เมื่อเสียงห่าวอู๋อวี่สิ้นสุดลง ทั้งห้าจึงตระหนักได้ว่าบุคคลที่พวกเขาสมควรสนใจมาถึงตัวพวกเขาเสียแล้ว หลังจากทั้งห้าหยุดมือเจ้ากระต่ายหยกจึงรีบพุ่งไปหากลุ่มของห่าวอู๋อวี่ พลางยืนมองหลังตรง ลี่หลินคิดว่ามันแปลกๆจึงสื่อสารไปหาผู้เป็นนาย เมื่อจินเป่ารับรู้ว่ากลุ่มของห่าวอู๋อวี่เจอกับบุรุษกลุ่มนั้นแล้ว ตนจึงเร่งเดินทางมากขึ้น"กลุ่มของอวี่พบเจอกับนักยุทธกลุ่มด้านหน้าแล้วล่ะ เราสองคนต้องเร่งแล้ว"จินเป่ากล่าวขึ้น"วันนี้พวกข้าไม่ต้องการที่จะประมือกับพวกเจ้าแม้แต่อย่างใด แต่พวกข้าต้องการตัวองค์ชายหก เพียงแค่พวกเจ้ายอมมอบเขาให้กับพวกเรา เจ้าทั้งสองก็เดินทางออกจากจุดนี้ได้เลย หากพวกเจ้าไม่มอบองค์ชายหกมาคนของข้าที่อยู่ด้านหลังของพวกเจ้าก็จะลงมือ พวกเจ้าทั้งสามโดนล้อมไว้หมดแล้ว คนที่น้อยกว่าและวรยุทธที่ต่ำกว่า พวกเจ้าลองคิดดูเถอะว่ากลุ่มใดจะเสียเปรียบกว่ากัน"บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมา ห่าวอู๋อวี่ได้ยินแบบนั้นก็เร่งแต่จะลงมือ เพราะหากกลุ่มนั้นมาถึงแล้วกลุ่มของจินเป่ามาสมทบอีก จะทำให้จินเป่ามีอันตราย เพียงแค่กำจัดกลุ่มน้อยนี้ก่อนค่อยย้อนไปกำจัดกลุ่มหลังจะดีกว่า"ทุกคนลงมือหากเรากำจัดกลุ่มนี้แล้วค่อย
เมื่อเหล่าทหารมาช่วยองค์ชายหกไว้ทันพวกเขาจึงต้องการที่จะคุ้มกันองค์ชายหกเข้าวังทันที"เราต้องไปพบสหายที่นำป้ายหยกของเราไปให้พวกเจ้าที่เมืองขมิ้นก่อนพวกเราจะกลับวังพร้อมกัน"องค์ชายหกกล่าวขึ้น"พวกกระหม่อมไม่ใช่ไม่เชื่อคนที่องค์ชายหกส่งไปนะขอรับ แต่ท่านหัวหน้าทหารที่ด่านของเมืองขมิ้นนั้นไม่วางใจ กลัวว่าจะเป็นอื่น และแถมบุรุษที่ไปด้วยนั้นบาดเจ็บสาหัส ท่านหัวหน้าทหารจึงจัดรถม้าและคุ้มกันพวกเขาเข้าวังหลวงเรียบร้อยแล้ว คราแรกสตีผู้นั้นไม่ยอมไป ว่าจะออกตามหาพวกท่าน แต่ทางคุกที่ด่านเมืองขมิ้นก็เต็มไม่มีที่ใดให้พวกเขาพัก จึงบังคับให้พวกเขากลับวังหลวงแล้ว องค์ชายหกเองก็ควรกลับวังหลวงก่อนเพื่อความปลอดภัยของท่านขอรับ"ทหารผู้หนึ่งกล่าวขึ้น องค์ชายหกมองอย่างตะลึงไปที่ทหารผู้ที่กล่าวขึ้น แล้วก็มองไปยังจินเป่า ซึ่งนางเองก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร ทั้งสามจึงเดินทางกลับเมือง แม้ไม่ได้นั่งรถม้าก็จริงืแต่พวกเขาก็ไม่ต้องหวาดระแวงอีกแล้ว องค์ชายหกเองรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย จินเป่ากับห่าวอู๋อวี่ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ตอนกลางคืนห่าวอู๋อวี่ก็รักษากำลังภายในเช่นเคย จินเป่าก็ค่อยอยู่ไม่ห่าง ทางด้านซิงอีเมื่อเขาไม่ยินยอม
