“ตามสบายเถิดลูก…. เจินเอ๋อร์ หลงเอ๋อร์มานั่งข้างๆ ตากับยายสิ” เสียงทุ้มแหบเอ่ยออกมาพร้อมมองไปยังหลานทั้งสองด้วยแววตาเอ็นดู
“เติบโตกันถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่” ฉินฮูหยินเอ่ยออกมาพลางสำรวจร่างกายของหลานทั้งสอง“เจินเอ๋อร์…. เจ้าแข็งแรงดีแล้วใช่หรือไม่”ใต้เท้าฉินถามหลานสาวด้วยน้ำเสียงห่วงใย เขามองเห็นเงาของบุตรสาวคนโตในร่างเล็กของโจวเจินเจิน ยามนางเยื้องย่าง หรือแม้แต่การปฏิบัติตนก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่ไม่น้อย“เจ้าค่ะท่านตา”“วันนี้ท่านแม่หักห้ามใจมิให้ไปปฏิบัติธรรมได้เช่นไรกันหรือเจ้าคะ” ฉินเซี่ยหรงที่นั่งมองบิดามารดาพูดคุยกับบุตรทั้งสองของนางอยู่ถามมารดาออกมาด้วยความประหลาดใจ“ก็เพราะเจ้านั่นแหละที่ส่งบ่าวมาบอกท่านแม่ของเจ้าเสียก่อน มิเช่นนั้นวันนี้คงมิได้เห็นหน้า” ใต้เท้าฉินหยิบขนมส่งให้แก่หลานสาวแล้วเงยหน้าขึ้นมองบุตรสาวคนเล็ก“ท่านพี่ก็…. นั่นเป็นสิ่งเดียวที่น้องจะทำให้ลูกสาวของเราได้นี่เจ้าคะ”ฉินฮูหยินมองหน้าสามีแล้วเอ่ยออกมา โจวเจินเจจวนสกุลหวงเสียงดังเอะอะโวยวายมาจากเรือนกลางซึ่งเป็นเรือนของอนุซู นางกำลังตบตีสาวรับใช้ในเรือนที่เลี้ยงไม่เชื่องเพราะไปทำหน้าที่บ่าวอุ่นเตียงให้กับสามีของนาง ใต้เท้าหวงจิงอวี่มิเคยว่างเว้นเรื่องอุ่นเตียงกับภรรยาสักคนหรือบ่าวในเรือนบางทีเขาก็ไม่เว้น นางใดที่มีใบหน้างดงามเขาก็จะรับนางไว้เป็นบ่าวอุ่นเตียงคอยทำหน้าที่รองรับความใคร่ของตน“ฮือๆๆๆ บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะนายหญิงรอง ให้อภัยบ่าวเถิดนะเจ้าคะ บ่าวขัดนายท่านมิได้เจ้าค่ะ” สาวรับใช้วัยแรกแย้มที่เคยเป็นบ่าวในเรือนของอนุซูเพิ่งได้รับใช้อุ่นเตียงให้กับนายท่านเมื่อคืนที่ผ่านมาสะอื้นไห้ออกมา“หึ!!! เจ้าคิดว่าข้ามิรู้ถึงความทะเยอทะยานในตัวเจ้าเช่นนั้นหรือ ลากตัวนางออกไปเฆี่ยนให้หลังลายแล้วก็ขายนางออกไปเสีย ไป!!!!”อนุซูสะบัดใบหน้าหนี นางอุตส่าห์ใจดีเอ็นดูในตัวบ่าวรับใช้นางนี้ อีกทั้งบุตรชายยังชอบเล่นกับนาง ผู้ใดจะไปคิดว่าใต้เท้าหวงจะสนใจนางเมื่อเด็กสาวเติบโตขึ้น“นายหญิง!!! ปล่อยนะ ปล่อยข้านะ”เสียงเด็กสาวค่อยๆ เบาลงเมื่อนางถูกลากตัวออกไปนอกเรือน ที่อนุซูจัดการสาวรับใช้ได้เพ
“นายท่านช่วยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ”บ่าวนางนั้นรีบคลานเข่าไปหานายท่านทันทีเพราะยังคิดว่าเขาเอ็นดูนาง หวงจิงอวี่ยกขาหลบแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้พลางมองหน้าอนุเซียวด้วยความขุ่นเคือง“อย่าบอกว่าที่เจ้าลงโทษนางบ่าวคนนี้เป็นเพราะข้าน่ะ” เขาคำรามออกมาเสียงดังจนอนุเซียวสะดุ้งตัวโยน“มะ…มิใช่เพราะท่านพี่หรอกเจ้าค่ะ เป็นเพราะนางทะเยอทะยานอยากจะเป็นมากกว่าบ่าวอุ่นเตียงของท่านพี่มากกว่า” นางโป้ปดออกมา