คำพูดดูเหมือนจะเต็มไปด้วยหลักการอันสูงส่ง แต่ความจริงแล้วมันเป็นการปล้นดี ๆ นี่เอง ผู้นำประเทศหลงเถิงตั้งแต่ต้นจนจบยังคงรักษาท่าทีนิ่งสงบไม่มีแม้แต่แววความไม่พอใจบนใบหน้า จนกระทั่งพวกเขาพูดจบ เขาถึงได้พูดขึ้นมาช้า ๆ ว่า "ทุกท่านคิดว่าตอนนี้ประเทศหลงเถิงของเราผลิตหุ่นยนต์ไปแล้วกี่ตัว?" ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมาทั้งที่ประชุมก็เงียบกริบ ใช่สิ พวกเขามัวแต่รีบร้อนเกินไป ในหัวมีเพียงความคิดเดียวคือต้องรีบช่วงชิงเทคโนโลยีของจักรกลมังกรดำมาให้ได้เร็วที่สุด แต่พวกเขากลับไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้เลย เมื่อถูกเตือนขึ้นมาแบบนี้ หลายคนรู้สึกเย็นวาบไปทั้งหลังเหงื่อเย็นไหลซึมออกมาไม่หยุด ประเทศหลงเถิงสามารถมอบจักรกลมังกรดำถึงสิบสามตัวให้เย่ซิว นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องมีสต๊อกอีกจำนวนมากเท่าไหร่?พวกเขาต่างก็เห็นพลังของจักรกลมังกรดำกันหมดแล้ว เพียงแค่สิบสามตัวก็สามารถทำลายล้างกองกำลังหลักของมหาอำนาจได้ ถ้าหากประเทศหลงเถิงมีจำนวนมากกว่านี้ ประเทศขนาดกลางและขนาดเล็กบางประเทศอาจถูกกวาดล้างจนหายไปจากแผนที่ได้เลย!เจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศเล็กคนหนึ่งปาดเหงื่อที่หน้าผากแล้วถามขึ้น
"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เทคโนโลยีของหุ่นยนต์ก็ไม่ใช่ว่าจะถ่ายโอนไม่ได้""แต่เรื่องแบบนี้ พวกเราควรมานั่งคุยกันให้ละเอียดเสียก่อน""อีกสองวันเป็นวันดี ผมขอเชิญทุกท่านมาหารืออย่างจริงจังดีไหม?"แน่นอนว่าเทคโนโลยีของหุ่นยนต์ไม่มีทางถูกส่งมอบให้พวกเขา นี่เป็นเพียงแค่กลยุทธ์ถ่วงเวลาเท่านั้นตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเย่ซิวหรือประเทศหลงเถิง ต่างก็ต้องการเวลาเย่ซิวต้องการเวลาเพื่อก้าวเข้าสู่ระดับวิญญาณก่อกำเนิดประเทศหลงเถิงเองก็ต้องการเวลาในการผลิตหุ่นยนต์ในปริมาณมากเช่นกันเมื่อถึงตอนนั้น หากพวกเขาเปิดตัวหุ่นยนต์เป็นพัน ๆ ตัว พวกโจรเหล่านี้ก็จะถอยไปเองผู้นำแต่ละประเทศที่เข้าร่วมประชุมเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น มีไม่น้อยที่ถึงกับแสดงรอยยิ้มออกมาประเทศหลงเถิงเป็นที่รู้กันดีว่ามักจะแข็งกร้าวเมื่อพูดถึงผลประโยชน์หลักของตนเองแต่ตอนนี้พวกเขากลับยอมผ่อนปรน ทุกคนจึงคิดว่ามีโอกาสที่ข้อตกลงนี้จะเป็นไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงตอบตกลงกันทั้งหมดหลังจากนั้น การประชุมทางวิดีโอที่ทั่วโลกจับตามองก็สิ้นสุดลงด้านของเย่ซิว ขณะเดียวกันก็ได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศจ้านชายผู้นั้นเป็นชายร่างใหญ่ มีหนวด