จางหยงกับซิงอีพยายามที่จะแกะเชือกวิญญาญออกจากตัวให้ได้เพราะพวกเข้าถูกจับไว้นานแล้วกลัวว่าอีกไม่ช้าจะถึงปลายทางเสียก่อน แล้วจะแก้ไขลำบาก ซิงอีนั่งบนตัวจางหยงและกดมือให้ต่ำลงที่สุด จางหยงเอี้ยวตัวและพยายามให้มือขึ้นมาที่จะแก้มัดให้ซิงอี หลังจากรถม้าเข้ามาในวังหลวงก็มีคนไปแจ้งให้ท่านประมุขรับรู้ว่ามีรถม้าจากเมืองขมิ้นมา และนำผู้ที่นำป้ายหยกประจำตัวองค์ชายหกไปให้หัวหน้าทหารที่นั้น สั่งให้คนออกไปช่วยองค์ชายหกที่กำลังจะกลับวังหลวงแต่มีผู้ลอบทำร้าย แต่หัวหน้าทหารยังไม่วางใจแต่เรื่องความเป็นความตายขององค์ชายจึงออกไปตรวจดู และจับผู้ที่นำป้ายหยกประจำตัวมาให้ส่งเข้าวังหลวงเพื่อให้วังหลวงจัดการ เมื่อเรื่องถึงท่านประมุของค์ชายรัชทายาทจึงรีบออกมาดูว่าเป็นผู้ใดกัน ครั้นที่องค์ชายรัชทายาทไปถึงเมื่อรถม้าหยุดลงกระทันหันทั้งสองไม่สามารถขยับออกจากกันได้ทันที เมื่อองค์ชายรัชทายาทเปิดม่านขึ้นดูก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น เขารีบปิดลงทันที"องค์ชายช่วยพวกข้าด้วย ข้าโดนมัด องค์ชายอย่าพึ่งไป"เมื่อทั้งสองมองไปยังม่านที่เปิดขึ้นเพียงครู่เดียวก็จำได้ว่าเป็นองค์ชายรัชทายาท จึงร้องเรียกไว้ เมื่อองค์ชายรัชทายาทรับรู้ว่
"ข้าว่าเรื่องระหว่างมิตินั้นน่าจะจริงที่ว่าไม่สามารถทำร้ายคนมิติอื่นให้ถึงตายได้เจ้าวางใจและพักผ่อนเถอะ"จางหยงพูดขึ้น"แต่พวกเราเคยกำจัดคนจากมิติเชื่อมจิตรของท่านนะตอนที่เราอยู่มิติสามัญนะ"ซิงอีกล่าวขึ้น"นั้นมันนักฆ่ารับจ้างไงที่ฮองเฮากล่าวไว้ เจ้าพักผ่อนนะ ข้าจะไปจัดการอะไรเล็กน้อย ข้าว่าสตรีผู้นั้นท่าทางกลัวมาก นางต้องหาทางส่งสารออกไปยังบ้านของนางแน่ ข้าจะไปจับตาดูไว้ก่อน"จางหยงกล่าวขึ้น"งั้นข้าไปด้วย"ซิงอีไม่ยอมอยู่คนเดียว เพราะเขาเองก็ไม่สบายใจ ทั้งสองจึงมุ่งหน้าไปยังคุกหลวงแต่ก็ต้องพบกับคนขององค์ชายรัชทายาท เพราะเขาให้คนแอบเฝ้าไว้แล้ว หลังจากที่ให้มารดาไปคุยกับนางจะได้จับผู้รับสาร ส่งสารได้เลยในคราเดียวกัน และอาจจะไปถึงตระกูลของนางที่นางปกปิดไว้ด้วย"พวกท่านทั้งสองไปพักผ่อนเถอะขอรับ พวกเราจับตาดูแล้วหากพวกท่านมาเฝ้าดูเพิ่มขึ้นอีกอาจเสียแผนได้"ทหารผู้หนึ่งกล่าวขึ้น ทำให้ทั้งสองที่เฝ้าสังเกตุการณ์อยู่แถวๆคุกหลวงถึงกับตกใจ และต้องยอมกลับเรือนแต่โดยดี ทั้งสองจึงเลือกที่จะพักผ่อนเพราะทำอะไรไม่ได้แล้ว ทางด้านหมู่บ้านอมตะคุณชายใหญ่ห่าวอู๋มู๋ลี่ฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในกระท่อม
