เรือนใหญ่จวนสกุลหวง
นายหญิงใหญ่ของเรือนลุกขึ้นเดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ ยามนี้ความดีของบุตรีสกุลโจวถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งเมืองฮวาหลาน งานเลี้่ยงที่ใดพวกภรรยาของเหล่าขุนนางต่างก็พากันกล่าวถึงความมีน้ำใจและความดีของเด็กสาว นางปรายตามองไปยังบุตรีของตนด้วยความไม่พอใจ“อีเอ๋อร์…เหตุใดเจ้าถึงมิเอาเยี่ยงอย่างคุณหนูใหญ่สกุลโจวเสียบ้าง เจ้ารู้หรือไม่ว่านางในยามนี้นั้นเหมือนกับท่านป้าของนางไม่มีผิด” หานจูฉีหรือหวงฮูหยิน ภรรยาเอกของหวงจิงอวี่บ่นให้บุตรสาวคนโตที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่อย่างตั้งใจ“ข้ารู้ดีเจ้าค่ะท่านแม่ ที่สำนักศึกษาท่านพี่หญิงโจวเจินเจินนางก็เป็นที่พูดถึงอยู่แล้ว แต่ข้าน่ะมิอาจเทียบกับนางได้หรอกเจ้าค่ะ เพราะข้ามิได้อ่อนโยนและมีจิตใจดีเช่นนาง”แม้จะเบื่อหน่ายที่มักจะถูกเปรียบเทียบกับศิษย์พี่ แต่หวงซินอีก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับออกมาเท่านั้น นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านแม่ต้องการให้นางเป็นเช่นเดียวกับผู้อื่น เหตุใดถึงมิถามถึงความต้องการของนางบ้าง แม้นางจะยังเด็กแต่นางก็มิได้โง่เขลาถึงขนาดจะต้องสูญเสียความชอบของตนเองเพื่อเป็นเช่นเดียวกับผเรื่องราวที่คุณหนูใหญ่สกุลโจวได้กระทำมาตั้งแต่เยาว์วัยจนถึงยามนี้นั้นมีมากมายจนนางกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งแคว้นถิงโจวโดยมิได้ตั้งใจ ขุนนางที่มีบุตรชายต่างหมายมาดและคาดหวังจะให้ตระกูลของตนได้เกี่ยวดองกับใต้เท้าโจว ซึ่งเป็นเจ้ากรมการกลาโหมประจำเมืองฮวาหลาน บรรดาฮูหยินจากตระกูลขุนนางและตระกูลนักปราชญ์ทั้งหลายต่างลงความเห็นกันว่า บุตรีคนโตของเจ้ากรมการกลาโหมกับโจวฮูหยินนั้นเป็นสตรีที่เหมาะสมจะยกย่องและแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้เอกของตระกูลพวกตน“พวกท่านต้องทำใจหน่อยนะหากอยากเกี่ยวดองกับสกุลโจวน่ะ”“เพราะเหตุใดหรือ หรือใต้เท้าโจวกับโจวฮูหยินมีว่าที่ลูกเขยอยู่แล้วเช่นนั้นหรือ” ผู้ถูกถามส่ายใบหน้าไปมาจนคนถามอดที่จะเก็บความอยากรู้เอาไว้ต่อไปไม่ไหวจึงรีบถามออกมาเพื่อให้หายข้องใจ“แล้วเพราะเหตุใดกันล่ะ”“เพราะฮูหยินผู้เฒ่าสกุลโจวน่ะ นางตามใจหลานสาวคนนี้มาก พอหลานสาวบอกว่านางจะไม่แต่งงาน ฮูหยินผู้เฒ่าก็เลยบอกว่าเรื่องนี้ให้ทำตามความต้องการของหลานสาวน่ะสิ”คนฟังถึงกับตาเบิกโพลงเพราะมิมีสกุลใดที่มิอยากจะให้บุตรีที่ใกล้จะถึงวัยอ
