ความเร่าร้อนในอกพวยพุ่ง ไม่ใช่เพียงจากสัมผัสชิดใกล้ แต่จากความรักที่ถาโถมทั้งของเขาและของกานต์ ปลายนิ้วของธีภพสัมผัสผิวกายเธออย่างอ่อนโยนแต่ลึกซึ้ง ราวกับต้องการปลดเปลื้องความเจ็บจากรอยแผลในใจ และหลอมรวมทุกเศษเสี้ยวของเธอไว้กับตัวเอง ริมฝีปากของเขาแตะลงบนผิวของเธอราวกับคำอธิษฐาน แผ่วเบา แต่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึก “นารา...” เขากระซิบช้า ๆ แนบริมฝีปากลงที่หางตาที่เปียกชื้นด้วยน้ำตา เธอสบตาเขา ดวงตาพร่าเลือนสั่นไหว แต่ในนั้นกลับสะท้อนแสงแห่งความไว้ใจอย่างบริสุทธิ์ “คุณ...อยู่กับฉันนะ...” สิ้นสุดคำของนารา ธีภพไม่รออีกต่อไป เขาแนบริมฝีปากลงบนผิวกายของเธออย่างหิวกระหายแต่ยังแฝงความอ่อนโยน เขาจูบเธอจากปลายคาง ไล่ลงจนถึงไหปลาร้า ผิวของเธอร้อนจัดเหมือนไฟ และหัวใจของเขาก็ไม่ต่างกัน เสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายหลุดร่วงจากร่างกายของทั้งสองคน ราวกับปลดเปลื้องพันธนาการสุดท้ายที่เคยกั้นกลางระหว่างกัน กายเปลือยเปล่าแนบชิด จังหวะหัวใจที่สะท้อนถึงกันบอกเล่าความรู้สึกที่ไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำใดอีก ธีภพรู้ดี…ว่าเธอไม่เคยมอบร่างกายนี้ให้ใคร เขาจึงประคองเธอไว้ในอ้อมแขน ด้วยสัมผัสอ่อนโยนที่สุดที่ชายคน
ความคิดขุ่นมัว พุ่งชนด้วยภาพลามกที่ไม่เคยแม้แต่จะนึกถึง ดวงตาเบิกกว้างในความอับอายและตื่นกลัว หัวใจเต้นแรงจนแทบจะระเบิดเธอรู้... เธอรู้ว่าฤทธิ์ยานี้คืออะไรเพราะมันคือตัวเดียวกับที่เธอตั้งใจใช้ทำลายศักดิ์ศรีของนาราตอนนี้ ความต้องการป่าเถื่อนที่ไม่ใช่ของเธอ...กำลังสาดกระหน่ำเข้าใส่ร่างกายเธอเองเธอรู้สึกถึงความร้อนวาบที่ก่อตัวในท้องน้อย ความหิวกระหายที่ไม่สมเหตุสมผล ร่างกายที่เรียกร้องในสิ่งที่หัวใจไม่ได้ต้องการ เธอขยับหนีแต่กลับยิ่งรู้สึกแสบร้อนเมื่อไม่มีอะไรมาปลดปล่อยความคลั่งจากภายใน“พอ... หยุดมัน... หยุดมันเดี๋ยวนี้!!” เธอกรีดร้อง น้ำตาไหลอาบแก้มในความอับอายแต่ภานุวัฒน์ไม่แม้แต่จะปรายตามองเขาปล่อยให้เธอจมอยู่กับความทรมานจากกายภาพที่ปะทะกับความขยะแขยงทางจิตใจอย่างรุนแรง ความรู้สึกอยากถูกแตะต้อง...แต่ขณะเดียวกันก็อยากฉีกเนื้อของตัวเองทิ้งให้พ้นจากฤทธิ์นรกนี้ชายห้าคนที่เธอเคยจ้างให้ล่อลวงเหยื่อแต่ละราย เดินเข้ามาช้า ๆ ดวงตาทุกคู่แดงก่ำ เต็มไปด้วยแรงขับเคลื่อนจากฤทธิ์
“ตื่นแล้วเหรอ...” เขาถามเสียงเบา เดินเข้ามาใกล้โดยไม่แตะต้องเธอ นาราไม่พูดอะไร เพียงแค่นิ่งมองเขา เหมือนกำลังมองหาคำตอบในดวงตาคู่นั้น แต่ยิ่งมอง เธอกลับยิ่งสับสน เพราะในแววตาของเขา...มีทั้ง ธีภพ และ กานต์ รวมกันอยู่ในคนเดียวกัน นาราขยับตัวนั่งพิงที่หัวเตียง ดวงตาเธอพร่าเลือนจากหยาดน้ำตาที่ยังไม่แห้งสนิท ความทรงจำในยามค่ำคืนยังติดอยู่ในผิวกายและในหัวใจอย่างชัดเจน เธอกระชับผ้าห่มที่คลุมตัวไว้แน่น เมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าเดินเข้ามาหยุดที่ปลายเตียง เธอมองหน้าเขาอย่างลังเล ในความวิตกนั้นเธอกลับยังคงรู้ดี ว่าชายตรงหน้านี้คือคนที่ช่วยเธอไว้ ริมฝีปากขยับช้า ๆ “คุณ...