ท่าอากาศยานเชียงใหม่“น้องเก้า”แก้มใสตะโกนร้องเรียกน้องชายที่กำลังเดินออกมาจากสนามบินพร้อมกับครอบครัวด้วยความดีใจก่อนที่เธอจะวิ่งเข้าไปหาน้องชายพร้อมอ้าแขนออกกว้างเพื่อจะสวมกอดน้องชายสุดที่รักหวืด“อ๊ะ น้องบ้า”“สวัสดีครับพี่หมอ”เก้าทัพเบี่ยงตัวหลบอ้อมกอดของพี่สาวพร้อมเอ่ยทักทายวายุอย่างอารมณ์ดีส่วนแก้มใสที่คว้าได้เพียงอากาศก็ไม่รอช้าที่จะตะโกนด่าน้องชายพร้อมตรงเข้าไปสวมกอดหลานชายกับหลานสาวแก้เก้อที่ถูกน้องชายเมินอย่างไม่ไยดี ถ้ารู้ว่าอายุมากขึ้นแล้วจะเย็นชากับพี่สาวขนาดนี้ตอนเด็กๆเธอน่าจะแกล้งให้วิ่งร้องไห้ไปฟ้องพ่อขาวันละหลายรอบซะให้เข็ดคิดแล้วก็ได้แต่เจ็บใจแก้มใสนะแก้มใสทำไมถึงเพิ่งมาคิดได้ตอนแก่ล่ะเนี่ย“พี่ทัพ น้องพราว หลานรักของป้าคิดถึงจังเลยลูก”แก้มใสโอบกอดหลานๆของเธอด้วยความคิดถึงก่อนที่สาวน้อยหน้าตาน่ารักที่ยืนอยู่ข้างๆพราวฟ้าจะยกมือขึ้นสะกิดเธอเบาๆทำให้แก้มใสที่กำลังยิ้มแย้มด้วยความดีใจพลันชะงักไปเล็กน้อย“ป้าแก้มคิดถึงแต่พี่ทัพกับพราวฟ้าเหรอคะ?แล้วไทน์นี่ล่ะคะ?ป้าแก้มลืมไทน์นี่แล้วใช่ไหมคะ ?กระซิก กระซิก”ท่าทางน้อยอกน้อยใจพร้อมมือที่ยกขึ้นราวกับต้องการปาดน้ำตาที่ไม่มี
สองวันต่อมาในที่สุดวันที่ครอบครัวพิสิฐกุลวัตรดิลกรอคอยก็มาถึงวันนี้ทุกคนต่างพากันตื่นขึ้นมาเตรียมตัวตั้งแต่เช้าเพื่อรอคอยการมาถึงของญาติฝ่ายเจ้าสาวที่จะมาทำการขอเจ้าบ่าวหรือภาษาที่ชาวบ้านเรียกก็คือการมาขอเขย เนื่องจากงานแต่งวันนี้ครอบครัวพิสิฐกุลวัตรดิลกยกให้เป็นการตัดสินใจของฝั่งเจ้าสาวที่ต้องการจัดงานแต่งแบบล้านนาซึ่งเป็นประเพณีดั้งเดิมของชาวภาคเหนือ“มาแล้วค่ะทุกคน ญาติเจ้าสาวมาแล้ว”ไทน์นี่ที่รอคอยการมาถึงของญาติฝ่ายเจ้าสาวรีบเข้ามาบอกทุกคนในครอบครัวที่พยักหน้ารับด้วยความยินดีก่อนที่วายุกับแก้มใสจะพาทุกคนออกไปต้อนรับญาติเจ้าสาวที่นำโดยเมษาน้าสาวของหม่อนไหมตามมาด้วยป้าหอมนวล ฝ้ายคำและคนอื่นๆอีกสองสามคน“สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ ที่มาวันนี้ก็เพื่อจะมาขอเขยขวัญคนดีไปเป็นแก้วตาดวงใจของลูกสาวบ้านโน้นค่ะ”เมษาเอ่ยสู่ขอเขยขวัญด้วยรอยยิ้มจริงใจพร้อมยื่นพานดอกไม้ธูปเทียนไปตรงหน้าแก้มใสกับวายุที่รับมาถือเอาไว้ด้วยความยินดี“ลูกชายของแม่ๆก็รักดั่งแก้วตาดวงใจ ไปอยู่ทางโน้นจะร้ายจะดีอย่างไรก็ช่วยอบรมสั่งสอนเขาด้วยนะคะ”แก้มใสตอบกลับเมษาที่ยกมือไหว้ขอบคุณเมื่อการเจรจาสู่ขอเขยสำเร็จก่อนที่เมษาจะเช
