คนมาใหม่ส่งยิ้มให้ทุกคนอย่างเป็นมิตร และเดินตรงเข้าไปนั่งเก้าอี้อีกด้านของหัวโต๊ะพร้อมหันไปทักทายน้องชายต่างสายเลือด“ไง นายเบส ไม่ยักรู้ว่าวันนี้คุณพ่อให้นายมาประชุมแทน”“ครับ จนกว่าจะมีการแต่งตั้งประธานคนใหม่ที่เหมาะสม...ท่านประธานจึงให้ผมทำหน้าที่แทนไปก่อน”ภูเบศจงใจใช้คำว่าท่านประธาน ไม่ใช่คุณพ่ออย่างที่พี่ชายบุญธรรมเอ่ยอ้าง“เชิญนั่งสิครับ”ประโยคนั้นทำให้อติกรหน้าเปลี่ยนสีวูบหนึ่ง แต่เพียงเสี้ยววินาทีสีหน้าของอดีตท่านรองประธานคนล่าสุดซึ่งปัจจุบันถูกโอนไปเป็นเพียงกรรมการบริษัทและช่วยดูแลด้านการตลาดก็ปรับเป็นปกติ “เอาล่ะครับ เสียเวลามามากแล้ว ในเมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว เราก็เริ่มประชุมเสียที”คนมาสายที่สุดในห้องหน้าเจื่อนไปนิดๆ หากเขาก็พยายามข่มสีหน้าให้เป็นปกติ และรักษารอยยิ้มไว้อย่างสงบ ทั้งที่ในใจร้อนรุ่มทั้งๆ ที่ใครก็รู้ว่าเขาเป็นลูกชายคนโต ถึงจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่การที่บิดาบุญธรรมจงใจมอบอำนาจให้ภูเบศเช่นนี้ก็เท่ากับประกาศกลายๆ แล้วว่า ‘ใคร’ คือคนที่ถูกหมายตาในตำแหน่งประธานบริษัทคนต่อไป แล้วคนอื่นๆ จะคิดอย่างไรได้ นอกจากเขาถูกเขี่ยทิ้งตกกระป๋องน่ะสิพ่อนะพ่อ...แท้จริงแล้วใคร
เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์สาวเงยหน้ามองพร้อมส่งยิ้มบางๆ ให้อย่างเข้าอกเข้าใจ เพราะตัวเองก็มาจากต่างจังหวัดเหมือนกัน“งั้นให้เรียนคุณรุจารินยังไงดีคะ”“เอาเป็นว่าบอกว่ามีคนจากที่บ้านมาขอพบก็แล้วกันครับ แต่อย่าบอกว่าเป็นพ่อนะครับ อย่างที่บอก ผมอยากให้ลูกเซอร์ไพร์ซ”“ได้ค่ะ เท่านี้ใช่ไหมคะ”“เอ่อ ผมอยากรบกวนอีกนิด ไม่ทราบว่าท่านรองประธานที่เป็นเจ้านายของลูกสาวผมชื่ออะไรหรือครับ พอดีผมมีขนมนมเนยติดมาด้วย เลยอยากจะฝากไว้ให้ท่านบ้าง เป็นการขอบคุณน่ะครับ”คนฟังมองจากสีหน้าท่าทางซื่อๆ ของอีกฝ่ายแล้วไม่พบพิรุธร้ายใดนอกจากพ่อที่ห่วงลูกสาวคนหนึ่งเท่านั้นจึงไม่ได้ระแวงอะไร “ชื่อคุณภูเบศค่ะ ภูเบศ ศิราธร ท่านเป็นลูกชายเจ้าของบริษัทนี้ค่ะ”“โอ...ขอบคุณมากๆ นะหนูนะ อ้อ นี่ลุงมีขนมมาฝาก ถือว่าแทนคำขอบคุณ ถ้าหนูไม่รังเกียจว่าเป็นของบ้านๆ ไม่ใช่ขนมแพงๆ รับไว้นด้วยนะครับ” ชายมากวัยเปลี่ยนสรรพนามให้เป็นกันเองมากขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเชื่อเขาสนิท“ขอบคุณมากค่ะคุณลุง เดี๋ยวนั่งรอก่อนนะคะ วันนี้มีประชุม คงอีกพักใหญ่กว่าจะเลิก เดี๋ยวหนูโทรไปแจ้งหน้าห้องประชุมไว้ให้ก่อนละกันนะคะ”“ขอบคุณมากๆ นะลูกนะ ขอให้เจริญ