“เจ้านี่ก็ไม่สำนึกเลยนะซินอี ท่านแม่ของเจ้าน่ะเข้าไปทำให้ท่านป้าผู้แสนดีของโจวเจินเจินต้องตาย แต่เจ้าก็ยังกล้าที่จะผูกมิตรกับนางอยู่เช่นนั้นหรือ” หลังจากที่โจวเจินเจินเดินจากไป กลุ่มของศิษย์พี่ที่โตกว่าโจวเจินเจินเยื้องย่างเข้ามาหาเรื่องศิษย์น้องที่เพิ่งจะได้รับความเมตตาจากโจวเจินเจินทันที“ศิษย์พี่ พวกท่านเข้าใจท่านแม่ของข้าผิดแล้วเจ้าค่ะ นางมิได้กลั่นแกล้งหรือรังแกอดีตแม่ใหญ่เลย ท่านพ่อของข้าต่างหากที่เป็นผู้กระทำผิด ผิดที่พาท่านแม่และอนุนางอื่นๆ เข้าไปในจวน ผิดที่ทำร้ายจิตใจของอดีตแม่ใหญ่ ข้าน่ะมิได้เห็นด้วยกับการกระทำของท่านพ่อหรอกนะเจ้าคะ แต่เพราะข้าเองก็เป็นเพียงแค่ลูก ข้ามิสามารถกระทำอันใดได้”“หน้าไม่อาย”ศิษย์พี่ที่เข้ามาทักพอพูดจบก็พากันเดินจากไป หวงซินอีถึงกับน้ำตาไหลออกมา การกระทำของบิดากำลังสร้างบาดแผลให้ตัวนางเอง ที่นางอยากสนิทสนมกับพี่หญิงโจวเจินเจินก็เป็นเพราะนางนับถือศิษย์พี่ และมีความสุขที่ได้รับความเอ็นดูนั้น แต่ถ้าหากสิ่งนี้มันผิด นางก็คงต้องหลีกหนีให้ไกลสินะ คุณหนูใหญ่สกุลหวงทำหน้าเศร้ามือบางยกขึ้นมาปาดน้ำตา
โจวเจินเจินนั้นพยายามใช้ชีวิตในชาติภพนี้ให้เงียบสงบที่สุด แต่ก็ดูจะไม่เป็นไปตามที่นางได้ตั้งใจเอาไว้ เพราะความดีที่นางกระทำแม้จะปกปิดเช่นไรก็ปกปิดเอาไว้ไม่มิด หากจะให้เลิกทำ นางก็ละทิ้งนิสัยจากชาติภพเดิมมิได้ ในเรื่องของมิตรสหายก็มีทั้งคุณหนูและคุณชายจากหลากหลายสกุลมาผูกไมตรี โจวเจินเจินนั้นมิได้คบหากับทุกคนแต่นางเลือกคบผู้ที่เข้ามาหาด้วยความจริงใจเท่านั้น“เจินเจิน….ก่อนที่จะกลับจวน เจ้าจะไปแวะตลาดก่อนหรือไม่” กวงหลินเยว่ถามออกมาขณะที่กำลังนั่งการบ้านที่ท่านอาจารย์สั่งเอาไว้อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ภายในสำนักศึกษาหลุนซี“อืม… วันนี้ข้าจะไปเยี่ยมท่านตาท่านยาย ท่านพ่อกับท่านแม่จะแวะมารับจ้ะ” เสียงเล็กตอบกลับพลางละสายตาจากกระดาษในมือ“เสร็จเสียที”โจวเจินเจินยกกระดาษขึ้นมาดูผลงานของตนเองแล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจ ท่านอาจารย์สั่งให้พวกนางคัดบทกวีที่พวกนางหลงลืมจนท่องออกมามิได้ แม้โจวเจินเจินจะท่องได้แต่ทว่าท่านอาจารย์กลับมิได้เลือกนางให้เป็นตัวแทนของสหายร่วมห้อง“หืม…เสร็จแล้วหรือ เหตุใดถึงไวยิ่งนัก” ฟางจ
“ตามสบายเถิดลูก…. เจินเอ๋อร์ หลงเอ๋อร์มานั่งข้างๆ ตากับยายสิ” เสียงทุ้มแหบเอ่ยออกมาพร้อมมองไปยังหลานทั้งสองด้วยแววตาเอ็นดู“เติบโตกันถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่” ฉินฮูหยินเอ่ยออกมาพลางสำรวจร่างกายของหลานทั้งสอง“เจินเอ๋อร์…. เจ้าแข็งแรงดีแล้วใช่หรือไม่”ใต้เท้าฉินถามหลานสาวด้วยน้ำเสียงห่วงใย เขามองเห็นเงาของบุตรสาวคนโตในร่างเล็กของโจวเจินเจิน ยามนางเยื้องย่าง หรือแม้แต่การปฏิบัติตนก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่ไม่น้อย“เจ้าค่ะท่านตา”“วันนี้ท่านแม่หักห้ามใจมิให้ไปปฏิบัติธรรมได้เช่นไรกันหรือเจ้าคะ” ฉินเซี่ยหรงที่นั่งมองบิดามารดาพูดคุยกับบุตรทั้งสองของนางอยู่ถามมารดาออกมาด้วยความประหลาดใจ“ก็เพราะเจ้านั่นแหละที่ส่งบ่าวมาบอกท่านแม่ของเจ้าเสียก่อน มิเช่นนั้นวันนี้คงมิได้เห็นหน้า” ใต้เท้าฉินหยิบขนมส่งให้แก่หลานสาวแล้วเงยหน้าขึ้นมองบุตรสาวคนเล็ก“ท่านพี่ก็…. นั่นเป็นสิ่งเดียวที่น้องจะทำให้ลูกสาวของเราได้นี่เจ้าคะ”ฉินฮูหยินมองหน้าสามีแล้วเอ่ยออกมา โจวเจินเจ
