เสนาบดีกรมคลังโจวเหลียงเกามองทิศทางที่ร่างบุตรสาวและฮูหยินเอกของตน หายลับจากสายตาไปด้วยแววตาเลื่อนลอย เศร้าสลดใจอย่างสุดซึ้ง ไม่มีอีกแล้วครอบครัวที่เขารักและเฝ้าทะนุถนอม จบสิ้นเพียงเท่านี้สินะ...ร่างของชายวัยกลางคนขยับอย่างเชื่องช้า เขาไม่ได้ไปที่ใด มุ่งหน้าตรงไปยังห้องหนังสือของตนตามเดิม จนกว่าจะมั่นใจว่าฮูหยินและบุตรสาวออกนอกกำแพงเมืองไปแล้ว เขาต้องยื้อเวลาให้นานที่สุดให้ได้ครั้นมาถึงห้องหนังสือก็เห็นร่างชายหนุ่มที่มาแจ้งข่าวทรุดกายนั่งลงที่หน้าประตูด้วยท่าทีอิดโรย ใบหน้าไร้สีเลือด ซีดเสียจนเขาคิดว่าเสียชีวิตไปแล้ว หากไม่เห็นหน้าอกที่ขยับเพียงแผ่วเบา เขาคงคิดเช่นนั้นไปจริง ๆ“เหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี่” เขาถามอีกฝ่ายอย่างสงสัย คิดว่ามาแจ้งข่าวแล้วจะออกจากจวนไปเสียอีก“ข้าหนีไปก็ไม่รอดหรอกขอรับนายท่าน ข้าถูกทำร้ายบาดเจ็บเป็นอย่างมาก แค่มีลมหายใจถึงตอนนี้ก็นับว่าเก่งแล้วขอรับ”“แต่ถ้าเจ้าเสี่ยงจากไปตั้งแต่ที่บอกข้าเจ้าก็อาจมีชีวิตรอด”“ข้ารู้ขีดจำกัดร่างกายตนเองดีขอรับ อีกอย่างถ้าการตายของข้ามันช่วยประวิงเวลาให้ท่านและครอบครัวหนีไปได้ก็นับว่าเป็นประโยชน์ยิ่งแล้วขอรับ”เสนาบดีโจวเหลียงเ
“กระจายกำลังค้นหาต่อไป ทั้งภายในจวนและนอกจวน ไม่แน่ว่าอาจจะยังไม่ออกนอกกำแพงเมืองหลวงไปก็ได้”“ขอรับ”“เอาละ คุมตัวเสนาบดีโจวเหลียงเกา และบรรดาบ่าวไพร่ไปยังคุกหลวงได้”ซูเฉินขี่ม้านำหน้าขบวนคุ้มกันเสนาบดีโจวเหลียงเกา และบ่าวไพร่ออกไปเป็นคนแรก บ้านใกล้เรือนเคียงที่ได้ยินเสียงร้องและประดาบในจวนตระกูลโจว ต่างโผล่หน้าออกมาสอดส่องอย่างอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอันใดขึ้น ครั้นเมื่อเห็นเสนาบดีใหญ่ขุนนางคนสำคัญถูกกุมตัวก็ต่างตกใจ เรื่องนี้ทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำของเหล่าขุนนางเป็นอย่างมากเสนาบดีกรมคลังถูกคุมตัวไปยังคุกหลวงมิใช่กระทำความผิดหรือ?ทุกคนต่างคิดเป็นเสียงเดียวกันพร้อมทั้งพยายามอยู่ให้เงียบที่สุด คนที่ไม่ได้กระทำความผิดเพียงแค่ตกใจเท่านั้น แต่คนที่มีส่วนรู้เห็นในสิ่งที่เสนาบดีโจวเหลียงเกากระทำต่างร้อนรนนั่งไม่ติดเก้าอี้ เร่งทำลายหลักฐานต่าง ๆ ที่จะสาวมาถึงตัวตนเป็นว่าเล่นไหนเลยการกระทำของพวกเขาจะเป็นผล ภายในวันเดียวกันจะมีทหารไปยังจวนผู้คนเหล่านั้น และคุมตัวผู้มีส่วนรู้เห็นออกมาด้วยทั้งสิ้นและด้วยขบวนทหารที่เดินสวนกันไปมาในวันนี้ล้วนสร้างความแตกตื่นและสงสัยต่อชาวเมืองเป็นอย่างมาก พวกเขาต
สวีข่านมาชักชวนให้เขาทำกิจการด้วย ทั้งยังบอกวิธีการหาเงินด้วยวิธีที่ง่าย ๆ และได้เงินเร็ว ทั้งยังหาได้เป็นจำนวนมาก มีหรือที่เขาจะไม่สนใจ แต่เสนาบดีโจวเหลียงเกาไม่ได้รับปากกระทำการรวดเร็วปานนั้น เขานั่งไตร่ตรองกับตนเองอยู่นานนับสัปดาห์ ด้วยรู้ว่างานที่สวีข่านชักชวนนั้นเป็นงานสีดำและอันตราย หากข่าวหลุดรอดออกไปคงได้จบสิ้นกันแน่ จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะขบคิดให้มากหน่อยหลังจากขบคิดอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว เสนาบดีโจวเหลียงเกาก็คิดที่จะปฏิเสธ แต่แล้วความคิดปฏิเสธนั้นของเขาก็หายไปเมื่อตนได้รู้ว่า องค์ฮ่องเต้ทรงพระราชทานรางวัลให้กับหลี่เหวินชิงที่ชนะศึกกลับมาเป็นจำนวนมาก เสนาบดีโจวเหลียงเการู้สึกว่าตนไม่ได้รับความยุติธรรม ตนนั่งทำงานมือเป็นระวิง ทำงานด้วยใจบริสุทธิ์มาโดยตลอด รางวัลที่ผู้เป็นใหญ่ทรงพระราชทานให้เพียงน้อยนิด ไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่หลี่เหวินชิงได้เลยสักครั้ง จากที่คิดว่าจะไม่ร่วมมือกับสวีข่าน เสนาบดีโจวเหลียงเกาก็เปลี่ยนความคิดโดยพลัน ร่วมมือลักลอบขนสินค้าเถื่อนนำเข้าและออกขายกับสวีข่านทันที“หึหึ” คิดย้อนกลับไปแล้วก็อดหัวเราะตนเองไม่ได้“เจ้าหัวเราะอันใด”“กระหม่อมเพียงตลกในชะตาชีวิตของตัวกร
“โจวเหลียงเกา เจ้าอย่าได้โทษเรา ทุกอย่างที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้เป็นเพราะเจ้ากระทำตนเอง เจ้าเลือกที่จะไม่ทำได้ แต่เจ้าก็ยังทำ คิดอิจฉาริษยาหลี่เหวินชิงจนเกิดความดำมืดในจิตใจ ละโมบอยากมีอยากได้เช่นผู้อื่น เจ้าจึงได้เป็นเช่นนี้ อย่าได้โทษใคร เพราะทุกอย่างเป็นเจ้าที่เลือกเอง”“ฮะฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่พ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างเป็นเพราะพระองค์กับหลี่เหวินชิง กระหม่อมเป็นผู้ถูกกระทำ ถูกบีบบังคับให้ทำต่างหาก” เสนาบดีโจวเหลียงเกาหัวเราะหยันก่อนจะยังพูดด้วยประโยคเดิม ๆโอรสสวรรค์เห็นอดีตศิษย์น้องของตนไม่มีท่าทีสำนึกผิดก็อดโกรธไม่ได้ พระองค์สูดลมหายใจระงับความโกรธ ก่อนจะพูดออกมาอย่างราบเรียบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เจ้าอ้างว่าตัวเจ้าเองลำบาก ความจำเป็นบีบคั้นให้เจ้าต้องกระทำเช่นนั้น พร่ำบอกตนเองว่ามีเพียงสวีข่านที่ยื่นความช่วยเหลือให้ โจวเหลียงเกา เจ้าเคยถามตนเองบ้างหรือไม่ ว่าหากเจ้าเอ่ยขอความช่วยเหลือจากเราสักครึ่งคำ เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเราจะใจจืดใจดำไม่ช่วยศิษย์น้องของตน นี่นอกเจ้าไม่เอ่ยกับเราแล้ว เจ้ายังโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเรา เป็นความผิดของผู้อื่น โดยที่ไม่ย้อนกลับไปดูเลยว่าสิ่งที่ตัวเจ้าเองทำม
เมืองจินซาน ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงเพียงสองเมือง เดินทางเพียง 5-7 วันก็ถึงแล้ว ที่รวดเร็วเช่นนี้เพราะเส้นทางที่ใช้ในการสัญจรสะดวกสบายเป็นอย่างมากเหตุที่ชื่อว่าเมืองจินซานเป็นเพราะว่า จุดเด่นของเมืองนี้มีเหมืองแร่ และเหมืองทองที่ภูเขาจินซานมากมายให้ชาวเมืองทำการขุด ซึ่งนั่นเป็นอาชีพหลักของชาวเมือง ด้วยเหมืองทองคำมากมายเหล่านี้เป็นเหตุให้ชาวเมืองเรียกภูเขาจินซานเรื่อยมา ทางราชสำนักเห็นว่าชื่อนี้ดีเป็นเมืองดังทอง จึงตั้งชื่อว่าเมืองจินซานตามชื่อของภูเขาจินซานที่ชาวบ้านเรียกเรื่อยมาณ จวนขนาดกลางที่ตั้งอยู่นอกตัวเมืองจินซานหลังหนึ่ง