ทั้งที่ใจจริงอยากจะบอกออกไปว่านางกลัวว่าเด็กสาวจะกลายเป็นที่โปรดปรานของเขา“ข้าเคยบอกพวกเจ้าแล้วใช่หรือไม่อนุเซียว หากอยากที่จะอยู่ด้วยกันก็อย่าสร้างปัญหา เจ้าดูนายหญิงใหญ่เป็นแบบอย่างเสียบ้าง นางมิเคยต้องมาเกลือกกลั้วกับพวกเมียบ่าวเช่นนี้ พวกเจ้าก็รู้ว่าข้าชอบสิ่งใหม่ๆ หากยังอยากจะอยู่ที่นี่อย่างมีหน้ามีตาก็อย่าสร้างปัญหาอีก”อนุเซียวเก็บความขุ่นเคืองเขาและนายหญิงใหญ่เอาไว้ในใจ เพราะแท้ที่จริงแล้วต้นเหตุของเรื่องเช่นนี้ก็คือตัวเขาที่มักมากและไม่รู้จักพอ ส่วนนายหญิงใหญ่นางอยู่อย่างสงบมิใช่ว่านางสามารถทำใจให้กว้างได้ แต่นางนั้
ความสุขของสกุลหวงมีอยู่ได้ไม่นานเพราะหลังจากไม่กี่เดือนต่อมาฮูหยินผู้เฒ่าก็ตายจากไปด้วยโรคที่ท่านหมอก็มิอาจรักษาให้หายได้ หวงจิงอวี่ที่เหลือเพียงมารดาเท่านั้นก็ถึงกับเศร้าโศกเสียใจ เมื่อนึกไปถึงคราที่มารดายังมีชีวิตอยู่แล้วเขาละเลยไม่ใส่ใจนางจนทำให้ไม่เคยรับรู้ว่ามารดากำลังป่วย เขาพาลไปโกรธบรรดาภรรยาของตนที่อยู่จวนตลอดแต่กลับละเลยมารดาของเขา ผู้ที่เคยรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่าถูกเขาสั่งโบยและขายออกไปจนหมดเพราะถือว่าปกปิดต่อเขาว่าฮูหยินผู้เฒ่าป่วย“ท่านพ่อเจ้าคะอย่าได้โมโหไปเลยเจ้าค่ะ ลูกรู้ดีว่าท่านย่ามิอยากให้ท่านพ่อต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านป่วย ท่านจึงเลือกที่จะสั่งให้บ่าวรับใช้ปิดบังมิให้ท่านหรือผู้ใดในจวนสกุลหวงรับรู้” หวงซินอีเอ่ยออกมาอย่างไม่เกรงกลัวต่ออารมณ์เกรี้ยวโกรธของบิดา“เจ้าคิดเช่นนั้นหรืออีเอ๋อร์ แล้วเหตุใดท่านย่่าถึงอยากจะปกปิดอาการป่วยของท่านต่อพ่อด้วยล่ะ”ถึงเขาจะเอะอะโวยวายกับพวกบ่าวรับใช้และบรรดาภรรยา แต่กับบุตรีและบุตรชายนั้นเขามักจะพูดกับเด็กๆ ด้วยความอ่อนโยนเสมอ“เพราะท่านหมอเองก็จนปัญญาที่จะรักษาท่านย่าแล้ว
เรือนอนุซูเสียงปาข้าวของดังขึ้นเป็นพักๆ แต่กลับไม่มีเสียงเอะอะโวยวายของผู้เป็นเจ้าของเรือน นางกำลังเก็บกดความขุ่นเคืองเอาไว้ เพราะหากนางโวยวายออกมา นายหญิงใหญ่ที่บัดนี้เผยโฉมหน้าและนิสัยที่แท้จริงของนางออกมาแล้วคงจะจัดการนางในทันที การตัดเงินที่ใช้เป็นค่าใช้จ่ายทำให้นางได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้โดยตรง“ใจเย็นก่อนเถิดเจ้าค่ะนายหญิงรอง หากบ่าวเรือนอื่นมาได้ยิน พวกมันจะเอาไปพูดแล้วเดี๋ยวจะได้ยินไปถึงหูของฮูหยินใหญ่นะเจ้าคะ” บ่าวรับใช้คนสนิทของอนุซูกระซิบกระซาบบอกนายหญิงของตน“ใจข้าร้อนจะตายอยู่แล้ว ที่ข้าไม่โวยวายก็เพราะข้าไม่อยากมีปัญหากับฮูหยินนั่นแหละ” นางบ่นพลางเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวยาวที่มีพนักพิง สาวรับใช้คนสนิทรีบรินน้ำชาให้นายหญิงเพื่อให้นางได้รู้สึกผ่อนคลายลง“เหตุใดนายท่านจึงมิเคยมาใส่ใจเรื่องภายในจวนเสียบ้าง กลับมาก็หาเพียงที่เสพสุขแล้วก็กลับออกไปทำงาน เป็นเช่นนี้ทุกวัน ข้ารู้สึกอัดอั้นใจยิ่งนัก เพราะเป็นเพียงอนุจึงมิมีอำนาจอันใดสินะ”อนุซูยกน้ำชาขึ้นมาจิบแล้วพร่ำบ่นออกมา สาวรับใช้ได้แต่มองนายหญิงของนางอย่างเห็น
