เสียให้ได้ชายแปลกหน้าที่เธอมีความสัมพันธ์ทางกายอย่างลึกซึ้งด้วยวันนั้น เขาคือลูกชายเจ้าของบริษัทที่เธอทำงานอยู่ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ยพอคิดถึงเรื่องที่เคยทำกับเขาแก้มนวลก็ร้อนวาบๆ จนถึงเดี๋ยวนี้เธอยังจำความรู้สึกลึกซึ้งนั้นได้แม่นทุกท่วงท่าด้วยซ้ำ“เอ่อ...คะ...คือฉัน” หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงหายให้กลับเข้าร่างอีกครั้ง ระหว่างกำลังคิดชั่งใจว่าควรหันหลังวิ่งหนีไปตั้งหลัก กับเผชิญหน้ากับท่านรองคนใหม่ต่อไป เธอควรเลือกอย่างไหนดี เจ้าของห้องก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน“เฮ้อ...ผมน่าจะรู้นะ” รุจารินเงยหน้ามองคนพูดอย่างงุนงง “ไม่สิต้องบอกว่าผมคิดอยู่แล้วเหมือนกัน แต่คิดไม่ถึงว่าคุณจะเลือกวิธีนี้”“วิธีนี้? วิธีไหนคะ”“ก็คุณไม่ยอมรับข้อเสนอของผม แต่กลับรับเงินไป ผมให้เบอร์โทรแต่คุณก็ไม่โทรหา แต่กลับมาโผล่ที่ทำงาน
“อย่าบอกนะว่าคุณกลัวผม ก็ไหนว่าแค่มาทำงานไม่ได้คิดอะไร...”นั่นแหละหญิงสาวถึงยอมขยับกายเข้าไปดูเอกสารนั้นโดยพยายามรักษาระยะห่างจากคนตัวโตกว่าไว้ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้ความร่วมมือ“อุ้ย! คุณจะทำอะไรน่ะ” รุจารินเอะอะ เมื่อจู่ๆ เจ้าของห้องก็ตวัดแขนรวบเธอเข้ามาขังไว้ในอ้อมกอด“ชู่...ถ้าคุณไม่อยากให้ใครได้ยินก็อยู่นิ่งๆ หุบปากไว้ดีกว่า ผมขอเตือน”“คุณทำแบบนี้กับฉันไม่ได้”“ทำไมจะไม่ได้ วันนั้นผมทำมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ความจำสั้นหรือไงคุณ” ไม่พูดเปล่าคนพูดยังยื่นจมูกโด่งมาชนแก้มใสๆ และสูดความหอมจากซอกคอระหงของเธอชวนให้ใจสั่นอีกด้วย“แต่ที่นี่ที่ทำงานนะคะ”“หมายความว่าถ้าไม่ใช่ที่นี่ผมสามารถทำได้ทุกอย่างงั้นสิ”“นี่คุณ!” รุจารินกัดฟันทำเสียงแข็งใส่ทั้งที่ใจกำลังสั่นหวิวๆ หายใจไม่ออก เมื่อต้องบดเบียดร่างตัวเองกับแผงอกอุ่นที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของบุรุษผู้นี้ กลิ่นกายหอมสะอาด หรือแม้แต่ไออุ่นจากผิวกายที่เธอยังจำได้แม่น ทำให้ใจสาวที่เคยแข็งเหมือนหินกระเจิดกระเจิงอย่างน่าขายหน้า“อย่าบอกนะว่าคุณลืมเรื่องวันนั้นไปหมดแล้วจริงๆ และไม่ต้องมาโกหกว่าคุณไม่ใช่ จะให้ผมบอกก่อนไหมว่าคุณมีไฝฝ้าใต้ร่ม