จวนสกุลหวงเสียงดังเอะอะโวยวายมาจากเรือนกลางซึ่งเป็นเรือนของอนุซู นางกำลังตบตีสาวรับใช้ในเรือนที่เลี้ยงไม่เชื่องเพราะไปทำหน้าที่บ่าวอุ่นเตียงให้กับสามีของนาง ใต้เท้าหวงจิงอวี่มิเคยว่างเว้นเรื่องอุ่นเตียงกับภรรยาสักคนหรือบ่าวในเรือนบางทีเขาก็ไม่เว้น นางใดที่มีใบหน้างดงามเขาก็จะรับนางไว้เป็นบ่าวอุ่นเตียงคอยทำหน้าที่รองรับความใคร่ของตน“ฮือๆๆๆ บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะนายหญิงรอง ให้อภัยบ่าวเถิดนะเจ้าคะ บ่าวขัดนายท่านมิได้เจ้าค่ะ” สาวรับใช้วัยแรกแย้มที่เคยเป็นบ่าวในเรือนของอนุซูเพิ่งได้รับใช้อุ่นเตียงให้กับนายท่านเมื่อคืนที่ผ่านมาสะอื้นไห้ออกมา“หึ!!! เจ้าคิดว่าข้ามิรู้ถึงความทะเยอทะยานในตัวเจ้าเช่นนั้นหรือ ลากตัวนางออกไปเฆี่ยนให้หลังลายแล้วก็ขายนางออกไปเสีย ไป!!!!”อนุซูสะบัดใบหน้าหนี นางอุตส่าห์ใจดีเอ็นดูในตัวบ่าวรับใช้นางนี้ อีกทั้งบุตรชายยังชอบเล่นกับนาง ผู้ใดจะไปคิดว่าใต้เท้าหวงจะสนใจนางเมื่อเด็กสาวเติบโตขึ้น“นายหญิง!!! ปล่อยนะ ปล่อยข้านะ”เสียงเด็กสาวค่อยๆ เบาลงเมื่อนางถูกลากตัวออกไปนอกเรือน ที่อนุซูจัดการสาวรับใช้ได้เพ
“นายท่านช่วยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ”บ่าวนางนั้นรีบคลานเข่าไปหานายท่านทันทีเพราะยังคิดว่าเขาเอ็นดูนาง หวงจิงอวี่ยกขาหลบแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้พลางมองหน้าอนุเซียวด้วยความขุ่นเคือง“อย่าบอกว่าที่เจ้าลงโทษนางบ่าวคนนี้เป็นเพราะข้าน่ะ” เขาคำรามออกมาเสียงดังจนอนุเซียวสะดุ้งตัวโยน“มะ…มิใช่เพราะท่านพี่หรอกเจ้าค่ะ เป็นเพราะนางทะเยอทะยานอยากจะเป็นมากกว่าบ่าวอุ่นเตียงของท่านพี่มากกว่า” นางโป้ปดออกมา ทั้งที่ใจจริงอยากจะบอกออกไปว่านางกลัวว่าเด็กสาวจะกลายเป็นที่โปรดปรานของเขา“ข้าเคยบอกพวกเจ้าแล้วใช่หรือไม่อนุเซียว หากอยากที่จะอยู่ด้วยกันก็อย่าสร้างปัญหา เจ้าดูนายหญิงใหญ่เป็นแบบอย่างเสียบ้าง นางมิเคยต้องมาเกลือกกลั้วกับพวกเมียบ่าวเช่นนี้ พวกเจ้าก็รู้ว่าข้าชอบสิ่งใหม่ๆ หากยังอยากจะอยู่ที่นี่อย่างมีหน้ามีตาก็อย่าสร้างปัญหาอีก”อนุเซียวเก็บความขุ่นเคืองเขาและนายหญิงใหญ่เอาไว้ในใจ เพราะแท้ที่จริงแล้วต้นเหตุของเรื่องเช่นนี้ก็คือตัวเขาที่มักมากและไม่รู้จักพอ ส่วนนายหญิงใหญ่นางอยู่อย่างสงบมิใช่ว่านางสามารถทำใจให้กว้างได้ แต่นางนั้