เย่ซิวกำหนดเงื่อนไขให้พวกเขาส่งคนมาได้เพียงแค่หนึ่งร้อยคน และอีกฝ่ายก็ตอบตกลง หลังจากจบการสนทนา เย่ซิวกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม พลางจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ความบาดหมางระหว่างเขากับประเทศจ้านคงไม่จบลงง่าย ๆ แน่นอน เขารู้ดีว่าประเทศนี้เป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น เขาตบหน้าพวกนั้นอย่างรุนแรงขนาดนี้ อีกฝ่ายจะต้องหาทางเอาคืนแน่นอน ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งให้สายการผลิตเร่งสร้างจักรกลมังกรดำอย่างเต็มกำลัง เนื่องจากสายการผลิตเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด ขอแค่เตรียมวัตถุดิบให้พร้อม ส่วนที่เหลือก็ให้ระบบจัดการได้เลยด้วยประสิทธิภาพการผลิตในปัจจุบัน สามารถสร้างจักรกลมังกรดำได้วันละสองตัว ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องจัดการ ต้องเสริมแนวป้องกันบริเวณพรมแดนทุกจุด และต้องรับสมัครผู้ควบคุมหุ่นยนต์เพิ่มอีก ยังต้องเตรียมรับมือกับมาตรการทางทหารจากอำนาจอื่น ๆ รอบตัว แต่โชคดีที่ตอนนี้เขามีคนเก่งอยู่ในทีมเยอะขึ้นแล้ว ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องลงมือเอง เพียงแค่ออกคำสั่งก็พอ หลังจากนั้นเขาก็ออกจากที่นี่และตรงไปหาหยางถิงถิงที่กำลังทำงานสร้างถนน สาวน้อยคนนี้ดูอารมณ์เสีย หงุดหงิดไม่น้อย
ประเทศหลงเถิง ที่ไหนสักแห่งที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าโบราณทางตอนเหนือ“อาจารย์ ผมกลับมาแล้ว มื้อเย็นวันนี้เป็นเนื้อกระต่ายแหละ”ณ ส่วนลึกของป่าโบราณมีบ้านไม้หลายหลังตั้งอยู่เห็นเพียงเด็กหนุ่มอายุราวสิบหกหรือสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง ในมือหิ้วกระต่ายตัวอวบอ้วนมาด้วยหลายตัว เขากระโดดขึ้นไปบนโขดหินตะปุ่มตะป่ำขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ดีดตัวเพียงไม่กี่ครั้งก็มาถึงหน้าบ้านไม้เขาชื่อเย่ซิว อาศัยอยู่ที่นี่กับอาจารย์ของเขามาตั้งแต่ยังเด็กแล้วติดตามอาจารย์เพื่อฝึกฝนวรยุทธ เก็บสมุนไพร เรียนการแพทย์ และเรียนรู้ด้านการอ่านเขียนเอี๊ยดเย่ซิวผลักประตูแล้วเดินเข้าไป วินาทีต่อมาสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือกระต่ายในมือถูกทิ้งลงกับพื้นเห็นเพียงชายชราคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนฟูก ศีรษะตกลงมา ไม่มีลมหายใจเหลืออยู่แล้ว“อาจารย์ อาจารย์ครับ เป็นยังไงบ้าง?!”เย่ซิวตกใจมากรีบรุดขึ้นไปแล้วตรวจชีพจรของเขาก่อน จึงได้พบว่าไม่มีการเต้นของชีพจรแล้วจากนั้นเขาก็รีบหยิบเข็มเงินออกมาแล้วฝังเข็มลงไปไม่มีประโยชน์!เขาถ่ายทอดพลังปราณอันทรงพลังของตัวเองไปให้ แต่ก็ยังคงไร้ผลใด ๆความโศกเศร้าครั้งใหญ่เข้
