“ศิษย์พี่…ศิษย์พี่…. ศิษย์พี่!!!”
หนึ่งในบรรดานักปราชญ์ร้องเรียกศิษย์พี่เพียงผู้เดียวในกลุ่มถึงสามครั้งสามครากว่าที่อีกฝ่ายจะดึงสติให้กลับมาแล้วขานรับเขา“หะ… หา…. เจ้าว่าเช่นไรรึ”“ศิษย์พี่ขอรับ หากท่านสนใจนางเหตุใดจึงมิเข้าไปทักทายนางล่ะขอรับ ข้าเห็นท่านชะเง้อคอมองนางจนคอแทบเคล็ดแล้วหนาขอรับ”ฟงฉีถึงกับกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่เพราะที่คุณชายสกุลเฟยทักท้วงคุณชายใหญ่ของตนออกมานั้นมันเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ต้องรีบหุบขำแทบไม่ทันเพราะเจอข้อศอกแหลมของผู้เป็นเจ้านายกระทุ้้งเข้าที่หน้าท้องจนเขาตัวงอ“โอ๊ย!!!”สายตาหลายคู่มองมายังเสียงร้องของบ่าวข้างกายคุณชายใหญ่สกุลเจียงเป็นตาเดียวกัน รวมไปถึงกลุ่มของสาวๆ ที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วย ฟงฉีได้แต่ลูบท้องและยิ้มแหยๆ ออกมา“ฟงฉี เจ้าเป็นอันใดไปรึ ร้องเสียดังเชียว”“จะ…จู่ๆ ก็รู้สึกเสียดท้องขึ้นมาน่ะขอรับแหะๆ” คนถูกถามตอบออกมาอย่างกระอักกระอ่วนพลางหัวเราะเสียงแผ่วเบา“พวกเราเข้าไปด้านในกันเถิด ผู้ที่ไดหลังจากงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของคุณหนูรองสกุลเจียง ผู้คนต่างก็พากันกล่าวถึงการผูกไมตรีระหว่างคุณชายใหญ่สกุลเจียงกับคุณหนูใหญ่สกุลโจวว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลที่หมายมั่นอยากจะให้ลูกๆ ทั้งสองลงเอยกัน เพราะต่างคนต่างก็ยังมิได้มีคู่หมาย หากทั้งสองจะเปิดใจคบหากันก็มิใช่สิ่งผิดอันใด“เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ตอบรับไมตรีพี่ชายของแม่นางเจียงมู่หลานล่ะขอรับ”โจวเจินหลงเอ่ยถามพี่สาวด้วยออกมาความไม่เข้าใจทันทีที่ทราบเรื่องราว เพราะที่ผ่านมานั้นแม้ทั้งสองจะได้พบเจอกันอยู่หลายหน แต่ก็ไม่เห็นจะมีทีท่าว่าทั้งสองจะมีใจให้กันหรืออยากจะมอบไมตรีให้กันแม้เพียงนิด แล้วเหตุใดจึงมาลงเอยด้วยเรื่องเช่นนี้“ก็เขาเป็นชายที่ทำให้หัวใจของพี่กลับมาเต้นแรงอีกครา” โจวเจินเจินยิ้มออกมาพร้อมกับคำตอบ“หะ…ห๊า…. ท่านพี่กล่าวราวกับว่าท่านเคยมอบหัวใจให้ชายใดมาก่อนแล้วอย่างไรอย่างนั้น แต่ที่ผ่านมาข้ามิเคยเห็นท่านชายตาแลมองชายใดเลยนี่ขอรับ" โจวเจินหลงอุทานออกมาด้วยความตกใจยามที่ได้ยินพี่สาวกล่าวราวกับว่านางเคยมีความรักต่อชา
เซียงฮูหยินออกจากเรือนนอนของบุตรสาวไปหลังจากที่เซียงซุนสงบลง ในยามเซินสาวรับใช้คนสนิทได้ออกจากจวนไปทำตามคำสั่งของนายหญิงใหญ่อย่างเงียบๆ นางนั่งรถม้าไปยังแถบชายแดนเพื่อนำคำสั่งของนายหญิงใหญ่ไปให้พี่ชายซึ่งเป็นนักเลงคอยรับใช้ตระกูลเซียงอยู่ ยามนี้เขาพักอาศัยอยู่ที่ชายแดนเมืองฮวาหลานเพื่อคอยทำงานให้กับใต้เท้าเซียง“หลินอี๋… เจ้ามีธุระอันใดกับข้างั้นรึ เหตุใดเจ้าถึงออกมาจากจวนตามลำพังนั่งรถม้ามาเสียด้วย เห็นแวบแรกข้าก็นึกว่าท่านใต้เท้ามาเยือนด้วยตนเอง” พี่ชายของหลินอี๋กล่าวออกมาทันทีที่เห็นว่าผู้ใดมาเยือน“พี่หลินซ่ง… แม่นางผู้นี้คือน้องสาวของท่านหรือ” เสียงของลูกน้องของหลินซ่งตะโกนถามขึ้นมาไม่ไกล“ใช่แล้ว… พวกเอ็งไปไกลๆ ข้ามีเรื่องจะคุยกับนางตามลำพัง"หลินซ่งตะโกนตอบพลางดึงข้อมือของน้องสาวให้ตามไปยังริมแม่น้ำ นางเดินตามพี่ชายไปแต่โดยดีแม้พี่ชายจะไม่ได้เป็นบ่าวอยู่ในจวน แต่เขาเองก็ได้รับใช้ตระกูลเซียงไม่ต่างกัน“เอาล่ะ… มีเหตุอันใดถึงได้มาหาข้าที่นี่”“นายหญิงใหญ่ให้ข้านำสารนี้มาให้
จวนสกุลโจวหน้าจวนสกุลโจวในยามนี้มีรถม้าของจวนสกุลเจียงหยุดนิ่งอยู่ เพราะคุณหนูรองสกุลเจียงได้แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนคุณหนูใหญ่โจวเจินเจินอย่างเร่งรีบ หลังจากที่เจียงมู่จื้อกลับไปถึงเรือนเขาก็ได้เรียกน้องสาวให้ไปพบและเล่าถึงเหตุการณ์ที่ตนได้รับรู้มาให้นางฟัง เพื่อที่จะได้ให้เจียงมู่หลานนำข่าวนี้มาบอกกับโจวเจินเจินด้วยตัวนางเอง เพลานี้ก็เย็นย่ำแล้วเขาจึงไม่สะดวกนักที่จะเดินทางมาพบนางด้วยตนเอง“ผู้ใดกันช่างมีจิตใจสกปรกยิ่งนัก กล้าคิดร้ายกับคุณหนูใหญ่ของบ่าวถึงเพียงนี้เชียวหรือ”อี้ถงกล่าวออกมาด้วยความโมโห ทั้งๆ ที่คุณหนูใหญ่ของนางนั้นแสนดีถึงเพียงนี้ ไม่เคยเลยสักคราที่จะไปสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้แก่ผู้ใด“ชูว์…. อย่าเสียงดังไปสิอี้ถง เดี๋ยวพวกบ่าวได้ยินแล้วจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ข้าไม่อยากให้ท่านย่าหรือท่านพ่อท่านแม่ต้องมากังวลใจไปกับเรื่องเช่นนี้” โจวเจินเจินยังคงสงบนิ่งราวกับสายน้ำ นางไม่เคยหวาดเกรงกับสิ่งที่คนพวกนั้นคิดจะกระทำต่อนางเลย“ในเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ระยะนี้คุณหนูก็อย่าเพิ่งออกไปด้านนอกจวนจักดีกว่าเจ้าค่ะ&rd
“ข้าจะมิยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายนางได้เป็นอันขาด และข้าจะจัดการกับคนพวกนั้นให้ได้รู้ว่านางเป็นสตรีที่ผู้ใดก็มิควรมาคิดร้ายด้วย”น้ำเสียงเยือกเย็นที่ดังมาจากริมฝีปากหนาของพี่ชายทำให้เจียงมู่หลานเชื่อว่าเขาจะกระทำดังเช่นที่เขาได้กล่าวออกมา แม้จะนึกเป็นห่วงศิษย์พี่หญิงโจวเจินเจิน แต่นางก็อยากให้เรื่องจบลงโดยไว และนางเชื่อว่าพี่ชายของนางจะต้องปกป้องสตรีที่เขามีใจให้เป็นคนแรกได้เป็นแน่“ข้าเชื่อมั่นในตัวท่านพี่เจ้าค่ะ ศิษย์พี่หญิงเองก็เช่นกัน นางถึงได้ไม่หวาดหวั่นที่จะออกจากจวนแม้จะทราบอยู่แล้วว่าตนเองกำลังจะมีภัย”สองพี่น้องนั่งสนทนากันจวบจนยามซวีที่เจียงฮูหยินสั่งให้บ่าวมาเชิญทั้งสองให้ไปกินข้าวมื้อเย็นที่เรือนใหญ่ ในระหว่างที่กินข้าวร่วมกับท่านพ่อท่านแม่ สองพี่น้องก็พากันปิดปากเงียบเกี่ยวกับเรื่องของโจวเจินเจิน นั่นก็เป็นเพราะว่าไม่อยากให้พวกท่านพากันเป็นกังวลจนแผนที่เจียงมู่จื้อวางเอาไว้ล้มเหลวและวันที่โจวเจินเจินออกจากจวนก็มาถึงซึ่งเป็นวันเดียวกับที่กลุ่มนักเลงที่ทำงานให้แก่ตระกูลเซียงและตระกูลจงจะมาสร้างความเจ็บปวดให้แก่นาง อี้ถงตัวสั่นเครือจ