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นและหันมามองเธอเล็กน้อย“ไปสิครับ”“เอ่อ...มาคิดอีกที ฉันว่าตอนนี้แคนทีนพนักงานคงปิดแล้ว งั้นเดี๋ยว ฉันโทรสั่งอาหารให้คุณดีกว่า ทานที่ออฟฟิศคุณจะได้ไม่เสียเวลาทำงานไงคะ”“งั้นเหรอครับ” สีหน้ารู้ทันนั่นทำให้หญิงสาวแอบเคืองหน่อยๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยตามน้ำไป ร่างเพรียวระหงรีบเก็บของและลุกตามคนตัวสูงไปหากเมื่อออกจากห้องเธอก็ถูกเรียกไว้เสียก่อน“คุณรุจารินคะ”“ค่ะ ฉันเอง” ตอบพลางเหลือบมองชายหนุ่มข้างกายนิดๆ“พอดีเมื่อกี้โอเปอเรเตอร์ข้างล่างโทรมาแจ้งว่ามีคนมาขอพบคุณตอนนี้รออยู่ที่ล็อบบี้ชั้นล่างค่ะ”“หืม? พบฉันเหรอคะ บอกไหมคะว่าใคร”“เห็นบอกว่าคนจากที่บ้านคุณน่ะค่ะ”“คนจากที่บ้าน...” หรือว่าแม่ แม่มีธุระอะไรถึงมาที่นี่โดยที่ไม่แม้แต่จะโทรมาบอกเธอก่อน หรือว่าเรื่องด่วน “ทราบแล้วค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะ”มาคิดอีกที แม่มาตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน เธอจะได้หาเหตุเบี้ยวกินข้าวเที่ยงตามหน้าที่เสียเลยหญิงสาวยิ้มในใจ ก่อนหันไปเอ่ยปากกับเจ้านายรูปงามที่ทำเหมือนไม่สนใจเธอ แต่ก็หยุดรอไม่ห่าง“คุณภูเบศคะ งั้นดิฉันขอตัวสักครู่นะคะ คุณกลับไปที่ออฟฟิศก่อน เดี๋ยวดิฉันจะจัดการเรื่องอาหารให
“ใช่ลูก พ่อจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนนั้นจริงๆ”“ฉันไม่มีหรอกค่ะ เงินตั้งมากมายแบบนั้น”“พ่อรู้ว่าหนูคงไม่มี แต่...แฟนหนูเขามีนี่ลูก” รุจารินชะงักกึก คิ้วงามขมวดแน่นงุนงง“แฟน? ฉันเนี่ยนะคะ”“เอาล่ะ พ่อจะไม่อ้อมค้อมนะ พ่อรู้เรื่องลูกกับเจ้านายของลูกหมดแล้ว ชื่ออะไรนะ ภูเบศใช่ไหมคนที่ลูกกำลังคบหากับเขานั่น”หญิงสาวหลับตาลง มือสองข้างกำแน่นเพื่อระงับความโมโหที่กำลังแล่นริ้วขึ้นมา“แต่พ่อได้ยินมาว่าเขามีคู่หมั้นแล้วนี่นา งั้นหนูอยู่ในฐานะอะไรกันล่ะ เมียเก็บ เมียน้อย หรือว่าแค่ของเล่นเศรษฐี” คนพูดถามหน้าซื่อๆ แต่แววตาเป็นต่อ “นี่หนูคงไม่คิดสั้นแย่งสามีชาวบ้านใช่ไหมลูก”รุจารินตาวาวโรจน์ โกรธจนตัวสั่นกับคำสบประมาทของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้าจนเกินจะทนไหว นี่คนตรงหน้าคือพ่อแท้ๆ ของเธอจริงๆ หรือ“ฉันขอบอกอีกครั้งว่าฉันไม่มีเงินหรืออะไรจะให้คุณทั้งนั้น”“เฮ้อ...พ่อจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว อีกอย่างถ้าแม่ของหนูรู้เรื่องนี้เข้าจะว่ายังไงน้า...” ชายมากวัยแสร้งถอนหายใจเบาๆ อย่างเป็นต่อ รู้ดีว่าลูกสาวรักแม่มากแค่ไหน“ดารินคงต้องเสียใจมากๆ แน่ที่รู้ว่าลูกส
แม้คิดว่าอยากจะเตือน หากพอเอาเข้าจริงๆ เมื่อเห็นหน้าเจ้านายหนุ่ม หญิงสาวกลับพูดไม่ออก ไม่รู้จะเริ่มต้นเอ่ยปากอย่างไรดี พอคิดจะอ้าปาก แต่เห็นท่าทางอีกฝ่ายที่เอาแต่ก้มหน้าทำงานและเซ็นต์เอกสารคร่ำเคร่ง ใจมันก็พานจะฝ่อไม่กล้ารบกวนขึ้นมาดื้อๆไว้เลิกงานแล้วกัน ถึงอย่างไรบิดาของเธอคงไม่กล้าบุกเข้ามาหาเจ้านายของเธอตอนนี้หรอกมั้ง ถึงมาจริงเธอก็ไม่ยอมให้ผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนั้นทำอย่างที่คิดได้แน่หญิงสาวหารู้ไม่ว่าขณะที่เธอครุ่นคิดหนักใจนั้น