เอาเถอะ ไม่ว่าเธอจะมีแผนอะไร เขาก็จะไม่ยอมให้เธอหันหลังให้เขาเป็นครั้งที่สามได้แน่ คนอย่าง ภูเบศ ศิราธร คนนี้ หากจะต้องทิ้งใครสักคน เขาต้องเป็นฝ่ายบอกเลิกและหันหลังจากไปก่อนเท่านั้นรุจารินไม่รู้เลยว่าเธอกลับมาที่โต๊ะทำงานของตัวเองได้อย่างไร ในเมื่อร่างกายเธอยังสั่นสะท้าน หัวใจยังเต้นสะเทือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ผู้ชายแปลกคนนั้นซึ่งตอนนี้ไม่อาจเรียกว่าแปลกหน้าอีก เพราะเขาคือ ภูเบศ ศิราธร รองประธานบริษัทคนใหม่ ลูกชายแท้ๆ ของคุณอาทิตย์ ศิราธร ประธานบริหารบริษัทคนปัจจุบัน และยังมีแนวโน้มว่าจะเป็นว่าที่เจ้าของบริษัทแห่งนี้ในเร็ววันอีกด้วยนี่มันเรื่องบ้าบออะไร! โชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่เธอบังเอิญมี One Night Stand สุดเร่าร้อนกับเขาคนนี้“มันก็ต้องโชคร้ายอยู่แล้ว ซวยเป็นบ้าเลย” เสียงหวานพึมพำเบาๆ สมองครุ่นคิดคำถามคือ เธอควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี แน่นอนว่าการจะให้คนระดับนั้นมายอมรับเธอในฐานะภรรยาเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แค่เซ็กซ์ที่เกิดจากแผนชั่วร้ายของบิดาเธอ มันไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น เขาก็บอกเองว่าเขาไม่ต้องการการผูกมัด และแน่นอนว่าเธอเองก็เช่นกันทางออกเดียวที่คิดได้ตอนนี้ เธอไ
“เห็นไหม ยานั่นไม่ขมแล้ว”“คะ...คุณจูบฉันอีกแล้วนะคนฉวยโอกาส”“ผมป้อนยาคุณต่างหาก โอ๊ย!” ชายหนุ่มแสร้งร้องโอดโอยเมื่อถูกคนป่วยทุบอกปั๊กๆ ฐานขโมยจูบทีเผลอ“ทำแบบนี้ทำไม ถ้าแม่ฉันมาเห็นเข้าจะว่ายังไง”“ก็ไม่ว่าอะไร หรือคุณอยากให้ผมว่าอะไรล่ะ”“นี่คุณ อย่ามาเล่นลิ้นแบบนี้นะคะ ฉันไม่ชอบ”“แล้วคุณชอบแบบไหนล่ะ ผมจะได้จัดให้ตามที่คุณชอบ” สายตาวาวชวนหวามของคนพูดทำให้หญิงสาวชาวาบไปทั้งร่าง เมื่อสบสายตายั่วเย้าคู่นั้น หัวใจก็เริ่มไม่เป็นของเธออีกครั้ง“ผมพูดจริงนะ หรือถ้าคุณโอเค จะให้ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่คุณฟังแล้วรับผิดชอบคุณก็ยังได้”“รับผิดชอบ? คุณจะรับผิดชอบฉันในฐานะอะไรล่ะคะ”“นั่นแล้วแต่คุณเลย อยากได้แบบไหนก็บอกมา”อยากได้แบบไหนเหรอ...หญิงสาวฉุกคิด นั่นสิ ที่แท้แล้วเธออยากคบเขาแบบไหนกันแน่นะ คนรักก็ไม่น่าใช่ คนรู้ใจก็ไม่เชิง หรือจะแบบคู่นอนก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ จู่ๆ สมองก็ดันมีผู้หญิงอีกคนโผล่แทรกเข้ามากวนใจให้สมองชะงัก“แต่คุณมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ลืมแล้วหรือไงคะ”“ผมไม่ได้ลืม คุณต่างหากที่ลืม ผมบอกแล้วว่ากำลังจะหาทางขอยกเลิกการหมั้น” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ “ผมไม่ได้ล้อคุณเล่น แต่ผมคิดมานานแล้