“ไปให้พ้น แกไอ้คนเถื่อนตัวเหม็น อย่าเข้ามาในรถของฉันนะ และห้ามแตะต้องคุณปู่ของฉันด้วย!”เซี่ยชิงชิงแยกเขี้ยวยิงฟัน กางกรงเล็บของเธอเหมือนกับลูกแมวขี้โมโหเย่ซิวโกรธแล้ว ‘หญิงคนนี้คงไม่ปกติสินะ?!’เขาคว้าข้อมือของเซี่ยชิงชิง ออกแรงแล้วลากเธอออกมาเซี่ยชิงชิงพยายามดิ้นอย่างหนัก "กรี๊ดดด ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไอ้นักเลงตัวเหม็น!"เพียะ เพียะ!เย่ซิวไม่ตามใจเธออยู่แล้ว จับเอวเธอขึ้นมาโดยตรงแล้วตีแรง ๆ สองทีร่างอ้อนแอ้นของเซี่ยชิงชิงชะงักกึก เธอหันไปมองเย่ซิวด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ "นาย...นายถึงกับ…!"เย่ซิวโยนเซี่ยชิงชิงลงกับพื้น ขู่เธออย่างดุร้ายว่า "หุบปากไปเลย ไม่งั้นฉันจะจัดการเธอตรงนี้แหละ! ในที่รกร้างห่างไกลแบบนี้ เธอหนีไม่รอดหรอก แม้แต่สัตว์ร้ายก็ยังเอาชนะฉันไม่ได้ ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน!"เซี่ยชิงชิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันทีเย่ซิวขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจเธออีก เขาหันหลังแล้วกลับเข้าไปในรถเขาตรวจชีพจรของชายชราก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อย หยิบเข็มเงินออกมา หลังฆ่าเชื้อแล้ว จึงฝังเข็มลงไปบนจุดชีพจรของชายชราอย่างรวดเร็วแต่เดิมชายชรามีอาการหายใจติดขัดแต่หลังจา
เพียะ!หนึ่งฝ่ามือหนัก ๆ ฟาดไปที่หน้าของเซี่ยชิงชิงใบหน้าที่ขาวผ่องและเนียนละเอียดของเธอบวมขึ้นในทันทีนั้นเสียงตบที่คมชัด ดังก้องอยู่ในหูของทุกคน ทำให้เซี่ยเจี๋ยเบิกตากว้าง บอดี้การ์ดทั้งสองคนเองก็ตกตะลึงเช่นกันเซี่ยชิงชิงยกมือขึ้นกุมหน้า ความรู้สึกเจ็บและร้อนผ่าว รวมถึงความอัปยศอดสูอย่างถึงที่สุดทำเอาเธอแทบบ้าคลั่งเสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้นทันที "กรี๊ด กรี๊ด กรี๊ด แกกล้าตบหน้าฉันเหรอ?!"เย่ซิวเพิกเฉยต่อเธอ มองไปที่เซี่ยเจี๋ยแล้วพูด “หลานสาวของคุณกำเริบเสิบสาน ไม่รู้จักเคารพผู้อาวุโส ผมก็เลยช่วยสั่งสอนเธอแทนให้ มีปัญหาอะไรไหมครับ?"เซี่ยเจี๋ยยิ้มอย่างขมขื่น "ฉันไม่กล้ามีปัญหาหรอก หลานสาวฉันคนนี้ หยิ่งผยองมากเกินไปแล้วจริง ๆ"“คุณปู่ ฆ่าเขา รีบฆ่าเขาเดี๋ยวนี้เลย!” เซี่ยชิงชิงตีโพยตีพาย คนทั้งคนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้วนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอถูกตบหน้า“หุบปาก!”เซี่ยเจี๋ยตะคอก เขาปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้ฝึกยุทธออกมานิดหน่อย “ดูเหมือนว่าปกติปู่จะตามใจหลานจนเสียคนแล้วจริง ๆ รีบขอโทษผู้มีพระคุณเย่เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นนับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปจนกระทั่งหลานเรียนจบ อย่าคิดว่าจะได้
จ้าวเฉียนเดินเข้ามาพร้อมกับเลขาฯ เมื่อเห็นฉากนี้เขาก็ตะโกนทันที "หยุดเดี๋ยวนี้!"ชายฉกรรจ์หลายสิบคนยั้งมือ“พ่อ?” จ้าวเฟิงตกตะลึง “พ่อมาทำอะไรที่นี่?”จ้าวเฉียนถามว่า "เกิดอะไรขึ้น?"จ้าวเฟิงอธิบายเหตุการณ์ให้จ้าวเฉียนฟังด้วยเสียงทุ้มต่ำดวงตาของจ้าวเฉียนเป็นประกาย ความคิดของเขาหมุนวนอย่างรวดเร็วเขาเข้าใจสถานการณ์อย่างคร่าว ๆ แล้ว น่าจะเป็นเย่ซิวคนนี้ที่บังเอิญช่วยเซี่ยเจี๋ย แต่ขณะเดียวกันก็ดันไปทำให้เซี่ยชิงชิงขุ่นเคืองใจ จึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นต้องบอกว่าจ้าวเฉียนสมกับที่เป็นจิ้งจอกเฒ่าจริง ๆเขาโบกมือ "อย่างนั้นก็ลงมือเถอะ"แต่ในตอนนี้เอง จู่ ๆ เย่ซิวก็โพล่งขึ้น "คุณคือจ้าวเฉียนงั้นเหรอ?"ที่นี่คืออาคารของบริษัทเหิงหยวนกรุ๊ป และในพินัยกรรมที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้นั้น ยังได้ทิ้งข้อมูลคร่าว ๆ เกี่ยวกับจ้าวเฉียนเอาไว้ด้วยจ้าวเฟิงโกรธมาก "ชื่อของพ่อฉัน แกอยากจะเรียกก็เรียกได้หรือไง? ไอ้คนเถื่อน!"เย่ซิวเพิกเฉยต่อเขา "เป็นคุณจริง ๆ เยี่ยมเลย ผมมาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อมาหาคุณโดยเฉพาะ"“โอ้?” จ้าวเฉียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "คนเถื่อนที่เพิ่งลงมาจากเขาอย่างนาย มีธุระอะไรกับฉ
ที่หน้าร้าน หญิงวัยกลางคนชี้ไปที่เย่ซิวแล้วตะโกนเสียงดังลั่น "ไสหัวไปให้ไกล ๆ เลย อย่ามาขัดขวางธุรกิจของฉัน!"ในความเห็นของเธอ เย่ซิวซึ่งสวมชุดผ้าขี้ริ้วและสะพายถุงผ้าเก่า ๆ ไม่ต่างอะไรจากขอทานเย่ซิวพูดว่า "ผมไม่ใช่ขอทาน ผมมาซื้อเสื้อผ้า ผมมีเงิน"หญิงวัยกลางคนกอดอกและเยาะเย้ยครั้งแล้วครั้งเล่า "ขอทานอย่างแกจะมีเงินสักเท่าไหร่เชียว สิบหยวนหรือว่ายี่สิบหยวนล่ะ? แกไม่มีปัญญาซื้อเสื้อผ้าที่นี่ได้หรอกนะ ห้ามเข้ามาในร้านของฉัน อย่าทำให้ร้านของฉันสกปรก"เย่ซิวระงับความโกรธ "ผมบอกคุณไปแล้วนี่ว่าผมมีเงิน ถ้าคุณเปิดร้านทำธุรกิจ ทำไมถึงไม่ให้ผมเข้าไปล่ะ?"หญิงวัยกลางคนโกรธมาก "แกยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ? ถ้าไม่ไป ฉันจะไม่ยั้งมือแล้วนะ"หลังจากพูดจบ เธอก็หยิบไม้กวาดข้างประตูขึ้นมาและจ้องเย่ซิวด้วยสีหน้าดุร้าย“พี่ชายคนนี้ อยากจะซื้อเสื้อผ้าเหรอคะ? มาที่ร้านฉันก็ได้นะ”ทันใดนั้นเอง เสียงอ่อนหวานเสียงหนึ่งก็ดังมาจากร้านข้าง ๆ เย่ซิวหันกลับไปมอง เห็นว่าเธอเป็นหญิงสาวอายุประมาณสิบแปดหรือสิบเก้าปีกำลังพูดกับเขาอย่างเขินอายเธอดูไร้เดียงสามาก สวมกางเกงยีนส์และเสื้อยืดสีขาวผมถูกถักเป็นเปียสอง
เย่ซิวกำหนดเงื่อนไขให้พวกเขาส่งคนมาได้เพียงแค่หนึ่งร้อยคน และอีกฝ่ายก็ตอบตกลง หลังจากจบการสนทนา เย่ซิวกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม พลางจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ความบาดหมางระหว่างเขากับประเทศจ้านคงไม่จบลงง่าย ๆ แน่นอน เขารู้ดีว่าประเทศนี้เป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น เขาตบหน้าพวกนั้นอย่างรุนแรงขนาดนี้ อีกฝ่ายจะต้องหาทางเอาคืนแน่นอน ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งให้สายการผลิตเร่งสร้างจักรกลมังกรดำอย่างเต็มกำลัง