ตอนที่ 13 ความเชื่อใจ
หรงผิงและลูกทั้งสองตื่นแต่เช้า เพื่อทำกิจวัตรประจำวัน
เด็ก ๆ จะมีหน้าที่ช่วยงานบ้านเท่าที่จะช่วยได้ และยังต้องหัดเขียนหนังสือที่ลานหน้าบ้านในตอนเช้าของทุกวันอีกด้วยเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าในมิติฟาร์มยังมีสมุดหนังสือและดินสอที่สามารถนำออกมาใช้งานได้ เลยปล่อยให้ลูกทั้งสองคนเขียนหนังสืออยู่ที่ลานหน้าบ้านก่อน ส่วนตัวเธออ้างว่าต้องการไปเข้าห้องน้ำ แต่ความจริงแล้วเธอเข้ามาในมิติฟาร์ม
หรงผิงเคยได้รับบทเรียนมาจากโลกเดิมแล้วว่า... ความลับบางอย่างก็ไม่ควรที่จะเปิดเผยให้ใครได้รับรู้ เธอยอมรับว่าตอนนี้ยังไม่เชื่อใจใครเลยสักคน ชาติที่แล้วตายเพราะญาติที่คิดว่าดีแสนดี ชาตินี้จะไม่มีทางทำเหมือนเดิมอีกเป็นอันขาด!!
"คิดถึงกลิ่นนี้มากกก... " หรงผิงลากเสียงยาวทันทีที่เข้ามาในห้องหนังสือ ก่อนจะค่อย ๆ หาดินสอและหยิบสมุดเล่มเล็กตามที่ตัวเองตั้งใจมาเอาตั้งแต่แรก
"ในนี้ทุกอย่างจะคงสภาพไม่เน่าไม่เสีย... ในครัวเรามีตู้ใส่อาหาร!! " เมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนที่ตัวเองจะตายมีเสบียงหลงเหลืออยู่ในครัว จึงรีบเข้าไปตรวจสอบ เพราะในมิติฟาร์มทุกอย่างจะคงสภาพไม่เน่าไม่เสีย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
"อ่าา... หายหมด... แต่ไม่เป็นไร แค่ตามมาก็ดีแล้ว" เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรหลงเหลือเลย จึงได้แต่ปลอบใจตัวเอง
เมื่อเห็นว่ายังพอมีเวลา หรงผิงจึงเดินไปที่ลานเกษตร เพื่อตรวจสอบดูว่าต้นกล้าโตขึ้นบ้างไหม พอมาถึงก็ทำให้เจ้าตัวถึงกับยิ้มกว้างออกมา เพราะจากที่ดูแล้วทุกอย่างยังคงทำงานเหมือนเดิม เธอจะเข้ามาเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ก็ต่อเมื่อครบหนึ่งวันหรือ 24 ชั่วโมงนั่นเอง
หลังจากที่ตรวจดูผลผลิตแล้ว เธอตัดสินใจเดินไปที่โกดังจอดรถ เพื่อที่จะดูให้แน่ใจว่ารถเกี่ยวข้าวยังอยู่ดีหรือไม่ ด้วยเวลาที่มีน้อย ทำให้เมื่อคืนเธอสำรวจคร่าว ๆ เพียงเท่านั้น และในตอนนั้นเธออยากทดลองปลูกพืชที่ลานเกษตรก่อนเป็นอันดับแรก
"คงต้องให้รอเจ้าแฝดหลับก่อนแล้วค่อยเข้ามาทำงานทีหลัง" ตอนนี้เวลามีน้อยเกินไป เธอไม่ต้องการให้คนอื่นสงสัย จึงต้องออกมาอยู่กับลูกเสียก่อน เธอคิดว่าคงต้องใช้เวลาในตอนกลางคืนทำงานในมิติฟาร์ม ส่วนตอนกลางวันก็ใช้ชีวิตแบบปกติอย่างที่เคยทำ
"แม่ครับ... ย่ามาหา" จือหมิงเดินมาเรียกแม่สองรอบแล้ว แต่แม่กลับเงียบ เขาจึงตัดสินใจนั่งรออยู่หน้าห้องส้วมจนกว่าแม่จะออกมา
"มานานหรือยัง" หรงผิงเห็นเจ้าตัวเล็กนั่งเฝ้าหน้าห้องน้ำเลยอดถามไม่ได้ เพราะหากเธออยู่ในมิติแล้วจะไม่ได้ยินหรือรับรู้เกี่ยวกับเรื่องราวด้านนอกเลยแม้แต่นิดเดียว
"ผมเรียกแม่สองรอบ แต่แม่ไม่ตอบ" จือหมิงไม่แน่ใจว่ารอแม่นานไหม แต่รู้ว่าเรียกสองรอบแล้วแม่ไม่ตอบ
"แม่ไม่ได้ยิน" หรงผิงแก้ตัวแบบน้ำขุ่น ๆ ก่อนจะดันลูกชายให้เดินนำหน้า
"แม่ ๆ ย่ามาทำไมก็ไม่รู้" ซือหงมาดักรอแม่นานแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าแม่กับพี่ชายจะออกมาสักที
"พี่บอกให้เอาน้ำไปให้ย่า จำที่แม่สอนเวลาแขกมาบ้านไม่ได้เหรอน้องเล็ก" จือหมิงมองน้องสาวอย่างสงสัย เพราะทั้งสองแบ่งงานกันทำ เขารับหน้าที่มาตามแม่ ส่วนน้องสาวมีหน้าที่เอาน้ำไปต้อนรับย่า แต่ทำไมน้องสาวถึงมาดักรออยู่ตรงนี้!!!
"หนูเอาไปให้แล้ว ก็รีบมาตามแม่กับพี่ใหญ่อย่างไรล่ะ" ซือหงหันมาบอกพี่ชาย เธอทำหน้าที่ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เป็นพี่ใหญ่นั่นแหละที่หายมานานเอง!!
"แม่จะไปคุยกับย่าเอง... พวกลูกเอาสมุดนี่ไปหัดเขียนตัวเลขและตัวอักษรที่แม่เคยสอน แม่คุยกับย่าเสร็จแล้วจะมาตรวจว่าเขียนได้ถูกต้องไหม" หรงผิงส่งสมุดให้ทั้งสองที่ยืนทำตาโตกับสิ่งที่เห็น แต่ก่อนลานหน้าบ้านคือสมุดและหนังสือเรียน ตอนนี้มีสมุดจริง ๆ แล้ว!!