“นั่นคุณหัวเราะอะไรคะ แล้วมาบ้านฉันทำไมกันแน่”“ก็บอกแล้วว่ามาเยี่ยมไข้”“ไม่จริง มาจับผิดมากกว่า”“ก็แล้วคุณทำผิดอะไรไหมล่ะ” ภูเบศแกล้งเอ่ยหน้านิ่ง แต่ดวงตาพราว “ผมจะได้จับ...”“มะ...ไม่ เอ่อ...นี่คุณ!” “คุณอยู่กับแม่ที่นี่แค่สองคนเหรอ” เห็นอีกฝ่ายอึกอัก หน้าแดงเรื่อสมใจ เขาจึงยอมเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้เธอเก้อเขินมากไปกว่านี้ พลางมองไปรอบกาย“ห้องสะอาดน่าอยู่ดีนะ แต่แคบไปหน่อย”“เรื่องของฉัน” คนป่วยสะบัดเสียงใส่อย่างไม่สบอารมณ์ “คุณรีบกินรีบกลับไปดีกว่าค่ะ ที่นี่ทั้งเล็กและแคบมาก ไม่เหมาะจะต้อนรับคนมีระดับอย่างคุณหรอกค่ะ”“ทำไมหนีมาไม่ยอมรอผมก่อน” นั่นไง นอกจากจะเป็นแมวแล้วยังเป็นฝ่ายสืบสวนอีกด้วย“ทำไมต้องรอคะ ตัวเราสองคนไม่ได้ติดกันเสียหน่อย” ภูเบศมองใบหน้าหวานที่อิดโรย ขอบตาบวมช้ำ แต่ยังอุตส่าห์มีแรงรวนเขาอย่างมันเขี้ยว“คุณแน่ใจหรือว่าเราไม่เคยตัวติดกัน ผมว่าเราสองคนน่ะยิ่งกว่าเคยตัวติดกันอีกนะ”“คนบ้า อย่ามาทะลึ่งที่บ้านฉันนะ” คนป่วยแหวเสียงเขียว ใบหน้าร้อนผ่าว“อย่าเพิ่งชวนทะเลาะเลยน่า ผมหิวแล้วกินข้าวกันเถอะ หรือว่าอยากให้ผมป้อนก็ได้นะ คุณไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ” แขกไม่ได้รับเ
“พอดีผมได้ยินว่าวันนี้คุณจ๋าเธอลางานไม่สบายเลยแวะมาเยี่ยม อ้อ...รอสักครู่นะครับ” ฝ่ายนั้นผลุนผลันไปที่รถและกลับมาอีกครั้งพร้อมกระเช้าผลไม้ในมือ“ของเยี่ยมไข้ครับ”“อ้าว งั้นเหรอคะ แล้วทำไมไม่เชิญเจ้านายลูกขึ้นไปข้างบนล่ะจ๊ะ”“คือพอดีจ๋าเห็นว่าท่านจะกลับแล้วน่ะค่ะแม่ ก็เลยไม่ได้เชิญ” คนป่วยเอ่ยหน้าตาเฉย “อะไรกันคะ เพิ่งมาจะรีบกลับแล้วเหรอคะ ทานอะไรมาหรือยัง ดิฉันตั้งโต๊ะอาหารเช้าไว้แล้ว ถ้าท่านไม่รังเกียจ...”โอ๊ะ เรียกผมธรรมดาดีกว่าครับ อย่าเรียกทงท่านเลย ผมไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างหรอกครับ” เขาเอ่ยพลางปรายตามองใครบางคนที่กำลังเบ้ปากกับนกกับไม้อย่างมันเขี้ยว“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณภูเบศ”“เรียกผมเบสเถอะครับ”“ค่ะ หากคุณเบสไม่รังเกียจอาหารบ้านๆ ก็ขอเชิญ”“แม่คะ...” รุจารินร้องลั่น“ไม่รังเกียจหรอกครับ ถ้าคุณแม่ไม่ว่างั้นผมก็ขออนุญาตฝากท้องสักมื้อ” รุจารินอ้าปากค้าง หันไปมองคนพูดอย่างไม่เชื่อหู“ด้วยความยินดีค่ะ ไปลูก เชิญค่ะคุณ”“แม่คะ แต่ว่า...”“ขอบคุณครับคุณแม่”โอ๊ย...เธออยากจะบ้าตาย ทำไมเรื่องมันกลับกลายเป็นอย่างนี้ไปได้นะกลิ่นหอมๆ ของอาหารรสเด็ดลอยมาแตะจมูกตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในห้อ