ภายในเรือนที่เคยปิดเงียบยามนี้มีเสียงร้องไห้ดังระงมจากสตรีสองนาง“ฮึก! ไม่จริงใช่ไหมเจ้าคะท่านแม่ ฮ่องเต้ไม่ได้พระราชทานโอสถพิษให้ท่านพ่อใช่หรือไม่เจ้าคะ” โจวเฟิ่งจิ่วเอ่ยถามเพราะไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินจากปากบ่าวรับใช้ที่ติดตามมาจะเป็นความจริงบิดาของนางจะต้องโทษจนถูกฮ่องเต้พระราชทานโอสถพิษไปได้เช่นไร บิดาของนางเป็นถึงขุนนางใหญ่เชียวนะ เรื่องนี้ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแน่ ๆโจวฮูหยินมองสบตากับบุตรสาวด้วยความเสียใจ นางพาบุตรสาวเดินทางมาอยู่ที่นอกเมืองจินซาน
“จริง! ชาวบ้านชาวเมืองเขาลือกันสนั่นหวั่นไหว ตรอกซอกซอยไหนก็มีแต่เรื่องนี้ ยอมรับความจริงเถอะเจ้าค่ะคุณหนู ยอมรับว่าบิดาของคุณหนูตายแล้ว คุณหนูเป็นเพียงบุตรีของอดีตขุนนางที่เสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น หาใช่บุตรีของขุนนางใหญ่ที่มากอำนาจดังก่อนไม่!”“อ๊ายยยยย! ข้าไม่เชื่อ ไม่จริง ออกไปเลยนะ ออกไป ข้าบอกให้เจ้าออกไป!”“ฮึ ข้าก็ไม่อยากอยู่นักหรอกเจ้าค่ะ อยู่กับคนเอาแต่ใจ ร้ายกาจเสียยิ่งกว่ามารร้ายเช่นท่าน ใครจะไปอยากอยู่ด้วยกันเจ้าคะ ไม่แปลกหรอกที่ท่านแม่ทัพจะทิ้งคุณหนูแล้วกลับไปรักกับภรรยา”เพล้ง!“กรี๊ดดดด! ออกไป ข้าบอกให้ออกไป!”โจวเฟิ่งจิ่วกรีดร้องราวคนเสียสติ ความเสียใจที่ได้รับรู้ข่าวคราวการเสียชีวิตของบิดาก็นับว่ารุนแรงมากแล้ว นี่สาวใช้ของนางยังพูดถึงคนที่นางเกลียดชัง ทั้งยังนำนางไปเปรียบเทียบกับมัน นางจะรับไหวได้เช่นไร ข้าวของที่อยู่ใกล้มือถูกนางหยิบและขว้างออกไปใส่สาวใช้คนดังกล่าว จนลี่หวาทนไม่ไหวต้องผุดลุกวิ่งออกจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว“ฮึก! ฮือ ไม่จริง พี่เหวินรักข้า ท่านพ่อยังไม่ตาย ฮึก! ลี่หวานางบ่าวชั้นต่ำ นางคนสารเลว! เจ้าโกหกข้า ฮึก ฮือ” ไหล่ของโจวเฟิ่งจิ่วสั่นไหว หยดน้ำตาร่วงเ
ใบหน้าของโจวเฟิ่งจิ่วสะบัดไปตามแรงตบ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วโพรงปาก ก่อนจะหันหน้ามามองมารดาที่ไม่เคยลงมือทุบตีนางเลยสักครั้งด้วยสายตาเจ็บปวด หลี่ฮูหยินลดมือสั่นเทาของตนลงแนบลำตัว จับจ้องหน้าบุตรสาวด้วยสายตาเจ็บปวดไม่แพ้กัน“ฟังแม่! ถึงเจ้าไปมันก็ไม่มีประโยชน์ หลี่เหวินหลางช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ ที่ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ ที่พ่อของเจ้าดื่มยาพิษจนตกตาย ทุกอย่างเป็นเพราะเขา เป็นหลี่เหวินหลาง เป็นบุรุษที่เจ้าปักใจรักใคร่อย่างไรเล่า” โจวฮูหยินตะคอกเสียงดังพูดออกมาด้วยความเดือดดาลอย่างเหลืออดที่สุดแล้ว โจวเฟิ่งจิ่วชะงักไป สายตาฉ่ำน้ำฉายวี่แววสับสน มองหน้ามารดาอย่างคนต้องการคำตอบ “สงสัยในคำพูดของแม่ใช่หรือไม่ ได้ แม่จะบอกเจ้า บุรุษผู้นั้นไม่เคยรักเคยหลงเจ้าเลยสักนิด ที่เขาเข้ามาหาเจ้าก็เพื่อต้องการตีสนิท ใช้เจ้าเป็นสะพานสืบความเป็นไปภายในตระกูลโจวของเรา ครั้นได้ทุกอย่างตามที่ตนต้องการแล้วเขาก็ทิ้งเจ้าไป ที่พ่อของเจ้าต้องตายก็เป็นเพราะเขา เป็นเพราะเขาเข้าใจหรือยัง!” โจวฮูหยินบอกกล่าวสิ่งที่ตนได้รับรู้มาจากสามีให้ผู้เป็นบุตรสาวฟัง ก่อนหน้านี้นางไม่คิดจะพูดมันออกมาเพราะกลัวบุตรสาวคนเดียวจะเจ็บปวดเ