เป็นใคร” ชายหนุ่มนิ่งไปนิด ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ นุ่มและสุภาพ “ธีภพครับ” เขาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม ไม่ได้บอกนามสกุล ไม่อธิบายที่มา ไม่เปิดเผยตัวตนเหมือนที่เธออาจคาดหวัง มีเพียงแววตาแน่วแน่กับน้ำเสียงที่เปี่ยมความจริงใจ “เมื่อคืน...ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ฉันไม่รู้ว่า...ฉันควรจะรู้สึกยังไง” นาราเอ่ยพลางหลบตาลงต่ำ ธีภพไม่ขัด ไม่เร่ง เขานั่งลงข้างเตียง หยิบแก้วน้ำขึ้นมายื่นให้เธอ เธอรับมันมาเงียบ ๆ ก่อนจะพูด
เสียงเปิดประตูห้องนอนเบา ๆ ดังขึ้น พร้อมกับร่างของนาราที่ปรากฏในชุดเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน ผ้าฝ้ายสีอ่อนคลุมกายเธอไว้แนบเนื้อ เส้นผมถูกรวบไว้หลวม ๆ ทำให้ลำคอระหงดูบอบบางยิ่งกว่าเคย เธอก้าวออกมาเงียบ ๆ สายตากวาดมองรอบห้องรับรองที่เต็มไปด้วยแสงแดดอุ่นของยามสาย กลิ่นหอมจาง ๆ ของข้าวต้มลอยล่องในอากาศ ทำให้เธอชะงักเล็กน้อย บนโต๊ะอาหาร มีอาหารจัดวางไว้อย่างเรียบร้อย ข้าวต้มร้อน ๆ โจ๊กเนื้อนุ่ม ชาร้อน และน้ำผลไม้ที่ยังมีไอน้ำเกาะอยู่ที่แก้ว ชายหนุ่มที่นั่งรออยู่หันมามองเธออย่างสงบ รอยยิ้มบางผุดขึ้นที่มุมปากเมื่อสายตาพวกเขาประสานกัน “คุณยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวาน ผมเลยสั่งของจากโรงแรมขึ้นมาให้ หวังว่าจะพอทานได้นะครับ” น้ำเสียงของเขานุ่มทุ้มและมั่นคง ไม่เร่งเร้า ไม่ฝืนจังหวะหัวใจของเธอ นาราชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม มือเรียวเอื้อมหยิบช้อนอย่างลังเล ก่อนจะตักข้าวต้มคำเล็ก ๆ เข้าปาก รสชาติจืดอ่อนแต่กลับอบอุ่นอย่างประหลาด ราวกับความกลัวที่เกาะกุมในอกค่อย ๆ ละลายลงไปทีละน้อย “ขอบคุณนะคะ...ที่ดูแลฉัน” เธอเอ่ยเบา ๆ เสียงแผ่วเหมือนสายลมในห้องเงียบงัน ธีภพไม่ต
รถยนต์คันสีเข้มแล่นช้า ๆ เข้าสู่หน้าประตูบ้านของนารา บรรยากาศในรถเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจของคนสองคนที่สลับกันอย่างระวัง ไม่กล้าแม้แต่จะให้ความเงียบนี้หลุดลั่น ธีภพดับเครื่องยนต์ลงอย่างนุ่มนวล ก่อนหันไปมองคนข้างกายที่นั่งนิ่งราวกับเงา นารายังคงกอดกระเป๋าใบเล็กแนบอก ดวงตาเหม่อมองกระจกหน้าอย่างเลื่อนลอย แสงไฟสะท้อนประกายในดวงตาเธอราวกับน้ำใสที่ยังไม่แห้งสนิท เขารู้ดีว่าเธอเงียบ...เพราะยังไม่พร้อมพูด และเขาก็เงียบ เพราะไม่อยากเร่งเร้า “ขอมือถือคุณหน่อย” น้ำเสียงของเขานุ่มทุ้ม ไม่ใช่คำสั่ง แต่ก็ไม่ใช่คำขอเสียทีเดียว เป็นเพียงคำพูดเรียบง่าย ที่แฝงบางอย่างที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้ นาราหันมามองเขา ก่อนค่อย ๆ ยื่นโทรศัพท์ให้ มือของเธอแตะมือเขาแผ่ว ๆ ในจังหวะนั้น ผิวของเขาอุ่น และนิ่ง...