เมืองฉีซาน แคว้นถิงโจวภายในเรือนอี้ชงของสำนักศึกษาฉีซาน มีบรรดาศิษย์ชายที่มาจากหลากหลายตระกูล ไม่ว่าจะเป็นขุนนาง นักปราชญ์ พ่อค้าหรือชาวบ้านธรรมดาก็สามารถมาศึกษาที่สำนักศึกษาแห่งนี้ได้ ยามนี้ทุกคนกำลังนั่งท่องบทกวีกันพร้อมเพรียงกัน บัณฑิตทุกคนในที่แห่งนี้เป็นผู้ที่หลงใหลในการท่องบทกวี เด็กหนุ่มที่มีรูปลักษณ์งดงามราวกับเทพบุตรลงมาจุติกำลังจดจ่ออยู่กับบทกวีบทนั้นที่ท่านอาจารย์สั่งให้ศิษย์ท่องออกมา“เอาล่ะ คุณชายเจียง อาจารย์อยากให้เจ้าลองแต่งบทกวีออกมาสักหนึ่งบทให้แก่เหล่าศิษย์น้องทั้งหลายได้ฟัง จะกล่าวถึงสิ่งใดก็ได้ ตามที่ใจเจ้านึกคิดเถิด” อาจารย์จงกล่าวออกมาหลังจากที่บรรดาศิษย์ทั้งหมดท่องบทกวีในตำราตรงหน้าจบ“ขอรับ…ท่านอาจารย์”เจียงมู่จื้อ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเด็กหนุ่มรูปงามที่สุดในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกัน ด้วยวัยเพียงสิบห้าปีแต่ทว่ากลับมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ปีหน้าเขากำลังจะไปสอบขุนนางฝ่ายบุ๊นและถ้าหากสอบติดเขาจะขอไปประจำที่เมืองฮวาหลานซึ่งเป็นบ้านเกิดที่เขาจากมาตั้งแต่เยาว์วัย"สายลมพัดแผ่ว หวิวเบากลิ่นหอมดอกท้อ ลอย
ตลาดเมืองฮวาหลานในยามเชินมีผู้คนกำลังเดินจับจ่ายซื้อของกันมากหน้าหลายตา โจวเจินเจินเยื้องย่างไปตามทางพลางมองหาสิ่งที่นางต้องการจะซื้อกลับไปจวนสกุลโจวหลังจากกลับมาจากสำนักศึกษาในวันนี้ เด็กสาววัยแรกแย้มเยื้องย่างไปทางใดก็มีแต่บุรุษชายตามองแต่ทว่ากลับมิได้รับไมตรีหรือรอยยิ้มจากเด็กสาวเลยสักคน“สิ่งใดที่คุณหนูใหญ่อยากจะซื้อหรือเจ้าคะ”อี้ถงที่เดินตามคุณหนูใหญ่เหลียวซ้ายแลขวาจึงได้รับรู้ถึงสายตาของบุรุษหนุ่มๆ ที่มองมายังคุณหนูของนางที่มิได้สนใจมองผู้ใด“ข้าอยากจะซื้อพู่หยกเอาไปให้หลงเอ๋อร์กับน้องสามน่ะ กับอยากซื้อเครื่องประดับเล็กๆ ไปให้น้องหญิงสี่ด้วย” สาวรับใช้พยักหน้าเมื่อรับรู้ถึงความต้องการของคุณหนูใหญ่เดินไปเพียงไม่นานโจวเจินเจินกับอี้ถงก็ถึงร้านขายเครื่องประดับที่มีพู่หยกขายอยู่ด้วย สองนายบ่าวจึงพากันเดินเข้าไปภายในร้านนั้น ผู้คนที่กำลังเลือกซื้อเครื่องประดับอยู่เหลียวมามองดวงหน้างามของเด็กหญิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันกลับไปสนใจเลือกเครื่องประดับที่พวกตนต้องการจะซื้อกันต่อ เพราะการมองนานๆ ถือเป็นเรื่องที่เสียมารยาท เจ้าของร้านเมื่อเห็