องค์ชายรัชทายาทพาคนออกไปตามหาองค์ชายหก ไม่นานก็ได้พบกัน องค์ชายหกวิ่งเข้าไปกอดองค์ชายรัชทายาทรามกับเด็กน้อย ความปิติที่ได้พบหน้าคนในครอบครัวอีกครั้งเอ่อล้นขึ้นมาทำให้ตาร้อนผ่าว องค์ชายรัชทายาทมองดูน้องชายในชุดที่ต่างจากเดิม เขาใสชุดพรางสีดำทั้งตัว มองดูน้องชายตั้งแต่หัวจรดเท้า"เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว ล่ะกลับไปกันก่อนข้าจะออกไปตามหาสหายของพวกเจ้าที่เหลือ"องค์ชายรัชทายาทกล่าวขึ้น"ท่านออกมาตามพวกเราได้อย่างไรกัน หากสหายของข้ายังกลับไม่ถึงวัง"องค์ชายหกถามด้วยความสงสัย"ก็มีกลุ่มที่มาจากหมู่บ้านขมิ้นกลับถึงกันแล้ว พวกเขาเล่าสถานการณ์ให้ฟัง เจ้ารีบกับวังกันก่อนเถอะ พวกเขาเป็นห่วงพวกเจ้ากันมาก"องค์ชายรัชทายาทกล่าวและพาทหารของตัวเองเดินทางต่อไป ส่วนทั้งสามก็เข้าเมืองไปก่อน"จินเป่าเจ้าไม่ได้เป็นอันตรายอะไรใช้ไหม ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะเป็นอันตรายอะไร ข้าเข้าไปนำป้ายขององค์ชาย 6 ไปให้พวกเขาแล้วขอให้พวกเขาไปตามพวกเจ้าและข้าเองก็อยากจะติดตาม แต่อยู่ดีๆเขาก็ตีข้า แล้วเขายังมัดข้าไว้บนรถม้าอีกด้วย ข้าจึงไม่สามารถออกไปตามหาพวกเจ้าได้ แถมเข้ามาในวังแล้วองค์ชายรัชทายาทนั่นก็ไม่ให้ข้าออกไปตามหาเจ้าด้วย แล
'นั้นพวกกินรีที่อยู่หมู่บ้านอมตะ แสดงว่าพวกเขาเข้าหมู่บ้านอมตะ แต่เหมือนพวกเขากำลังจะเดินทางมาทางวังหลวงแล้วล่ะ เดียวข้าออกไปสั่งการให้เหล่าทหารออกไปพาพวกเขากลับมา"องค์ชายรัชทายาทเห็นทั้งสองปลอดภัยก็ดีใจไม่น้อย จึงจะรีบไปสั่งการให้คนพาสองคนนั้นกลับ"ท่านไม่ต้องเร่งด่วนถึงเพียงนั้น หากว่าสหายของพวกข้ากำลังจะกลับมาวังหลวงแล้วก็ให้เขาเดินทางกลับมาเถอะ ท่านไปจัดการงานของท่านเถอะส่วนเหล่าทหารเหล่านั้นสมควรที่จะดูแลวังหลวงในช่วงนี้เป็นพิเศษแล้วกลุ่มของพวกข้าจะมีข้ากับท่านห่าวอู๋อวี่เพียงสองคนเท่านั้นที่จะลงประลองยุทธในครั้งนี้ ท่านจัดการให้พวกเราด้วย ข้าแนะนำให้ท่านอย่าปล่อยองค์ชายหกขึ้นประลองยุทธเลยเพราะเขายังไม่มีความพร้อมให้เขาฝึกประสบการณ์ให้มากกว่านี้ก่อนก็แล้วกัน"จินเป่ากล่าวขึ้น ห่าวอู๋อวี่มองหน้าเขาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย เขารู้อยู่แล้วว่ายังไงนางก็ต้องปะลองอยู่แล้ว เป็นซิงอีที่ตกตลึงขนาดว่านางพูดเกลี่ยกล่อมขนาดนั้นจินเป่ายังไม่ยอมที่จะหยุด นางก็ทำสิ่งใดไม่ได้ด้วยแต่จินเป่าเองเป็นคนรอบคอบและจดจำในหลายๆเรื่องได้เช่นเรื่องกระจกสมปรารถนานั้น เขาเองก็คิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่ามันมีประโยชน์ขนาด
หลังจากที่กลับจากตำหนักขององค์ชายหก องค์ชายรัชทายาทก็เข้าหาเสด็จพ่อทันทีเขาเข้าไปคุยเรื่องที่องค์ชายหกสงสัยมารดาของเขาให้ท่านประมุขฟัง เพื่อให้เขาจัดการเองเพราะเขาเองเป็นเพียงองค์ชายรัชทายาทจึงไม่มีอำนาจใดมาจัดการกับสนมของบิดาของตัวเองทั้งนั้น เพียงองค์ชายรัชทายาทกล่าวว่าหากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับสนมให้สนมรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวองค์ชายหกไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และเรื่องที่จะส่งองค์ชายหกไปมิติเชื่อมจิตนั้น