เมื่อสองพี่น้องได้สมุดก็รีบพากันไปเขียนหนังสือตามที่แม่บอก ตั้งแต่ที่แม่ใจดีมาอยู่ด้วยก็ทำให้ทั้งสองคนมีความสุขมาก ๆ ก่อนหน้านั้นซือหงจะหักนิ้วนับจำนวนวันที่แม่ใจดีมาอยู่ด้วย แต่พอมันเลยจำนวนนิ้วมือแล้วก็นับต่อไม่ถูก นับผิดนับถูกจนไม่นับต่อแล้ว รู้แต่ว่าแม่มาอยู่ด้วยนานแล้ว และแม่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป!!
"แม่มีอะไรเหรอคะ" หรงผิงถามแม่สามีทันทีที่ออกมาเจอ เพราะจากที่จำได้ ปกติแล้วแม่สามีไม่เคยมาหาเธอโดยตรง ส่วนมากจะแอบมาหาหลานมากกว่า
หากความทรงจำที่ได้รับไม่มีอะไรผิดพลาด หรงผิงคิดว่านี่คือครั้งแรกที่แม่สามีมาหา และยังมาหาเธอโดยตรง ไม่ได้มาหาหลานอีกด้วย
"พรุ่งนี้มีงานในเมือง ฉันจะพาเจ้าแฝดไปเดินเที่ยวงาน เลยมาบอกไว้ก่อน" รุ่ยจิวไม่เคยได้พาหลานแฝดไปเที่ยวงานเลยสักครั้ง ทั้งที่ลูกหลานบ้านเฉินนั้นได้ไปเดินเที่ยวในเมืองทุกครั้งที่มีงานเทศกาล
"หล่อนอยากไปด้วยก็ได้นะ ฉันอยากให้หลานได้ไปเห็นอะไรบ้าง" เมื่อยังเห็นว่าลูกสะใภ้ยังคงเงียบ รุ่ยจิวเลยเอ่ยออกมาอย่างใจกว้าง
"แม่พาเด็ก ๆ ไปได้เลยค่ะ หากฉันไปด้วยอาจหมดสนุกเอาได้" คนที่หมดสนุกคือคนอื่น ๆ ส่วนสองแฝดนั้นไม่น่าจะมีปัญหา
หรงผิงมาอยู่ที่นี่นานนับเดือน ช่วงแรก ๆ ฝาแฝดยังหวาดกลัวเธออยู่มาก แต่พอผ่านมาได้ไม่นานทั้งสองก็กล้าที่จะเข้าหาเธอมากขึ้น จนตอนนี้เธอรับรู้ได้ว่าเด็กทั้งสองไม่ได้หวาดกลัวเธอเหมือนแต่ก่อนแล้ว การที่ทำให้เด็กเชื่อใจมันง่ายกว่าการทำให้ผู้ใหญ่เชื่อใจ สิ่งนี้เธอเข้าใจดี หากเป็นเธอก็คงไม่เชื่อเช่นเดียวกัน
"หากฉันพาไปนอนค้างด้วยจะได้ไหม" รุ่ยจิวยังคงมองหน้าลูกสะใภ้ที่มีท่าทีนิ่งสงบอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่คิดว่าตัวเองจะมาเห็นอะไรแบบนี้ ทั้งที่แต่ก่อนแค่มองหน้าก็ตาขวางใส่แล้ว ส่วนคำพูดนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย!!
"ได้ค่ะ แต่ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากให้แม่ช่วยเหลือสักหน่อย" หรงผิงตอบและยังขอความช่วยเหลืออีกด้วย
"หากทำได้ฉันก็พร้อม แต่หากมากเกินไปฉันก็ไม่รับปาก" รุ่ยจิวคิดว่าอาจเป็นเรื่องหย่า ถึงเธอจะเป็นแม่ แต่ทุกอย่างเธอให้ลูกชายจัดการตั้งแต่แรก ที่เห็นด้วยเพราะสะใภ้รองนั่นแหละที่ทำร้ายลูกตัวเอง และยังทำตัวร้ายกาจอีกด้วย เธอเลยไม่ห้ามลูกชาย มีแต่บอกให้รีบจัดการให้เรียบร้อย เพราะสงสารหลานตัวน้อย ๆ
"ฉันยอมหย่า แต่มีเงื่อนไขคือขอมาเจอลูกบ้าง ขอพาลูกไปเที่ยวบ้างบางครั้ง แต่ทุกครั้งฉันจะบอกก่อนล่วงหน้า และเรื่องที่ฉันกังวลใจคือ เรื่องที่เด็ก ๆ ยังไม่รู้เรื่องนี้ ยังเข้าใจว่าการหย่าคือการแยกกันไปทำงาน ฉันอยากให้แม่หรือพ่อของเด็ก ๆ ช่วยพูดและอธิบายให้ทั้งสองคนเข้าใจ แม่พอที่จะช่วยฉันได้ไหม" เธอยอมรับว่าเรื่องนี้คือเรื่องยากสำหรับเธอ
หากเธอเลือกใช้คำพูดที่ตรงเกินไป มันจะทำให้เด็กรู้สึกไม่ดีได้ ยอมรับว่าการที่จะทำให้เด็กเข้าใจโดยที่ไม่ทำร้ายความรู้สึกนั้นมันยากเกินไปสำหรับเธอจริง ๆ
"ฉันจะช่วยพูดก็แล้วกัน" รุ่ยจิวคิดว่าบอกนั้นมันง่าย แต่ทำให้หลานเข้าใจนั้นยากมากกว่า แต่ไม่เป็นไร... เพราะมีคนในหมู่บ้านที่พ่อแม่หย่ากันพอที่จะเอามาเป็นตัวอย่างแล้วบอกให้หลานเข้าใจได้บ้าง
"หลังมื้อกลางวัน ฉันจะไปส่งเด็ก ๆ นะคะ" หรงผิงสรุปเองจะได้รีบแยกย้าย เพราะรู้สึกว่าการพูดคุยมันไม่ธรรมชาติ อาจเพราะแต่ก่อนไม่เคยได้คุยกัน จึงทำให้แม่สามีค่อนข้างที่จะระแวงเธออย่างเห็นได้ชัด
"ได้ ๆ เดี๋ยวกลับจากในเมืองแล้วจะพามาส่งที่บ้าน" เมื่อคุยเรียบร้อยแล้วเธอก็จะได้กลับบ้าน เอาเรื่องนี้ไปบอกคนที่บ้านให้รับรู้ เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอมาขอให้หลานไปเที่ยวด้วยกัน และเป็นครั้งที่สองที่พูดคุยกันดี ๆ โดยไม่มีสีหน้าท่าทางที่บ่งบอกว่าไม่อยากพูดคุยเลยแม้แต่นิดเดียว
"ฉันจะไปรับเด็ก ๆ ช่วงเย็นเอง ฝากแม่ดูเจ้าแฝดด้วยนะคะ" เธอมีสถานที่ที่ต้องไปเหมือนกัน ในเมื่อคืนนี้มีเวลาที่จะทำงานในมิติฟาร์ม เท่ากับว่าเธอจะมีผลผลิตมากพอที่จะเอาออกมาขายได้ พรุ่งนี้เธอก็ต้องหาแหล่งขายเพื่อหารายได้ให้ตัวเอง