ในขณะที่ร่างกำยำของหลินซ่งกำลังเยื้องย่างเข้าไปใกล้โจวเจินเจิน เสียงควบม้าก็ดังใกล้เข้ามาจากทางด้านหลังของรถม้าสกุลโจวจนพวกมันพากันลุกลี้ลุกลน แต่พอได้เห็นว่าผู้ที่เพิ่งจะมาถึงเป็นบุรุษนิรนามที่มาเพียงผู้เดียวพวกมันจงคลายความวิตกกังวล บุรุษหนุ่มนิรนามตรงหน้าปกปิดใบหน้าด้วยผ้าสีดำราวกับพวกนักฆ่า แต่มีหรือที่พวกนักเลงที่มากันถึงหกคนจะเกรงกลัวผู้ที่มาเพียงลำพังยังไม่ทันได้ถามไถ่หรือพูดอันใดออกมาร่างสูงของบุรุษหนุ่มนิรนามก็กระโดดลงมาจากหลังม้ายืนบังร่างงามของโจวเจินเจินเอาไว้ อี้ถงที่เกือบจะกรีดร้องเพราะเห็นว่าพวกนักเลงกำลังจะเข้ามาใกล้คุณหนูใหญ่ถึงกับน้ำตาไหลออกมาทันที ไม่ต้องมองเห็นใบหน้าของบุรุษนิรนามตรงหน้านางก็พอจะเดาได้ว่าเขาคือผู้ใด แต่เหตุใดเขาถึงมาลำพังเช่นนี้หากเขาเป็นอันใดขึ้นมาทั้งสองตระกูลคงจะมองหน้ากันไม่ติดเป็นแน่ อี้ถงรู้สึกกังวลใจไปต่างๆ นานา“เห้ย!!… เจ้ามาทางใดจงกลับไปทางนั้นเสียดีกว่า อย่าได้มาขัดขวางการทำงานของพวกข้า”หลินซ่งตะโกนดังขึ้นมาด้วยความรำคาญใจ ชายหนุ่มร่างสูงที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำยังคงยืนขวางหน้าคุณหนูใหญ่สกุลโจวและส
“เจินเอ๋อร์… เจ้ากลับจวนไปก่อนเถิด พี่มีเรื่องต้องไปตรวจสอบอีกสักนิด”“ท่านพี่… ท่านอย่าได้ลืมประคบใบหน้าของท่านนะเจ้าคะ หากพวกสาวๆ เห็นเข้าคงจะรู้สึกเจ็บปวดแทนท่านอยู่ไม่น้อย”“จะมีผู้ใดเจ็บปวดพี่ก็มิใส่ใจหรือสนใจทั้งนั้น ขอเพียงมีเจ้าใส่ใจและห่วงใยพี่เพียงผู้เดียวก็พอแล้ว”คำพูดหวานหูทำให้โจวเจินเจินรู้สึกเขินอายและใจเต้นแรง นางรู้สึกแปลกใหม่กับความรู้สึกที่ได้รับความรักตอบ อาจจะเป็นเพราะชาติก่อนไม่สมหวังในความรักจึงไม่มีโอกาสได้หัวใจเต้นแรงเช่นนี้“น้องว่าเรื่องนี้คงจะต้องแจ้งให้ท่านพ่อกับท่านแม่ทราบแล้วล่ะเจ้าค่ะ เพราะท่านมือปราบคงจะต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ท่านพ่อของน้องทราบเป็นแน่”โจวเจินเจินกล่าวออกมายามที่นึกขึ้นได้ว่าสถานการณ์เช่นนี้มิสามารถปกปิดให้เป็นความลับได้ เจียงมู่จื้อนิ่งคิดก่อนที่จะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย“ถ้าเช่นนั้นก็แจ้งให้ใต้เท้าโจวทราบเถิด ถึงเช่นไรก็ปกปิดต่อไปอีกมิได้แล้ว ส่วนพวกนักเลงที่ถูกจับไปเดี๋ยวพวกมันก็รับสารภาพออกมาเอง เจ้ามิต้องกังวลไปหรอกหนา… ผู้ที่คิด