ความสุขของสกุลหวงมีอยู่ได้ไม่นานเพราะหลังจากไม่กี่เดือนต่อมาฮูหยินผู้เฒ่าก็ตายจากไปด้วยโรคที่ท่านหมอก็มิอาจรักษาให้หายได้ หวงจิงอวี่ที่เหลือเพียงมารดาเท่านั้นก็ถึงกับเศร้าโศกเสียใจ เมื่อนึกไปถึงคราที่มารดายังมีชีวิตอยู่แล้วเขาละเลยไม่ใส่ใจนางจนทำให้ไม่เคยรับรู้ว่ามารดากำลังป่วย เขาพาลไปโกรธบรรดาภรรยาของตนที่อยู่จวนตลอดแต่กลับละเลยมารดาของเขา ผู้ที่เคยรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่าถูกเขาสั่งโบยและขายออกไปจนหมดเพราะถือว่าปกปิดต่อเขาว่าฮูหยินผู้เฒ่าป่วย“ท่านพ่อเจ้าคะอย่าได้โมโหไปเลยเจ้าค่ะ ลูกรู้ดีว่าท่านย่ามิอยากให้ท่านพ่อต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านป่วย ท่านจึงเลือกที่จะสั่งให้บ่าวรับใช้ปิดบังมิให้ท่านหรือผู้ใดในจวนสกุลหวงรับรู้” หวงซินอีเอ่ยออกมาอย่างไม่เกรงกลัวต่ออารมณ์เกรี้ยวโกรธของบิดา“เจ้าคิดเช่นนั้นหรืออีเอ๋อร์ แล้วเหตุใดท่านย่่าถึงอยากจะปกปิดอาการป่วยของท่านต่อพ่อด้วยล่ะ”ถึงเขาจะเอะอะโวยวายกับพวกบ่าวรับใช้และบรรดาภรรยา แต่กับบุตรีและบุตรชายนั้นเขามักจะพูดกับเด็กๆ ด้วยความอ่อนโยนเสมอ“เพราะท่านหมอเองก็จนปัญญาที่จะรักษาท่านย่าแล้ว
เรือนอนุซูเสียงปาข้าวของดังขึ้นเป็นพักๆ แต่กลับไม่มีเสียงเอะอะโวยวายของผู้เป็นเจ้าของเรือน นางกำลังเก็บกดความขุ่นเคืองเอาไว้ เพราะหากนางโวยวายออกมา นายหญิงใหญ่ที่บัดนี้เผยโฉมหน้าและนิสัยที่แท้จริงของนางออกมาแล้วคงจะจัดการนางในทันที การตัดเงินที่ใช้เป็นค่าใช้จ่ายทำให้นางได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้โดยตรง“ใจเย็นก่อนเถิดเจ้าค่ะนายหญิงรอง หากบ่าวเรือนอื่นมาได้ยิน พวกมันจะเอาไปพูดแล้วเดี๋ยวจะได้ยินไปถึงหูของฮูหยินใหญ่นะเจ้าคะ” บ่าวรับใช้คนสนิทของอนุซูกระซิบกระซาบบอกนายหญิงของตน“ใจข้าร้อนจะตายอยู่แล้ว ที่ข้าไม่โวยวายก็เพราะข้าไม่อยากมีปัญหากับฮูหยินนั่นแหละ” นางบ่นพลางเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวยาวที่มีพนักพิง สาวรับใช้คนสนิทรีบรินน้ำชาให้นายหญิงเพื่อให้นางได้รู้สึกผ่อนคลายลง“เหตุใดนายท่านจึงมิเคยมาใส่ใจเรื่องภายในจวนเสียบ้าง กลับมาก็หาเพียงที่เสพสุขแล้วก็กลับออกไปทำงาน เป็นเช่นนี้ทุกวัน ข้ารู้สึกอัดอั้นใจยิ่งนัก เพราะเป็นเพียงอนุจึงมิมีอำนาจอันใดสินะ”อนุซูยกน้ำชาขึ้นมาจิบแล้วพร่ำบ่นออกมา สาวรับใช้ได้แต่มองนายหญิงของนางอย่างเห็น