หลังจากได้พบเจอกับเหตุการณ์อันไม่น่าจดจำ ฟานอี้ชงก็ได้เดินทางไปถึงจวนสกุลเจียงในยามโหย่ว ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินต้อนรับหลานชายที่เดินทางมาเยี่ยมในรอบหลายปี บัดนี้หลานชายเติบโตเป็นหนุ่มเสียแล้ว เด็กหนุ่มเยื้องย่างเข้ามาภายในเรือนรับรองก่อนที่จะคำนับญาติผู้ใหญ่ทั้งสอง“คารวะท่านลุง คารวะท่านป้าสะใภ้ขอรับ”“ตามสบายเถิดชงเอ๋อร์ เดินทางมาไกลนั่งพักผ่อนให้หายเมื่อยเสียก่อนเถิด” เด็กหนุ่มคำนับอีกคราก่อนที่จะเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับท่านลุงของตน สาวรับใช้รินน้ำชาให้คุณชายใหญ่จากสกุลฟานซึ่งเป็นตระกูลที่น้องสาวของนายท่านออกเรือนไป“เป็นอย่างไรบ้าง เดินทางสะดวกหรือไม่”“การเดินทางมาสะดวกกว่าคราก่อนมากนักขอรับ แต่หลานโชคมิดีทำถุงเงินหล่นหายจนเกือบมีปัญหากับเจ้าของร้านบะหมี่ในตลาด ดีที่ได้เจอเด็กคนหนึ่ง นางงดงามมากเลยขอรับแต่ยังดูเยาว์วัยนัก” ฟานอี้ชงเล่าเหตุการณ์ที่ตนได้พบเจอระหว่างเดินทางมายังจวนสกุลเจียงให้ท่านลุงกับป้าสะใภ้ได้ฟัง“โอ๊ะ!!! เด็กสาวเช่นนั้นหรือ แล้วนางขอสิ่งใดเป็นการตอบแทนจากเจ้าล่ะ&rdq
สองนายบ่าวนั่งพูดคุยกันอยู่หนึ่งก้านธูปก่อนที่ฟานอี้ชงจะไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปกินข้าวเช้าพร้อมกับท่านลุง ป้าสะใภ้และญาติผู้น้อง เมื่อรับมื้อเช้าเสร็จฟานอี้ชงก็ออกตัวขอไปส่งเจียงมู่หลานที่สำนักศึกษา เด็กหญิงมิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เพราะนานทีญาติผู้พี่จะเดินทางมาเยือนเมืองฮวาหลาน คงจะอยากไปเปิดหูเปิดตาตามสถานที่ต่างๆ บ้าง“น้องหญิง ที่สำนักศึกษาของเจ้ามีสิ่งใดน่าสนใจบ้างหรือ”“น่าเบื่อเจ้าค่ะ” คำตอบของนางเรียกเสียงหัวเราะให้ดังมาจากผู้ถาม เขาไม่คิดว่านางจะซื่อตรงต่อความคิดเห็นของตนเองยิ่งนัก“ฮ่าๆๆๆ เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นเล่า แล้วมิมีสิ่งใดที่ทำให้เจ้าอยากไปที่นั่นเลยหรือ”“อืม….มีเจ้าค่ะ ที่สำนักศึกษามีศิษย์พี่ที่งดงามและเฉลียวฉลาดอยู่ผู้หนึ่ง ผู้ใดก็อยากคบหากับนาง แต่นางเลือกคบคนเจ้าค่ะ”เด็กหญิงเจื้อยแจ้วออกมา แต่คนฟังรู้สึกไม่ค่อยชอบใจที่ญาติผู้น้องบอกว่าศิษย์พี่ของนางผู้นั้นเลือกคบคน คงจะเป็นพวกลูกขุนนางที่ดูถูกพวกลูกชาวบ้านหรือดูถูกพวกคนยากจนเป็นแน่“แล้วนางคบหาเจ้าหรือไม่” เขาแสร้งหล