คนที่นั่งร่วมห้องเองก็แอบจับสังเกตอาการเธออยู่เงียบๆ เช่นกันภูเบศแอบชายตามองเลขาสาวของตนโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว ตั้งแต่ที่หญิงสาวกลับขึ้นมาบนออฟฟิศก็มีท่าทีแปลกๆ ไป หลายครั้งที่เหมือนอยากจะพูดอะไรกับเขา แต่ทุกครั้งเธอก็เก็บปากเงียบไปเสียทุกครั้ง แต่เขาก็เก็บอาการไว้ ทำเป็นวุ่นกับงานไม่สนใจเธอ แม้ในใจนึกหงุดหงิดตั้งแต่ได้รู้ว่ามีผู้ชายมาขอพบเธอเมื่อตอนบ่ายแล้วก็ตามระหว่างที่ทั้งสองเพลินกับความคิดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังแทรกขึ้นมาภูเบศปรายตามองเลขาสาวนิดๆ ก่อนตัดสินใจรับสายสำคัญ“ครับคุณแม่” หญิงสาวเหลือบมองคนหน้าดุที่ทำเสียงอ่อนโยนอย่างแปลกใจ
เมื่อคร้านจะเถียงเพราะร่างกายกำลังส่งสัญญาณแปลกๆ เธอจึงเลือกหลับตาเสียจะได้ไม่ต้องนั่งหวาดเสียวกับความเร็วทะลุหน้าปัดนั่น อีกมือก็แอบโบกยาดมให้ตัวเองไปด้วย เชื่อแล้วว่างานอดิเรกของอีกฝ่ายคือการแข่งรถ แต่ก็นั่นแหละ ถนนในกรุงเทพนั้นไม่ใช่สนามแข่งที่น่าประลองฝีมือซักหน่อย เอาเถอะ หวังว่าเขาคงไม่เลือกเสาไฟฟ้าหรือต้นไม้ที่ไหนเป็นที่เบรกรถก็เป็นอันใช้ได้ เพราะเธอยังไม่อยากจบชีวิตตัวเองไปพร้อมเขาตอนนี้นักหรอกคิดเพลินๆ ก็ชักเคลิ้มๆ หนังตาหนักลงเรื่อยๆ และท้ายสุดเธอก็เผลอหลับไปฝ่ายคนขับเมื่อเห็นว่าข้างกายเงียบเสียงไปก็หันไปมอง และพบว่าเลขาของเขาหลับคอพับไปแล้ว ความสงสารปนเวทนาเมื่อเห็นศีรษะอีกฝ่ายโอนเอนไถลไปชนกระจกอยู่หนสองหน อดไม่ได้ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปช้อนศีรษะทุยสวยให้เอนมาซบที่ไหล่เขาแทน เท้าที่เหยียบคันเร่งผ่อนความเร็วลงโดยไม่รู้ตัวหลับแบบนี้ดูน่ารักน่าทะนุถนอมกว่าตอนตื่นมาเถียงเขาฉอดๆ เป็นกอง ภูเบศกระตุกยิ้มมุมปากนิดๆ นึกอยากให้เวลานี้ยืดยาวออกไปอีกนิด แต่จะยืดไปนานเท่าใดก็ต้องถึงจุดหมายปลายทางจนได้“ถึงแล้วคนขี้เซา ตื่นได้แล้ว” เสียงนุ่มหูทำให้คนกำลังหลับสบายรู้สึกตัวตื่น หญิงสาวขย
“อาเจียนออกมาให้หมดคุณ จะได้ดีขึ้น” แทนที่จะต่อว่าที่ทำเขาเลอะเทอะ เสียงนุ่มหูกลับคอยกระซิบบอกอย่างอ่อนโยน พลางวางเธอที่อ่างอาบน้ำ และช่วยลูบหลังลูบไหล่ให้ จนเธออาการทุเลาลง ร่างกายอ่อนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็น พออาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ร่างระหงก็อ่อนระทวยซบหน้าพาดกับอ่างอาบน้ำหรูหรานั่นอย่างสิ้นฤทธิ์ หากไม่มีมือแข็งแรงคอยช่วยประคองเธอคงทรุดกายนอนราบกองกับพื้นห้องน้ำนั่นหลับไปแล้วภูเบศมองอาการหญิงสาวในอ้อมแขนอย่างห่วงใย เขาไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไร แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้เธอเป็นไปตามยถากรรมได้แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำเสื้อเขาเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมดก็ตาม แต่น่าแปลกที่เขาไม่ยักรังเกียจหรือโมโหเธอเลยสักนิดชายหนุ่มหันไปคว้าผ้าขนหนูของตนมาชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้เธออย่างทะนุถนอม ชนิดที่ไม่เคยทำให้ใครแบบนี้มาก่อน ส่วนคนป่วยนั้นหลับคอพับคออ่อนซบพิงอกเขาไปแล้ว ใบหน้าหวานซีดเซียวจนน่าสงสาร ทำให้ใจเขาอ่อนยวบยัยนี่เป็นอะไรไปนะ ปกติเห็นเข้มแข็งจะตาย แต่จะว่าไปอาการนี้มันก็คุ้นๆ อยู่นะ ชายหนุ่มนึกคำนวนเวลาที่เขาและเธอมีอะไรกันจนถึงวันนี้ แม้จะผ่านไปไม่ถึงเดือนดี เป็นไปได้ไหมว่าเธอจะ...คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแน่น“ท้
“เขาไม่เกี่ยว...อย่าบอกนะ อย่า...” มือบางยกขึ้นปัดป่าย สีหน้าอึดอัดจนชายหนุ่มอดสงสารไม่ได้ จึงรวบมือทั้งสองนั่นมากุมไว้“ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าคุณไม่อยากบอกใครก็ไม่ต้องบอก” ผมจะเป็นฝ่ายบอกทุกคนเรื่องของเราเอง ว่าแล้วเขาก็ดึงมือเธอมาจูบเบาๆ จนอีกฝ่ายอาการสงบลง และหลับต่อโดยไม่รู้ว่ามีใครบางคนนั่งเฝ้ามองเธออยู่ข้างเตียงไม่ห่างรุจารินมารู้สึกตัวอีกทีก็ค่ำแล้ว พอจะขยับลุก หญิงสาวรู้สึกถึงบางอย่างที่กุมมือเธอไว้ พอลืมตาก็ได้พบใบหน้าใครบางคนที่ลืมตาจับจ้องเธออยู่“อุ๊ย! ท่านรอง!” พยายามจะดึงมือกลับ แต่ติดที่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย “มาจับมือฉันไว้ทำไมคะ”“ก็ถ้าไม่จับคุณคงตบผมไปแล้วสิ คนอะไรนอนละเมอได้น่ารัก เอ๊ย! น่ากลัวชะมัด” เขาเอ่ยหน้าตาย ทำคนป่วยค้อนใส่อย่างหมั่นไส้“น้อยๆ หน่อยค่ะ ฉันไม่ได้ละเมอซักหน่อย ตอนนี้ตื่นแล้วด้วย ปล่อยได้แล้วค่ะ”“อืม...” ภูเบศยอมปล่อยมือนุ่มๆ นั้นอย่างเสียไม่ได้ ตามองร่างบางขยับลุกนั่งอย่างทุลักทุเล อดใจไม่ไหวจึงยื่นมือไปช่วยประคองเธอขึ้น“ค่อยๆ ลุกไวๆ เดี๋ยวก็เวียนหัวอ้วกใส่ผมอีกหรอก”“อ้วก!” หญิงสาวทำตาโต ภาพที่เธออาเจียนใส่เขาก่อนหมดสติไปผุดวาบก็หน้าเสีย “ฉะ...ฉันขอ
“เห็นไหม ยานั่นไม่ขมแล้ว”“คะ...คุณจูบฉันอีกแล้วนะคนฉวยโอกาส”“ผมป้อนยาคุณต่างหาก โอ๊ย!” ชายหนุ่มแสร้งร้องโอดโอยเมื่อถูกคนป่วยทุบอกปั๊กๆ ฐานขโมยจูบทีเผลอ“ทำแบบนี้ทำไม ถ้าแม่ฉันมาเห็นเข้าจะว่ายังไง”“ก็ไม่ว่าอะไร หรือคุณอยากให้ผมว่าอะไรล่ะ”“นี่คุณ อย่ามาเล่นลิ้นแบบนี้นะคะ ฉันไม่ชอบ”“แล้วคุณชอบแบบไหนล่ะ ผมจะได้จัดให้ตามที่คุณชอบ” สายตาวาวชวนหวามของคนพูดทำให้หญิงสาวชาวาบไปทั้งร่าง เมื่อสบสายตายั่วเย้าคู่นั้น หัวใจก็เริ่มไม่เป็นของเธออีกครั้ง“ผมพูดจริงนะ หรือถ้าคุณโอเค จะให้ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่คุณฟังแล้วรับผิดชอบคุณก็ยังได้”“รับผิดชอบ? คุณจะรับผิดชอบฉันในฐานะอะไรล่ะคะ”“นั่นแล้วแต่คุณเลย อยากได้แบบไหนก็บอกมา”อยากได้แบบไหนเหรอ...