“ท่านป้า… ท่านป้าเจ้าคะ”เสียงหวานเล็กที่ล่องลอยมาตามหมอกควันนั้นช่างแผ่วเบาจนโจวเจินเจินแทบจะไม่ได้ยิน นางค่อยๆ เยื้องย่างฝ่ากลุ่มหมอกควันที่ขาวโพลนมองแทบจะไม่เห็นสิ่งใด แต่แล้วภาพที่นางได้มองเห็นเบื้องหน้ากลับทำให้นางต้องตาเบิกโพลงด้วยความตระหนกตกใจ“จะ…เจินเอ๋อร์….”เสียงหวานขานนามของเด็กหญิงตรงหน้าออกมา รอยยิ้มจากใบหน้าเล็กนั้นทำให้นางร่ำไห้ด้วยความคะนึงหาผู้เป็นหลานสาว เจ้าของร่างที่แท้จริงที่นางได้มามีชีวิตใหม่“หลานยินดียิ่งนักที่ท่านป้าได้พบกับความรักที่แท้จริงแล้ว” เสียงเล็กดังแผ่วมาจากเด็กหญิงตรงหน้า“ใช่แล้วหลานรัก ป้าได้พบกับความรักที่ป้าไม่เคยได้รับมาในชีวิตก่อน มันช่างเป็นสิ่งที่งดงามยิ่งนัก”“ที่ท่านได้กลับมา… ก็เพื่อการนี้แหละเจ้าค่ะ ท่านป้า… ท่านเหมาะสมคู่ควรที่จะได้รับความรักจากทุกคน หลานขอให้ท่านป้าใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของร่างนี้ให้มีความสุขนะเจ้าคะ”ฉินเซี่ยหรูที่เป็นโจวเจินเจินในร่างผู้ใหญ่พยักหน้าทั้งน้ำตา ที่แท้สวรรค์ให้โอกาสนางได้กล
หนึ่งปีต่อมาเสียงหัวเราะของเด็กน้อยวัยกำลังหัดเดินดังมาจากสวนดอกไม้ที่อยู่ภายในจวนสกุลเจียง นัยน์ตากลมจ้องมองไปยังบุตรชายตัวน้อยด้วยความห่วงใย ร่างเล็กกำลังเดินเตาะแตะตามซิ่วจิ่นไปรอบๆ สวนดอกไม้ที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องลงมานั้นไม่ได้ทำให้อากาศร้อนมากนัก แต่ทว่ากลับเย็นสบายไปด้วยลมหนาวที่พัดผ่านมา“ดื่มน้ำชาก่อนเถิดเจ้าค่ะนายหญิง” อี้ถงรินน้ำชาใส่ถ้วยชาให้แก่โจวเจินเจิน ควันของชาลอยกรุ่นปะทะกับอากาศ เหมันตฤดูปีนี้ไม่หนาวเท่าใดนัก“ข้าไม่เคยนึกถึงภาพเช่นนี้มาก่อนเลยอี้ถง” จู่ๆ โจวเจินเจินก็กล่าวออกมา อี้ถงยิ้มเพียงเล็กน้อย“แล้วคุณหนูใหญ่ของบ่าวมีความสุขใช่หรือไม่เจ้าคะ” โจวเจินเจินหันไปมองหน้าสาวรับใช้คนสนิทพลางพยักหน้า“เพียงแค่นี้ก็ไม่มีอันใดให้นึกเสียดายแล้วล่ะเจ้าค่ะ”คนฟังยิ้มออกมาในขณะที่สายตาก็ยังคงจับจ้องมองไปที่ร่างเล็กที่ส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้าก จากเดินเพียงช้าๆ ตามหลังของพี่เลี้ยง คุณชายน้องเจียงจางหย่งกลับเร่งความไวขึ้นแซงหน้าซิ่วจิ่นไป โจวเ
“น้องยินดีด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่ ในที่สุดพี่สะใภ้ก็ไม่เหม็นหน้าท่านแล้วคิกๆๆๆ”เจียงมู่หลานที่ได้ออกเรือนไปบุตรชายท่านเจ้าเมืองฮวาหลานเมื่อสามเดือนก่อนกล่าวหยอกล้อพี่ชายพลางหัวเราะออกมาวันนี้นางได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อท่านแม่ พี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ รวมไปถึงหลานในท้องของพี่สะใภ้ หลังจากที่ไม่ได้แวะเวียนมานานนับเดือนเพียงเพราะไปท่องเที่ยวเมืองหลวงกับสามีของนาง นางนั้นทราบเรื่องที่พี่สะใภ้แพ้ท้องเหม็นพี่ชายตั้งแต่ก่อนออกเรือน ครั้นได้รู้ว่าพี่สะใภ้ไม่มีอาการแพ้ท้องแล้วจึงนึกสนุกแซวพี่ชายของตนออกมา เจียงมู่จื้อจึงยกกำปั้นขึ้นมาโขกศีรษะของนางอย่างแรง‘โป๊ก’“โอ๊ย!!! พี่ใหญ่ ท่านรังแกน้อง”“อืม… หมั่นไส้ ระวังเอาไว้ให้ดีเถิด ระวังถึงคราที่ตัวเจ้ามีครรภ์และมีอาการเช่นนี้ใส่น้องเขยบ้าง" เจียงมู่หลานหันหลังใส่พี่ชายแล้วไปฟ้องพี่สะใภ้ทันที“พี่สะใภ้ ดูสามีของท่านเถิด ช่างพูดจาได้ไม่น่าฟังยิ่งนัก”นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเง้างอนจนโจวเจินเจินนึกขัน ทั้งที่สองพี่น้องวัยก็ห่างกันหลายป