แสงจากกองไฟส่องสว่างให้มองเห็นชายร่างสูงสองคนกำลังนั่งย่างกระต่ายที่เพิ่งจะล่ามาก่อนหน้าระหว่างหลบหนี ใบหน้าคมมีรอยแผลเป็นแสดงออกถึงความเครียดออกมาจนผู้เป็นลูกน้องที่หนีรอดมาด้วยกันพลอยหนักใจไปด้วย หากทำงานอยู่ริมน้ำดีๆ คงจะไม่มีผู้ใดต้องถูกจับ“ลูกพี่… ไอ้พวกนั้นจะรอดหรือไม่ขอรับ”“แค่ถูกลงโทษเล็กน้อยไม่หนักหนาอันใดนักหรอก เพราะพวกเรายังมิได้แตะต้องคุณหนูผู้นั้น แต่ถ้าหากพวกมันรับสารภาพไปถึงตระกูลเซียง มีหวังพวกเราที่ยังหนีอยู่ต้องพลอยถูกจัดการปิดปากไปด้วยเป็นแน่”หลินซ่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงกังวล ห่วงก็แต่น้องสาวหลินอี๋ที่เป็นสาวรับใช้ข้างกายของเซียงฮูหยิน ป่านนี้ไม่รู้ว่านางจะถูกตำหนิและถูกลงโทษถึงเพียงใดที่พี่ชายทำงานพลาด“ถ้าเช่นนั้นเราจะทำเช่นไรกันดีล่ะลูกพี่ ยังจะไอ้พวกในคุกนั่นอีก”“จะทำเช่นไรได้ พวกเราก็ต้องหนีให้รอดสิวะ พรุ่งนี้เรือสินค้าก็จะมารับสินค้าจากใต้เท้าจงแล้ว พวกเราก็ใช้โอกาสนั้นหลบหนีไปพร้อมกับเรือสินค้านั่นก็แล้วกัน”หลินซ่งบอกทางออกให้กับลูกน้องที่ยามนี้เหลือเพียงผู้เดียว ถึง
“อาฟง!!!”ชายหนุ่มอุทานตาเบิกโพลงด้วยความตกใจที่สูญเสียลูกน้องคนสนิทไปต่อหน้าต่อตา แต่ในขณะที่พวกนักเลงพวกนี้จะเข้าไปสังหารหลินซ่ง เหล่ามือปราบก็ออกมาจัดการคนพวกนี้และควบคุมตัวใต้เท้าจงกับลูกน้องคนสนิทได้ทันท่วงที ทำให้หลินซ่งปลอดภัยแต่ก็หนีการจับกุมไม่พ้น“คุมตัวทุกคนกลับไปยังศาลต้าจงเพื่อรอการตัดสิน!!!” สิ้นเสียงของหัวหน้ามือปราบ มือปราบทุกคนก็ควบคุมตัวผู้กระทำผิดกลับไปยังคุกต้าจงเพื่อรอการไต่สวนและการตัดสินทันทีสายตาคมกวาดมองไปยังหีบสินค้ามากมายที่อยู่บนเรือ เขาเดินขึ้นไปบนเรือก่อนที่จะเปิดฝาหีบออกดู ด้านในเป็นผ้าไหม เครื่องเรือน และอาวุธจำนวนมาก สิ่งที่เขาได้ยินมาไม่ผิด… ผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการยักยอกเสบียงของทางการก็คือใต้เท้าจงนั่นเอง“เพราะความโลภแท้ๆ ข้าน้อยก็นึกว่าใต้เท้าจงร่ำรวยมาจากสิ่งใด ที่ไหนได้ยักยอกเสบียงที่จะส่งให้เมืองหลวงแล้วลักลอบขายออกไปต่างเมืองนี่เอง” ลูกน้องคนสนิทของหัวหน้าหน่วยมือปราบกล่าวออกมา“ให้คนมาจัดการขนของกลางพวกนี้ไปไว้ที่ศาลต้าจง และพวกเรายังมีที่ที่ยังต้องไปจัดการอีกที่หนึ
“ท่านป้า… ท่านป้าเจ้าคะ”เสียงหวานเล็กที่ล่องลอยมาตามหมอกควันนั้นช่างแผ่วเบาจนโจวเจินเจินแทบจะไม่ได้ยิน นางค่อยๆ เยื้องย่างฝ่ากลุ่มหมอกควันที่ขาวโพลนมองแทบจะไม่เห็นสิ่งใด แต่แล้วภาพที่นางได้มองเห็นเบื้องหน้ากลับทำให้นางต้องตาเบิกโพลงด้วยความตระหนกตกใจ“จะ…เจินเอ๋อร์….”