หญิงสาวฉุกคิด นั่นสิ ที่แท้แล้วเธออยากคบเขาแบบไหนกันแน่นะ คนรักก็ไม่น่าใช่ คนรู้ใจก็ไม่เชิง หรือจะแบบคู่นอนก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ จู่ๆ สมองก็ดันมีผู้หญิงอีกคนโผล่แทรกเข้ามากวนใจให้สมองชะงัก“แต่คุณมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ลืมแล้วหรือไงคะ”“ผมไม่ได้ลืม คุณต่างหากที่ลืม ผมบอกแล้วว่ากำลังจะหาทางขอยกเลิกการหมั้น” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ “ผมไม่ได้ล้อคุณเล่น แต่ผมคิดมานานแล้
“นั่นคุณหัวเราะอะไรคะ แล้วมาบ้านฉันทำไมกันแน่”“ก็บอกแล้วว่ามาเยี่ยมไข้”“ไม่จริง มาจับผิดมากกว่า”“ก็แล้วคุณทำผิดอะไรไหมล่ะ” ภูเบศแกล้งเอ่ยหน้านิ่ง แต่ดวงตาพราว “ผมจะได้จับ...”“มะ...ไม่ เอ่อ...นี่คุณ!” “คุณอยู่กับแม่ที่นี่แค่สองคนเหรอ” เห็นอีกฝ่ายอึกอัก หน้าแดงเรื่อสมใจ เขาจึงยอมเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้เธอเก้อเขินมากไปกว่านี้ พลางมองไปรอบกาย“ห้องสะอาดน่าอยู่ดีนะ แต่แคบไปหน่อย”“เรื่องของฉัน” คนป่วยสะบัดเสียงใส่อย่างไม่สบอารมณ์ “คุณรีบกินรีบกลับไปดีกว่าค่ะ ที่นี่ทั้งเล็กและแคบมาก ไม่เหมาะจะต้อนรับคนมีระดับอย่างคุณหรอกค่ะ”“ทำไมหนีมาไม่ยอมรอผมก่อน” นั่นไง นอกจากจะเป็นแมวแล้วยังเป็นฝ่ายสืบสวนอีกด้วย“ทำไมต้องรอคะ ตัวเราสองคนไม่ได้ติดกันเสียหน่อย” ภูเบศมองใบหน้าหวานที่อิดโรย ขอบตาบวมช้ำ แต่ยังอุตส่าห์มีแรงรวนเขาอย่างมันเขี้ยว“คุณแน่ใจหรือว่าเราไม่เคยตัวติดกัน ผมว่าเราสองคนน่ะยิ่งกว่าเคยตัวติดกันอีกนะ”“คนบ้า อย่ามาทะลึ่งที่บ้านฉันนะ” คนป่วยแหวเสียงเขียว ใบหน้าร้อนผ่าว“อย่าเพิ่งชวนทะเลาะเลยน่า ผมหิวแล้วกินข้าวกันเถอะ หรือว่าอยากให้ผมป้อนก็ได้นะ คุณไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ” แขกไม่ได้รับเ
“พอดีผมได้ยินว่าวันนี้คุณจ๋าเธอลางานไม่สบายเลยแวะมาเยี่ยม อ้อ...รอสักครู่นะครับ” ฝ่ายนั้นผลุนผลันไปที่รถและกลับมาอีกครั้งพร้อมกระเช้าผลไม้ในมือ“ของเยี่ยมไข้ครับ”“อ้าว งั้นเหรอคะ แล้วทำไมไม่เชิญเจ้านายลูกขึ้นไปข้างบนล่ะจ๊ะ”“คือพอดีจ๋าเห็นว่าท่านจะกลับแล้วน่ะค่ะแม่ ก็เลยไม่ได้เชิญ” คนป่วยเอ่ยหน้าตาเฉย “อะไรกันคะ เพิ่งมาจะรีบกลับแล้วเหรอคะ ทานอะไรมาหรือยัง ดิฉันตั้งโต๊ะอาหารเช้าไว้แล้ว ถ้าท่านไม่รังเกียจ...”โอ๊ะ เรียกผมธรรมดาดีกว่าครับ อย่าเรียกทงท่านเลย ผมไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างหรอกครับ” เขาเอ่ยพลางปรายตามองใครบางคนที่กำลังเบ้ปากกับนกกับไม้อย่างมันเขี้ยว“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณภูเบศ”“เรียกผมเบสเถอะครับ”“ค่ะ หากคุณเบสไม่รังเกียจอาหารบ้านๆ ก็ขอเชิญ”“แม่คะ...” รุจารินร้องลั่น“ไม่รังเกียจหรอกครับ ถ้าคุณแม่ไม่ว่างั้นผมก็ขออนุญาตฝากท้องสักมื้อ” รุจารินอ้าปากค้าง หันไปมองคนพูดอย่างไม่เชื่อหู“ด้วยความยินดีค่ะ ไปลูก เชิญค่ะคุณ”“แม่คะ แต่ว่า...”“ขอบคุณครับคุณแม่”โอ๊ย...เธออยากจะบ้าตาย ทำไมเรื่องมันกลับกลายเป็นอย่างนี้ไปได้นะกลิ่นหอมๆ ของอาหารรสเด็ดลอยมาแตะจมูกตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในห้อ