เนื่องจากสายการผลิตเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด ขอแค่เตรียมวัตถุดิบให้พร้อม ส่วนที่เหลือก็ให้ระบบจัดการได้เลยด้วยประสิทธิภาพการผลิตในปัจจุบัน สามารถสร้างจักรกลมังกรดำได้วันละสองตัว ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องจัดการ ต้องเสริมแนวป้องกันบริเวณพรมแดนทุกจุด และต้องรับสมัครผู้ควบคุมหุ่นยนต์เพิ่มอีก ยังต้องเตรียมรับมือกับมาตรการทางทหารจากอำนาจอื่น ๆ รอบตัว แต่โชคดีที่ตอนนี้เขามีคนเก่งอยู่ในทีมเยอะขึ้นแล้ว ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องลงมือเอง เพียงแค่ออกคำสั่งก็พอ หลังจากนั้นเขาก็ออกจากที่นี่และตรงไปหาหยางถิงถิงที่กำลังทำงานสร้างถนน สาวน้อยคนนี้ดูอารมณ์เสีย หงุดหงิดไม่น้อย
"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เทคโนโลยีของหุ่นยนต์ก็ไม่ใช่ว่าจะถ่ายโอนไม่ได้""แต่เรื่องแบบนี้ พวกเราควรมานั่งคุยกันให้ละเอียดเสียก่อน""อีกสองวันเป็นวันดี ผมขอเชิญทุกท่านมาหารืออย่างจริงจังดีไหม?"แน่นอนว่าเทคโนโลยีของหุ่นยนต์ไม่มีทางถูกส่งมอบให้พวกเขา นี่เป็นเพียงแค่กลยุทธ์ถ่วงเวลาเท่านั้นตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเย่ซิวหรือประเทศหลงเถิง ต่างก็ต้องการเวลาเย่ซิวต้องการเวลาเพื่อก้าวเข้าสู่ระดับวิญญาณก่อกำเนิดประเทศหลงเถิงเองก็ต้องการเวลาในการผลิตหุ่นยนต์ในปริมาณมากเช่นกันเมื่อถึงตอนนั้น หากพวกเขาเปิดตัวหุ่นยนต์เป็นพัน ๆ ตัว พวกโจรเหล่านี้ก็จะถอยไปเองผู้นำแต่ละประเทศที่เข้าร่วมประชุมเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น มีไม่น้อยที่ถึงกับแสดงรอยยิ้มออกมาประเทศหลงเถิงเป็นที่รู้กันดีว่ามักจะแข็งกร้าวเมื่อพูดถึงผลประโยชน์หลักของตนเองแต่ตอนนี้พวกเขากลับยอมผ่อนปรน ทุกคนจึงคิดว่ามีโอกาสที่ข้อตกลงนี้จะเป็นไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงตอบตกลงกันทั้งหมดหลังจากนั้น การประชุมทางวิดีโอที่ทั่วโลกจับตามองก็สิ้นสุดลงด้านของเย่ซิว ขณะเดียวกันก็ได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศจ้านชายผู้นั้นเป็นชายร่างใหญ่ มีหนวด
คำพูดดูเหมือนจะเต็มไปด้วยหลักการอันสูงส่ง แต่ความจริงแล้วมันเป็นการปล้นดี ๆ นี่เอง ผู้นำประเทศหลงเถิงตั้งแต่ต้นจนจบยังคงรักษาท่าทีนิ่งสงบไม่มีแม้แต่แววความไม่พอใจบนใบหน้า จนกระทั่งพวกเขาพูดจบ เขาถึงได้พูดขึ้นมาช้า ๆ ว่า "ทุกท่านคิดว่าตอนนี้ประเทศหลงเถิงของเราผลิตหุ่นยนต์ไปแล้วกี่ตัว?" ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมาทั้งที่ประชุมก็เงียบกริบ ใช่สิ พวกเขามัวแต่รีบร้อนเกินไป ในหัวมีเพียงความคิดเดียวคือต้องรีบช่วงชิงเทคโนโลยีของจักรกลมังกรดำมาให้ได้เร็วที่สุด แต่พวกเขากลับไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้เลย เมื่อถูกเตือนขึ้นมาแบบนี้ หลายคนรู้สึกเย็นวาบไปทั้งหลังเหงื่อเย็นไหลซึมออกมาไม่หยุด ประเทศหลงเถิงสามารถมอบจักรกลมังกรดำถึงสิบสามตัวให้เย่ซิว นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องมีสต๊อกอีกจำนวนมากเท่าไหร่?