ดูเหมือนมือข้างนั้นจะอบอุ่นราวกับหยก แต่กลับแข็งแกร่งไร้เทียมทานเถียนเถียนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ก่อนที่ดวงตาของเธอหดเกร็งด้วยความตกตะลึงหลังจากความตกใจจางหายไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความดีใจอย่างเหลือเชื่อ “นายท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ…ระวัง!”เธอมองไปที่แผ่นหลังของเย่ซิวด้วยความร้อนรน เพราะชายในชุดทักซิโด้อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วแต่ดูเหมือนความกังวลของเธอจะไม่มีความหมายเลยการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามหยุดลงกะทันหันก่อนจะถึงตัวเย่ซิวเพียงแค่ยี่สิบเซนติเมตรราวกับว่ามีมือขนาดมหึมาที่มองไม่เห็นกำลังควบคุมเอาไว้ ไม่ว่าเขาจะพยายามออกแรงแค่ไหนก็ไม่อาจขยับไปข้างหน้าได้อีกแม้แต่น้อยชายในชุดทักซิโด้แสดงสีหน้าที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง เขารู้ทันทีว่าตัวเองเผชิญหน้ากับบุคคลที่ไม่ธรรมดาอยู่เขาถอยหลังไปเล็กน้อยพร้อมจ้องมองเย่ซิวด้วยความระแวดระวัง “แกเป็นใคร ฉันแนะนำว่าอย่ามายุ่งจะดีกว่า”เย่ซิวไม่สนใจเขาเลยแต่กลับมองไปที่เถียนเถียนซึ่งอยู่ในสภาพย่ำแย่แทน “เกิดอะไรขึ้น?”ขณะพูดเขาก็เอามือแตะลงบนไหล่ของเธอแสงสีขาวส่องสว่างจากฝ่ามือของเขา ก่อนจะแผ่ขยายออกไปโอบล้อมร่างของเธอทั้งหมดบาดแผลทั้งภายในและภ
พลังอันแข็งแกร่งราวกับพายุหมุนได้แผ่กระจายออกมาจากตัวของเถียนเถียนเสื้อผ้าของเธอฉีกขาดกระจัดกระจายเป็นเสี่ยง ๆปีกค้างคาวที่อยู่ด้านหลังค่อย ๆ กางออก จากเดิมที่ยาวเพียงสี่ถึงห้าเมตรก็ยืดยาวขึ้นเป็นหกถึงเจ็ดเมตรแลดูเรียวยาวขึ้นและยังเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสูงส่งบนปีกค้างคาวปรากฏอักขระสีเงินทีละตัวแผ่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วกระจายจากปีกทั้งสองข้างลุกลามไปจนทั่วร่างกายเมื่อเห็นเช่นนั้น เย่ซิวจึงหยิบเอาน้ำพุวิญญาณกว่าครึ่งกิโลกรัมออกมาแล้วส่งเข้าไปในร่างของเถียนเถียน ช่วยให้เธอเสร็จสิ้นการวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายหากเรียงตามการแบ่งระดับของแวมไพร์ ตอนนี้เถียนเถียนน่าจะอยู่ในระดับดยุคซึ่งเทียบเท่ากับสร้างรากฐานปราณขั้นสมบูรณ์รูปร่างของเธอสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ตอนนี้เธอสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรแล้วเรียวขางดงามตรงได้รูปดูแข็งแรงและทรงพลังพอมองขึ้นไปก็จะเห็นหน้าท้องแบนราบเป็นเงางามเอวคอดกิ่วราวกับกิ่งหลิวดูบอบบางน่าทะนุถนอมส่วนช่วงบนยิ่งไม่ต้องพูดถึงสายเลือดของเถียนเถียนได้รับการยกระดับขึ้นอย่างมหาศาลอีกครั้งแม้ว่ายังมีช่องว่างเมื่อเทียบกับหงอี แต่ก็ไม่ได้ห่างกันจ