เสียงหวานขานนามของเด็กหญิงตรงหน้าออกมา รอยยิ้มจากใบหน้าเล็กนั้นทำให้นางร่ำไห้ด้วยความคะนึงหาผู้เป็นหลานสาว เจ้าของร่างที่แท้จริงที่นางได้มามีชีวิตใหม่“หลานยินดียิ่งนักที่ท่านป้าได้พบกับความรักที่แท้จริงแล้ว” เสียงเล็กดังแผ่วมาจากเด็กหญิงตรงหน้า“ใช่แล้วหลานรัก ป้าได้พบกับความรักที่ป้าไม่เคยได้รับมาในชีวิตก่อน มันช่างเป็นสิ่งที่งดงามยิ่งนัก”“ที่ท่านได้กลับมา… ก็เพื่อการนี้แหละเจ้าค่ะ ท่านป้า… ท่านเหมาะสมคู่ควรที่จะได้รับความรักจากทุกคน หลานขอให้ท่านป้าใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของร่างนี้ให้มีความสุขนะเจ้าคะ”ฉินเซี่ยหรูที่เป็นโจวเจินเจินในร่างผู้ใหญ่พยักหน้าทั้งน้ำตา ที่แท้สวรรค์ให้โอกาสนางได้กล
หนึ่งปีต่อมาเสียงหัวเราะของเด็กน้อยวัยกำลังหัดเดินดังมาจากสวนดอกไม้ที่อยู่ภายในจวนสกุลเจียง นัยน์ตากลมจ้องมองไปยังบุตรชายตัวน้อยด้วยความห่วงใย ร่างเล็กกำลังเดินเตาะแตะตามซิ่วจิ่นไปรอบๆ สวนดอกไม้ที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องลงมานั้นไม่ได้ทำให้อากาศร้อนมากนัก แต่ทว่ากลับเย็นสบายไปด้วยลมหนาวที่พัดผ่านมา“ดื่มน้ำชาก่อนเถิดเจ้าค่ะนายหญิง” อี้ถงรินน้ำชาใส่ถ้วยชาให้แก่โจวเจินเจิน ควันของชาลอยกรุ่นปะทะกับอากาศ เหมันตฤดูปีนี้ไม่หนาวเท่าใดนัก“ข้าไม่เคยนึกถึงภาพเช่นนี้มาก่อนเลยอี้ถง” จู่ๆ โจวเจินเจินก็กล่าวออกมา อี้ถงยิ้มเพียงเล็กน้อย“แล้วคุณหนูใหญ่ของบ่าวมีความสุขใช่หรือไม่เจ้าคะ” โจวเจินเจินหันไปมองหน้าสาวรับใช้คนสนิทพลางพยักหน้า“เพียงแค่นี้ก็ไม่มีอันใดให้นึกเสียดายแล้วล่ะเจ้าค่ะ”คนฟังยิ้มออกมาในขณะที่สายตาก็ยังคงจับจ้องมองไปที่ร่างเล็กที่ส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้าก จากเดินเพียงช้าๆ ตามหลังของพี่เลี้ยง คุณชายน้องเจียงจางหย่งกลับเร่งความไวขึ้นแซงหน้าซิ่วจิ่นไป โจวเ
“น้องยินดีด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่ ในที่สุดพี่สะใภ้ก็ไม่เหม็นหน้าท่านแล้วคิกๆๆๆ”เจียงมู่หลานที่ได้ออกเรือนไปบุตรชายท่านเจ้าเมืองฮวาหลานเมื่อสามเดือนก่อนกล่าวหยอกล้อพี่ชายพลางหัวเราะออกมาวันนี้นางได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อท่านแม่ พี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ รวมไปถึงหลานในท้องของพี่สะใภ้ หลังจากที่ไม่ได้แวะเวียนมานานนับเดือนเพียงเพราะไปท่องเที่ยวเมืองหลวงกับสามีของนาง นางนั้นทราบเรื่องที่พี่สะใภ้แพ้ท้องเหม็นพี่ชายตั้งแต่ก่อนออกเรือน ครั้นได้รู้ว่าพี่สะใภ้ไม่มีอาการแพ้ท้องแล้วจึงนึกสนุกแซวพี่ชายของตนออกมา เจียงมู่จื้อจึงยกกำปั้นขึ้นมาโขกศีรษะของนางอย่างแรง‘โป๊ก’“โอ๊ย!!! พี่ใหญ่ ท่านรังแกน้อง”“อืม… หมั่นไส้ ระวังเอาไว้ให้ดีเถิด ระวังถึงคราที่ตัวเจ้ามีครรภ์และมีอาการเช่นนี้ใส่น้องเขยบ้าง" เจียงมู่หลานหันหลังใส่พี่ชายแล้วไปฟ้องพี่สะใภ้ทันที“พี่สะใภ้ ดูสามีของท่านเถิด ช่างพูดจาได้ไม่น่าฟังยิ่งนัก”นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเง้างอนจนโจวเจินเจินนึกขัน ทั้งที่สองพี่น้องวัยก็ห่างกันหลายป