คล้ายเป็นจุดเดียวของโลกที่ไม่มีวันสั่นไหว ธีภพกดเบอร์ของตัวเองลงไปอย่างเงียบ ๆ ปลายนิ้วเคลื่อนไหวมั่นคง จากนั้นเขาก็กดโทรออก เสียงสั่นจากเครื่องในกระเป๋าเสื้อของเขาดังขึ้นแผ่วเบา แสงหน้าจอเรืองรองสะท้อนบนใบหน้าของเขาเล็กน้อย เขากดบันทึกชื่อของตัวเองลงในเครื่องของเธอ ไม่ใช่ชื่อเล่น ไม่ใช่ชื่
นารายืนนิ่งอยู่กลางห้อง ดวงตาสะท้อนความเหนื่อยล้าอ่อนแรงแต่มีประกายของความมั่นคงใหม่ที่เริ่มเติบโตอยู่เงียบ ๆ พราวฟ้าชะงักไปเล็กน้อย “ไม่อยู่คนเดียว? อย่าบอกนะว่า...” “ใช่” นาราตัดบทเสียงเบา แต่อ่อนโยน เธอค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา สูดหายใจเข้าลึก ขณะสายตาจับจ้องไปยังพื้นเบื้องหน้า “ฟ้า...” เธอเริ่มพูดช้า ๆ “อรดา...ไม่ได้กำลังชดใช้กรรมอยู่ในคุก อย่างที่พวกเราคิด” พราวฟ้าขมวดคิ้วทันที “หมายความว่ายังไง?” “เธอวางแผนจะทำลายฉัน” น้ำเสียงนาราเรียบสนิท แต่แฝงแววสะเทือนบาง ๆ “เธอไม่ได้แค่เกลียดฉัน...แต่เธอลงมือแล้วจริง ๆ” “พระเจ้า...” พราวฟ้าพึมพำ มือกำแน่นอย่างไม่รู้ตัว “เธอทำอะไร?” นาราเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบเพียงแผ่วเบา “อรดาวางยาฉัน มันเลวร้ายเกินกว่าที่จะเล่าเป็นรายละเอียดได้...แต่ถ้าเมื่อคืนไม่มีใครเข้ามาช่วยฉัน...บางทีตอนนี้ฉันอาจไม่ได้มายืนตรงนี้ก็ได้” พราวฟ้าเงียบกริบ ความห่วงใยในดวงตากลายเป็นความตกใจอย่างแท้จริง ดวงหน้าเธอซีดลงในทันที “แล้วใคร...ใครเป็นคนช่วยเธอ?” น้ำเสียงพราวฟ้าฟังสั่นเล็กน้อย นาราเงยหน้าขึ้น สบตาเพื่อนรักด้วยแววตาอ่อนโยน “เขาชื่อ...ธ
พราวฟ้าหันไปมองนาราอีกครั้ง สายตานิ่งอยู่นานอย่างใช้ความคิด ก่อนจะชะงัก คล้ายเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นได้ เธอหันขวับไปหาคีรณัฐ สีหน้าจริงจังขึ้นทันที “ว่าแต่ คุณธีภพ...ยังโสดอยู่ใช่ไหมคะ?” คำถามนั้นทำเอาคีรณัฐเลิกคิ้วนิด ๆ ก่อนหลุดหัวเราะในลำคอเบา ๆ “คุณนี่...นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว” พราวฟ้ายักไหล่ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ก็แค่ถามไว้เฉย ๆ เผื่อจะต้องวางแผนอะไรบางอย่าง” คีรณัฐส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนตอบ “เท่าที่ผมรู้มา...ไม่เคยเห็นเขาคบหากับใครจริงจังนะครับ เขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ ไม่ออกงานบ่อยด้วยซ้ำ ใช้ชีวิตเงียบมาก ๆ ” พราวฟ้าพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาเริ่มมีประกายระยิบระยับแบบที่คีรณัฐเริ่มระแวงนิด ๆ “น่าสนใจแฮะ...” เธอบ่นเบา ๆ กับตัวเอง แล้วหันกลับไปมองนาราอีกครั้ง ...เพื่อนรักของเธอที่นั่งอยู่อย่างเงียบ ๆ บนโซฟา ดวงตาสงบนิ่ง แต่ลึกลงไปกลับมีบางสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ พราวฟ้ายิ้มจาง ๆ บางที...ผู้ชายเงียบ ๆ คนนั้น อาจจะเป็นเสียงเบา ๆ ที่พาเพื่อนเธอกลับมาหายใจได้อีกครั้ง ... ภายในห้องนอนชั้นบนที่เงียบสงบ แสงจากโคมไฟหัวเตียงส่องลอดผ่านม่านบางพอให้เห็นเงาไหวของหญิงสาวที่นั่งอย