คนถูกถามไม่ขำ รุจารินจ้องหน้าเจ้านายตัวแสบตาเขียวปัด ในใจคุกรุ่นจนแทบจะหักคออีกฝ่ายได้ แต่เธอต้องพยายามข่มอารมณ์ไว้เพราะเกรงใจพลกฤษณ์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยต้องพลอยมาผจญกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง“นี่ค่ะขนมของพี่พล”“อ่ะ...อ๋อ ครับ” พลกฤษณ์ที่โดนคู่ต่อสู้น็อกยังไม่หายงงยื่นมือไปรับถุงใส่กล่องขนม แต่อารามรีบร้อนปนตกประหม่าทำให้เผลอจับโดนมือคนส่งถุงเข้าอย่างจังหมับ!“อ๊ะ! พี่ขอโทษครับน้องจ๋า”คิ้วเข้มๆ ของใครบางคนกระตุกทันพลัน ตาดุกร้าวจ้องมือฝ่ายนั้นเขม็ง“ไม่เป็นไรค่ะ” รุจารินส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเข้าใจ โดยไม่ทันเห็นสายตาพิฆาตที่จ้องอยู่ ผิดกับพลกฤษณ์ที่เห็นสายตาคู่นั้นอย่างจัง“นี่ค่าขนมครับ งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ”“ค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะที่ช่วยอุดหนุน ฝากความคิดถึงให้น้าดวงด้วยนะคะ ถ้ามีโอกาสจ๋ากับแม่จะแวะไปเยี่ยมที่บ้านนะคะ”หญิงสาวเอ่ยด้วยไมตรี โดยทำเป็นไม่สนใจใครบางคนที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับข้างๆ“ไหนคุณบอกว่าไม่สบายไงครับที่รัก ออกมาตากลมนานๆ แบบนี้เดี๋ยวก็ไข้กลับกันพอดี” คำนั้นทำให้คนเป็นส่วนเกินแอบถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะครับ”คนตัวร้ายรวบเอาหญิงสาวม
รถเก๋งคันหรูแล่นเข้ามาจอดหน้าหลบมุมที่อะพาร์ตเมนต์กลางเก่ากลางใหม่แห่งนั้นได้สักพักใหญ่แล้ว แต่ทว่าคนขับยังคงนั่งแช่ในรถ ดวงตาคมเข้มมองไปที่ด้านหน้าประตูทางเข้า แม้จะมีที่อยู่จากเอกสารเรซูเม่พนักงานในมือก็เถอะ แต่การจะสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปมันก็ดูจะแปลกๆ ไปหรือเปล่ายัยนั่นไม่สบายมากไหมนะ จะว่าไปเมื่อเช้าหน้าเธอก็ดูซีดๆ อยู่เหมือนกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ที่จริงเขาก็แค่อยากเห็นกับตาแค่นั้นว่าเธอไม่เป็นอะไรมากจะได้สบายใจ หรือถ้าเป็นมากก็จะได้ช่วยเหลือขณะที่ชายหนุ่มครุ่นคิด ตามองตรงไปที่ประตูทางเข้ารอคอย แล้วทันใดนั้นเองสายตาเขาก็เห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนเดินออกมา คิ้วเข้มหนาเลิกขึ้นนิดๆ คิดว่าตัวเองตาฝาดไป หากเมื่อเพ่งสายตามองชัดๆ ก็ยิ่งแน่ใจว่าใช่อย่างนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าป่วยการเมือง ยัยนั่นตั้งใจหลบหน้าเขาชัดๆ มันน่า...อยากรู้นักว่าถ้าเจอหน้ากันเธอจะแก้ตัวยังไง“ทางนี้ครับน้องจ๋า”ยังไม่ทันที่จะได้ทำตามที่คิด จู่ๆ ก็มีเสียงใครบางคนดังขึ้นเสียก่อนภูเบศปรายตามองไปทางต้นเสียงที่ดังมาจากรถที่จอดเยื้องๆ เขาไปไม่ไกลนัก ก็ได้เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งโบกมือส่งยิ้มหวานให้เลขาสาวของเขาลูกตาเป็นปร