“ท่านป้า… ท่านป้าเจ้าคะ”เสียงหวานเล็กที่ล่องลอยมาตามหมอกควันนั้นช่างแผ่วเบาจนโจวเจินเจินแทบจะไม่ได้ยิน นางค่อยๆ เยื้องย่างฝ่ากลุ่มหมอกควันที่ขาวโพลนมองแทบจะไม่เห็นสิ่งใด แต่แล้วภาพที่นางได้มองเห็นเบื้องหน้ากลับทำให้นางต้องตาเบิกโพลงด้วยความตระหนกตกใจ“จะ…เจินเอ๋อร์….”เสียงหวานขานนามของเด็กหญิงตรงหน้าออกมา รอยยิ้มจากใบหน้าเล็กนั้นทำให้นางร่ำไห้ด้วยความคะนึงหาผู้เป็นหลานสาว เจ้าของร่างที่แท้จริงที่นางได้มามีชีวิตใหม่“หลานยินดียิ่งนักที่ท่านป้าได้พบกับความรักที่แท้จริงแล้ว” เสียงเล็กดังแผ่วมาจากเด็กหญิงตรงหน้า“ใช่แล้วหลานรัก ป้าได้พบกับความรักที่ป้าไม่เคยได้รับมาในชีวิตก่อน มันช่างเป็นสิ่งที่งดงามยิ่งนัก”“ที่ท่านได้กลับมา… ก็เพื่อการนี้แหละเจ้าค่ะ ท่านป้า… ท่านเหมาะสมคู่ควรที่จะได้รับความรักจากทุกคน หลานขอให้ท่านป้าใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของร่างนี้ให้มีความสุขนะเจ้าคะ”ฉินเซี่ยหรูที่เป็นโจวเจินเจินในร่างผู้ใหญ่พยักหน้าทั้งน้ำตา ที่แท้สวรรค์ให้โอกาสนางได้กล
หนึ่งปีต่อมาเสียงหัวเราะของเด็กน้อยวัยกำลังหัดเดินดังมาจากสวนดอกไม้ที่อยู่ภายในจวนสกุลเจียง นัยน์ตากลมจ้องมองไปยังบุตรชายตัวน้อยด้วยความห่วงใย ร่างเล็กกำลังเดินเตาะแตะตามซิ่วจิ่นไปรอบๆ สวนดอกไม้ที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องลงมานั้นไม่ได้ทำให้อากาศร้อนมากนัก แต่ทว่ากลับเย็นสบายไปด้วยลมหนาวที่พัดผ่านมา“ดื่มน้ำชาก่อนเถิดเจ้าค่ะนายหญิง” อี้ถงรินน้ำชาใส่ถ้วยชาให้แก่โจวเจินเจิน ควันของชาลอยกรุ่นปะทะกับอากาศ เหมันตฤดูปีนี้ไม่หนาวเท่าใดนัก“ข้าไม่เคยนึกถึงภาพเช่นนี้มาก่อนเลยอี้ถง” จู่ๆ โจวเจินเจินก็กล่าวออกมา อี้ถงยิ้มเพียงเล็กน้อย“แล้วคุณหนูใหญ่ของบ่าวมีความสุขใช่หรือไม่เจ้าคะ” โจวเจินเจินหันไปมองหน้าสาวรับใช้คนสนิทพลางพยักหน้า“เพียงแค่นี้ก็ไม่มีอันใดให้นึกเสียดายแล้วล่ะเจ้าค่ะ”คนฟังยิ้มออกมาในขณะที่สายตาก็ยังคงจับจ้องมองไปที่ร่างเล็กที่ส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้าก จากเดินเพียงช้าๆ ตามหลังของพี่เลี้ยง คุณชายน้องเจียงจางหย่งกลับเร่งความไวขึ้นแซงหน้าซิ่วจิ่นไป โจวเ
“น้องยินดีด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่ ในที่สุดพี่สะใภ้ก็ไม่เหม็นหน้าท่านแล้วคิกๆๆๆ”เจียงมู่หลานที่ได้ออกเรือนไปบุตรชายท่านเจ้าเมืองฮวาหลานเมื่อสามเดือนก่อนกล่าวหยอกล้อพี่ชายพลางหัวเราะออกมาวันนี้นางได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อท่านแม่ พี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ รวมไปถึงหลานในท้องของพี่สะใภ้ หลังจากที่ไม่ได้แวะเวียนมานานนับเดือนเพียงเพราะไปท่องเที่ยวเมืองหลวงกับสามีของนาง นางนั้นทราบเรื่องที่พี่สะใภ้แพ้ท้องเหม็นพี่ชายตั้งแต่ก่อนออกเรือน ครั้นได้รู้ว่าพี่สะใภ้ไม่มีอาการแพ้ท้องแล้วจึงนึกสนุกแซวพี่ชายของตนออกมา เจียงมู่จื้อจึงยกกำปั้นขึ้นมาโขกศีรษะของนางอย่างแรง‘โป๊ก’“โอ๊ย!!! พี่ใหญ่ ท่านรังแกน้อง”“อืม… หมั่นไส้ ระวังเอาไว้ให้ดีเถิด ระวังถึงคราที่ตัวเจ้ามีครรภ์และมีอาการเช่นนี้ใส่น้องเขยบ้าง" เจียงมู่หลานหันหลังใส่พี่ชายแล้วไปฟ้องพี่สะใภ้ทันที“พี่สะใภ้ ดูสามีของท่านเถิด ช่างพูดจาได้ไม่น่าฟังยิ่งนัก”นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเง้างอนจนโจวเจินเจินนึกขัน ทั้งที่สองพี่น้องวัยก็ห่างกันหลายป