เย่ซิวใจเต้นแรง บีบจมูกของเธอแล้วพูดว่า "พอดีเลย ผมกำราบกลุ่มผู้ใช้พลังวิเศษที่แข็งแกร่งมากกลุ่มหนึ่งไว้แล้ว ต่อไปก็ให้คุณเป็นผู้นำพวกเขาก็แล้วกัน"เย่ซิวหมายถึงกลุ่มคนที่ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากห้องทดลองแผนเดิมคือจะพาพวกเขาทั้งหมดกลับคืนแต่เนื่องจากทางด้านของเถียนเถียนถูกเปิดโปงแล้ว ก็เลยเก็บพวกเขาไว้ที่นี่เสียเลยด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา และความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเถียนเถียน ย่อมสามารถประสบความสำเร็จได้การจะได้ตั้งหลักในประเทศจ้านอิงตี้นั้นไม่ใช่ปัญหา ถึงขั้นสามารถประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นได้ด้วยดวงตาของเถียนเถียนเป็นประกาย กล่าวด้วยความชื่นชม “นายท่าน คุณยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว ทำไมฉันถึงไม่เจอคุณเร็วกว่านี้นะ”เย่ซิวยิ้มบางจริง ๆ แล้วนี่ก็เหมือนโชคช่วยนั่นแหละถ้าเขาไม่ออกไปซื้อรถไฟฟ้าเหล่านั้น ก็คงไม่ได้เจอเฉินน่า แล้วเรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้นผู้มีพลังพิเศษกว่าร้อยคนพวกนั้น ถ้าได้รับการฝึกฝนจนเข้าขากันแล้ว อนาคตศักยภาพในการต่อสู้ของพวกเขาจะไม่แพ้กองทัพทันสมัยที่มีทหารห้าพันคนพร้อมอาวุธครบมือแน่นอนเถียนเถียนส่งสายตายั่วยวน "นายท่าน ฉ
ตามสถานที่ที่เถียนเถียนให้ไว้ เย่ซิวก็มาถึงบริเวณนอกปราสาทแห่งหนึ่งปราสาทแห่งนี้ใหญ่โตมาก เพียงพอที่จะรองรับผู้คนได้นับหมื่นคน และจะเรียกว่าเป็นเมืองเล็ก ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยผู้คนในที่นี้ล้วนมีความเย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก และล้วนเป็นหนุ่มหล่อสาวสวยกันทั้งสิ้นเย่ซิวสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของหงอีอย่างรวดเร็วสำหรับเย่ซิวแล้วนั้น ลมปราณของเธอเปรียบเสมือนไข่มุกราตรีท่ามกลางความมืดมิดที่มองเห็นได้ชัดเจนมากเย่ซิวเดินไปหาเธออย่างใจเย็นฝ่าด่านตรวจที่เข้มงวดตลอดทาง จนมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของปราสาท และได้พบกับผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งผมยาวสยายตกลงถึงกลางเอวดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาเป็นประกายราวกับจะทำเอาผู้ชายทั้งหลายคลั่งไคล้ใบหน้ารูปไข่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางชั้นบาง ๆอายแชโดว์ที่ถูกทาได้อย่างพอเหมาะพอดีริมฝีปากสีชมพูนั้นทั้งเซ็กซี่และมีเสน่ห์เย้ายวนเมื่อมองลงไปจะเห็นความโดดเด่นออกมาจากฝูงชน จนไม่อาจละสายตาไปได้ชุดสีแดงสดขับเน้นให้ผิวที่ขาวอยู่แล้วของเธอดูขาวและเปล่งปลั่งขึ้น และยังช่วยเน้นเอวเพรียวบางของเธอได้อย่างลงตัวอีกด้วยงดงามดุจดั่งเตียวเสี้ยน เท้าที่สวยงามยืนบนรอ