หลังจากที่กลับมาจากจวนสกุลโจว โจวเจินเจินก็ได้บอกเรื่องที่นางกำลังมีครรภ์ให้แก่ท่านพ่อและท่านแม่ของสามีได้ทราบ ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินนั้นต่างรู้สึกยินดีกับเรื่องที่ได้ยินยิ่งนัก เพราะการได้มีหลานคนแรกถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีของตระกูลเจียง เจียงฮูหยินที่กำลังจะกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับน้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าด้วยความปีติยินดี“นี่เรากำลังจะได้เป็นปู่เป็นย่ากับเขาแล้วหรือนี่ น้องมิได้ฝันไปใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพี่” เจียงฮูหยินเอ่ยถามใต้เท้าเจียงออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“เจ้ามิได้ฝันไปหรอกหนาน้องหญิง ก็เจินเอ๋อร์บอกว่านางได้ให้ท่านหมอตรวจมาจากจวนสกุลโจวแล้ว ก็ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ใช่หรือไม่เจินเอ๋อร์” ท่านใต้เท้าเจียงตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนที่จะถามลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกัน“เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกกำลังมีครรภ์จริงเจ้าค่ะ ท่านหมอตู้ตรวจดูแล้วไม่ผิดแน่”ท่านหมอตู้นั้นเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองฮวาหลาน มีหรือที่เขาจะตรวจผิดพลาด อีกทั้งอาการของนางก็บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังมีครรภ์แน่นอน“ฮือ…. ขอบน้ำใจเ
สามเดือนต่อมาหลังจากออกเรือนไปโจวเจินเจินก็ไม่ลืมที่จะแวะเวียนกลับมาเยี่ยมเยือนบิดามารดาที่จวนสกุลโจว ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินเอ็นดูลูกสะใภ้ยิ่งนัก ทั้งสองไม่เคยห้ามให้นางได้ทำในสิ่งที่นางต้องการเลย ยิ่งสามียิ่งมอบความรักและคอยดูแลทะนุถนอมนางเป็นอย่างดี ทำให้โจวเจินเจินไม่นึกเสียใจเลยที่ได้ออกเรือนไปกับเขา“กลับมาเยี่ยมย่าทุกเดือนเช่นนี้ พ่อแม่สามีของเจ้ามิตำหนิหรือเจินเอ๋อร์….” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามหลานสาวออกมาด้วยความสงสัย“ไม่เลยเจ้าค่ะท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่เมตตาหลานยิ่งนัก หลานอยากจะไปที่ใด หรืออยากจะทำสิ่งใด ท่านทั้งสองมิเคยเข้ามายุ่งหรือนึกสงสัยในสิ่งที่ข้าทำเลยสักนิดเจ้าค่ะ”“ดี… ดียิ่งนัก เป็นโชคดีของหลานแล้วล่ะเจินเอ๋อร์… มีสามีที่รักและทะนุถนอมเจ้า ยังไม่ดีเท่ามีพ่อแม่สามีที่รักและเอ็นดูเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกมาทั้งใบหน้าที่ยิ้มแย้มนางรู้สึกยินดีกับหลานสาวยิ่งนักที่ได้พบกับตระกูลที่ดี ตั้งแต่ออกเรือนไปนางยังไม่เคยเห็นหลานสาวมีปัญหาอันใดมาบอกเล่าให้ฟังเลย ครั้นหลอกถามอี้ถงสาวรับใช้คนสนิ