หลังจากที่กลับมาจากจวนสกุลโจว โจวเจินเจินก็ได้บอกเรื่องที่นางกำลังมีครรภ์ให้แก่ท่านพ่อและท่านแม่ของสามีได้ทราบ ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินนั้นต่างรู้สึกยินดีกับเรื่องที่ได้ยินยิ่งนัก เพราะการได้มีหลานคนแรกถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีของตระกูลเจียง เจียงฮูหยินที่กำลังจะกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับน้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าด้วยความปีติยินดี“นี่เรากำลังจะได้เป็นปู่เป็นย่ากับเขาแล้วหรือนี่ น้องมิได้ฝันไปใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพี่” เจียงฮูหยินเอ่ยถามใต้เท้าเจียงออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“เจ้ามิได้ฝันไปหรอกหนาน้องหญิง ก็เจินเอ๋อร์บอกว่านางได้ให้ท่านหมอตรวจมาจากจวนสกุลโจวแล้ว ก็ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ใช่หรือไม่เจินเอ๋อร์” ท่านใต้เท้าเจียงตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนที่จะถามลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกัน“เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกกำลังมีครรภ์จริงเจ้าค่ะ ท่านหมอตู้ตรวจดูแล้วไม่ผิดแน่”ท่านหมอตู้นั้นเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองฮวาหลาน มีหรือที่เขาจะตรวจผิดพลาด อีกทั้งอาการของนางก็บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังมีครรภ์แน่นอน“ฮือ…. ขอบน้ำใจเ
สามเดือนต่อมาหลังจากออกเรือนไปโจวเจินเจินก็ไม่ลืมที่จะแวะเวียนกลับมาเยี่ยมเยือนบิดามารดาที่จวนสกุลโจว ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินเอ็นดูลูกสะใภ้ยิ่งนัก ทั้งสองไม่เคยห้ามให้นางได้ทำในสิ่งที่นางต้องการเลย ยิ่งสามียิ่งมอบความรักและคอยดูแลทะนุถนอมนางเป็นอย่างดี ทำให้โจวเจินเจินไม่นึกเสียใจเลยที่ได้ออกเรือนไปกับเขา“กลับมาเยี่ยมย่าทุกเดือนเช่นนี้ พ่อแม่สามีของเจ้ามิตำหนิหรือเจินเอ๋อร์….” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามหลานสาวออกมาด้วยความสงสัย“ไม่เลยเจ้าค่ะท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่เมตตาหลานยิ่งนัก หลานอยากจะไปที่ใด หรืออยากจะทำสิ่งใด ท่านทั้งสองมิเคยเข้ามายุ่งหรือนึกสงสัยในสิ่งที่ข้าทำเลยสักนิดเจ้าค่ะ”“ดี… ดียิ่งนัก เป็นโชคดีของหลานแล้วล่ะเจินเอ๋อร์… มีสามีที่รักและทะนุถนอมเจ้า ยังไม่ดีเท่ามีพ่อแม่สามีที่รักและเอ็นดูเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกมาทั้งใบหน้าที่ยิ้มแย้มนางรู้สึกยินดีกับหลานสาวยิ่งนักที่ได้พบกับตระกูลที่ดี ตั้งแต่ออกเรือนไปนางยังไม่เคยเห็นหลานสาวมีปัญหาอันใดมาบอกเล่าให้ฟังเลย ครั้นหลอกถามอี้ถงสาวรับใช้คนสนิ