ก็แล้วแต่ดุลพินิจของเสด็จพ่อเลยเพราะองค์ชายหกตอนนี้ร่างกายและจิตใจเขายังไม่พร้อมที่จะต่อสู้ แต่ถ้าหากฝึกวรยุทธและฝึกฝนอยู่ที่มิติแห่งนี้เป็นเวลาสักระยะหนึ่ง เขาก็คงจะเติบโตขึ้น องค์ชายรัชทายาทเข้าไปกราบทูลบิดาเพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็ออกมา เพื่อที่จะจัดการกับรายชื่อผู้ที่เข้าประลองเขาก็เห็นรายชื่อตงหมิงแสดงว่าพวกนั้นกับวังหลวงแล้วเขาจึงใส่ชื่อตัวเองแล้วก็จินเป่าและห่าวอู๋อวี่ไป หลังจากเขากลับไปพักผ่อนได้ไม่นานก็เช้าของวันใหม่ วันนี้จะเป็นการประลองยุทธครั้งแรกที่ราชวงค์ได้เข้าร่วมซึ่งมีเพียงเขาผู้เดียว หากครั้งนี้มีการผิดพลาดอาจหมายถึงการเปลี่ยนผู้สืบทอดประมุขของมิตินี้เลยก็ว่าได้ กลุ่มของ
"มันตั้งใจที่จะให้ผู้ต่อสู้ของมันตายทุกคนเป็นแน่ จินเป่าหากเจ้าจับได้คู่ต่อสู้เป็นตรงหมิงเจ้าจงยอมแพ้เสียเถอะ"ซิงอีกล่าวขึ้น เมื่อทุกคนมาถึงที่พักแล้ว ซิงอียังทำใจไม่ได้ที่เห็นบุรุษผู้ที่ต่อสู้กับตงหมิงทั้งที่ยังไม่ได้ลงมือทำสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ"ข้าคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกพี่ซิงอี ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าไม่แน่ใจว่าจางซินกับพี่มู๋ลี่จะมาทันก่อนที่การปะลองจะเสร็จสิ้นหรือป่าว"จินเป่ากล่าวพลางมองไปยังองค์ชายหกที่มาส่งพวกเขา เพราะหลังจากที่กลับมาจากตำหนักร้างในครั้งนั้น เขาก็มีเรื่องที่ต้องขบคิดมากมายจึงไม่ได้มาหาสหายเลยวันนี้จึงถือโอกาสมาส่งสหายเข้าเรือน"ทางเสด็จพี่รัชทายาทได้ส่งทหารไปตามหาสหายทั้งสองแล้วพวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก"องค์ชายหกกล่าว"ข้าเกรงว่าหากจบการประลองยุทธในครั้งนี้แล้วกลุ่มของคนเหล่านั้นไม่พอใจผลการประลองยุทธ แล้วอาจจะกลับออกไปจากการประลองยุทธและสืบรู้ว่าสหายของพวกข้าทั้งสองยังไม่ได้กลับมายังเมืองหลวง ข้ากลัวว่าพวกเขาจะออกตามหาก่อน ไม่ใช่ว่างข้าไม่เชื่อใจในทหารของท่านแต่ท่านก็เห็นฝีมือพวกเขาไม่น้อย ครั้งที่เราปะมือก่อน ที่ทหารจะลงมือช่วยหากพวกเขามีคนมากกว่านั้นข้า
"คู่ต่อไปน่าจะไปได้แล้วล่ะ เสียงเงียบหายไปแล้ว"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น เนื่องจากส่วนมากเขามาเพียงลำพังย่อมไม่รู้สถานการณ์เมื่อมาหลายคน และเขาก็คิดเองว่าหากเดินผ่านสายฝนศาสตราวุธนั้น หากใช้คนเดินทางน้อยก็จะสะดวกต่อการกำจัดศาสตราวุธพวกนั้นแต่หากรวมกันเป็นกลุ่มเกรงว่าจะทำร้ายผู้ที่เดินทางร่วมกันเสี่ยงมากกว่าจึงตัดสินใจให้เดินไปครั้งละสองคน"เจ้าพาจินเป่าไปเถอะ พร้อมกับเจ้าสัตว์อสูรนี้ด้วย"ไป๋อวิ้นกล่าวขึ้น จินเป่าจึงขึ้นหลังห่าวอู๋อวี่ และกระต่ายหยกเองก็กรายร่างของมันเป็นเหมือนดังวัตถุโปร่งแสงสีเขียวหยกแล้วคลุมตัวของจินเป่าไว้ แล้วลี่หลินก็ยืนข้างห่าวอู๋อวี่แล้วออกเดินพร้อมกัน เมื่อลงพื้นดินไปสักพักก็ไม่เห็นพวกเขาแล้ว และก็ได้ยินเสียงกระทบกันดังขึ้น เหมือนเสียงนั้นจะดังกว่าครั้งที่แล้วเสียงโลหะกระทบกันถี่มาก แต่ไม่มีเสียงร้องใดๆเลย จินเป่ามองเห็นสายฝนสตราวุธลงมาห่าใหญ่ ร่างกายของเขาเองไร้รอยขีดข่วนใดๆทั้งสิ้น เพราะตัวกระต่ายหยกเองห่อหุ้มนางไว้ ลี่หลินใช้กริชด้ามสั้นที่ตนเคยให้ในการต่อต้านสายฝนศาสตราวุธเหล่านั้น นางร่ายรำดั่งเช่นนางรำทั้งหลบทั้งปัดสตราวุธเหล่านั้น ทางด้านห่าวอู๋อวี่เองถึงแม้ว
เมื่อปรมาจารย์ไป๋อวิ้นนี้เป็นคนแรกที่จะปีนขึ้นไปด้านบนเนินสูงนั้น ห่าวอู๋อวี่ก็วางจินเป่าลงและนำสมุนไพรต้มที่มารดาของปรมาจารย์ไป๋อวิ้นต้มให้ออกมาอุ่นและส่งให้ซิงอีเพื่อที่จะป้อนสมุนไพรให้จินเป่า ซิงอีรับน้ำยามาแล้วก็ยิ้มก่อนที่จะป้อน เดียวพวกเจ้าไปกันก่อนนะข้ากับจางหยงจะรอดูพวกเจ้าขึ้นไปก่อน หากมีเหตุผิดพลาดอย่างไรพวกข้าจะได้ช่วยเจ้าได้"ซิงอีหันหน้าไปกล่าวกับห่าวอู๋อวี่ หากจินเป่าตกลงมานางกับจางหยงก็จะต้องคอยรับ ถึงแม้จะไม่สูงมากแต่นางไม่มีแรงเลยสักนิดหากตกมาเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้นางเสียชีวิตได้เลย"เจ้านายเดี๋ยวข้าจะขึ้นไปดูข้างบนเสียก่อนหากว่ามีอันตรายใดๆข้าจะได้จัดการให้"ลี่หลินกล่าวขึ้น เจ้ากระต่ายหยกก็พยักหัวตาม"ข้าอยากรู้จังว่าเจ้ากระต่ายหยกนั้นมันชื่ออะไร มันเหมือนไม่ค่อยรู้ภาษามนุษย์เลยเจ้านาย มันต้องเรียนภาษามนุษย์อีก"ข้าไม่ได้มีชื่อเรียกเหมือนพวกสัตว์อสูรแบบเจ้าหรอก แล้วข้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้ภาษามนุษย์มากมาย เพราะข้าแค่อาศัยสื่อสารกับสิ่งที่ข้าองครักษ์ก็เท่านั้นไม่จำเป็นต้องให้สัตว์อสูรหรือมนุษย์มารับรู้'เสียงเด็กน้อยพูดขึ้น ทำให้ลี่หลินขันท่าทีของมัน ที่ไม่ต้องการสื่
หลังจากออกเดินทางจากวังหลวงก็ไม่มีสิ่งใดที่เป็นอันตรายจึงทำให้พวกเขาใช้เวลาเพียงสองวันก็ถึงหมู่บ้านอมตะแล้ว ทำให้จางซินรู้สึกไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยเพราะตอนไปพวกเขารีบร้อน มารดาของของท่านอาจารย์ไป๋อวิ้นก็เอาแต่หยุดพักผ่อนตลอดเส้นทางทำให้พวกเขาล่าช้า "วันนี้พวกเจ้าพักผ่อนในหมู่บ้านข้าเสียก่อนพรุ่งนี้เช้าค่อยออกไปกัน อวิ้นจะพาพวกเจ้าเดินทาง"หว่าฮว่ากล่าวขึ้น ทั้งเจ็ดจึงไปพักผ่อน"ที่ตอนพวกข้าเดินทางไปวังหลวงนะพวกเจ้ารู้ไหม มารดาของปรมาจารย์ไป๋อวิ้นนั้นหยุดพักผ่อนเป็นว่าเล่นเลย"จางซินระบายความโกรธออกมา"ปรมาจารย์ของเจ้าก็ชี้แจงแล้วนิ ว่ามารดาของเขาสามารถรับรู้ภัยได้ นางจึงจำเป็นต้องพาพวกเราหยุดบ่อยๆไง เพื่อป้องกันความผิดพลาดและภัยที่เกิดขึ้น"ห่าวอู๋มู๋ลี่กล่าวขึ้น"จินเป่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้างเหน็ดเหนื่อยหรือไม่"ซิงอีถามขึ้นพร้อมกับป้อนน้ำอมฤตให้นาง ตลอดเส้นทางนางถูกห่าวอู๋อวี่อุ้มแทบตลอดเวลา เวลาลงเดินเองสักพักก็เหนื่อยหอบ จนซิงอีทนไม่ไหวเอ่ยปากให้ห่าวอู๋อวี่อุ้มนางบ้าง ให้นางขึ้นหลังบ้างแต่ห่าวอู๋อวี่เองก็เต็มมาก ครั้นหยุดพักซิงอีก็ปฏิบัติห่าวอู๋อวี่ดังน้องชายตัวเอง ทำให้ห่าวอู๋อวี่
"ปรมาจารย์ไป๋อวิ้น ทำไมมารดาของท่านกล่าวว่านางไม่สามารถที่จะเข้าไปในป่าอมตะนั้นได้ ในเมื่อพวกท่านก็อยู่หมู่บ้านอมตะนั้น"จางซินถามขึ้น จึงทำให้จินเป่าสนใจ จึงมองไปดูผู้ที่จางซินกำลังซักถามอยู่ก็เป็นปรมาจารย์ไป๋อวิ้น"ท่านอาจารย์"จินเป่ากล่าวออกมาได้เท่านี้ก็หมดแรง นางไม่สามารถพูดยาวๆได้ เพียงแค่ใช้แรงในการพูดก็หมดแรงเสียแล้วจะให้นางเดินทางไปได้อย่างไรกัน"เจ้าไม่ต้องพูดแล้วลูกศิษย์เจ้าพักผ่อนเถอะ แล้วเรื่องที่มารดาของข้าไม่สามารถเข้าป่าอมตะนั้นได้ ก็เป็นเพราะว่านางเป็นกินรีชั้นสูง ที่พวกเจ้ารับรู้นั่นแหละ ถึงว่าข้าจะได้เป็นกินรีชั้นสูงแล้วแต่ข้าก็ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนกับมารดาของข้า นางสามารถรับรู้อันตรายที่อยู่เบื้องหน้าได้นางสามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ส่วนข้าจุดนี้ค่ายังไม่สามารถที่จะฝึกฝนมันได้ ข้าจึงคิดว่าข้าจะไปกับพวกเจ้าได้ เพราะในเมื่อถ้าหากว่าคาดการณ์ถึงอันตรายได้แล้ว เราก็จะเลี่ยงอันตรายเหมือนที่เราเดินทางเข้ามาในวังหลวงนี้ไง เมื่อถึงจุดอันตรายมารดาของข้าก็จะให้พวกเราหยุดขบวนเดิน แล้วให้ผู้ที่เก่งกาจเข้าไปจัดการกับอันตราย แล้วเราก็เดินมากันแบบไร้อันตรายใดๆ แล้วที่มาร
ระหว่างที่จินเป่าฟังห่าวอู๋อวี่ท่องเกร็ดวิชาไปเรื่อยๆ ตอนนี้นางเองทำสิ่งใดไม่ได้ จึงลองขับเคลื่อนวรยุทธ์ภายในและจดจำเคล็ดวิชาที่ห่าวอู๋อวี่ท่องออกมา นางรู้สึกว่าภายในของนางนั้นปั่นป่วนยิ่งนักไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนวรยุทธเหมือนเดิมอีกแล้ว นางจึงล้มเลิกความพยายามแล้วหันมาจดจ่อกับเคล็ดวิชานั้นแทน นางจดจำทุกคำพูดที่ออกมาจากปากของห่าวอู๋อวี่ได้ดีทุกคำ จนในที่สุดก็ครบเจ็ดวันจินเป่าค่อยค่อยลืมตาขึ้น ดวงตาสีดำอันโตของนางมองไปซ้ายมองไปขวา เหมือนกับหลายวันก่อนไม่มีผิด นางอยู่ในอะไรสักอย่างที่เป็นสีม่วงลาเวนเดอร์ และมีน้ำสีดำม่วงอยู่รอบๆ กลิ่นน้ำนี้ก็หอมสมุนไพรเอาเสียมากๆ น้ำอุ่นกำลังพอดี จินเป่ารู้สึกไม่สบายหัว จึงมุดลงไปในน้ำสมุนไพรนั้นแล้วโพล่หัวขึ้นมา นางรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก นางมองออกว่าตอนนี้ร่างกายของนางยังไม่สามารถกลับไปฝึกยุทธได้อีก แต่นางก็เคยไร้วรยุทธ์มาแล้วนิ แต่ตอนนั้นตอนที่นางมาอยู่ร่างนี้ใหม่ๆ ร่างกายนางไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนี้เท่านั้นเอง แต่สักวันคงจะดีขึ้น "วันนี้ครบวันที่เจ็ดแล้ว ร่างกายแม่นางน่าจะไม่เย็นอีกแล้วล่ะป่ะพวกเจ้าไปช่วยข้าเอาแม่นางขึ้นมาจากหม้อกัน"หว่าฮว่ากล่าว