กระแสพลังและโลหิตเปลี่ยนเป็นกองทัพงูเหลือมสีแดงเลือดส่วนหนึ่งแยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งฉกสังหารเย่ซิว ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งพยายามสกัดกั้นกระบี่หงส์โบยบินความแข็งแกร่งที่หงอีแสดงออกมา ก็ทำให้เย่ซิวต้องแปลกใจมันไม่ใช่ระดับจินตานขั้นต้นตามที่เขาคาดการณ์ไว้ในตอนแรก แต่เหมือนกับตัวเขาเอง เธอได้มาถึงขั้นกลางระดับจินตานแล้วแต่เย่ซิวก็เข้าใจในอย่างรวดเร็วเหตุผลที่ความแข็งแกร่งของหงอีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นเกี่ยวข้องกับการผสานยีนของเธอนี่เป็นเพียงความเร็วในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อถึงขั้นสูงแล้ว อาจจะพัฒนาขึ้นได้ช้ามากนอกจากนี้ในระหว่างการต่อสู้ เย่ซิวก็รู้สึกว่าความสามารถในการต่อสู้ของหงอีไม่ได้ดีเท่ากับของเขาที่อยู่ในระดับเดียวกันน่าจะเทียบเท่ากับประมาณครึ่งหนึ่งของตัวเองเท่านั้นหงอีมีสีหน้าเคร่งขรึมลง และยังรู้สึกถึงช่องว่างระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยจู่ ๆ เส้นผมของเธอก็งอกขึ้นมา ทิ่มเข้าไปในตัวกวางหมีลู่ที่อยู่ไกลออกไปมันส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างก็หดตัวด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าลมปราณของหงอีเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันเกือบสองเท่า แทบจะสามารถต่อสู้กับเย่ซิ
“ความแข็งแกร่งของคุณยังอ่อนแอเกินไป ต้องพยายามพัฒนาให้มาก หวังว่าคราวหน้าถ้าได้เจอคุณอีก จะทำให้ผมได้เล่นสนุกมากกว่านี้นะ”หลังจากพูดจบ เย่ซิวก็ใช้วิชาดำดินหลบหนีไปทันทีที่จากไป จุดที่เขาเพิ่งยืนอยู่ก็ถูกระเบิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ความหนาวเย็นที่ปล่อยออกมาจากหงอีได้แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องด้วยชั้นน้ำแข็งผ่านไปไม่กี่นาที เย่ซิวก็ออกจากปราสาทไปไม่ใช่ว่ากลัวผู้หญิงคนนี้ เพียงแต่ไม่มีความจำเป็นต้องสู้กับเธอจนตายเดิมทีหงอีก็เป็นหมากของเย่ซิว ที่ถูกใช้เพื่อกลืนกินดินแดนของประเทศจ้านอิงตี้ถ้าทำให้เธอตาย จะเกิดความสูญเสียมากมายมหาศาลหลังจากทดสอบความแข็งแกร่งที่เฉพาะเจาะจงของหงอีแล้ว เย่ซิวก็มีความคิดคร่าว ๆ อยู่ในใจความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเธอไม่สามารถเทียบได้กับร่างแยกเลยตราบใดที่ร่างดั้งเดิมของเขายังคงเติบโตอย่างรวดเร็ว ความแข็งแกร่งของร่างแยกก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายจะรักษาความได้เปรียบเหนือหงอีไว้ได้เสมอเขาใช้ถึงเวลาห้าวันในการกลั่นร่างแยกทั้งสองระหว่างทางที่เดินทางกลับก็ได้โทรหาเถียนเถียน เพื่อถามที่อยู่ของเธอเมื่อได้ที่อยู่แล้ว เย่ซิวก็รีบบึ่งไปทันทีเธอเช่