"แบบนั้นก็ได้ ฉันกลับก่อนแล้วกัน อาหมิง อาหง... ย่ากลับก่อนนะ" รุ่ยจิวบอกลูกสะใภ้ ก่อนที่จะตะโกนบอกหลาน ๆ ที่นั่งหัวชนกัน
หากเดาไม่ผิดคงเขียนหนังสือแน่ ๆ เพราะตอนที่เธอมานั้น หลาน ๆ กำลังเอาไม้เขียนพื้นที่ลานหน้าบ้าน แล้วบอกว่ากำลังหัดเขียนหนังสือตามที่แม่สอน ต้องยอมรับว่าแปลกใจมาก!! บอกเลยว่าตอนนี้ลูกสะใภ้รองทำให้เธอนั้นทั้งตกใจและประหลาดใจได้นับครั้งไม่ถ้วน
"ย่า ๆ ดูก่อน หนูเขียนเอง" ซือหงรีบวิ่งหน้าตั้งเอาสมุดที่ตัวเองเขียนเสร็จแล้วมาอวดย่า ตอนนี้เธอเขียนหนังสือได้หลายตัวแล้ว แม่บอกว่าคนเราหากอ่านออกเขียนได้จะมีโอกาสมากกว่าคนอื่น ทั้งที่ไม่รู้ว่าโอกาสคืออะไร แต่แม่บอกดี เธอกับพี่ชายก็ต้องบอกว่าดีไม่ต่างกัน!!
"เขียนได้ด้วยหรือ" รุ่ยจิวรับสมุดมาดู เธอก็พออ่านได้ แต่ไม่ค่อยคล่องสักเท่าไร
"แม่สอนค่ะ" ซือหงเชิดหน้าน้อย ๆ ขึ้นนิดหนึ่ง ยืดตัวรอรับคำชมจากย่า บอกแล้ว ถึงจะเขียนตัวใหญ่ไปหน่อยแต่เขียนถูกแน่นอน!!
"ของผมก็มีครับ" จือหมิงเอาสมุดของตัวเองออกมาให้ย่าดูด้วยเหมือนกัน
ตอนแรกรุ่ยจิวคิดว่าจะกลับบ้านเลย แต่พอหลาน ๆ ต่างชวนพูดคุยเรื่องที่ตัวเองหัดเขียนหนังสือ หัดนับเลขโดยมีแม่เป็นคนคอยบอกคอยสอนให้ทุกวัน จึงทำให้กว่าจะได้กลับบ้านจริง ๆ ก็เป็นเวลาช่วงบ่ายเลยทีเดียว...
ตอนที่ 14 สะใภ้รองเปลี่ยนไปชุนหลินรอแม่สามีที่บอกว่าจะไปหาสะใภ้รองอย่างเป็นกังวล เพราะแม่หายไปนานมากแล้วแต่ยังไม่กลับมา จึงทำให้เธออยู่รอที่บ้านไม่ไหว จนต้องเดินออกมาตาม หากมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันได้ทัน"ฉันกำลังจะออกไปตามแม่... " ชุนหลินเดินมาถึงครึ่งทางแล้วก็เจอแม่สามีพอดี เธอนั้นร้อนใจตั้งแต่ที่แม่บอกจะไปหาสะใภ้รอง และแม่ยังหายมานานอีกด้วย!!"พอดีคุยกับเจ้าแฝดเพลินเลยช้าไปหน่อย... กลับบ้านก่อนค่อยคุยกัน" รุ่ยจิวรีบบอกให้ลูกสะใภ้กลับบ้าน เพราะอยากจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทั้งสองฟังเมื่อมาถึงบ้านก็เห็นลูกสะใภ้เล็กนั่งรออยู่แล้ว รุ่ยจิวเลยให้หลาน ๆ พากันออกไปเล่น ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ตัวเองไปเจอมาให้ทั้งสองสะใภ้ได้ฟัง"แม่... หรือพี่สะใภ้รองจะรู้ตัวว่าทำผิดจริง ๆ " ซูเยว่พูดขึ้นหลังจากที่ฟังแม่สามีเล่าเรื่องจนจบ"พักนี้ไม่มีข่าวอะไรเลยนะ ปกติแล้วชาวบ้านจะต้องเล่าว่าไปเจอที่ไหนและโดนอะไรมาบ้าง แต่ตอนนี้ชาวบ้านไม่เห็นจะพูดถึงเลย แม้แต่เจอตัวก็ยังไม่มีใครได้เจอเลย" ชุนหลินก็บอกถึงเรื่องที่ตัวเองมักได้ยินเป็นประจำ แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีใครพูดถึงสักเท่าไร จะบอกว่าคนอื่นเลิก
ตอนที่ 15 เตรียมความพร้อมกับมิติฟาร์มหลังจากที่ส่งลูกทั้งสองไปบ้านย่าเรียบร้อยแล้ว หรงผิงก็กลับบ้านมาจัดการทุกอย่างให้พร้อม เธอเตรียมชุดกับให้เงินลูกพกติดตัวไปด้วย ถึงจะไม่มากมายแต่ก็ยังมีให้ติดตัวไปบ้าง หรงผิงดีใจที่เด็กทั้งสองเชื่อฟัง ถึงแม้เจ้าตัวเล็กซือหงจะอยากให้แม่ไปด้วยก็ตาม แต่พอบอกเหตุผลก็ยอมฟัง และหอบผ้าตามพี่ชายไปนอนบ้านปู่บ้านย่าด้วยสีหน้าเหงาหงอยพออยู่ด้วยกันนานนับเดือนก็มีความรู้สึกห่วงใยกันและกันเป็นธรรมดา เธอค่อนข้างห่วงเด็กทั้งสอง แต่ก็มั่นใจว่าครอบครัวของพ่อเด็กจะสามารถดูแลได้เป็นอย่างดี"ไอ้คนแซ่เฉิน!! เมื่อไรจะกลับมาจัดการให้เรียบร้อย" หรงผิงนึกถึงพ่อของเด็กแฝดแล้วก็คิดว่าเขานั้นทำอะไรชักช้าเหลือเกิน ตอนนี้เธออยากหย่าขาดจากเขาแล้ว!!"บางครั้งฉันก็คิดว่านายใจร้ายเหมือนกันนะ" หรงผิงพึมพำเกี่ยวกับพ่อของเด็ก ๆ ถึงจะเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาก็ใจร้ายเหมือนกันหรงผิงสะบัดหัวเพื่อเรียกสติตัวเอง เธอไม่ชอบคุยกับคนอื่น แต่ชอบคุยกับตัวเอง เถียงกับตัวเองมากกว่า อาจเพราะติดนิสัยการเอาตัวรอดมาจากวันสิ้นโลก หากไม่จำเป็นจะไม่มีการพูดคุยกับคนอื่น เพราะเวลาเดินท