พวกเขาต่างก็เห็นพลังของจักรกลมังกรดำกันหมดแล้ว เพียงแค่สิบสามตัวก็สามารถทำลายล้างกองกำลังหลักของมหาอำนาจได้ ถ้าหากประเทศหลงเถิงมีจำนวนมากกว่านี้ ประเทศขนาดกลางและขนาดเล็กบางประเทศอาจถูกกวาดล้างจนหายไปจากแผนที่ได้เลย!เจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศเล็กคนหนึ่งปาดเหงื่อที่หน้าผากแล้วถามขึ้น
เย่ซิวรู้สึกพูดไม่ออกเมื่อเห็นท่าทางของหนานกงเสวี่ยเขาจึงฟาดฝ่ามือลงไปหนัก ๆ หนึ่งที "เวลานี้แล้วยังมาคิดเรื่องพวกนี้อีก แถมเธอยังเป็นกษัตริย์ด้วยระวังภาพลักษณ์ของตัวเองหน่อยสิ" หนานกงเสวี่ยมองเขาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายราวกับน้ำใส "แล้วมันจะเป็นอะไรไปล่ะ? ยังไงทุกคนที่นี่ก็เป็นพวกเดียวกัน อีกอย่างก็ฉันดีใจนี่นา" ตอนนี้เธออยู่ในอารมณ์ที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เธอลอบดีใจที่ตอนนั้นตัดสินใจยอมรับเย่ซิวซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดในชีวิต เธอสามารถมองเห็นอนาคตที่ยิ่งใหญ่ของประเทศปิงจือได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าหากประชาชนของประเทศปิงจือได้เห็นกษัตริย์ของพวกเขาทำตัวแบบนี้กับเย่ซิว เกรงว่าหลายคนคงรับไม่ได้ เฉินหลานกลับไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะในสายตาของเธอเย่ซิวคือบุคคลในตำนาน เป็นคนที่ทำได้ทุกอย่าง ท้ายที่สุด เย่ซิวก็ไม่ได้ทำตามที่หนานกงเสวี่ยคาดหวัง เขาให้เธอกลับไปประจำการก่อนเพื่อไม่ให้ทางนั้นเกิดปัญหา หนานกงเสวี่ยเดินจากไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียดาย แต่พอเย่ซิวบอกกับเธอว่า"เดี๋ยวฉันจัดการธุระเสร็จแล้วจะไปหาเธอ" หญิงสาวก็กลับมายิ้มดีใจอีกครั้งหุ่นยนต์ทั้งสิบสามต
เครื่องบินห้าลำพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยตรง การยิงถล่มอย่างรุนแรงทำให้เครื่องบินรบถูกสอยร่วงลงทีละลำ ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!เสียงระเบิดดังกึกก้องต่อเนื่องไม่ขาดสาย เพลิงไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าทั่วแนวชายแดน กองทัพอัคคีแดงซึ่งเคยเป็นที่ขนานนามว่าเป็นกองทัพไร้เทียมทาน ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง พากันล่าถอยอย่างอลหม่าน ทว่าระหว่างการล่าถอย พวกเขากลับถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาล กระทิงคลั่งคำรามเสียงดัง ร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอันมหึมายิ่งขยายใหญ่ขึ้น เขาคำรามพลางพุ่งเข้าไปในห้องบัญชาการ สกัดกั้นแม่ทัพพยัคฆ์ขาวที่กำลังคิดจะหลบหนี การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้น แม้ว่าแม่ทัพพยัคฆ์ขาวจะมีพลังแข็งแกร่ง แต่เมื่อเทียบกับกระทิงคลั่งแล้ว ยังถือว่าอ่อนด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพียงไม่กี่นาที เขาก็ถูกกระทิงคลั่งจับตัวได้ อย่างไรก็ตาม กระทิงคลั่งไม่ได้สังหารเขา แต่คว้าตัวแม่ทัพพยัคฆ์ขาวเอาไว้ หลบหลีกการโจมตีจากปืนใหญ่และระเบิด ก่อนจะพากลับไปยังค่ายของฝ่ายตน เพราะหมอนี่ถือเป็นตัวประกันที่มีค่ามาก และจะเป็นหม
กระทิงคลั่งคำรามเสียงต่ำ กล้ามเนื้อทั่วร่างพองตัวขึ้น ก่อนพุ่งทะยานอยู่แนวหน้า ใบหน้าของเขาสวมหน้ากากสีดำ ทำให้ไม่มีใครสามารถมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงได้ หมัดของเขาซัดออกไปด้วยพลังอันเกรี้ยวกราด ทำลายทหารกองทัพอัคคีแดงกว่าสิบคนที่ขวางหน้าให้แหลกเป็นจุณ เขาโจมตีไปยังจุดที่อ่อนแอที่สุดของกองทัพอัคคีแดง กระแทกเปิดเส้นทางด้วยพลังอันมหาศาล ผู้ติดตามด้านหลังของเขาต่างขว้างระเบิดออกไปอย่างไม่เสียดาย ส่งผลให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ รูปขบวนที่ยากลำบากนักกว่าจะจัดเรียงขึ้นมาได้ กลับถูกทำลายลงอีกครั้ง แม่ทัพพยัคฆ์ขาวจำต้องแบ่งกำลังบางส่วนออกไปเพื่อกดดันกระทิงคลั่ง ใบหน้าของเขามืดมนพลางเอ่ยถามรองแม่ทัพที่อยู่ข้างกาย “สถานการณ์ความสูญเสียเป็นอย่างไร?” “เรียนแม่ทัพ จนถึงตอนนี้เราสูญเสียไปกว่าหนึ่งหมื่นนายแล้ว” “อะไรนะ?!” แม่ทัพพยัคฆ์ขาวหน้าถอดสี “เราเสียทหารไปมากขนาดนี้ได้ยังไง?” การรบเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานแท้ ๆ แต่กลับมีความสูญเสียร้ายแรงเช่นนี้ต้องรู้ไว้ว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมา กองทัพอัคคีแดงเปิดฉากการรบกับศัตรูมากกว่าร้อยครั้ง แต่ยอดผู้เสียชีวิตยังไม่เกินแปดถึงเก้าพันนาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อหุ่นยนต์สามตัวปรากฏขึ้น สมาชิกตระกูลหลายคนต่างก็หัวใจเต้นแรง ราวกับถูกค้อนเหล็กที่มองไม่เห็นกระแทกเข้าอย่างจัง ผู้นำตระกูลเฒ่าออกแรงบีบที่วางแขนของเก้าอี้จนแตกละเอียด เส้นเลือดที่คอโป่งขึ้นอย่างชัดเจน "หุ่นยนต์ในตำนาน! พวกเขาจะมีมันได้อย่างไร? ต้องเป็นฝีมือของประเทศหลงเถิงแน่ ๆ!" ในขณะนั้น ทุกสายตาทั่วโลกจับจ้องมายังที่แห่งนี้ เพียงแค่หุ่นยนต์สามตัว ก็สามารถต้านกองทัพอัคคีแดงที่มีกำลังพลห้าหมื่นนายเอาไว้ได้ พวกเขาใช้การโจมตีระยะไกลทุกรูปแบบ แม้แต่รถถังก็ถูกนำมาใช้ แต่ก็ยังไม่สามารถทำลายหุ่นยนต์ทั้งสามตัวนี้ได้ กลับกัน กองทัพอัคคีแดงกลับถูกโจมตีจนสูญเสียกำลังพลไปกว่าสองพันนาย แม้แต่กองทัพอัคคีแดงที่ไม่เคยพ่ายแพ้ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวังแบบนี้จะสู้ต่อไปได้อย่างไร? แต่ไม่นานพวกเขาก็เห็นแสงแห่งความหวัง เพราะกระสุนและอาวุธทั้งหมดของหุ่นยนต์ทั้งสามตัวถูกใช้จนหมดสิ้นแล้ว แม่ทัพพยัคฆ์ขาวจับโอกาสนี้ได้ทันที และออกคำสั่งผ่านวิทยุสื่อสาร "กระจายกำลังออกไป แล้วโจมตีจากระยะไกล!เจ้ายักษ์พวกนี้ไม่มีทางมีพลังงานเหลือมากนัก รอให้พวกมันขยับไม่ไ