โจวเจินเจินหัวใจเต้นแรงยามที่ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น อี้ถงออกไปข้างนอกนานเกือบหนึ่งเค่อแล้ว นางในยามนี้ยังคงนั่งอยู่บนเตียงที่มีผ้าแพรสีแดงประดับตกแต่ง ผ้าคลุมหน้านั้นบางจนเห็นภาพของผู้ที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา กลิ่นของสุราลอยมาแตะจมูก นางขยับกายด้วยความประหม่าก่อนที่ผ้าคลุมหน้าจะถูกสามีใช้คันชั่งเปิดออก ดวงหน้างามเผยออกมาปะทะกับแสงจากตะเกียงไฟสีเหลืองนวล ริมฝีปากหนาของเจียงมู่จื้อผุดรอยยิ้มออกมา“รอพี่นานหรือไม่…น้องหญิง”เขานั่งเคียงข้างนางพลางเอ่ยถามออกมา ดวงหน้างามฉายแววของความเขินอาย ครั้นยังเป็นฉินเซี่ยหรูนางไม่เคยมานั่งจ้องหน้ากับหวงจิงอวี่เช่นนี้ด้วยซ้ำ ทำให้นางไร้ประสบการณ์ในด้านนี้อย่างแท้จริง“มะ…ไม่นานเลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานตอบเขาออกไป“ถ้าเช่นนั้น… เรามาดื่มเหล้ามงคลกันก่อนเถิด”โจวเจินเจินพยักหน้า ชายหนุ่มจึงลุกจากที่นอนแล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่กลางห้อง จอกสุรามงคลและจอกเพื่อใส่สุราถูกเจียงมู่จื้อถือกลับมายังเตียงนอน เขารินสุราใส่จอกก่อนที่จะส่งให้แก่สตรีที่กำลังจะเป็นภรรยาของเขาอย่างสมบู
ขบวนเจ้าบ่าวเดินทางมาถึงจวนสกุลโจวในยามเฉินเข้าสู่ยามเว่ย ญาติพี่น้องของเจ้าบ่าวอย่างฟานอี้ชงก็ได้เดินทางมาร่วมงานในวันนี้ด้วย กว่าที่เจ้าบ่าวจะเข้าไปในจวนสกุลโจวได้ก็ต้องผ่านด่านพี่น้องสกุลโจวทั้งสามอย่างโจวเจินหลง โจวเชิน และโจวหลินหลินที่มาช่วยกันทดสอบว่าที่พี่เขยใหญ่ อั่งเปาถูกแจกจ่ายให้ผู้มาร่วมงาน หรือแม้แต่ชาวบ้านที่มายืนชมขบวนก็ได้รับแจกอั่งเปาด้วยในยามเว่ย เจ้าบ่าวและเจ้าสาวเยื้องย่างเข้าไปในเรือนรับรองที่มีใต้เท้าโจว โจวฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า ญาติพี่น้องสกุลโจว และสหายสนิทของโจวเจินเจินรออยู่ด้านใน เจียงมู่จื้อครั้นที่ได้เห็นเจ้าสาวก็ถึงกับตะลึงเพราะวันนี้นางช่างงดงามยิ่งนัก แม้ดวงหน้างามจะซุกซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม แต่เขารู้ดีว่าใบหน้านางนั้นงดงามถึงเพียงใด ทั้งสองเยื้องย่างไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของใต้เท้าโจวและโจวฮูหยิน สาวรับใช้รินน้ำชาส่งให้ท่านเขยใหญ่“ท่านพ่อตา กรุณารับถ้วยชาจากลูกเขยผู้นี้ด้วยเถิดขอรับ” เจียงมู่จื้อส่งถ้วยน้ำชาให้แก่พ่อตาของตนพลางกล่าวออกมา มือหนาสั่นเครือยื่นไปรับถ้วยชามาแล้วยกขึ้นดื่มจากนั้นใต้เท้าโจวจึงได้กล่าวคำอวยพร“ขอ