ตอนที่ 16 เงินก้อนแรกเมื่อมาถึงในเมือง หรงผิงก็รีบตรงไปที่ตลาดมืดตามที่ตั้งใจไว้ วันนี้มีงานเทศกาลจึงทำให้มีผู้คนเข้ามาในเมืองค่อนข้างเยอะ และเธอรู้ว่าแม่สามีจะพาฝาแฝดมาเดินเที่ยวงานในวันนี้เช่นเดียวกัน จึงหลีกเลี่ยงไปใช้อีกเส้นทางหนึ่ง เพราะไม่อยากให้ลูกหรือครอบครัวของสามีต้องมาเจอเธอในตอนนี้ตลาดมืดตามความทรงจำนั้น มันอยู่ในตรอกเล็ก ๆ และแน่นอนว่ามันไม่ใช่สถานที่มิดชิดขนาดนั้น ทุกอย่างเลยต้องรีบซื้อรีบขาย บางวันทั้งคนซื้อและคนขายยังต้องวิ่งหนีเจ้าหน้าที่กันอย่างอุตลุด เรื่องนี้เธอได้มาจากความทรงจำของร่างเดิม จริงเท็จแค่ไหนก็ไม่อาจตอบได้จนกว่าจะไปเห็นกับตาตัวเองเท่านั้นการอำพรางตัวเข้ามานั้นเป็นเรื่องง่ายสำหรับหรงผิง เพราะเธอเคยเอาตัวรอดแบบนี้อยู่บ่อย ๆ พอเข้ามาในเขตตลาดมืดก็เริ่มจากสำรวจก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อย ๆ สอบถามราคาสินค้า และคอยเฝ้ามองผู้คนไปด้วย หากต้องการขายของอย่างปลอดภัยจะต้องจับตามองลูกค้าให้ดี ๆ เพราะบางครั้งเจ้าหน้าที่ก็มาในรูปแบบของลูกค้าเช่นเดียวกัน"ฉันมีข้าวสาร พี่สาวสนใจไหม" เมื่อรู้ราคาสินค้าและยังได้จับตามองดูลูกค้ามาสักพักแล้ว จึงทำให้กล้าและมั่นใจที่จะเข้
ตอนที่ 17 ไม่เป็นอย่างที่คิดหรงผิงเลือกซื้อสิ่งของที่ต้องการทุกอย่างด้วยเวลาอันรวดเร็ว อาจเพราะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องซื้ออะไรบ้าง และอีกอย่างเธอต้องรีบเร่ง เพราะเธอต้องรีบไปรับลูกตามที่นัดไว้อีกด้วย"ซื้อสักหน่อยไม่น่าจะเสียเวลามาก" หรงผิงเห็นร้านขนมที่ขายอยู่ในห้างจึงตัดสินใจเดินเข้าไปซื้อเพื่อเอาไปฝากลูก ขนมที่แปลกใหม่จะทำให้สองแฝดยิ้มได้อย่างแน่นอนหรงผิงใช้เงินซื้อของให้ลูกทั้งสองคนเกือบร้อยหยวน เธอซื้อเสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า กระเป๋า หมวก เสื้อกันหนาว และทุกอย่างเธอซื้ออย่างละสองชิ้น!! หากถามว่าซื้อเยอะไหม ก็บอกเลยว่าเยอะ!! แต่เทียบกับจำนวนเงินที่หามาได้และความจำเป็นในสิ่งที่ซื้อก็ถือว่าคุ้มค่าแน่นอนหลังจากที่เข้าไปซื้อขนมเรียบร้อยแล้ว หรงผิงก็ออกจากห้างเตรียมตัวกลับบ้านโดยเดินลัดทุ่งนาเหมือนตอนขามา สองเท้าก้าวเดิน ในหัวก็เริ่มวางแผน เพื่อช่วยเหลือครอบครัวพ่อกับแม่ที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุนเธอมาตลอดถึงแม้สถานะทางบ้านไม่ได้ขัดสนมากนัก แต่พี่ชายทั้งสองคนกับพ่อก็ยังทำงานหนักอยู่ดี เธอคิดว่าคงช่วยแค่ทางบ้านตัวเอง คงไม่จำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือครอบครัวของพ่อเด็ก ๆ เพราะถึงอย่างไรเ
ตอนที่ 18 ในที่สุดก็ได้เจอหรงผิงเดินเข้ามาในห้องคนป่วยพร้อมกับลูกทั้งสองคน สายตาสอดส่องไปที่เตียงที่มีคนป่วยนอนอยู่บนเตียงทั้งสามคน ยอมรับว่าไม่แน่ใจว่าคนไหนคือสามีของร่างเดิม เพราะจากที่เห็น พวกเขามีหน้าตาคล้าย ๆ กัน และจากความทรงจำของร่างเดิมก็ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับสามพี่น้องมากนัก อาจเพราะส่วนมากพวกเขาไม่ค่อยได้อยู่ที่หมู่บ้าน เลยไม่ค่อยรู้เรื่องราวของพวกเขาสักเท่าไร"จำที่แม่เคยบอกได้ไหม" หรงผิงรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังถูกจ้องมองจากทุกคน จึงก้มลงบอกลูกให้ทำในสิ่งที่เธอเคยสอน และเธอจะได้รู้ว่าใครเป็นใครหรงผิงมองสองแฝดที่เดินเข้าไปกล่าวสวัสดีทั้งสามคน จึงทำให้เธอได้รู้ว่าใครเป็นใคร ทำให้รู้ว่าคนไหนคือพ่อของเจ้าแฝด และแน่นอนว่าเธอแค่ยืนอยู่ห่าง ๆ ปล่อยให้คนอื่นพูดคุยกัน เธอทำเพียงยืนมองสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ หรงผิงมองดูพ่อของเจ้าแฝด คอยมองว่าเขามีปฏิกิริยาแบบไหนบ้าง เขาก็มองมาทางเธอบ่อย ๆ เช่นกัน หากเดาไม่ผิดก็คงเฝ้าดูไม่ต่างจากเธอแน่นอนตอนนี้เธอกำลังคิดถึงร่างเดิม คิดถึงความน่าจะเป็นว่าเหตุใดร่างเดิมถึงได้รักสามีคนนี้มากนัก หากรักเพราะหน้าตาก็ไม่น่าจะใช่ เพราะจากที่ดูแล้ว พ่อข