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านแม่ทัพของพวกเราที่ไปปราบโจรทางทิศใต้กำลังเร่งเดินทางกลับ”“รู้สิ ข้ายังได้ข่าวจากพวกทหารที่มากินดื่มที่เหลาสุราอยู่เลย เห็นว่า หลังจากปราบกองโจรทั้งหมดเสร็จสิ้น ท่านแม่ทัพก็เร่งเดินทางกลับเมืองหลวงทันที คาดว่าไม่เกินยามอู่ของวันนี้คงถึงประตูเมืองแล้ว”“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านแม่ทัพต้องเร่งเดินทางกลับ”“จะไม่รู้ได้เช่นไร เรื่องนี้ในค่ายทหารลือกันหนาหูมาก ว่าท่านแม่ทัพรักและคิดถึงภรรยาของตนมาก คาดว่าที่เร่งเดินทางมิใช่ว่าจะเป็นเพราะทนคิดถึงภรรยาของตนไม่ไหวหรอกหรือ”“พูดแล้วก็อิจฉาแม่นางไป๋นัก ที่ท่านแม่ทัพรักใคร่เช่นนี้ นอกจากจะเก่งกาจมากความสามารถ ฝีมือนับเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครแล้ว ท่านแม่ทัพยังรูปงามอีกด้วย พูดแล้วก็อยากไปเป็นอนุของท่านแม่ทัพสักครั้ง”“เพ้ย! สตรีเช่นเจ้าหรือจะไปเป็นอนุของท่านแม่ทัพ แค่เดินผ่านท่านแม่ทัพยังไม่ชายตาแลเลย เลิกฝันเฟื่องได้แล้ว”“ข้ารู้นา แค่พูดไปเท่านั้นเอง อิจฉาในวาสนาของแม่นางไป๋เสียจริง ใครในเมืองหลวงไม่รู้บ้างว่า ตระกูลหลี่แห่งจวนแม่ทัพยึดถือปฏิบัติเลือกคู่ครองผัวเดียวเมียเดียวมาโดยตลอด คิดดูว่าสตรีนางนั้นน่าอิจฉามา
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร
“เซียนเซียน! เซียนเซียน ฟื้นสิเซียนเซียน” หลี่เหวินหลางร้องเรียกชื่อภรรยาด้วยความกระวนกระวายใจ ภายในอกของเขาร้อนรุ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวเหลือเกินว่านางจะเป็นอันใดไป กลัวสูญเสียนางอย่างไม่มีวันหวนกลับ ความกังวลฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา โชคยังดีที่เขามาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นกังวลมากกว่านี้“พาคุณหนุกลับจวนก่อนเถิดเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ จะได้รีบตามท่านหมอมาดูอาการ” จื่อถิงบอกอย่างร้อนรนและกระวนกระวายใจไม่แพ้กัน พลางมองเจ้านายสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุด น้ำตาเอ่อคลอไปทั่วดวงตาสวย เหตุใดจึงเกิดเรื่องกับคุณหนูทุกครั้งที่นางไม่ได้อยู่ด้วยก็ไม่รู้ โชคดีที่ทั้งนางและท่านแม่ทัพมาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของนางจะเป็นเช่นไร“รีบกลับจวนให้เร็วที่สุด!” หลี่เหวินหลางบอกคนขับรถม้าพร้อมทั้งอุ้มนางเข้าไปนั่งภายใน โอบกอดนางไว้อย่างหวงแหน มองดวงหน้าหวานด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุดก่อนหน้านี้หลี่เหวินหลางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าไปรายงานทุกอย่างให้องค์ฮ่องเต้รับรู้เรียบร้อยถึงการปราบโจรของตน หลังจากนั้นก็รีบพาตนเองออกจากวังหลวงอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดถ
“ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อ เจ้าอย่ามาโกหกข้า ข้าไม่สนว่าใครจะเป็นคนคิด ในเมื่อพี่เหวินเป็นคนทำเขาก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าก็ด้วย ในเมื่อวันนี้ข้าสูญสิ้นไม่เหลืออะไร พวกเจ้าก็ต้องสูญสิ้นไม่เหลือสิ่งใดเช่นเดียวกัน อย่างไรวันนี้ทุกอย่างก็ต้องจบลง ไม่ข้าและเจ้าก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ครั้งที่แล้วข้าหวังให้เจ้าจมน้ำตายที่นี่ เพราะต้องการให้เจ้าทรมานถึงที่สุด กระทั่งหลังความตายก็ยังคงทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของกระแสน้ำ ได้แต่เหน็บหนาวแต่เพียงผู้เดียวไร้ซึ่งคนเหลียวแล ครั้งที่แล้วเป็นโชคดีของเจ้าที่ข้าทำไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้มันจะไม่เหมือนเดิม เจ้าต้องตาย ตายเพราะข้า!” โจวเฟิ่งจิ่วตวาดกร้าว ไป๋ฟางเซียนได้ฟังแล้วรู้ว่าถึงเจรจาต่อไปย่อมไม่เป็นผล ดังนั้นจึงโพล่งไปอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน เช่นไรนางก็เคยตายมาแล้ว ตายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเลยสักนิด ห่วงก็แต่หลี่เหวินหลาง หากนางจากไปเขาจะรู้สึกเช่นไร จะเสียใจหรือคิดถึงนางบ้างหรือไม่เท่านั้นเอง “ตายก็ตายสิ คนอย่างไป๋ฟางเซียนไม่เคยกลัวตายอยู่แล้ว หากข้าตาย เจ้าก็ต้องตายเช่นกัน” จบคำพูดของไป๋ฟางเซียนร่างของโจวเฟิ่วจิ่วก็พุ่งตรงเข้ามาหวังจะกร
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้านักหนาจึงได้คิดทำร้ายข้า”“ฮ่าฮ่า เพราะเจ้ามาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไปไงเล่า! คนไม่มีบิดามารดาเป็นกำพร้าเช่นเจ้า กล้าดีอย่างไรลงประกวดสาวงาม แย่งชิงตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจากข้าไป เท่านั้นยังไม่พอเจ้ายังเป็นคู่หมั้นของพี่เหวิน คิดอยากได้และครอบครองเขา เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดว่าตนเองเหมาะสมกับบุรุษเก่งกล้าและรูปงามเช่นเขา แทนที่เจ้าจะสำนึกในบุญคุณของบิดามารดาของพี่เหวิน กล่าวยกเลิกงานหมั้นนั่นเสีย เจ้ากลับเร่งรัดให้ทุกอย่างเร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เจ้าก็รู้ตนเองดี ว่าพี่เหวินมิได้รักเจ้าเลยแม้แต่น้อย แล้วข้าจะให้คนหน้าด้านเช่นเจ้าเชิดหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับข้าได้เช่นไร คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้าคิดเทียบเคียงข้ามาโดยตลอด หวังใช้ฐานะฮูหยินแม่ทัพตีเสมอข้าน่ะสิ หึ ไม่เจียมตน”“เจ้าบ้าไปแล้วโจวเฟิ่งจิ่ว ข้าไม่เคยคิดตีตนเสมอเจ้า ข้ารู้ตนเองดี เจ้าเอาแต่ว่าข้าแล้วเจ้าเล่าดีตรงไหน วัน ๆ ตามแต่คู่หมั้นของสหาย นอกจากไม่รู้สึกผิดแล้ว ยังคิดทำร้ายผู้อื่น นี่มันไม่น่ารังเกียจกว่าข้ารึ” ไป๋ฟางเซียนย้อนกลับทันควัน เพราะนางไม่ชอบให้ใครมาว่านางเช่นกัน แม้ว่าคนที่ถูก