"เอาเข้าจริงๆข้าก็ไม่แน่ใจว่าทำไมเคล็ดวิชาดัชนีสุริยันอะไรนั่นแค่เพียงท่านห่าวอู๋อวี่ท่องให้จินเป่าฟังแล้วนางจะดีขึ้น"ซิงอีกล่าวถามความคิดเห็นของสหายท่านอื่น"เจ้าต้องรู้จักเคล็ดวิชาดัชนีสุริยันก่อนเจ้าลองถามองค์ชายรัชทายาทดูสิว่ามันเกี่ยวข้องกับสิ่งใด"จางซินพูดขึ้น"ในเมื่อองค์ชายรัชทายาทนั้นเคยร่ำเรียนตำราดัชนีสุริยันต์แล้วทำไมไม่ให้องค์ชายรัชทายาทเข้าไปท่องให้จินเป่าฟังล่ะ"ซิงอีกล่าวขึ้นพลางมองไปยังองค์ชายรัชทายาท"ทำเป็นว่าหากองค์ชายรัชทายาทเข้าไปท่องเกล็ดวิชาดัชนีสุริยันให้จินเป่าฟังแล้วเจ้าจะยินยอมอย่างไรอย่างนั้น"จางหยงกล่าวถามขึ้น"มันก็ใช่ที่เจ้าพูดแต่ข้าก็ไม่รู้ไงว่าในเมื่อท่านห่าวอู๋อวี่ไม่รู้เคล็ดวิชาดัชนีสุริยันต์แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าไปท่องให้จินเป่าฟังแล้วจะดีขึ้น"ซิงอีถามขึ้นอีก"ผู้ใดท่องก็ดีขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าน้ำเสียงนั้นเป็นน้ำเสียงที่แม่นางผู้นี้คุ้นเคย และเจ้าสัตว์อสูรจิ๋วนั้นก็เลือกบุรุษผู้นั้นให้ท่องให้เจ้านายมันฟัง มันก็คงจะรู้ความพิเศษพิโสของบุรุษผู้นั้นอยู่ แม่นางผู้นี้ข้ามองดูเจ้าเป็นห่วงแม่นางที่อยู่ในหม้อกลั่นสมุนไพรอยู่หรอก แต่เจ้าก็ต้องหัดฟัง
เมื่อเจ้ากระต่ายกับลี่ลินเข้าไปอยู่ในห้องที่มีหม้อตุ๋นสมุนไพรของจินเป่าอยู่ ลี่หลินเองก็นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ หม้อหยกใบนั้น นางขับวรยุทธภายใน นางเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในป่านางต้องฝึกควบคุมวรยุทธไปด้วย ส่วนกระต่ายหยกนั้นเป็นสัตว์อสูรประจำต้นหลิวต้องแสงจันทร์ไม่จำเป็นต้องศึกษาเคล็ดวิชาหรือตำราใดๆและไม่ต้องขับเคลื่อนวรยุทธ หากว่ามันบาดเจ็บเพียงรักษาสักพักก็หายขึ้น มันไม่เหมือนสัตว์อสูรแบบหลีหลินถ้ามันบำเพ็ญตบะได้สูงมันก็จะไม่รู้สึกเจ็บรู้สึกอะไรทั้งสิ้น"เจ้ากระต่ายหยกเจ้ารู้ใช่ไหมว่าดัชนีสุริยันต์เล่มนี้มีอะไรพิเศษเจ้าถึงเร่งให้ข้าทวงจากองค์ชายรัชทายาทนัก"เสียงห่าวอู๋อวี่ดังขึ้น ทำให้เจ้ากระต่ายหยกดีใจยิ่งนัก ทีห่าวอู๋อวี่มาและเขาก็นำดัชนีสุริยันมาด้วย"ท่อง ต้องท่องเคล็ดวิชา ท่านอ่านเคล็ดวิชาให้เจ้านายฟังได้"เจ้ากระต่ายหยกพยายามพูดภาษามนุษย์พร้อมกับทำท่าทางชี้ไปที่ปากของตัวเองแล้วก็หูของมันเอง"เจ้าจะให้ข้าท่องเคร็ดวิชาดัชนีสุริยันให้นางฟังหรือ"ห่าวอู๋อวี่เองก็ถามขึ้นอย่างสงสัย เจ้าเด็ดน้อยพยักหน้าหงึกๆด้วยความดีใจ เขาเข้าใจความหมายของมัน หลี่หลินจึงลืมตาขึ้นมาดูว่าเขาพูดถึงอะไรกัน ห