“เดินทางปลอดภัยนะหนูหม่อนของย่า”น้ำเสียงอบอุ่นของย่าเอื้องคำเจือด้วยกระแสเสียงแห่งความเศร้าสร้อยเมื่อถึงเวลาที่หม่อนไหมต้องเดินทางกลับไปใช้ชีวิตในเมืองใหญ่สองมือที่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาค่อย ๆ ยกขึ้นลูบเส้นผมของหลานสาวเบา ๆ อย่างอ่อนโยนเธอเลี้ยงหม่อนไหมมาตั้งแต่เล็กจนโตทุกความรักและความเอาใจใส่ที่เธอทุ่มเทให้หลานสาวคนนี้ล้วนก่อให้เกิดความผูกพันที่ยากจะตัดใจเมื่อหลานสาวกำลังจะจากไป แต่ในเมื่อตอนนี้หลานสาวของเธอเติบโตรู้ความแล้วมือของเธอที่คอยประคองหม่อนไหมมาตั้งแต่เล็กจนโตก็จำต้องปล่อยให้หลานสาวของเธอมีชีวิตเป็นของตัวเองและได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่หลานสาวของเธอรัก“หนูหม่อนสัญญาค่ะว่าจะพาหนูแพรกลับมาเยี่ยมปู่กับย่าบ่อยๆ”หม่อนไหมส่งยิ้มสดใสเป็นประกายดูอ่อนหวานน่ารักราวกับดอกไม้แย้มกลีบผลิบานในหน้าฝนทำให้ดวงใจที่ห่อเหี่ยวของแม่เลี้ยงเอื้องคำนั้นพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อยในเมื่อหลานสาวของเธอมีความสุขมากขนาดนี้แล้วเธอจะมัวอาลัยตัดใจให้หลานจากไปไม่ได้อยู่ใย“นี่ไม่ได้แกล้งพูดให้คนแก่ดีใจใช่ไหม” แม่เลี้ยงเอื้องคำเอ่ยถามหลานสาวที่รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันทีด้วยสีหน้าจริงจัง“หนูหม่อนไหนเลยจะกล้า
หลังจากที่รามสูรและหม่อนไหมย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังใหม่แล้วไม่รู้ว่าเป็นเพราะรามสูรลืมดูโหงวเฮ้งตอนซื้อหรืออย่างไรเพราะตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งผ่านไปหนึ่งเดือนหัวกระไดบ้านของรามสูรไม่เคยแห้งเลยสักครั้ง เมื่อในแต่ะละวันจะมีแขกแวะเวียนมาที่บ้านของเขาเสมอไม่ว่าจะเป็นแก๊งเพื่อนๆของหม่อนไหมที่เห็นบ้านของเขาเหมือนร้านเหล้าและร้านเกมส์หลังจากที่เลิกเรียนแล้วเด็กๆพวกนั้นก็มักจะแวะมาเล่นกับแพรไหมเป็นประจำก่อนที่จะพากันนั่งดื่มที่ริมสระน้ำบ้าง ในสวนบ้างและในบางวันเจ้าเด็กโข่งพวกนี้ก็พากันนั่งเล่นเกมส์ในห้องนั่งเล่นจนกระทั่งดึกดื่นค่อนคืนก็ไม่มียอมกลับบ้านสภาพที่รามสูรตื่นขึ้นมาเห็นในตอนเช้าจึงเป็นภาพเด็กหนุ่มเจ็ดคนที่นอนเรียงรายกันอยู่หน้าจอทีวีขนาดใหญ่ใช่แล้วเด็กหนุ่ม 7 คน ทุกคนได้ยินไม่ผิดหรอกเพราะถ้าเปรียบเพื่อนของหม่อนไหมคือเด็กโข่งเพื่อนวัยว้าวุ่นของรามสูรก็คือเด็กดื้อที่จากหลังรามสูรและหม่อนไหมแต่งงานเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เด็กสองกลุ่มที่เคยตั้งแง่และมักจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำกลับคืนดีรักใคร่กลมเกลียวประหนึ่งพี่น้องที่พลัดพรากจากกันเมื่อทุกคนชี้นกก็เป็นนกชี้ไม้ก็เป็นไม้ราวกั