โจวเจินเจินหัวใจเต้นแรงยามที่ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น อี้ถงออกไปข้างนอกนานเกือบหนึ่งเค่อแล้ว นางในยามนี้ยังคงนั่งอยู่บนเตียงที่มีผ้าแพรสีแดงประดับตกแต่ง ผ้าคลุมหน้านั้นบางจนเห็นภาพของผู้ที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา กลิ่นของสุราลอยมาแตะจมูก นางขยับกายด้วยความประหม่าก่อนที่ผ้าคลุมหน้าจะถูกสามีใช้คันชั่งเปิดออก ดวงหน้างามเผยออกมาปะทะกับแสงจากตะเกียงไฟสีเหลืองนวล ริมฝีปากหนาของเจียงมู่จื้อผุดรอยยิ้มออกมา“รอพี่นานหรือไม่…น้องหญิง”เขานั่งเคียงข้างนางพลางเอ่ยถามออกมา ดวงหน้างามฉายแววของความเขินอาย ครั้นยังเป็นฉินเซี่ยหรูนางไม่เคยมานั่งจ้องหน้ากับหวงจิงอวี่เช่นนี้ด้วยซ้ำ ทำให้นางไร้ประสบการณ์ในด้านนี้อย่างแท้จริง“มะ…ไม่นานเลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานตอบเขาออกไป“ถ้าเช่นนั้น… เรามาดื่มเหล้ามงคลกันก่อนเถิด”โจวเจินเจินพยักหน้า ชายหนุ่มจึงลุกจากที่นอนแล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่กลางห้อง จอกสุรามงคลและจอกเพื่อใส่สุราถูกเจียงมู่จื้อถือกลับมายังเตียงนอน เขารินสุราใส่จอกก่อนที่จะส่งให้แก่สตรีที่กำลังจะเป็นภรรยาของเขาอย่างสมบู
ขบวนเจ้าบ่าวเดินทางมาถึงจวนสกุลโจวในยามเฉินเข้าสู่ยามเว่ย ญาติพี่น้องของเจ้าบ่าวอย่างฟานอี้ชงก็ได้เดินทางมาร่วมงานในวันนี้ด้วย กว่าที่เจ้าบ่าวจะเข้าไปในจวนสกุลโจวได้ก็ต้องผ่านด่านพี่น้องสกุลโจวทั้งสามอย่างโจวเจินหลง โจวเชิน และโจวหลินหลินที่มาช่วยกันทดสอบว่าที่พี่เขยใหญ่ อั่งเปาถูกแจกจ่ายให้ผู้มาร่วมงาน หรือแม้แต่ชาวบ้านที่มายืนชมขบวนก็ได้รับแจกอั่งเปาด้วยในยามเว่ย เจ้าบ่าวและเจ้าสาวเยื้องย่างเข้าไปในเรือนรับรองที่มีใต้เท้าโจว โจวฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า ญาติพี่น้องสกุลโจว และสหายสนิทของโจวเจินเจินรออยู่ด้านใน เจียงมู่จื้อครั้นที่ได้เห็นเจ้าสาวก็ถึงกับตะลึงเพราะวันนี้นางช่างงดงามยิ่งนัก แม้ดวงหน้างามจะซุกซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม แต่เขารู้ดีว่าใบหน้านางนั้นงดงามถึงเพียงใด ทั้งสองเยื้องย่างไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของใต้เท้าโจวและโจวฮูหยิน สาวรับใช้รินน้ำชาส่งให้ท่านเขยใหญ่“ท่านพ่อตา กรุณารับถ้วยชาจากลูกเขยผู้นี้ด้วยเถิดขอรับ” เจียงมู่จื้อส่งถ้วยน้ำชาให้แก่พ่อตาของตนพลางกล่าวออกมา มือหนาสั่นเครือยื่นไปรับถ้วยชามาแล้วยกขึ้นดื่มจากนั้นใต้เท้าโจวจึงได้กล่าวคำอวยพร“ขอ