ตอนที่ 19 ตระกูลเฉินสายหลักซือหงคอยแอบมองพ่อกับแม่อยู่ตลอด นานแล้วที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน จะบอกว่านานแล้วก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเท่าที่จำได้ เธอไม่เคยเห็นพ่อกับแม่อยู่ด้วยกันเลยนาน ๆ ครั้งพ่อถึงจะกลับบ้าน แต่พ่อจะพักอยู่ในเมืองมากกว่า ไม่เคยมาบ้านและไม่เคยมาเจอกับแม่เลย เพราะหากมาเจอแล้วแม่จะใจร้ายมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเธอรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ดี เพราะแม่จะตีหลายครั้งและยังตีแรง ๆ แม่ทั้งหยิกทั้งดุด่า บางครั้งก็เอาไม้ตีหัวเธอกับพี่ชายซือหงไม่เคยพูดหรือบอกใครว่าพ่อมาหา เพราะหากแม่รู้ แม่จะใจร้ายมากขึ้นกว่าเดิม แต่ตอนนี้แม่เจอพ่อแล้ว เธอเลยกลัวว่าแม่ใจร้ายจะกลับมาไหม เลยไม่อยากไปไหน ไม่อยากไปกินข้าวทั้งที่ตัวเองก็รู้สึกหิวแล้วเหมือนกัน แต่ก็อยากเฝ้าแม่ไว้ด้วย เธอไม่อยากให้แม่ใจดีคนนี้หายไป"แม่อย่าไปไหนนะ แม่คนนี้ต้องอยู่กับหนูนะ" ซือหงเดินเข้ากอดขาแม่พร้อมทั้งเอานิ้วเล็ก ๆ ชี้ที่ขาแม่ เพื่อยืนยันว่าต้องการแม่คนนี้จริง ๆ "แม่ครับ... นี่คือครั้งแรกที่เราอยู่พร้อมกันเหมือนพ่อแม่คนในหมู่บ้าน ผมอยากให้แม่ใจดีอยู่นะครับ" จือหมิงก็คิดไม่ต่างจากน้องสาว เพราะพ่อกับย่าจะบอกไว้เสมอว่าห้ามบอกเร
ตอนที่ 20 ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจือหมิงดึงมือน้องสาวให้เดินมาหาพ่อกับแม่ที่เตียง พร้อมทั้งก้มหน้าไม่กล้าสบตาใคร เพราะรู้ตัวดีว่าตัวเองทำผิดที่พูดแทรกขึ้นมา แต่เขาเข้าใจน้องสาวดีว่าไม่ต้องการให้ใครเข้าใจเรื่องพ่อกับแม่ผิดแบบนี้"หากญาติต้องการที่จะพูดคุยธุระเชิญด้านนอกนะคะ ตอนนี้ควรปล่อยให้คนไข้พักผ่อน" เจ้าหน้าที่ย้ำอีกรอบไม่ใช่แค่พูดเท่านั้น เจ้าหน้าที่ยังเดินไปยืนกดดันอีกด้วย จากตอนแรกนึกว่าคนบ้านหลักกำลังจะเปิดศึกกับเธอ ดูท่าแล้วชื่อเสียงของเธอก็คงไปไกลพอสมควร แม้แต่เรื่องหย่า ครอบครัวสายหลักยังรู้เรื่องเลย"ออกไปคุยกันให้รู้เรื่อง ทีหลังสั่งสอนลูกหลานบ้างนะ เป็นเด็กเป็นเล็กพูดแบบนี้ได้อย่างไร แม่เป็นเช่นไรลูกก็เป็นเช่นนั้น!! " แม่เฒ่าเฉินหันไปบอกลูกชายกับลูกสะใภ้ ก่อนจะหันมามองเด็กทั้งสองคนที่กล้าพูดขึ้นทั้งที่ผู้ใหญ่ยืนอยู่กันเต็มห้อง!!หรงผิงหันไปมองคนบ้านหลักที่กำลังเดินออกไป แต่ก่อนเดินออกไปก็หันมาจ้องหน้าเธออย่างเอาเรื่อง ต้องบอกว่าคนบ้านหลักนั้นมองคนบ้านรองด้วยสายตาเอาเรื่องทุกคนนั่นแหละ"ยาจะมาพร้อมอาหารนะคะ" เมื่อเจ้าหน้าที่ยืนมองญาติออกไปแล้วก็หันมาบอกคนไข้กับญาติที่เหล
ตอนที่ 21 เรื่องยุ่ง ๆ ของครอบครัวสายหลักและสายรองหรงผิงได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ ระหว่างครอบครัวสายหลักและครอบครัวสายรอง จากปากของแม่สามีและสะใภ้ใหญ่ โดยที่ทั้งสองนั้นสรุปให้เธอได้ฟัง จะได้เข้าใจได้ง่าย ๆแต่ก่อนตอนที่แม่แต่งงานเข้าบ้านหลัก ทั้งสองแต่งงานด้วยความรัก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพ่อกับแม่ แต่กลับไม่เป็นไปตามที่แม่เฒ่าเฉินต้องการ เพราะแม่ยากจนไม่มีครอบครัวคอยสนับสนุน จึงทำให้คนในบ้านหลักไม่ค่อยชอบแม่สักเท่าไร และที่สำคัญพี่น้องบ้านเฉินก็ไม่ค่อยจะถูกกันอีกด้วย พ่อจึงขอแยกบ้าน เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่ง และเพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย ซึ่งตอนนั้นแม่เฒ่าเฉินก็ยินยอม แต่มีเงื่อนไขคือ... ครอบครัวสายรองต้องส่งเงินเข้าบ้านใหญ่ หรือก็คือครอบครัวสายหลักนั่นเอง เมื่อก่อนต้องส่งข้าวสารหรือธัญพืชต่าง ๆ แต่ตอนนี้ต้องส่งเงินรายเดือนให้ตามที่แม่เฒ่าเฉินต้องการทุกอย่างที่ว่ามานั้นจะอ้างเรื่องบุญคุณเสมอ ส่งให้พ่อแม่ใช้จ่ายเพื่อตอบแทนบุญคุณ แต่พอบ้านหลักรู้ว่าลูกชายบ้านรองไปเป็นทหารทั้งสามคน จึงอยากได้มากขึ้นและเรียกร้องขอเป็นเงินเดือน ซึ่งพ่อกับแม่ก็จ่ายให้ทุกเดือน แต่