หลังจากที่กลับมาจากจวนสกุลโจว โจวเจินเจินก็ได้บอกเรื่องที่นางกำลังมีครรภ์ให้แก่ท่านพ่อและท่านแม่ของสามีได้ทราบ ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินนั้นต่างรู้สึกยินดีกับเรื่องที่ได้ยินยิ่งนัก เพราะการได้มีหลานคนแรกถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีของตระกูลเจียง เจียงฮูหยินที่กำลังจะกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับน้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าด้วยความปีติยินดี“นี่เรากำลังจะได้เป็นปู่เป็นย่ากับเขาแล้วหรือนี่ น้องมิได้ฝันไปใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพี่” เจียงฮูหยินเอ่ยถามใต้เท้าเจียงออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“เจ้ามิได้ฝันไปหรอกหนาน้องหญิง ก็เจินเอ๋อร์บอกว่านางได้ให้ท่านหมอตรวจมาจากจวนสกุลโจวแล้ว ก็ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ใช่หรือไม่เจินเอ๋อร์” ท่านใต้เท้าเจียงตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนที่จะถามลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกัน“เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกกำลังมีครรภ์จริงเจ้าค่ะ ท่านหมอตู้ตรวจดูแล้วไม่ผิดแน่”ท่านหมอตู้นั้นเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองฮวาหลาน มีหรือที่เขาจะตรวจผิดพลาด อีกทั้งอาการของนางก็บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังมีครรภ์แน่นอน“ฮือ…. ขอบน้ำใจเ
สามเดือนต่อมาหลังจากออกเรือนไปโจวเจินเจินก็ไม่ลืมที่จะแวะเวียนกลับมาเยี่ยมเยือนบิดามารดาที่จวนสกุลโจว ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินเอ็นดูลูกสะใภ้ยิ่งนัก ทั้งสองไม่เคยห้ามให้นางได้ทำในสิ่งที่นางต้องการเลย ยิ่งสามียิ่งมอบความรักและคอยดูแลทะนุถนอมนางเป็นอย่างดี ทำให้โจวเจินเจินไม่นึกเสียใจเลยที่ได้ออกเรือนไปกับเขา“กลับมาเยี่ยมย่าทุกเดือนเช่นนี้ พ่อแม่สามีของเจ้ามิตำหนิหรือเจินเอ๋อร์….” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามหลานสาวออกมาด้วยความสงสัย“ไม่เลยเจ้าค่ะท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่เมตตาหลานยิ่งนัก หลานอยากจะไปที่ใด หรืออยากจะทำสิ่งใด ท่านทั้งสองมิเคยเข้ามายุ่งหรือนึกสงสัยในสิ่งที่ข้าทำเลยสักนิดเจ้าค่ะ”“ดี… ดียิ่งนัก เป็นโชคดีของหลานแล้วล่ะเจินเอ๋อร์… มีสามีที่รักและทะนุถนอมเจ้า ยังไม่ดีเท่ามีพ่อแม่สามีที่รักและเอ็นดูเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกมาทั้งใบหน้าที่ยิ้มแย้มนางรู้สึกยินดีกับหลานสาวยิ่งนักที่ได้พบกับตระกูลที่ดี ตั้งแต่ออกเรือนไปนางยังไม่เคยเห็นหลานสาวมีปัญหาอันใดมาบอกเล่าให้ฟังเลย ครั้นหลอกถามอี้ถงสาวรับใช้คนสนิ