วันต่อมาในยามเฉิน เจียงฮูหยินได้เดินทางมาเยือนจวนสกุลโจวพร้อมกับแม่สื่อ เพื่อเจรจาสู่ขอบุตรีคนโตของสกุลโจวให้แก่บุตรชายของนาง หลังจากที่เขาเพิ่งจะเดินทางกลับมาถึงเมืองฮวาหลานเมื่อวานนี้ เจียงฮูหยินนั้นได้หาฤกษ์หายามเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้เอาไว้ครั้งที่บุตรชายให้นางมาขอหมั้นหมายคุณหนูใหญ่โจวเจินเจินแล้ว ครั้นบุตรชายเดินทางกลับมา นางจึงสามารถเดินทางมาสู่ขอว่าที่ลูกสะใภ้ได้เลย“ในเมื่อเด็กทั้งสองมีใจรักใคร่ชอบพอกันพวกเราก็มิขัดข้องอันใด กลับรู้สึกยินดียิ่งนักที่ลูกสาวจะได้ออกเรือนไปกับบุรุษที่ดีเช่นบุตรชายของท่าน”ฉินเซี่ยหรงกล่าวออกมายิ้มๆ ในเมื่อบุตรสาวของนางเลือกเปิดใจยอมรับคุณชายสกุลเจียงแล้ว นางก็ยินดีที่เด็กทั้งสองจะแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกันเสียที“ข้าสัญญาว่าจะให้ความรัก และความเอ็นดูต่อบุตรสาวของพวกท่าน ไม่ต่างกับนางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของข้าเอง” เจียงฮูหยินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ ใต้เท้าโจวและภรรยาพยักหน้าให้กัน“ถ้าเช่นนั้นพวกเราสองคนก็มิมีอันใดต้องขัดข้องหรอกเจ้าค่ะ ว่าแต่… ท่านพี่หญิงได้ฤกษ์แต่งงานมาหรือยังเจ
เสียงพูดคุยกันดังอยู่ภายในเรือนใหญ่นานนับครึ่งชั่วยาม โจวเจินเจินก็ได้ขอตัวไปพักผ่อนก่อนที่มื้อเย็นจะมาถึงอีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้า ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่ได้รั้งหลานสาวเอาไว้เพราะอยากให้หลานสาวไปสำรวจเรือนนอนก่อนแล้วค่อยมาร่วมโต๊ะกันในมื้อเย็นร่างระหงเยื้องย่างไปยังเรือนนอนที่เคยเป็นของฉินเซี่ยหรงผู้เป็นมารดาของนาง ซึ่งอยู่ติดกับเรือนนอนของฉินเซี่ยหรู หรือเรือนนอนของนางในอดีตชาติ โจวเจินเจินนึกสงสัยไม่ได้จึงเดินไปดูเรือนนอนที่เคยเป็นของนางมาก่อน ทุกสิ่งที่อยู่ภายในห้องยังเป็นเช่นเดิมจนนางรู้สึกปวดใจ ที่เคยคิดว่าท่านพ่อท่านแม่ของนางในอดีตชาติจะตัดใจไปจากฉินเซี่ยหรูได้แล้ว แต่ทว่าความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น พวกท่านยังคงระลึกถึงนางอยู่เสมอมา“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ พวกบ่าวเตรียมน้ำให้อาบเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”อี้ถงเดินตามมาบอกคุณหนูใหญ่อย่างรู้สึกเห็นใจ เพราะนางเองก็ทราบดีว่าเรือนนอนหลังนี้เป็นของผู้ใด คุณหนูใหญ่ของนางคงจะระลึกถึงคุณหนูใหญ่ฉินเซี่ยหรู ท่านป้าผู้ล่วงลับของนางโจวเจินเจินได้ยินเช่นนั้นจึงละสายตาจากเรือนที่เคยพักอาศัยในชีวิตก่อนแล้วกลับไปยังเรือนนอนที่เค