วันต่อมาในยามเฉิน เจียงฮูหยินได้เดินทางมาเยือนจวนสกุลโจวพร้อมกับแม่สื่อ เพื่อเจรจาสู่ขอบุตรีคนโตของสกุลโจวให้แก่บุตรชายของนาง หลังจากที่เขาเพิ่งจะเดินทางกลับมาถึงเมืองฮวาหลานเมื่อวานนี้ เจียงฮูหยินนั้นได้หาฤกษ์หายามเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้เอาไว้ครั้งที่บุตรชายให้นางมาขอหมั้นหมายคุณหนูใหญ่โจวเจินเจินแล้ว ครั้นบุตรชายเดินทางกลับมา นางจึงสามารถเดินทางมาสู่ขอว่าที่ลูกสะใภ้ได้เลย“ในเมื่อเด็กทั้งสองมีใจรักใคร่ชอบพอกันพวกเราก็มิขัดข้องอันใด กลับรู้สึกยินดียิ่งนักที่ลูกสาวจะได้ออกเรือนไปกับบุรุษที่ดีเช่นบุตรชายของท่าน”ฉินเซี่ยหรงกล่าวออกมายิ้มๆ ในเมื่อบุตรสาวของนางเลือกเปิดใจยอมรับคุณชายสกุลเจียงแล้ว นางก็ยินดีที่เด็กทั้งสองจะแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกันเสียที“ข้าสัญญาว่าจะให้ความรัก และความเอ็นดูต่อบุตรสาวของพวกท่าน ไม่ต่างกับนางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของข้าเอง” เจียงฮูหยินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ ใต้เท้าโจวและภรรยาพยักหน้าให้กัน“ถ้าเช่นนั้นพวกเราสองคนก็มิมีอันใดต้องขัดข้องหรอกเจ้าค่ะ ว่าแต่… ท่านพี่หญิงได้ฤกษ์แต่งงานมาหรือยังเจ
เสียงพูดคุยกันดังอยู่ภายในเรือนใหญ่นานนับครึ่งชั่วยาม โจวเจินเจินก็ได้ขอตัวไปพักผ่อนก่อนที่มื้อเย็นจะมาถึงอีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้า ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่ได้รั้งหลานสาวเอาไว้เพราะอยากให้หลานสาวไปสำรวจเรือนนอนก่อนแล้วค่อยมาร่วมโต๊ะกันในมื้อเย็นร่างระหงเยื้องย่างไปยังเรือนนอนที่เคยเป็นของฉินเซี่ยหรงผู้เป็นมารดาของนาง ซึ่งอยู่ติดกับเรือนนอนของฉินเซี่ยหรู หรือเรือนนอนของนางในอดีตชาติ โจวเจินเจินนึกสงสัยไม่ได้จึงเดินไปดูเรือนนอนที่เคยเป็นของนางมาก่อน ทุกสิ่งที่อยู่ภายในห้องยังเป็นเช่นเดิมจนนางรู้สึกปวดใจ ที่เคยคิดว่าท่านพ่อท่านแม่ของนางในอดีตชาติจะตัดใจไปจากฉินเซี่ยหรูได้แล้ว แต่ทว่าความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น พวกท่านยังคงระลึกถึงนางอยู่เสมอมา“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ พวกบ่าวเตรียมน้ำให้อาบเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”อี้ถงเดินตามมาบอกคุณหนูใหญ่อย่างรู้สึกเห็นใจ เพราะนางเองก็ทราบดีว่าเรือนนอนหลังนี้เป็นของผู้ใด คุณหนูใหญ่ของนางคงจะระลึกถึงคุณหนูใหญ่ฉินเซี่ยหรู ท่านป้าผู้ล่วงลับของนางโจวเจินเจินได้ยินเช่นนั้นจึงละสายตาจากเรือนที่เคยพักอาศัยในชีวิตก่อนแล้วกลับไปยังเรือนนอนที่เค