ตอนพิเศษ 3วันตรุษจีนของพวกเราณ โรงพยาบาลประจำมณฑล"เราจะได้กลับกี่โมง... ปกติพ่อกับแม่ไม่เคยมารับเราช้า แต่ทำไมวันนี้ถึงช้าได้เล่า" เสียงบ่นดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งชะเง้อมองไปยังเส้นทาง เฝ้ามองว่าคนที่ตัวเองรอจะมารับเมื่อไร"หิว ง่วง หรือว่ายังไง" ซือหงมองเพื่อนที่บ่นเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ เพราะพูดบ่อยมากจนจำไม่ได้แล้ว"หิว วันนี้ที่บ้านต้องมีอาหารมากมายแน่ ๆ " ซือเล่อหันมาบอกเพื่อนอย่างจริงจังซือหงกับซือเล่อเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนระดับประถม และเรียนด้วยกันมาตลอดจนถึงตอนทำงานก็ยังทำที่เดียวกันอีกด้วย พวกเธอเป็นเพื่อนสนิทกัน ชอบอะไรคล้าย ๆ กัน แม้แต่อาชีพที่เลือกเรียนยังเหมือนกันเลยสองสาวเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายที่ต้องมาทำงานในโรงพยาบาลประจำมณฑล อีกไม่นานก็เรียนจบแล้ว แต่ใช่ว่าจะจบเลยทีเดียว ยังมีต่อเฉพาะทางอีก ซึ่งสองสาวยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะต่อด้านไหนดีทั้งสองสนิทกันจนถึงขั้นไปกินไปนอนบ้านของอีกคนได้ โดยที่คนในครอบครัวรับรู้ จนพ่อแม่ของทั้งสองคิดว่ามีลูกสาวเพิ่มเข้ามาในครอบครัวอีกคนแล้ว"หิวหรืออยากเห็นหน้าพี่ใหญ่ วันนี้วันตรุษจีน... " ซือหงพูดพร้อมทั้งหรี่ตาจ้องจับผิ
ตอนพิเศษ 2:: เซียวหรงผิงสาวน้อยจากวันสิ้นโลก ::หรงผิงขดตัวซ่อนอยู่ในมุมอับ ทั้งที่รอบ ๆ พื้นที่เงียบสงัด แต่เจ้าตัวกลับรับรู้ถึงภัยที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามา รู้ดีว่าด้านนอกนั้นคือสิ่งใด...เซียวหรงผิง คือชื่อที่พ่อกับแม่ตั้งให้ ผิงผิง คือชื่อที่พวกท่านชอบเรียกหา แต่นั่นเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้เธอไม่ต้องการให้ใครเรียก ผิงผิง อีกแล้ว เพราะมันทำให้เธอคิดถึงพวกท่านหรงผิงดีใจที่พวกท่านจากไปตั้งแต่ช่วงแรก อาจฟังดูใจร้าย แต่เชื่อเถอะว่าคนที่จากไปในช่วงเชื้อโรคแพร่ระบาด หรือในช่วงแรกนั้น... คนพวกนั้นโชคดีกว่าคนที่อยู่มาถึงทุกวันนี้โลกที่เธออยู่มีความเจริญก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยี ทุกอย่างสะดวกสบาย เมื่อมีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย รวมถึงมีรอยรั่วให้สิ่งแปลกปลอมแทรกซึม เธอไม่รู้ว่าสาเหตุหลักจริง ๆ แล้วเชื้อไวรัสนี้มาจากที่ใด แต่การแพร่ระบาดเริ่มในกลุ่มเล็ก ๆ คนที่ติดเชื้อจะถูกแยกและถูกเจ้าหน้าที่กักตัวไว้เพื่อดูอาการในช่วงแรกทุกคนคิดว่าคนที่ติดเชื้อคือโชคร้าย เธอคือหนึ่งในนั้นที่คิดว่าพ่อกับแม่โชคร้ายที่ติดเชื้อตั้งแต่แรก ท่านทั้งสองถูกส่งเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาล โดยที่ตัวเธอถูกจับตรวจร่างกาย เพื่อหาเ
ตอนพิเศษ 1:: เซียวหรงผิงมารดาตัวร้าย ::เซียวหรงผิงค่อย ๆ ขยับตัว พยายามที่จะเปิดเปลือกตา... เพื่อลืมตาตื่น ความทรงจำบอกว่าเธอตกน้ำเย็นจัด จึงทำให้ป่วยเป็นไข้นอนซมตั้งแต่กลับมาถึงบ้านเมื่อนึกย้อนกลับไปว่าเพราะเหตุใดจึงทำให้ตัวเองตกลงไปในน้ำ ก็ทำให้มีแต่อารมณ์กรุ่นโกรธ!! ไม่พอใจชาวบ้านที่พากันลือพูดข่าวมั่ว ๆ กล่าวหาว่าสามีของเธอกำลังจะกลับมาหย่า!! จะหย่าได้อย่างไร ในเมื่อไม่ยอมหย่าซะอย่าง ใครจะทำไม!!สามีของเธอไม่เคยกล้ากับเธอเลยสักครั้ง ถึงตัวไม่กลับมาแต่ส่งเงินให้ตลอด มีกินมีใช้ไม่เคยขาดมือ ก็ลองปล่อยให้ขาดมือดูซิ!! คนที่ต้องอดก็คือลูกของเขาทั้งสองคนอีกนั่นแหละ!! เธอจำได้ดีว่าโทรเลขไปขู่สามี หากครั้งนี้ยังไม่กลับมา อย่าได้เห็นหน้าลูกอีกเลย"ทำไมมันปวดหัวอย่างนี้วะ!! ไอ้แฝดหายหัวไปไหนหมด ไม่แหกตาดูหรือว่าฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย พวกแกสองตัวอยากให้ฉันตายหรืออย่างไร อยากลองดีใช่ไหม แม่จะฟาดให้หลังลายเลย!! " แม้จะรู้สึกได้ว่าเสียงของตัวเองเปลี่ยนไป แต่เพราะรู้ว่าตัวเองไม่สบายอาจทำให้เสียงเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง"ยังไม่โผล่หัวออกมาอีก!! วันนี้พวกแกสองตัวอดข้าวไปเลยนะ อย่าให้เห็นว่ากินอิ่มนอ