หลังจากเสียงสายในโทรศัพท์สิ้นสุดลง ความเงียบก็กลับมาโรยตัวอีกครั้งในห้องนอนเล็ก ๆ แห่งนี้ นาราค่อย ๆ วางโทรศัพท์ลงข้างหมอนช้า ๆ มือที่วางแนบเบาไว้ข้างลำตัวกลับกำแน่นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เธอนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นเพียงลำพัง ท่ามกลางแสงโคมไฟสลัว และเสียงลมหายใจของตัวเองที่สะท้อนดังชัดเจนในอก เหมือนจิตใจที่ไม่ยอมหลับใหล เหมือนหัวใจที่ยังไม่ยอมวางใครไว้ที่ตรงนั้นง่าย ๆ เธอขยับตัวเล็กน้อย ก่อนโน้มตัวไปยังหัวเตียง มือเอื้อมไปหยิบกรอบรูปใบนั้นขึ้นมา กรอบไม้เรียบง่ายที่บรรจุภาพรอยยิ้มอบอุ่นของชายหนุ่มคนหนึ่ง กานต์ เธอจ้องใบหน้าของเขาอยู่นาน...ดวงตาเริ่มสั่นไหว น้ำตาคลอหน่วยโดยไม่รู้ตัว “กานต์...” เสียงของเธอเบาราวกระซิบ พอให้แค่เธอกับเขาในภาพได้ยิน “ทำไม...เขาถึงเหมือนคุณขนาดนี้...” เธอพูดทั้งที่เสียงสั่น แววตาคล้ายจะถามอย่างจริงจัง แต่ก็ไม่หวังคำตอบจากใคร “ทั้งแววตา...ทั้งน้ำเสียง...ทั้งสัมผัสเวลาที่เขามองฉันเหมือนกลัวว่าฉันจะหายไป…” เธอหลับตาลงแน่น กอดกรอบรูปแนบอก น้ำตาเริ่มร่วงเงียบ ๆ “ฉันไม่ได้ตั้งใจเลย ฉันไม่ได้คิดจะให้ใครมาอยู่ตรงที่ของคุณ...แต่เมื่อคืน...”
“เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป
วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน
คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้
ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน
เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ
คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด
ท่านวิศรุตหรี่ตา ใบหน้าแข็งราวหิน “คุณกำลังจะบอกว่าในประเทศนี้…ไม่มีใครตามรถตู้คันหนึ่งได้เลย?” ไม่มีเสียงตอบ หัวหน้าหน่วยวางซองรายงานสรุปลงเบื้องหน้า “มีข้อมูลชัดเพียงจุดเดียวครับ…” เขาเปิดหน้าแผนที่ขนาดเล็ก “รถคันสุดท้ายถูกพบครั้งสุดท้ายพร้อมศพของชายสองคน ใกล้เขตชายแดนด้านตะวันตก แล้วหลังจากนั้น…ไม่มีร่องรอยอีกเลยครับ” ท่านวิศรุตนิ่งไปครู่ใหญ่ เหมือนโลกทั้งใบหยุดหายใจ “หมายความว่า…มันหลุดออกนอกประเทศไปแล้ว?” หัวหน้าหน่วยพยักหน้า “ครับ และเรายังไม่รู้ว่า…หลุดไป ในนามใคร” ... ค่ำวันนั้น กระทรวงฯ เริ่มขยับทั้งระบบ เครือข่ายข่าวกรองพิเศษถูกสั่งระดมทันที หน่วยลับชายแดนถูกขยายกำลัง รายชื่อขบวนการลักพาตัวที่เชื่อมโยงกับการค้าคน ถูกสั่งรื้อทุกแฟ้ม แต่ไม่ว่าจะเร่งแค่ไหน…ก็ยังไม่มีคำว่า “เจอ” ... ยามค่ำในห้องทำงานส่วนตัว ไฟเพดานสลัวลง เหลือเพียงแสงจากจอคอมพิวเตอร์ที่สว่างจ้า รัฐมนตรีวิศรุตนั่งนิ่ง สองมือทับกันบนโต๊ะ แววตาเขา...เปลี่ยนไป จากนักการเมืองผู้เด็ดขาด กลายเป็นพ่อที่ไร้ความสามารถจะปกป้องสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดในชีวิต เขาก้มหน้าลงช้า