โจวเจินเจินหัวใจเต้นแรงยามที่ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น อี้ถงออกไปข้างนอกนานเกือบหนึ่งเค่อแล้ว นางในยามนี้ยังคงนั่งอยู่บนเตียงที่มีผ้าแพรสีแดงประดับตกแต่ง ผ้าคลุมหน้านั้นบางจนเห็นภาพของผู้ที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา กลิ่นของสุราลอยมาแตะจมูก นางขยับกายด้วยความประหม่าก่อนที่ผ้าคลุมหน้าจะถูกสามีใช้คันชั่งเปิดออก ดวงหน้างามเผยออกมาปะทะกับแสงจากตะเกียงไฟสีเหลืองนวล ริมฝีปากหนาของเจียงมู่จื้อผุดรอยยิ้มออกมา“รอพี่นานหรือไม่…น้องหญิง”เขานั่งเคียงข้างนางพลางเอ่ยถามออกมา ดวงหน้างามฉายแววของความเขินอาย ครั้นยังเป็นฉินเซี่ยหรูนางไม่เคยมานั่งจ้องหน้ากับหวงจิงอวี่เช่นนี้ด้วยซ้ำ ทำให้นางไร้ประสบการณ์ในด้านนี้อย่างแท้จริง“มะ…ไม่นานเลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานตอบเขาออกไป“ถ้าเช่นนั้น… เรามาดื่มเหล้ามงคลกันก่อนเถิด”โจวเจินเจินพยักหน้า ชายหนุ่มจึงลุกจากที่นอนแล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่กลางห้อง จอกสุรามงคลและจอกเพื่อใส่สุราถูกเจียงมู่จื้อถือกลับมายังเตียงนอน เขารินสุราใส่จอกก่อนที่จะส่งให้แก่สตรีที่กำลังจะเป็นภรรยาของเขาอย่างสมบู
ขบวนเจ้าบ่าวเดินทางมาถึงจวนสกุลโจวในยามเฉินเข้าสู่ยามเว่ย ญาติพี่น้องของเจ้าบ่าวอย่างฟานอี้ชงก็ได้เดินทางมาร่วมงานในวันนี้ด้วย กว่าที่เจ้าบ่าวจะเข้าไปในจวนสกุลโจวได้ก็ต้องผ่านด่านพี่น้องสกุลโจวทั้งสามอย่างโจวเจินหลง โจวเชิน และโจวหลินหลินที่มาช่วยกันทดสอบว่าที่พี่เขยใหญ่ อั่งเปาถูกแจกจ่ายให้ผู้มาร่วมงาน หรือแม้แต่ชาวบ้านที่มายืนชมขบวนก็ได้รับแจกอั่งเปาด้วยในยามเว่ย เจ้าบ่าวและเจ้าสาวเยื้องย่างเข้าไปในเรือนรับรองที่มีใต้เท้าโจว โจวฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า ญาติพี่น้องสกุลโจว และสหายสนิทของโจวเจินเจินรออยู่ด้านใน เจียงมู่จื้อครั้นที่ได้เห็นเจ้าสาวก็ถึงกับตะลึงเพราะวันนี้นางช่างงดงามยิ่งนัก แม้ดวงหน้างามจะซุกซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม แต่เขารู้ดีว่าใบหน้านางนั้นงดงามถึงเพียงใด ทั้งสองเยื้องย่างไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของใต้เท้าโจวและโจวฮูหยิน สาวรับใช้รินน้ำชาส่งให้ท่านเขยใหญ่“ท่านพ่อตา กรุณารับถ้วยชาจากลูกเขยผู้นี้ด้วยเถิดขอรับ” เจียงมู่จื้อส่งถ้วยน้ำชาให้แก่พ่อตาของตนพลางกล่าวออกมา มือหนาสั่นเครือยื่นไปรับถ้วยชามาแล้วยกขึ้นดื่มจากนั้นใต้เท้าโจวจึงได้กล่าวคำอวยพร“ขอ