ตอนที่ 46 บทส่งท้าย(มารดาที่ดี)หรงผิงจับลูกสาววัยสิบสองปีทำผมที่เด็กสาวกำลังนิยมในช่วงนี้ ที่ลูกสาวทำผมจัดเต็ม เพราะวันนี้ทางโรงเรียนจัดงานแข่งขันกีฬาสี และยังประกาศผลสอบให้กับนักเรียนอีกด้วย"ทำไมน้องเล็กต้องทำหลายอย่างด้วย" จือหมิงนั่งกินโจ๊กไปด้วยมองน้องสาวไปด้วย"คุณครูประจำชั้นบอกว่าจะมีคะแนนกิจกรรมมอบให้ เลยทำทุกอย่างที่ครูเสนอ" ซือหงตอบไปตามตรง ไม่อยากทำแต่อยากได้คะแนน เพราะผลการเรียนมีผลต่อการที่จะยื่นเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย รุ่นพี่พูดแบบนี้ทั้งนั้น"หากเป็นแต่ก่อน พี่คงคิดว่าน้องเล็กน่าจะถูกหลอก แต่ตอนนี้ไม่น่าจะถูกหลอกง่าย ๆ นอกจากไปหลอกคนอื่นเขามากกว่า" จือหมิงก็ยังคงเย้าแหย่น้องน้อยไปด้วย แต่ที่เขาบอกออกไปนั้นคือเรื่องจริง!!น้องสาวของเขาไม่ใช่เด็กที่ขี้กลัวเหมือนแต่ก่อนแล้ว แม่เป็นแบบไหน น้องสาวของเขาเป็นแบบนั้นเลย และน่าจะร้ายมากกว่าแม่เสียอีก!! เพราะตอนนี้เขาจดจำแม่ปากร้าย แม่ใจร้ายไม่ได้แล้ว เขาจำได้แต่แม่ใจดีถึงแม่จะไม่ค่อยพูด แต่แม่สอนในหลายสิ่งหลายอย่างให้เขากับน้องสาว สอนให้รู้จักเข้มแข็ง สอนให้รู้จักแบ่งปันแก่ผู้อื่นเสมอ และสอนให้สู้คน ไม่ยอมให้คนมารังแก หรือเอา
ตอนที่ 45 เป็นลูกที่ดีหรงผิงยืนมองพ่อกับแม่ที่กำลังนั่งรอคิวให้เจ้าหน้าที่เรียกเข้าไปเพื่อตรวจสุขภาพประจำปี ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะมาอยู่ที่โลกใบนี้เกือบ 3 ปีแล้ว การงานของเธอมั่นคง มีโรงงานเป็นของตัวเอง โดยมีครอบครัวเฉินและครอบครัวเซียวดูแลเหมือนเดิมมาตั้งแต่แรกทุกคนช่วยงานกันเป็นอย่างดี เคยเป็นแบบไหนก็ยังเป็นแบบนั้นเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือทุกคนมีรายได้ดี มีเงินเก็บ และลูกหลานทั้งสองบ้านก็ได้เรียนหนังสือทุกคน"ทำไมต้องมาตรวจให้สิ้นเปลืองด้วย" เหลียนฟางมองลูกสาวที่เดินมานั่งใกล้ ๆ ก็อดที่จะบ่นไม่ได้"ไม่อยากอยู่เลี้ยงหลานเลี้ยงเหลนหรืออย่างไร" หรงผิงถามกลับ แกล้งขู่แม่ไปอย่างนั้นเอง"ฉันไม่ได้เป็นอะไร!! " เหลียนฟางรู้ดีว่าลูกสาวหมายถึงเรื่องอะไรความจริงแล้วปากบ่นไปแบบนั้นเอง มันคือความเคยชิน แต่ในใจกลับตื้นตันที่ลูกสาวใส่ใจ ห่วงพ่อแม่พี่ชาย ต้องให้ทุกคนมาตรวจสุขภาพประจำปี เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่มาไม่เคยรู้ว่ามีตรวจสุขภาพประจำปีประจำเดือนด้วย แต่พอลูกสาวคนนี้เริ่มเปลี่ยนไปก็เหมือนเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ให้ครอบครัวได้เรียนรู้อยู่เรื่อย ๆ คำพูดของย่าทวดเป็นจริงเสมอ... ในตอนแรกที่ลูกสาวเปลี่ยนไ
ตอนที่ 44 ได้เป็นภรรยาอย่างเต็มตัว Nc+++กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ผ่านมาอีกสามเดือน จนตอนนี้หรงผิงมาอยู่ที่โลกใบนี้เป็นปีแล้ว จากลูกอายุห้าขวบ ตอนนี้อายุหกขวบกว่า ๆ แล้วตอนนี้เด็กแฝดก็ไปเรียนแล้วด้วย เธอไม่รู้เลยว่ามีหลายอย่างเปลี่ยนไป เพราะว่ามัวแต่จัดการกับงานต่าง ๆ แต่พอทุกอย่างเข้าที่เข้าทางจึงทำให้มีเวลามองย้อนกลับไป จึงได้รู้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปมาก!!สองครอบครัวมีกินมีใช้ ฐานะดีขึ้น แต่ก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมไม่ฟุ่มเฟือย แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ การที่สองครอบครัวสนิทกันมากขึ้น แบ่งปันสิ่งของกันเสมอ และที่เห็นได้ชัดอีกเรื่องคือ... ครอบครัวบ้านเฉินได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันครบทั้งหมดพี่ใหญ่บ้านเฉินลาออกจากการเป็นทหารกลับมาดูแลการผลิตในโรงงานให้เธอ เพราะพี่ชายทั้งสองของเธอต้องเข้ามาทำงานในมิติเลยไม่ได้ไปดูแลโรงงาน ทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำอย่างลงตัวตอนนี้หน้าที่หลักของเธอคือทำบัญชีเองทั้งหมด แม้แต่ค่าแรงที่จ่ายให้ทุกคน เธอก็คือคนตัดสินใจ แต่ส่วนมากจะขอความคิดเห็นจากสามี เท่าที่รับรู้เธอจ่ายค่าแรงสูงกว่าราคาการจ้างงานทั่วไปแต่พอปรึกษากันแล้ว คิดว่าคนที่ทำงานให้เป็นญาติพี่น