คนถูกถามไม่ขำ รุจารินจ้องหน้าเจ้านายตัวแสบตาเขียวปัด ในใจคุกรุ่นจนแทบจะหักคออีกฝ่ายได้ แต่เธอต้องพยายามข่มอารมณ์ไว้เพราะเกรงใจพลกฤษณ์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยต้องพลอยมาผจญกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง“นี่ค่ะขนมของพี่พล”“อ่ะ...อ๋อ ครับ” พลกฤษณ์ที่โดนคู่ต่อสู้น็อกยังไม่หายงงยื่นมือไปรับถุงใส่กล่องขนม แต่อารามรีบร้อนปนตกประหม่าทำให้เผลอจับโดนมือคนส่งถุงเข้าอย่างจังหมับ!“อ๊ะ! พี่ขอโทษครับน้องจ๋า”คิ้วเข้มๆ ของใครบางคนกระตุกทันพลัน ตาดุกร้าวจ้องมือฝ่ายนั้นเขม็ง“ไม่เป็นไรค่ะ” รุจารินส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเข้าใจ โดยไม่ทันเห็นสายตาพิฆาตที่จ้องอยู่ ผิดกับพลกฤษณ์ที่เห็นสายตาคู่นั้นอย่างจัง“นี่ค่าขนมครับ งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ”“ค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะที่ช่วยอุดหนุน ฝากความคิดถึงให้น้าดวงด้วยนะคะ ถ้ามีโอกาสจ๋ากับแม่จะแวะไปเยี่ยมที่บ้านนะคะ”หญิงสาวเอ่ยด้วยไมตรี โดยทำเป็นไม่สนใจใครบางคนที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับข้างๆ“ไหนคุณบอกว่าไม่สบายไงครับที่รัก ออกมาตากลมนานๆ แบบนี้เดี๋ยวก็ไข้กลับกันพอดี” คำนั้นทำให้คนเป็นส่วนเกินแอบถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะครับ”คนตัวร้ายรวบเอาหญิงสาวม
รถเก๋งคันหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าหลบมุมที่อะพาร์ตเมนต์กลางเก่ากลางใหม่แห่งนั้นได้สักพักใหญ่แล้ว แต่ทว่าคนขับยังคงนั่งแช่ในรถ ดวงตาคมเข้มมองไปที่ด้านหน้าประตูทางเข้า แม้จะมีที่อยู่จากเอกสารเรซูเม่พนักงานในมือก็เถอะ แต่การจะสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปมันก็ดูจะแปลกๆ ไปหรือเปล่ายัยนั่นไม่สบายมากไหมนะ จะว่าไปเมื่อเช้าหน้าเธอก็ดูซีดๆ อยู่เหมือนกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ที่จริงเขาก็แค่อยากเห็นกับตาแค่นั้นว่าเธอไม่เป็นอะไรมากจะได้สบายใจ หรือถ้าเป็นมากก็จะได้ช่วยเหลือขณะที่ชายหนุ่มครุ่นคิด ตามองตรงไปที่ประตูทางเข้ารอคอย แล้วทันใดนั้นเองสายตาเขาก็เห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนเดินออกมา คิ้วเข้มหนาเลิกขึ้นนิดๆ คิดว่าตัวเองตาฝาดไป หากเมื่อเพ่งสายตามองชัดๆ ก็ยิ่งแน่ใจว่าใช่อย่างนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าป่วยการเมือง ยัยนั่นตั้งใจหลบหน้าเขาชัดๆ มันน่า...อยากรู้นักว่าถ้าเจอหน้ากันเธอจะแก้ตัวยังไง“ทางนี้ครับน้องจ๋า”ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามที่คิด จู่ๆ ก็มีเสียงใครบางคนดังขึ้นเสียก่อนภูเบศปรายตามองไปทางต้นเสียงที่ดังมาจากรถที่จอดเยื้องๆ เขาไปไม่ไกลนัก ก็ได้เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งโบกมือส่งยิ้มหวานให้เลขาสาวของเขาลูกตาเป็นปร