ดวงตาเรียวเล็กของทารกน้อยวัยสามเดือนเศษที่ค่อยๆปิดสนิทพร้อมเสียงหายใจแผ่วเบาที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอทำให้หม่อนไหมเผยรอยยิ้มออกมาน้อยๆด้วยความเอ็นดู ก่อนที่เธอจะยื่นมือนุ่มนิ่มไปเช็ดคราบน้ำนมตรงมุมปากออกให้ลูกสาวอย่างอ่อนโยนส่งผลให้ดวงตาสุกสกาวของรามสูรที่กำลังแอบมองเธออยู่พลันฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างไม่อาจหักห้ามก่อนที่จะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อแน่ใจว่าแพรไหมหลับสนิทแล้วหม่อนไหมจึงค่อยๆวางลูกสาวลงบนที่นอนนุ่มอย่างเบามือก่อนที่เธอจะหันกลับมาแล้วพบว่าร่างสูงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานก่อนหน้านี้กำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ดจนกระทั่งถึงเม็ดสุดท้ายสาบเสื้อจึงค่อยๆแยกออกจากกันเผยให้เห็นมัดกล้ามท้องเป็นลอนสวยที่ตรึงสายตาของหม่อนไหมเอาไว้ไม่ให้เธอหันหน้าจากไปไหนอึกหม่อนไหมลอบกลืนน้ำลายดังอึกด้วยความลืมตัวดวงตากลมโตของเธอจ้องมองกล้ามท้องที่เรียงตัวสวยตาไม่กระพริบด้วยความรู้สึกที่ได้แต่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่าเธออยากจะยื่นมือไปลูบบริเวณนั้นเหลือเกิน“หนูหม่อนคะ”รามสูรส่งเสียงเรียกหม่อนไหมที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดที่ว้าวุ่นจนทำให้ประสาทการรับรู้ของเธอนั้นหยุดทำงานไปชั่วขณะท่าทีขอ
วันเวลาผ่านไปช้าๆอย่างไม่เร่งรีบชีวิตคู่ของรามสูรและหม่อนไหมนั้นถือได้ว่าเต็มไปด้วยความสุขและความเข้าใจซึ่งกันและกันของสองสามีภรรยาหม่อนไหมถึงแม้จะยังเป็นเด็กที่เพิ่งย่างก้าวเข้าสู่วัยยี่สิบเอ็ดปีแต่การอบรมเลี้ยงดูของพ่อเลี้ยงแสงหล้าและแม่ลี้ยงเอื้องคำนั้นไม่ได้เปล่าประโยชน์เลยแม้แต่น้อยดรุณีน้อยซุกซนในวันวานเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักนิ่งและสงบใจตัวเองเมื่อก้าวเข้าสู่คำว่าครอบครัวและคู่ชีวิตการกระทำที่หุนหันพลันแล่นในอดีตนั้นหม่อนไหมล้วนเก็บใส่กล่องไว้เป็นความทรงจำและบทเรียนเตือนใจตนเองตอนนี้จึงมีเพียงสาวน้อยน่ารักที่มักจะชอบพูดจาอ่อนหวานออดอ้อนสามีในยามที่ทั้งคู่อยู่กันเพียงลำพังตอนนี้ลูกสาวตัวน้อยของทั้งคู่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ หม่อนไหมวางแผนเอาไว้ว่ารอให้แพรไหมอายุครบหนึ่งขวบเธอก็จะกลับไปเรียนต่อให้จบมหาวิทยาลัยซึ่งรามสูรก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใดคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวบางอย่างเมื่อเกิดขึ้นแล้วแผนการที่วางเอาไว้ต่อให้ตั้งใจและเตรียมตัวพร้อมแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องพับเก็บเอาไว้ชั่วคราวตามลำดับความสำคัญของเรื่องนั้น“ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ คุณหม่อนไหมตั้งครรภ์ได้ 5 สัปดาห์แล้ว” คำพูดแสด