"เสวุ่ยเจ้าไปหาหม้อสมุนไพรใบใหญ่มาหนึ่งใบอยู่ในท้องพระคลังน่าจะมีอยู่หนึ่งหม้อ เจ้าไปตรวจดูแล้วให้องครักษ์ยกมาที่เรือนรับรอง"องค์ชายรัชทายาทกล่าวขึ้น องค์ชายหกเลยพาทหารองครักษ์ไปหาหม้อสมุนไพรใบใหญ่ ในท้องพระคลังมา เมื่อเขาเข้าไปดูก็พบหม้อสมุนไพรใบใหญ่สีเขียวหยกหนึ่งใบ ซึ่งน่าจะให้สตรีผู้นั้นเข้าไปได้จึงสั่งให้ทหารองครักษ์ยกออกมาให้ หมอหยกใบนั้นเป็นหยกสีเขียวมันแพะดูแล้วมีค่ายิ่งนัก เมื่อนำมาเรือนรับรองแล้วก็วางไว้กลางห้อง"ข้าขอเพียงสมุนไพรเท่านั้น แล้วบุรุษน่าจะออกไปด้านนอกได้แล้วกระมังเพราะว่าสตรีผู้นี้ต้องถอดเสื้อผ้าก่อนที่จะลงหม้อ จางซินข้าต้องพึ่งเจ้าอยู่หากเจ้ายังมีธุระที่จัดการยังไม่เสร็จ ช่วยข้าสักพักแล้วเดี๋ยวค่อยไป"หว่าฮว่ากล่าวขึ้น"ข้าคือสัตว์อสูรของเจ้านายข้าสามารถช่วยเจ้านายได้เจ้าค่ะให้ข้าอยู่ช่วยท่านนะเจ้าคะ"ลี่หลินรีบพูดขึ้น"นางคือน้องสาวของข้าเหมือนกันเจ้าค่ะให้ข้าอยู่ช่วยอีกแรงนะเจ้าคะ"ซิงอีรีบกล่าวขึ้น"ได้เลยแม่หนูเพราะข้าต้องให้สตรีช่วยอยู่แล้วล่ะ ลำพังข้าคนเดียวไม่ไหวหรอก บุรุษทั้งหลายออกไปได้แล้วกระมัง เจ้าเด็กน้อยเจ้าอยู่ก่อนอย่าเพิ่งไปไหน"หว่าฮว่ากล่าวข
"แม่ก็ว่าอยู่แล้วหล่ะว่านางต้องเจ็บสาหัดบ้าง ดูสิอยากได้เคล็ดวิชาดัชนีสุรียันนั้น เป็นไงล่ะจะได้ใช้อยู่หรือนั้น ทำกับลูกเราไว้เยอะเลย เขาเป็นถึงองค์ชายรัชทายาททำให้เขามีสภาพย่ำแย่แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน"ฮองเฮากล่าวขึ้น นางนึกย้อนที่เห็นบุตรชายของตัวเองสภาพย่ำแย่ในการประลองยุทธในช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุ"ท่านแม่หากเขาต้องการ เขาก็สมควรที่จะได้รับมัน ท่านแม่ดูไม่ออกเลยหรือว่าเป็น ลูกรับมือเขาไม่ได้ทุกกระบวนท่า แต่เขาก็ยอมให้ลูกชนะเขา เพื่อชื่อเสียงของลูกในยุทธภพแห่งนี้ และเป็นบุรุษผู้นั้นที่เอาชนะตงหมิงได้"องค์ชายรัชทายาทกล่าวขึ้น"แต่ก็เป็นลูกไม่ใช่หรอที่ใช้ห่วงสันนิบาตนั้น ทำให้ตรงหมิงนั้นตายไปมันก็เท่ากับลูกเอาชนะเขาได้"ผู้เป็นแม่ยังอยากที่จะให้ลูกได้ชื่อเสียง"ฮองเฮาท่านไม่ใช่ว่าดูไม่ออกกระมัง เพียงแค่เจ้าเห็นองค์ชายรัชทายาทนั้นสบักสะบอมขนาดนั้น เจ้าก็มีความคิดแบบนี้ แต่เอาเข้าจริงๆเราก็ต้องยอมรับว่าคนที่อยู่มิติล่างเหล่านั้นทำให้เรื่องมันจบแบบง่ายๆ ครั้งนี้ข้าคิดว่าข้าจะให้เขาได้ลำดับหนึ่งของเวทีประลองยุทธในครั้งนี้ ในเมื่อสตรีผู้นั้นต้องการดัชนีสุริยันขนาดนั้นเจ้าต้องการมอบให้เขาหรือไม