ตอนที่ 43 สร้างเนื้อสร้างตัวซือหยางยืนมองสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่เบื้องหน้าของตัวเอง เขาเข้ามาที่มิติฟาร์มของภรรยานับครั้งไม่ถ้วน ผ่านมาหลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยคุ้นชินสักเท่าไรพอเข้ามาทำงานด้วยตัวเอง จึงได้รู้ว่าช่วงที่ภรรยาทำงานคนเดียวนั้นต้องทำงานหนักมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนเดียวต้องขับรถเกี่ยวข้าว แล้วต้องออกแรงสาวมุ้งดักปลาที่มีปลาจำนวนมากอยู่ในนั้น และไม่ใช่ออกแรงสาวเพียงรอบเดียวก็แล้วเสร็จ อย่างน้อยต้องมีถึงสิบกว่ารอบ ถึงจะครบตามจำนวนที่ต้องการ"น้องเล็กไปไหน" เซียวหยวนเดินออกมาหาน้องเขยที่กำลังยืนมองพื้นที่อยู่หน้าลานเกษตร"หลับครับ... ผมไม่อยากปลุก" ซือหยางรู้ว่าไม่สามารถช่วยอะไรในเรื่องที่ผ่านมาได้มาก เลยอยากชดเชยให้ภรรยาได้นอนพักบ้างในช่วงเวลานี้"เดี๋ยวตื่นมาบ่นอีก" เซียวฉวนเดินมาสมทบ หลังจากทำงานในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบเรียบร้อยแล้ว"งานเสร็จแล้ว ไม่น่าบ่นหรอกครับ" ซือหยางบอกไปแบบนั้นเอง... เขารู้ดีว่าภรรยาจะบ่นทุกครั้งที่ไม่ปลุกให้ตื่นมาช่วยทำงาน "น้องเล็กเหมือนคนอยู่ไม่สุข ต้องหยิบจับโน่นนี่ทำตลอด" เซียวฉวนส่ายหน้าไปมาเมื่อนึกถึงน้องสาว"กี่เดือนแล้วนะที่เราสามารถเข้
ตอนที่ 42 ค่อย ๆ เรียนรู้กันไปวันเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ นับตั้งแต่วันที่หรงผิงเปิดเผยเรื่องมิติฟาร์มก็ผ่านมานานนับเดือนแล้ว เรื่องมิติฟาร์มยังเป็นความลับ รู้กันเพียงพ่อแม่ พี่ชายทั้งสองคน และสามีของเธอเพียงเท่านั้น ส่วนเจ้าแฝดยังไม่รู้ เธอยังไม่เคยพาลูกเข้าไปเลยสักครั้ง เพราะทั้งสองยังเด็ก กลัวจะทำความลับนี้หลุดออกไป จึงคิดว่าปิดไว้ก่อน รอให้โตกว่านี้ก่อนค่อยเปิดเผยทีหลัง ยังมีเวลาอีกมากมาย "เรียนเป็นหมอได้ไหมคะ" ซือหงที่สะพายกระเป๋าไปสมัครเรียนในวันนี้ก็เฝ้าถามคำถามนี้กับพ่อและแม่ทุกครั้งที่ตัวเองนึกขึ้นได้"เรียนเป็นหมอได้ค่ะ" หรงผิงจัดผมให้ลูกสาวอีกครั้ง เพราะมันไม่ค่อยเรียบร้อยสักเท่าไร"แล้วลูกล่ะ อยากเป็นอะไร" ซือหยางถามลูกชายที่ยืนยิ้มมองแม่กับน้องสาวอยู่ใกล้ ๆ "เป็นทหารเหมือนเดิมครับ" เขาอยากเป็นแบบพ่อทำงานหาเงินเยอะ ๆ แม่กับน้องจะได้ไม่ต้องทำงาน และแน่นอนเขาเคยบอกให้ทุกคนรู้แล้วว่าเขาอยากเป็นทหาร!!ซือหยางจับมือลูกชายไว้แล้วยิ้มกับท่าทางของลูกชาย การเป็นทหารมีหลายรูปแบบ หากเรียนมานั้นหมายถึงต้องมียศมีตำแหน่งแน่นอน แต่เขาสามพี่น้องคือสมัครเข้าไปเป็นทหารการสมัครเข้าไปเป็นทหารจะ
ตอนที่ 41 เปิดโลกใบใหม่หลังจากที่ได้รับคำสอนจากครอบครัวก็ทำให้หรงผิงต้องมาเปิดใจคุยกับพ่อเจ้าแฝดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งแรก เพราะได้คำสอนต่าง ๆ มามาก จึงทำให้เธอยอมที่จะเปิดใจ และคิดว่าต้องเริ่มปรับตัวให้เหมือนตัวเองมีครอบครัวจริง ๆ ไม่เหมือนแต่ก่อนที่จะคิดและทำอะไรแค่คนเดียวเสมอ"ลูกเริ่มเรียนรู้การเป็นแม่ที่ดีแล้ว ลูกก็เริ่มเรียนรู้การเป็นภรรยาไปด้วย ค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีใครทำได้ตั้งแต่ครั้งแรก ทุกคนต้องเรียนรู้ด้วยกันทั้งนั้น"หรงผิงนึกถึงคำสอนของพ่อที่ปกติจะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด กับคนภายนอกคือแค่ยิ้มทักทายเท่านั้น แต่กับเธอ พ่อกลับบอกสอนและพูดด้วยประโยคยาว ๆ และคำสอนแต่ละอย่างของพ่อมันดีมากไม่น่าเชื่อว่าสังคมที่ผู้ชายคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ไม่สามารถใช้ได้กับพ่อ เพราะพ่อไม่เคยกดขี่ข่มเหงคนในบ้าน สิ่งไหนทำได้ให้ช่วยกันทำ เสร็จก็ได้พักแล้ว เธอโชคดีที่มาอยู่ที่นี่ อยู่ตรงนี้ รู้สึกว่าตัวเองมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ"แม่กินก่อนค่ะ" ซือหงสะกิดแม่ที่มองออกไปนอกบ้าน ไม่ยอมกินข้าวสักที"เดี๋ยวพ่อก็กลับครับ" จือหมิงคิดว่าแม่คงรอพ่ออยู่แน่ ๆหรงผิงหันมายิ้มให้ลูกทั้งสองก่อนจะก้มหน้