วันต่อมาในยามเฉิน เจียงฮูหยินได้เดินทางมาเยือนจวนสกุลโจวพร้อมกับแม่สื่อ เพื่อเจรจาสู่ขอบุตรีคนโตของสกุลโจวให้แก่บุตรชายของนาง หลังจากที่เขาเพิ่งจะเดินทางกลับมาถึงเมืองฮวาหลานเมื่อวานนี้ เจียงฮูหยินนั้นได้หาฤกษ์หายามเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้เอาไว้ครั้งที่บุตรชายให้นางมาขอหมั้นหมายคุณหนูใหญ่โจวเจินเจินแล้ว ครั้นบุตรชายเดินทางกลับมา นางจึงสามารถเดินทางมาสู่ขอว่าที่ลูกสะใภ้ได้เลย“ในเมื่อเด็กทั้งสองมีใจรักใคร่ชอบพอกันพวกเราก็มิขัดข้องอันใด กลับรู้สึกยินดียิ่งนักที่ลูกสาวจะได้ออกเรือนไปกับบุรุษที่ดีเช่นบุตรชายของท่าน”ฉินเซี่ยหรงกล่าวออกมายิ้มๆ ในเมื่อบุตรสาวของนางเลือกเปิดใจยอมรับคุณชายสกุลเจียงแล้ว นางก็ยินดีที่เด็กทั้งสองจะแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกันเสียที“ข้าสัญญาว่าจะให้ความรัก และความเอ็นดูต่อบุตรสาวของพวกท่าน ไม่ต่างกับนางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของข้าเอง” เจียงฮูหยินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ ใต้เท้าโจวและภรรยาพยักหน้าให้กัน“ถ้าเช่นนั้นพวกเราสองคนก็มิมีอันใดต้องขัดข้องหรอกเจ้าค่ะ ว่าแต่… ท่านพี่หญิงได้ฤกษ์แต่งงานมาหรือยังเจ
เสียงพูดคุยกันดังอยู่ภายในเรือนใหญ่นานนับครึ่งชั่วยาม โจวเจินเจินก็ได้ขอตัวไปพักผ่อนก่อนที่มื้อเย็นจะมาถึงอีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้า ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่ได้รั้งหลานสาวเอาไว้เพราะอยากให้หลานสาวไปสำรวจเรือนนอนก่อนแล้วค่อยมาร่วมโต๊ะกันในมื้อเย็นร่างระหงเยื้องย่างไปยังเรือนนอนที่เคยเป็นของฉินเซี่ยหรงผู้เป็นมารดาของนาง ซึ่งอยู่ติดกับเรือนนอนของฉินเซี่ยหรู หรือเรือนนอนของนางในอดีตชาติ โจวเจินเจินนึกสงสัยไม่ได้จึงเดินไปดูเรือนนอนที่เคยเป็นของนางมาก่อน ทุกสิ่งที่อยู่ภายในห้องยังเป็นเช่นเดิมจนนางรู้สึกปวดใจ ที่เคยคิดว่าท่านพ่อท่านแม่ของนางในอดีตชาติจะตัดใจไปจากฉินเซี่ยหรูได้แล้ว แต่ทว่าความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น พวกท่านยังคงระลึกถึงนางอยู่เสมอมา“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ พวกบ่าวเตรียมน้ำให้อาบเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”อี้ถงเดินตามมาบอกคุณหนูใหญ่อย่างรู้สึกเห็นใจ เพราะนางเองก็ทราบดีว่าเรือนนอนหลังนี้เป็นของผู้ใด คุณหนูใหญ่ของนางคงจะระลึกถึงคุณหนูใหญ่ฉินเซี่ยหรู ท่านป้าผู้ล่วงลับของนางโจวเจินเจินได้ยินเช่นนั้นจึงละสายตาจากเรือนที่เคยพักอาศัยในชีวิตก่อนแล้วกลับไปยังเรือนนอนที่เค