เย่ชิวมองหยางถิงถิงที่ดูหวาดกลัว เขาส่ายหัวเบา ๆเป็นถึงผู้ฝึกตน แต่กลับกลัวสิ่งแบบนี้ นี่ถือเป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรงมากแทนที่จะหยุด เขากลับโบกมือ แล้วก็มีงูหลากสีสันหลายสิบตัวปรากฏตัวขึ้น เลื้อยไต่ไปตามร่างของเธอในเวลาเดียวกัน โล่ก็ถูกสร้างขึ้นแบ่งกั้นกับพื้นที่ภายนอก ไม่ว่าหยางถิงถิงจะกรีดร้องดังแค่ไหน ก็ไม่มีใครข้างนอกได้ยินแม้แต่คำเดียวสำหรับหยางถิงถิง นี่เรียกได้ว่าเป็นเพียงการทรมานที่ร้ายแรงที่สุดใบหน้าของเย่ซิวเริ่มมืดมนลง ตำหนิ "หากต่อไปคุณอยากกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งชนิดไม่มีใครเทียบได้ ก็ต้องกำจัดจุดอ่อนของตัวเองซะ"“ไอ้โรคจิต นายกำลังทรมานฉันอยู่นะ มัวแต่พูดอะไรเว่อร์ ๆ อยู่นั่น รีบปล่อยฉันไปเร็ว ๆ ฮือ ๆ...”หยางถิงถิงทั้งร้องไห้และตะโกน คนทั้งคนจนเกือบจะล้มลงขณะนั้นเอง หยางเฟิงก็เดินออกจากบ้าน และตกตะลึงเมื่อเห็นภาพดังกล่าวเย่ซิวก็บอกถึงเหตุผลว่าทำไมตัวเองถึงทำอย่างนั้น“คุณปู่ช่วยหนูด้วยค่ะ ไอ้โรคจิตนี่ทั้งโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมจริง ๆ หนูถูกเขาทรมานจนแทบจะบ้าตายแล้ว”เมื่อได้เห็นหยางเฟิง หยางถิงถิงก็แสดงท่าทางเหมือนกับได้เห็นพระเจ้าผู้ช่วยให้รอดหยางเฟิงขมว
ต้องบอกว่าเฉินน่าเป็นคนกล้ามากจริง ๆ ถึงได้เสนอแนะเช่นนี้แต่มันก็น่าตื่นเต้นมากจริง ๆเมื่อพิจารณาว่าตัวเองยังต้องการความช่วยเหลือจากเฉินน่าในอนาคต เย่ซิวจึงตัดสินใจที่จะให้ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ กับเธอครั้นแล้วก็ทำการบำเพ็ญตนอยู่ที่หน้าเตียงของเสี่ยวเยวี่ยกระแสพลังวิญญาณวิ่งเข้าสู่ร่างกายของเย่ซิว จินตานห้าสีหมุนวนด้วยความเร็วสูง และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ“เสี่ยวเยวี่ย ดูนี่ฉันเอาอะไรดี ๆ มาฝากเธอล่ะ...”ประตูถูกผลักเปิดออก หยางถิงถิงก็เดินเข้ามาจากด้านนอกจากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็หยุดนิ่งไปในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ความน่ารักและความบริสุทธิ์ของเสี่ยวเยวี่ย รวมถึงประสบการณ์ชีวิตที่น่าสมเพชของเธอ ทำให้หยางถิงถิงบังเกิดความรักดุจมารดาอย่างล้นเหลือเธอปฏิบัติกับเสี่ยวเยวี่ยเหมือนน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเอง ดูแลเธอเป็นอย่างดี มีอะไรดี ๆ ก็จะนำมาแบ่งปันกับเธอเสมอแล้วเมื่อเธอปรากฏตัวขึ้นในห้อง เธอก็ตกตะลึงเป็นเพราะเฉินน่าประมาท แม้ว่าประตูจะปิดอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ล็อกเมื่อเฉินน่าหันกลับไปสบตากับหยางถิงถิง บรรยากาศก็เงียบงันไปในทันที ความอึดอัดกระอักกระอ่วนใจอย่างสุดขีดก็แพร่กร
เย่ซิวกำหนดเงื่อนไขให้พวกเขาส่งคนมาได้เพียงแค่หนึ่งร้อยคน และอีกฝ่ายก็ตอบตกลง หลังจากจบการสนทนา เย่ซิวกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม พลางจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ความบาดหมางระหว่างเขากับประเทศจ้านคงไม่จบลงง่าย ๆ แน่นอน เขารู้ดีว่าประเทศนี้เป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น เขาตบหน้าพวกนั้นอย่างรุนแรงขนาดนี้ อีกฝ่ายจะต้องหาทางเอาคืนแน่นอน ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งให้สายการผลิตเร่งสร้างจักรกลมังกรดำอย่างเต็มกำลัง เนื่องจากสายการผลิตเป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด ขอแค่เตรียมวัตถุดิบให้พร้อม ส่วนที่เหลือก็ให้ระบบจัดการได้เลยด้วยประสิทธิภาพการผลิตในปัจจุบัน สามารถสร้างจักรกลมังกรดำได้วันละสองตัว ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องจัดการ ต้องเสริมแนวป้องกันบริเวณพรมแดนทุกจุด และต้องรับสมัครผู้ควบคุมหุ่นยนต์เพิ่มอีก ยังต้องเตรียมรับมือกับมาตรการทางทหารจากอำนาจอื่น ๆ รอบตัว แต่โชคดีที่ตอนนี้เขามีคนเก่งอยู่ในทีมเยอะขึ้นแล้ว ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องลงมือเอง เพียงแค่ออกคำสั่งก็พอ หลังจากนั้นเขาก็ออกจากที่นี่และตรงไปหาหยางถิงถิงที่กำลังทำงานสร้างถนน สาวน้อยคนนี้ดูอารมณ์เสีย หงุดหงิดไม่น้อย
"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เทคโนโลยีของหุ่นยนต์ก็ไม่ใช่ว่าจะถ่ายโอนไม่ได้""แต่เรื่องแบบนี้ พวกเราควรมานั่งคุยกันให้ละเอียดเสียก่อน""อีกสองวันเป็นวันดี ผมขอเชิญทุกท่านมาหารืออย่างจริงจังดีไหม?"แน่นอนว่าเทคโนโลยีของหุ่นยนต์ไม่มีทางถูกส่งมอบให้พวกเขา นี่เป็นเพียงแค่กลยุทธ์ถ่วงเวลาเท่านั้นตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเย่ซิวหรือประเทศหลงเถิง ต่างก็ต้องการเวลาเย่ซิวต้องการเวลาเพื่อก้าวเข้าสู่ระดับวิญญาณก่อกำเนิดประเทศหลงเถิงเองก็ต้องการเวลาในการผลิตหุ่นยนต์ในปริมาณมากเช่นกันเมื่อถึงตอนนั้น หากพวกเขาเปิดตัวหุ่นยนต์เป็นพัน ๆ ตัว พวกโจรเหล่านี้ก็จะถอยไปเองผู้นำแต่ละประเทศที่เข้าร่วมประชุมเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น มีไม่น้อยที่ถึงกับแสดงรอยยิ้มออกมาประเทศหลงเถิงเป็นที่รู้กันดีว่ามักจะแข็งกร้าวเมื่อพูดถึงผลประโยชน์หลักของตนเองแต่ตอนนี้พวกเขากลับยอมผ่อนปรน ทุกคนจึงคิดว่ามีโอกาสที่ข้อตกลงนี้จะเป็นไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงตอบตกลงกันทั้งหมดหลังจากนั้น การประชุมทางวิดีโอที่ทั่วโลกจับตามองก็สิ้นสุดลงด้านของเย่ซิว ขณะเดียวกันก็ได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศจ้านชายผู้นั้นเป็นชายร่างใหญ่ มีหนวด
คำพูดดูเหมือนจะเต็มไปด้วยหลักการอันสูงส่ง แต่ความจริงแล้วมันเป็นการปล้นดี ๆ นี่เอง ผู้นำประเทศหลงเถิงตั้งแต่ต้นจนจบยังคงรักษาท่าทีนิ่งสงบไม่มีแม้แต่แววความไม่พอใจบนใบหน้า จนกระทั่งพวกเขาพูดจบ เขาถึงได้พูดขึ้นมาช้า ๆ ว่า "ทุกท่านคิดว่าตอนนี้ประเทศหลงเถิงของเราผลิตหุ่นยนต์ไปแล้วกี่ตัว?" ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกมาทั้งที่ประชุมก็เงียบกริบ ใช่สิ พวกเขามัวแต่รีบร้อนเกินไป ในหัวมีเพียงความคิดเดียวคือต้องรีบช่วงชิงเทคโนโลยีของจักรกลมังกรดำมาให้ได้เร็วที่สุด แต่พวกเขากลับไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้เลย เมื่อถูกเตือนขึ้นมาแบบนี้ หลายคนรู้สึกเย็นวาบไปทั้งหลังเหงื่อเย็นไหลซึมออกมาไม่หยุด ประเทศหลงเถิงสามารถมอบจักรกลมังกรดำถึงสิบสามตัวให้เย่ซิว นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องมีสต๊อกอีกจำนวนมากเท่าไหร่?พวกเขาต่างก็เห็นพลังของจักรกลมังกรดำกันหมดแล้ว เพียงแค่สิบสามตัวก็สามารถทำลายล้างกองกำลังหลักของมหาอำนาจได้ ถ้าหากประเทศหลงเถิงมีจำนวนมากกว่านี้ ประเทศขนาดกลางและขนาดเล็กบางประเทศอาจถูกกวาดล้างจนหายไปจากแผนที่ได้เลย!เจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศเล็กคนหนึ่งปาดเหงื่อที่หน้าผากแล้วถามขึ้น
เย่ซิวรู้สึกพูดไม่ออกเมื่อเห็นท่าทางของหนานกงเสวี่ยเขาจึงฟาดฝ่ามือลงไปหนัก ๆ หนึ่งที "เวลานี้แล้วยังมาคิดเรื่องพวกนี้อีก แถมเธอยังเป็นกษัตริย์ด้วยระวังภาพลักษณ์ของตัวเองหน่อยสิ" หนานกงเสวี่ยมองเขาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายราวกับน้ำใส "แล้วมันจะเป็นอะไรไปล่ะ? ยังไงทุกคนที่นี่ก็เป็นพวกเดียวกัน อีกอย่างก็ฉันดีใจนี่นา" ตอนนี้เธออยู่ในอารมณ์ที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เธอลอบดีใจที่ตอนนั้นตัดสินใจยอมรับเย่ซิวซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดในชีวิต เธอสามารถมองเห็นอนาคตที่ยิ่งใหญ่ของประเทศปิงจือได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าหากประชาชนของประเทศปิงจือได้เห็นกษัตริย์ของพวกเขาทำตัวแบบนี้กับเย่ซิว เกรงว่าหลายคนคงรับไม่ได้ เฉินหลานกลับไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะในสายตาของเธอเย่ซิวคือบุคคลในตำนาน เป็นคนที่ทำได้ทุกอย่าง ท้ายที่สุด เย่ซิวก็ไม่ได้ทำตามที่หนานกงเสวี่ยคาดหวัง เขาให้เธอกลับไปประจำการก่อนเพื่อไม่ให้ทางนั้นเกิดปัญหา หนานกงเสวี่ยเดินจากไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียดาย แต่พอเย่ซิวบอกกับเธอว่า"เดี๋ยวฉันจัดการธุระเสร็จแล้วจะไปหาเธอ" หญิงสาวก็กลับมายิ้มดีใจอีกครั้งหุ่นยนต์ทั้งสิบสามต
เครื่องบินห้าลำพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยตรง การยิงถล่มอย่างรุนแรงทำให้เครื่องบินรบถูกสอยร่วงลงทีละลำ ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!เสียงระเบิดดังกึกก้องต่อเนื่องไม่ขาดสาย เพลิงไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าทั่วแนวชายแดน กองทัพอัคคีแดงซึ่งเคยเป็นที่ขนานนามว่าเป็นกองทัพไร้เทียมทาน ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง พากันล่าถอยอย่างอลหม่าน ทว่าระหว่างการล่าถอย พวกเขากลับถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาล กระทิงคลั่งคำรามเสียงดัง ร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอันมหึมายิ่งขยายใหญ่ขึ้น