จักรกลมังกรดำทั้งสามตัวก็เตรียมพร้อมเสร็จสิ้น และพุ่งตรงสู่สนามรบทันทีภายใต้คำสั่งของเย่ซิวเปลวไฟที่พ่นออกจากใต้ฝ่าเท้าของหุ่นยนต์สร้างแรงขับมหาศาล ทำให้พวกมันพุ่งออกไปราวกับกระสุนปืนใหญ่มุ่งหน้าเข้าสู่แนวหน้าของสนามรบในขณะที่หลายประเทศที่กำลังสังเกตการณ์อยู่ต่างเชื่อมั่นว่าสำนักโอสถกำลังจะถูกทำลายในไม่ช้า และพวกเขาก็เตรียมชมความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ด้วยท่าทีสนุกสนานแม่ทัพพยัคฆ์ขาวที่อยู่ในแนวหลังของกองทัพกำลังนั่งคิดวางแผนว่าจะจัดการสิ่งต่าง ๆ อย่างไรหลังจากบุกยึดสำนักโอสถได้สำเร็จรายงานสถานการณ์จากแนวหน้าถูกส่งมายังเขาอย่างต่อเนื่อง“รุกหน้าไปอีกสามสิบไมล์”“รุกหน้าอีกสี่สิบเจ็ดไมล์”“รุกหน้าไปอีกหกสิบแปดไมล์แล้ว”……“แย่แล้ว นั่นมันอะไรกัน?!”ขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเป็นไปอย่างราบรื่น จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนกดังผ่านวิทยุสื่อสารและทำลายสมาธิของแม่ทัพพยัคฆ์ขาวในทันทีเขาเงยหน้าขึ้นมองจอภาพโดยอัตโนมัติเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า เขาก็เบิกตากว้างทันทีจู่ ๆ ก็ปรากฏสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาสามตัวในสนามรบพวกมันสูงกว่าสิบเมตร มีโครงสร้างที่โค้งมนและดุดัน ทำให้แผ่แรงกดดันม
ในตอนแรกมีเครื่องบินรบหลายลำพยายามจะเข้ามาทิ้งระเบิดใส่สำนักโอสถก่อนแต่ยังไม่ทันจะเข้าใกล้ก็โดนขีปนาวุธสอยร่วงไปหกลำจนต้องถอยหนีกันแทบไม่ทันเมื่อไม่สามารถใช้การโจมตีทางอากาศได้สำเร็จ จึงต้องอาศัยการปะทะทางภาคพื้นดินแทนกองทัพอัคคีแดงจำนวนห้าหมื่นนายข้ามแนวเทือกเขามา ก่อนจะเผชิญกับการโจมตีด้วยอาวุธหนักจากสำนักโอสถอย่างรุนแรงแม่ทัพพยัคฆ์ขาวผู้มีร่างกายสูงใหญ่ทรงพลัง หนวดเครายาว และดวงตาโตเหมือนระฆังทองแดง เขามองไปยังแนวการยิงจากฝั่งสำนักโอสถด้วยสีหน้าดูแคลน “อาวุธพวกนี้มันแค่อุปกรณ์ตกยุคตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนที่เราทิ้งไปแล้วด้วยซ้ำระยะยิงก็สั้น แรงทำลายก็ต่ำ ส่งคำสั่งออกไปให้โต้กลับซะ ให้พวกมันได้รู้ว่าการทำสงครามสมัยใหม่มันเป็นยังไง”คำสั่งถูกส่งต่อไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นกองทัพอัคคีแดงก็เปิดฉากยิงถล่มใส่แนวป้องกันของสำนักโอสถทันทีสำนักโอสถต้องเผชิญกับความเสียหายอย่างหนักภายใต้เสียงระเบิดที่ดังสนั่น การโจมตีเพียงระลอกเดียวก็ทำให้คนของสำนักโอสถล้มตายไปสี่ถึงห้าร้อยคนที่แนวป้องกันของสำนักโอสถมีกำลังพลเพียงประมาณหมื่นนายเท่านั้นหากยังคงเสียกำลังคนในอัตรานี้ พวกเขาคงไม่สา