“ไปพักสักหน่อยดีไหมลูก เดี๋ยวที่เหลือแม่ทำต่อเอง”“ใกล้เสร็จแล้วนี่คะแม่ อีกเดี๋ยวก็ถึงเวลาที่ลูกค้าจะมารับขนมแล้วด้วย ทำให้เสร็จก่อนค่อยไปพักทีเดียวดีกว่า” คำตอบกลับมายิ่งทำให้คนเป็นแม่หนักใจ ยิ่งเห็นใบหน้าซีดเซียวของลูกสาวสุดที่รักก็ยิ่งเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะเป็นลมล้มป่วยไปตอนไหน“ยังพอมีเวลาอยู่ งั้นก็ไปล้างหน้าล้างตาแล้วมากินอะไรรองท้องซักหน่อยดีไหมลูก เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปก่อน เหลือไม่เยอะแล้วเดี๋ยวแม่ทำต่อเอง”ถ้าขืนปฏิเสธมารดาของเธอคงเป็นห่วงกังวลไม่เลิกรา ทำให้หญิงสาวจำใจรามือจากขนมที่เพิ่งใส่ลงกล่องเสร็จไปอีกหนึ่ง“ก็ได้ค่ะ งั้นจ๋าขอไปล้างหน้าล้างตาหน่อยละกันนะคะ เดี๋ยวจะได้มาช่วยแพคของต่อ” สีหน้าอิดโรยของลูกสาวทำให้ผู้เป็นมารดาถึงกับตกใจ“ตายจริง ทำไมหน้าตาโทรมเป็นแบบนี้ล่ะลูก”รุจารินลูบใบหน้าตัวเอง พลางฝืนยิ้มกลบเกลื่อน “จ๋าไม่เป็นไรค่ะ”จะไม่โทรมอย่างไรได้ ในเมื่อต้องอดนอนเพราะเขาคนนั้นไม่ยอมให้เธอได้นอนง่ายๆ รุจารินกัดริมฝีปากเมื่อคิดถึงตัวการที่ทำให้เธอไม่ได้นอนทั้งคืน“ไปให้หมอตรวจหน่อยดีกว่านะแม่ว่า”“จ๋าไม่ได้เป็นอะไรเลยจริงๆ ค่ะแม่ แค่เพลียนิดหน่อย นอนพักหน่อยเดี
“เดี๋ยวครับ!” วรรณิภาชะงัก “ผมเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ต้องยกเลิกนัดแล้วนะครับ เท่านี้แหละ ขอบคุณครับ”คนรับคำสั่งถึงกับตาค้างเหวอไปอีกหนกับการเปลี่ยนคำสั่งแบบสายฟ้าแลบของท่านรองประธานหนุ่มรูปงาม วรรณิภาจำใจตอบรับคำสั่ง ในใจภาวนาให้เพื่อนร่วมงานรุ่นน้องหายป่วยไวๆ จะได้มารับมือคุณเจ้านายสุดหล่อตรงหน้าเสียเองพอคล้อยหลังเลขาเฉพาะกิจ ภูเบศก็กระแทกลมหายใจหนักๆ รู้สึกหงุดหงิดกับทุกอย่างรอบตัวขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ หรือจะบอกให้ถูกคือ เขาไม่อยากยอมรับต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องว้าวุ่นใจอยู่ตอนนี้ต่างหากเป็นไข้เนี่ยนะ! เมื่อเช้าก็เห็นอาการยังดีๆ อยู่นี่นา หรือว่าจะช็อกกับเหตุการณ์เมื่อเช้าจนล้มป่วย หรือว่าเพราะเมื่อคืนเขาหักโหมกับเธอมากไปยิ่งคิดใบหน้าหล่อเหลาก็ยิ่งยุ่งเหยิง กองแฟ้มที่รอการเซ็นต์อนุมัติถูกผลักออกไปเบาๆ เพราะเจ้าตัวไม่มีอารมณ์จะอ่านเสียแล้ว จิตใจว้าวุ่นครุ่นคิดสะระตะเขาควรไปเยี่ยมเธอที่บ้านดีไหมนะ ถ้าไปเธอจะหลงคิดว่าตัวเองสำคัญกับเขาเกินกว่าฐานะเจ้านายลูกน้องไหม มันจะกลายเป็นว่าเขาให้ความหวังเธอมากไปหรือเปล่า จริงอยู่ที่ว่าเขาอยากจะถอนหมั้นกับสลิลดา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปักใจลงเอยกับ
เอาเถอะ ไว้เงินเดือนออกเธอจะเอามันมาใช้ให้เขาทุกบาททุกสตางค์ก็แล้วกัน แม้สิ่งที่เสียไปแล้วเธอเอากลับคืนมาไม่ได้ แต่เธอจะหยุดทุกอย่างไว้แค่นี้ เธอไม่ต้องการให้ใครมาตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงหน้าด้านที่แย่งแฟนชาวบ้าน และไม่ต้องการทำร้ายผู้หญิงด้วยกันเหมือนที่ครั้งหนึ่งพ่อเธอเคยทำร้ายจิตใจแม่เด็ดขาดแต่ทำไมนะ...หัวใจถึงรู้สึกทรมานแบบนี้ มันทั้งเจ็บลึกและทรมานเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ เพียงแค่คิดว่าจะไม่ได้อยู่ในอ้อมแขนของเขาคนนั้น ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดครอบครองเป็นเจ้าของเขาได้ แล้วต่อจากนี้ชีวิตเธอจะเป็นเช่นไร เธอจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงดีเธอจะมองหน้าเขาติดได้อีกหรือเมื่อต้องทำงานด้วยกันร่างบางทรุดฮวดกอดเสื้อผ้าที่เขาซื้อให้แน่น ปลดปล่อยน้ำตาไหลริน สีหน้าหม่นหมอง ต่อจากนี้เธอควรทำยังไงดี...“อืม...ไม่เลวนี่ คุณดูดีใช้ได้เลย”ภูเบศมองเรือนร่างระหงในชุดทำงานแบบเพนท์สูทสีน้ำเงินเข้มอย่างพอใจ ด้วยดีไซน์หรูและแบบชุดทรงเข้ารูปทำให้เห็นทรวดทรงองค์เอวของคนใส่ชัดเจนทำให้รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าซ่อนรูปไม่น้อยเลย แต่คงจะดูดีกว่านี้ถ้าเจ้าตัวจะยิ้มเสียบ้าง ไม่ใช่ทำหน้านิ่งเฉยเย็นชาเป็นราชินีหิมะอยู่เช่นนี้ “คุณรอ
ภูเบศส่ายหน้าไปมา มองตามหลังคู่หมั้นที่ปึงปังออกไปราวกับพายุทอร์นาโด ด้วยสีหน้าหนักใจ ถึงแม้จะเตรียมใจล่วงหน้าว่าต้องเจอเหตุการณ์นี้ตั้งแต่ที่คิดจะดึงเลขาสาวมาร่วมแผนปลดอิสรภาพของตนแบบลับๆ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้อยากทำให้ฝ่ายนั้นเดือดร้อนเช่นนี้ เมื่อคิดถึงเลขาสาว เขาก็รีบปิดประตูหน้าบ้านพร้อมล็อกกลอนแน่นหนา เผื่อว่าคู่หมั้นสาวจะย้อนกลับมาอาละวาดอีกหน แล้วเดินปราดไปที่ห้องนอน“เปิดประตูได้แล้ว”เงียบกริบ...ไม่ใช่ว่ายัยนั่นตกใจจนช็อกตายไปแล้วหรอกนะ ชายหนุ่มชักห่วง รีบไปเอากุญแจสำรองมาไขประตูอย่างรวดเร็วห้องว่างเปล่า สายตาคมเข้มเหลียวมองหาร่างอรชรมาสะดุดตาที่ประตูตู้เสื้อผ้าที่เปิดแง้มเล็กน้อย ร่างสูงจึงตรงเข้าไปกระชากมันออกภูเบศใจหายวาบเมื่อได้เห็นสภาพของเลขาสาวที่นั่งกอดเข่าคุดคู้หลบตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกจากรังน่าสงสารจับใจ ใบหน้าสวยหวานซีดเผือดไร้สีเลือดหม่นหมอง พอเงยหน้าเห็นเขาเธอก็สะดุ้งสุดตัว รีบขยับกายหนี แต่เขากลับเป็นฝ่ายดึงร่างเธอเข้ามากอดปลอบขวัญเสียเอง แม้อีกฝ่ายจะดิ้นขลุกขลักจะหนีจากอ้อมกอดนั้นแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือจากเธอ คิดว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้โฮแต่ก็กลับไม่ หากมีเพียงเสีย