เขาคำรามพลางพุ่งเข้าไปในห้องบัญชาการ สกัดกั้นแม่ทัพพยัคฆ์ขาวที่กำลังคิดจะหลบหนี การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้น แม้ว่าแม่ทัพพยัคฆ์ขาวจะมีพลังแข็งแกร่ง แต่เมื่อเทียบกับกระทิงคลั่งแล้ว ยังถือว่าอ่อนด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพียงไม่กี่นาที เขาก็ถูกกระทิงคลั่งจับตัวได้ อย่างไรก็ตาม กระทิงคลั่งไม่ได้สังหารเขา แต่คว้าตัวแม่ทัพพยัคฆ์ขาวเอาไว้ หลบหลีกการโจมตีจากปืนใหญ่และระเบิด ก่อนจะพากลับไปยังค่ายของฝ่ายตน เพราะหมอนี่ถือเป็นตัวประกันที่มีค่ามาก และจะเป็นหม
กระทิงคลั่งคำรามเสียงต่ำ กล้ามเนื้อทั่วร่างพองตัวขึ้น ก่อนพุ่งทะยานอยู่แนวหน้า ใบหน้าของเขาสวมหน้ากากสีดำ ทำให้ไม่มีใครสามารถมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงได้ หมัดของเขาซัดออกไปด้วยพลังอันเกรี้ยวกราด ทำลายทหารกองทัพอัคคีแดงกว่าสิบคนที่ขวางหน้าให้แหลกเป็นจุณ เขาโจมตีไปยังจุดที่อ่อนแอที่สุดของกองทัพอัคคีแดง กระแทกเปิดเส้นทางด้วยพลังอันมหาศาล ผู้ติดตามด้านหลังของเขาต่างขว้างระเบิดออกไปอย่างไม่เสียดาย ส่งผลให้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ รูปขบวนที่ยากลำบากนักกว่าจะจัดเรียงขึ้นมาได้ กลับถูกทำลายลงอีกครั้ง แม่ทัพพยัคฆ์ขาวจำต้องแบ่งกำลังบางส่วนออกไปเพื่อกดดันกระทิงคลั่ง ใบหน้าของเขามืดมนพลางเอ่ยถามรองแม่ทัพที่อยู่ข้างกาย “สถานการณ์ความสูญเสียเป็นอย่างไร?” “เรียนแม่ทัพ จนถึงตอนนี้เราสูญเสียไปกว่าหนึ่งหมื่นนายแล้ว” “อะไรนะ?!” แม่ทัพพยัคฆ์ขาวหน้าถอดสี “เราเสียทหารไปมากขนาดนี้ได้ยังไง?” การรบเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานแท้ ๆ แต่กลับมีความสูญเสียร้ายแรงเช่นนี้ต้องรู้ไว้ว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมา กองทัพอัคคีแดงเปิดฉากการรบกับศัตรูมากกว่าร้อยครั้ง แต่ยอดผู้เสียชีวิตยังไม่เกินแปดถึงเก้าพันนาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อหุ่นยนต์สามตัวปรากฏขึ้น สมาชิกตระกูลหลายคนต่างก็หัวใจเต้นแรง ราวกับถูกค้อนเหล็กที่มองไม่เห็นกระแทกเข้าอย่างจัง ผู้นำตระกูลเฒ่าออกแรงบีบที่วางแขนของเก้าอี้จนแตกละเอียด เส้นเลือดที่คอโป่งขึ้นอย่างชัดเจน "หุ่นยนต์ในตำนาน! พวกเขาจะมีมันได้อย่างไร? ต้องเป็นฝีมือของประเทศหลงเถิงแน่ ๆ!" ในขณะนั้น ทุกสายตาทั่วโลกจับจ้องมายังที่แห่งนี้ เพียงแค่หุ่นยนต์สามตัว ก็สามารถต้านกองทัพอัคคีแดงที่มีกำลังพลห้าหมื่นนายเอาไว้ได้ พวกเขาใช้การโจมตีระยะไกลทุกรูปแบบ แม้แต่รถถังก็ถูกนำมาใช้ แต่ก็ยังไม่สามารถทำลายหุ่นยนต์ทั้งสามตัวนี้ได้ กลับกัน กองทัพอัคคีแดงกลับถูกโจมตีจนสูญเสียกำลังพลไปกว่าสองพันนาย แม้แต่กองทัพอัคคีแดงที่ไม่เคยพ่ายแพ้ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวังแบบนี้จะสู้ต่อไปได้อย่างไร? แต่ไม่นานพวกเขาก็เห็นแสงแห่งความหวัง เพราะกระสุนและอาวุธทั้งหมดของหุ่นยนต์ทั้งสามตัวถูกใช้จนหมดสิ้นแล้ว แม่ทัพพยัคฆ์ขาวจับโอกาสนี้ได้ทันที และออกคำสั่งผ่านวิทยุสื่อสาร "กระจายกำลังออกไป แล้วโจมตีจากระยะไกล!เจ้ายักษ์พวกนี้ไม่มีทางมีพลังงานเหลือมากนัก รอให้พวกมันขยับไม่ไ