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ลาริสา ยิ้มบางเบา ขณะพูดขอบคุณเจ้าของร้านขนม เธอเพิ่งแวะซื้อขนมกล่องเล็ก ๆ กลับไปฝากคุณแม่ ก่อนจะก้าวไปยังรถที่รออยู่ริมถนน เธอกำลังเก็บกระเป๋าเงิน ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเผลอวางโทรศัพท์ลืมไว้ที่ร้าน เธอหันมาบอกคนขับรถ "ฉันลืมของไว้ เดี๋ยวขอวิ่งกลับไปหยิบก่อนนะคะ” ไม่มีอะไรน่าสงสัย ร้านเงียบ รถราบนถนนมีไม่มาก เสียงบีบแตรเบา ๆ ดังมาจากระยะไกล ขณะที่เธอก้าวหันกลับเพียงไม่กี่ก้าว... ประตูรถตู้สีดำ ก็เปิดออกโดยไร้เสียงเตือน ชายสองคนในชุดเข้ม พุ่งเข้าใส่เธอด้วยความแม่นยำ มือหนึ่งปิดปาก อีกมือรั้งแขนไว้แน่น แรงพอให้เธอทรุดโดยไม่ทันร้อง ลาริสาหายไปในความเงียบ ภายในรถตู้ เธอถูกกดร่างให้นอนราบ แขนขาถูกพันด้วยเทปพันสายไฟอย่างแน่นหนา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว เสียงในลำคอเป็นเพียงอากาศแห้งที่ไม่ออกมาเป็นคำ เธอไม่รู้ว่าใครทำ ไม่รู้ว่ากำลังจะถูกพาไปไหน แต่สิ่งที่แน่นอนคือ... ไม่มีใครได้ยินเสียงเธอเลย ................ ในอีกมุมของเมือง แสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ กะพริบเบา ๆ ท่ามกลางความมืดของห้องทำงานใต้ดิน ข่าวปลอมชุดแรก ถ
คุณวิลัยลักษณ์ เดชาสกุลวงศ์ ก้าวลงจากรถแทบจะทันทีที่ประตูเปิด ไม่สนรองเท้าส้นสูง ไม่สนว่าใครอยู่ตรงไหน เธอพุ่งเข้าไปในโกดัง ร่างของหญิงวัยกลางคนวิ่งฝ่าความมืดจนเห็นร่างที่นอนนิ่งอยู่กลางพื้น “ปกรณ์!!” เสียงเธอแทบขาดใจ น้ำเสียงที่เคยสง่างามกลายเป็นเสียงร้องของคนเป็นแม่ ร่างของลูกชายเธอ ถูกทำลายไม่มีชิ้นดี อวัยวะที่เป็นความภาคภูมิใจ ของสายเลือดชายในตระกูล...ไม่มีอีกแล้ว เธอทรุดตัวลงข้างร่างนั้น สองมือสั่นระริกเมื่อแตะร่างที่ยังอุ่น แต่ไม่ตอบสนอง ริมฝีปากเธอสั่นระรัว...ดวงตาเบิกกว้าง คุณวิลัยลักษณ์ทรุดตัวลงข้างร่างของปกรณ์ สองมือเธอสั่นระริกขณะพยายามแตะไหล่ลูกชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นซีเมนต์แข็ง เลือดไหลซึมเปื้อนพื้นอยู่รอบกายเขา และไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย...นอกจากเธอกับเขา เธอกวาดตามองไปรอบโกดังด้วยดวงตาที่สั่นด้วยทั้งความหวาดกลัวและความสับสน ไม่มีเงาของคนที่ลงมือ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของรถ มีเพียง ความเงียบ ที่ราวกับตะโกนกรอกหูเธอว่า สายเกินไปแล้ว “ปกรณ์…ปกรณ์ลูกแม่...” เสียงเธอพร่าแตกขณะพยายามเรียก แต่ไม่มีคำตอบจากร่างที่นอนนิ่ง เธอหันไปสั่งลูกน้องด้วย