ไนท์คลับ“อาการแพ้ท้องเป็นยังไงบ้างดีขึ้นหรือยัง?”ธีร์เอ่ยถามหม่อนไหมที่นั่งตรงกันข้ามด้วยความเป็นห่วงเพราะหลังจากที่เพื่อนๆทุกคนทราบข่าวว่าหม่อนไหมตั้งครรภ์ลูกคนที่สองทุกคนก็พากันแห่ไปเยี่ยมเธอถึงที่บ้านคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับสภาพของเพื่อนที่แพ้ท้องจนแทบหมดแรงทำเอาทุกคนทั้งเป็นห่วงทั้งสงสารจนพูดไม่ออกกันเลยทีเดียว“ถ้าไม่ดีขึ้นมึงจะเห็นกูมานั่งอยู่ตรงนี้ไหม?”“ลูกสองแล้วยังปากดีเหมือนเดิมเลยนะมึง”ธีร์ส่งค้อนให้หม่อนไหมพร้อมตอกกลับเพื่อไปหนึ่งกรุบอย่างอารมณ์ดีทำเอาคุณแม่ลูกสองหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจก่อนที่หม่อนไหมจะหยิบน้ำส้มขึ้นมาดื่มด้วยความคิดถึงรสชาติและบรรยากาศคุ้นเคยที่เธอห่างหายไปนานถึงแม้ที่นี่จะไม่ใช่ผับที่เธอมาเที่ยวเป็นประจำแต่พวกเธอก็ชอบมาเที่ยวบ่อยๆไม่แพ้ร้านโปรดเลยอาจจะเป็นเพราะว่าเธอกำลังตั้งครรภ์เพื่อนๆจึงเลือกเป็นที่นี่แทนผับที่ค่อนข้างวุ่นวาย“แล้วออกมาเที่ยวผัวไม่ว่าไง”เจย์ที่เพิ่งชงเหล้าให้นายน์เสร็จเอ่ยถามด้วยความแปลกใจที่รามสูรยอมอนุญาตให้หม่อนไหมมาเที่ยวคลับได้ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วรามสูรที่พวกเขารู้จักนั้นแทบจะไม่อนุญาตให้หม่อนไหมออกไปไหนมาไหนเลยด้วยซ้ำตั้งแต
เมื่อกลับมาถึงบ้านหม่อนไหมกับรามสูรก็ตรงขึ้นไปบนห้องนอนทันทีเพื่อดูว่าลูกสาวตัวน้อยของเธอหลับหรือยังเพราะปกติเวลานี้แพรไหมจะยังคงเล่นสนุกกับพี่สาลี่ไม่ยอมนอนเป็นประจำแต่วันนี้กลับแตกต่างออกไปเมื่อคุณพ่อยังหนุ่มคุณแม่ยังสาวเปิดประตูเข้ามากลับพบว่าดวงใจของทั้งคู่นั้นนอนหลับสนิทเรียบร้อยแล้วแถมน้ำลายยังไหลยืดจนเปรอะเต็มสองแก้ม“วันนี้เล่นซนเยอะไปหน่อยเลยหลับเร็วใช่ไหมคะลูกสาว”หม่อนไหมค่อยๆใช้ผ้าสะอาดเช็ดน้ำลายที่เปรอะบนแก้มออกให้ลูกสาวอย่างเบามือในขณะที่รามสูรยื่นนิ้วของตนเองไปเกี่ยวนิ้วลูกสาวเอาไว้เบาๆเมื่อถูกสัมผัสอย่างอบอุ่นเด็กน้อยก็ขยับตัวไปมาเล็กน้อยแต่ไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาแต่อย่างใดบนใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมาบางเบาคล้ายกำลังฝันดี“ไม่เจอกันแค่วันเดียวลูกสาวของพ่อจ้ำม่ำขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”เพี๊ยะ“อูยเมียจ๋าพี่รามแค่แซวเล่นลูกไม่รู้เรื่องหรอกคนที่ถูกเมียฟาดจนขึ้นรอยแดงยื่นมือมาลูบแขนตัวเองปอยๆอย่างน่าสงสารในขณะที่หม่อนไหมถลึงตาใส่สามีที่บังอาจมาว่าลูกสาวของเธออ้วนขึ้นเป็นเพราะเขาไม่ใช่เหรอที่ขยันซื้ออาหารบำรุงร่างกายและสมองสำหรับเด็กมาฝากลูกเป็นประจำจนอ้วนจ้ำหม่ำขนาดนี้“แล้วใคร