จักรกลมังกรดำทั้งสามตัวก็เตรียมพร้อมเสร็จสิ้น และพุ่งตรงสู่สนามรบทันทีภายใต้คำสั่งของเย่ซิวเปลวไฟที่พ่นออกจากใต้ฝ่าเท้าของหุ่นยนต์สร้างแรงขับมหาศาล ทำให้พวกมันพุ่งออกไปราวกับกระสุนปืนใหญ่มุ่งหน้าเข้าสู่แนวหน้าของสนามรบในขณะที่หลายประเทศที่กำลังสังเกตการณ์อยู่ต่างเชื่อมั่นว่าสำนักโอสถกำลังจะถูกทำลายในไม่ช้า และพวกเขาก็เตรียมชมความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ด้วยท่าทีสนุกสนานแม่ทัพพยัคฆ์ขาวที่อยู่ในแนวหลังของกองทัพกำลังนั่งคิดวางแผนว่าจะจัดการสิ่งต่าง ๆ อย่างไรหลังจากบุกยึดสำนักโอสถได้สำเร็จรายงานสถานการณ์จากแนวหน้าถูกส่งมายังเขาอย่างต่อเนื่อง“รุกหน้าไปอีกสามสิบไมล์”“รุกหน้าอีกสี่สิบเจ็ดไมล์”“รุกหน้าไปอีกหกสิบแปดไมล์แล้ว”……“แย่แล้ว นั่นมันอะไรกัน?!”ขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเป็นไปอย่างราบรื่น จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนกดังผ่านวิทยุสื่อสารและทำลายสมาธิของแม่ทัพพยัคฆ์ขาวในทันทีเขาเงยหน้าขึ้นมองจอภาพโดยอัตโนมัติเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า เขาก็เบิกตากว้างทันทีจู่ ๆ ก็ปรากฏสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาสามตัวในสนามรบพวกมันสูงกว่าสิบเมตร มีโครงสร้างที่โค้งมนและดุดัน ทำให้แผ่แรงกดดันม
ในตอนแรกมีเครื่องบินรบหลายลำพยายามจะเข้ามาทิ้งระเบิดใส่สำนักโอสถก่อนแต่ยังไม่ทันจะเข้าใกล้ก็โดนขีปนาวุธสอยร่วงไปหกลำจนต้องถอยหนีกันแทบไม่ทันเมื่อไม่สามารถใช้การโจมตีทางอากาศได้สำเร็จ จึงต้องอาศัยการปะทะทางภาคพื้นดินแทนกองทัพอัคคีแดงจำนวนห้าหมื่นนายข้ามแนวเทือกเขามา ก่อนจะเผชิญกับการโจมตีด้วยอาวุธหนักจากสำนักโอสถอย่างรุนแรงแม่ทัพพยัคฆ์ขาวผู้มีร่างกายสูงใหญ่ทรงพลัง หนวดเครายาว และดวงตาโตเหมือนระฆังทองแดง เขามองไปยังแนวการยิงจากฝั่งสำนักโอสถด้วยสีหน้าดูแคลน “อาวุธพวกนี้มันแค่อุปกรณ์ตกยุคตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนที่เราทิ้งไปแล้วด้วยซ้ำระยะยิงก็สั้น แรงทำลายก็ต่ำ ส่งคำสั่งออกไปให้โต้กลับซะ ให้พวกมันได้รู้ว่าการทำสงครามสมัยใหม่มันเป็นยังไง”คำสั่งถูกส่งต่อไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นกองทัพอัคคีแดงก็เปิดฉากยิงถล่มใส่แนวป้องกันของสำนักโอสถทันทีสำนักโอสถต้องเผชิญกับความเสียหายอย่างหนักภายใต้เสียงระเบิดที่ดังสนั่น การโจมตีเพียงระลอกเดียวก็ทำให้คนของสำนักโอสถล้มตายไปสี่ถึงห้าร้อยคนที่แนวป้องกันของสำนักโอสถมีกำลังพลเพียงประมาณหมื่นนายเท่านั้นหากยังคงเสียกำลังคนในอัตรานี้ พวกเขาคงไม่สา