“ไปพักสักหน่อยดีไหมลูก เดี๋ยวที่เหลือแม่ทำต่อเอง”“ใกล้เสร็จแล้วนี่คะแม่ อีกเดี๋ยวก็ถึงเวลาที่ลูกค้าจะมารับขนมแล้วด้วย ทำให้เสร็จก่อนค่อยไปพักทีเดียวดีกว่า” คำตอบกลับมายิ่งทำให้คนเป็นแม่หนักใจ ยิ่งเห็นใบหน้าซีดเซียวของลูกสาวสุดที่รักก็ยิ่งเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะเป็นลมล้มป่วยไปตอนไหน“ยังพอมีเวลาอยู่ งั้นก็ไปล้างหน้าล้างตาแล้วมากินอะไรรองท้องซักหน่อยดีไหมลูก เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปก่อน เหลือไม่เยอะแล้วเดี๋ยวแม่ทำต่อเอง”ถ้าขืนปฏิเสธมารดาของเธอคงเป็นห่วงกังวลไม่เลิกรา ทำให้หญิงสาวจำใจรามือจากขนมที่เพิ่งใส่ลงกล่องเสร็จไปอีกหนึ่ง“ก็ได้ค่ะ งั้นจ๋าขอไปล้างหน้าล้างตาหน่อยละกันนะคะ เดี๋ยวจะได้มาช่วยแพคของต่อ” สีหน้าอิดโรยของลูกสาวทำให้ผู้เป็นมารดาถึงกับตกใจ“ตายจริง ทำไมหน้าตาโทรมเป็นแบบนี้ล่ะลูก”รุจารินลูบใบหน้าตัวเอง พลางฝืนยิ้มกลบเกลื่อน “จ๋าไม่เป็นไรค่ะ”จะไม่โทรมอย่างไรได้ ในเมื่อต้องอดนอนเพราะเขาคนนั้นไม่ยอมให้เธอได้นอนง่ายๆ รุจารินกัดริมฝีปากเมื่อคิดถึงตัวการที่ทำให้เธอไม่ได้นอนทั้งคืน“ไปให้หมอตรวจหน่อยดีกว่านะแม่ว่า”“จ๋าไม่ได้เป็นอะไรเลยจริงๆ ค่ะแม่ แค่เพลียนิดหน่อย นอนพักหน่อยเดี
“เดี๋ยวครับ!” วรรณิภาชะงัก “ผมเปลี่ยนใจแล้ว ไม่ต้องยกเลิกนัดแล้วนะครับ เท่านี้แหละ ขอบคุณครับ”คนรับคำสั่งถึงกับตาค้างเหวอไปอีกหนกับการเปลี่ยนคำสั่งแบบสายฟ้าแลบของท่านรองประธานหนุ่มรูปงาม วรรณิภาจำใจตอบรับคำสั่ง ในใจภาวนาให้เพื่อนร่วมงานรุ่นน้องหายป่วยไวๆ จะได้มารับมือคุณเจ้านายสุดหล่อตรงหน้าเสียเองพอคล้อยหลังเลขาเฉพาะกิจ ภูเบศก็กระแทกลมหายใจหนักๆ รู้สึกหงุดหงิดกับทุกอย่างรอบตัวขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ หรือจะบอกให้ถูกคือ เขาไม่อยากยอมรับต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องว้าวุ่นใจอยู่ตอนนี้ต่างหากเป็นไข้เนี่ยนะ! เมื่อเช้าก็เห็นอาการยังดีๆ อยู่นี่นา หรือว่าจะช็อกกับเหตุการณ์เมื่อเช้าจนล้มป่วย หรือว่าเพราะเมื่อคืนเขาหักโหมกับเธอมากไปยิ่งคิดใบหน้าหล่อเหลาก็ยิ่งยุ่งเหยิง กองแฟ้มที่รอการเซ็นต์อนุมัติถูกผลักออกไปเบาๆ เพราะเจ้าตัวไม่มีอารมณ์จะอ่านเสียแล้ว จิตใจว้าวุ่นครุ่นคิดสะระตะเขาควรไปเยี่ยมเธอที่บ้านดีไหมนะ ถ้าไปเธอจะหลงคิดว่าตัวเองสำคัญกับเขาเกินกว่าฐานะเจ้านายลูกน้องไหม มันจะกลายเป็นว่าเขาให้ความหวังเธอมากไปหรือเปล่า จริงอยู่ที่ว่าเขาอยากจะถอนหมั้นกับสลิลดา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปักใจลงเอยกับ
เอาเถอะ ไว้เงินเดือนออกเธอจะเอามันมาใช้ให้เขาทุกบาททุกสตางค์ก็แล้วกัน แม้สิ่งที่เสียไปแล้วเธอเอากลับคืนมาไม่ได้ แต่เธอจะหยุดทุกอย่างไว้แค่นี้ เธอไม่ต้องการให้ใครมาตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงหน้าด้านที่แย่งแฟนชาวบ้าน และไม่ต้องการทำร้ายผู้หญิงด้วยกันเหมือนที่ครั้งหนึ่งพ่อเธอเคยทำร้ายจิตใจแม่เด็ดขาดแต่ทำไมนะ...หัวใจถึงรู้สึกทรมานแบบนี้ มันทั้งเจ็บลึกและทรมานเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ เพียงแค่คิดว่าจะไม่ได้อยู่ในอ้อมแขนของเขาคนนั้น ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดครอบครองเป็นเจ้าของเขาได้ แล้วต่อจากนี้ชีวิตเธอจะเป็นเช่นไร เธอจะใช้ชีวิตต่อไปยังไงดีเธอจะมองหน้าเขาติดได้อีกหรือเมื่อต้องทำงานด้วยกันร่างบางทรุดฮวดกอดเสื้อผ้าที่เขาซื้อให้แน่น ปลดปล่อยน้ำตาไหลริน สีหน้าหม่นหมอง ต่อจากนี้เธอควรทำยังไงดี...“อืม...ไม่เลวนี่ คุณดูดีใช้ได้เลย”ภูเบศมองเรือนร่างระหงในชุดทำงานแบบเพนท์สูทสีน้ำเงินเข้มอย่างพอใจ ด้วยดีไซน์หรูและแบบชุดทรงเข้ารูปทำให้เห็นทรวดทรงองค์เอวของคนใส่ชัดเจนทำให้รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าซ่อนรูปไม่น้อยเลย แต่คงจะดูดีกว่านี้ถ้าเจ้าตัวจะยิ้มเสียบ้าง ไม่ใช่ทำหน้านิ่งเฉยเย็นชาเป็นราชินีหิมะอยู่เช่นนี้ “คุณรอ
ภูเบศส่ายหน้าไปมา มองตามหลังคู่หมั้นที่ปึงปังออกไปราวกับพายุทอร์นาโด ด้วยสีหน้าหนักใจ ถึงแม้จะเตรียมใจล่วงหน้าว่าต้องเจอเหตุการณ์นี้ตั้งแต่ที่คิดจะดึงเลขาสาวมาร่วมแผนปลดอิสรภาพของตนแบบลับๆ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้อยากทำให้ฝ่ายนั้นเดือดร้อนเช่นนี้ เมื่อคิดถึงเลขาสาว เขาก็รีบปิดประตูหน้าบ้านพร้อมล็อกกลอนแน่นหนา เผื่อว่าคู่หมั้นสาวจะย้อนกลับมาอาละวาดอีกหน แล้วเดินปราดไปที่ห้องนอน“เปิดประตูได้แล้ว”เงียบกริบ...ไม่ใช่ว่ายัยนั่นตกใจจนช็อกตายไปแล้วหรอกนะ ชายหนุ่มชักห่วง รีบไปเอากุญแจสำรองมาไขประตูอย่างรวดเร็วห้องว่างเปล่า สายตาคมเข้มเหลียวมองหาร่างอรชรมาสะดุดตาที่ประตูตู้เสื้อผ้าที่เปิดแง้มเล็กน้อย ร่างสูงจึงตรงเข้าไปกระชากมันออกภูเบศใจหายวาบเมื่อได้เห็นสภาพของเลขาสาวที่นั่งกอดเข่าคุดคู้หลบตัวสั่นเทาราวกับลูกนกตกจากรังน่าสงสารจับใจ ใบหน้าสวยหวานซีดเผือดไร้สีเลือดหม่นหมอง พอเงยหน้าเห็นเขาเธอก็สะดุ้งสุดตัว รีบขยับกายหนี แต่เขากลับเป็นฝ่ายดึงร่างเธอเข้ามากอดปลอบขวัญเสียเอง แม้อีกฝ่ายจะดิ้นขลุกขลักจะหนีจากอ้อมกอดนั้นแต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือจากเธอ คิดว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้โฮแต่ก็กลับไม่ หากมีเพียงเสีย